วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทนกระแสสังคมไม่ไหว!!! ตัดสินใจลาออกแล้ว “น้องแป้ง” พยาบาลสาวสุดสวยตัดพ้อ “เจอกระแสดราม่า” กระโปรง “สั้น” ได้อีก

ทนกระแสสังคมไม่ไหว!!! ตัดสินใจลาออกแล้ว “น้องแป้ง” พยาบาลสาวสุดสวยตัดพ้อ “เจอกระแสดราม่า” กระโปรง “สั้น” ได้อีก


จากกรณีที่มีการแชร์ภาพพยาบาลสาวหน้าตาน่ารักแลล้วแคปชั่นว่า “ทหารห้ามจีบพยาบาล! เพราะทหารไม่ให้เราบรรจุข้าราชการ” จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์กันในโลกออนไลน์


เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ข่าวสดออนไลน์ได้สัมภาษณ์พยาบาลสาวในภาพดังกล่าว ซึ่งก็คือ “น้องแป้ง”ปาริฉัตร ฉัตรศรี อายุ 26 ปี พยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ถึงเรื่องดังกล่าว


โดย “น้องแป้ง” กล่าวว่า เรื่องที่มีการแชร์รูปของตนไปแล้วไปแคปชั่นว่าทหารห้ามจีบพยาบาลนั้น ตนไม่ได้เป็นคนโพสต์และแคปชั่นแบบนั้น ปกติตนโพสต์ภาพตัวเองในเฟซบุ๊คทุกวัน ทั้งชุดทำงานชุดไปเที่ยว แล้วภาพดังกล่าวก็แคปชั่นเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับทหารเลย ไม่รู้ว่าทำไมเพจนั้นจึงไปแคปชั่นแบบนั้น


น้องแป้งกล่าวว่า หลังจากที่เรื่องนี้แชร์ออกไป ผู้บริหารของโรงพยาบาลก็เรียกตนไปสอบถาม ตนก็ชี้แจงไปว่าไม่ได้แคปชั่นตามที่เป็นข่าว แต่ต่อมาในโซเชียลก็มีการนำภาพของตนไปโพสต์ต่อๆกัน เป็นภาพตนสวมชุดพยาบาล ทำให้เกิดกระแสดราม่าขึ้นมาอีกว่าตนแต่งชุดพยาบาลไม่เหมาะสม


น้องแป้งกล่าวว่า ผู้บริหารของโรงพยาบาลก็มาตักเตือนอีก บอกว่าให้ตนทำผิดระเบียบ เล่นมือถือในเวลางาน ไม่เหมาะสม และให้เซ็นรับทราบคำเตือนครั้งแรก ต่อมาเมื่อวาน มีผู้ใหญ่ของโรงพยาบาลบอกว่าทางสภาการพยาบาลฯตำหนิเรื่องนี้มาอีก โดยเฉพาะดราม่าเรื่องชุดพยาบาล ทางผู้ใหญ่ก็สั่งให้ตนลบรูปที่สวมชุดพยาบาลออกจากเฟซบุ๊คทั้งหมด


น้องแป้งกล่าวว่า และนัดหมายว่าในวันพรุ่งนี้ (22 พค.) ทางผอ.โรงพยาบาลจะเรียกตนไปพบเพื่อสรุปว่าาจะดำเนินการอย่างไรกรณีที่ตนโพสต์รูปสวมชุดพยาบาล ซึ่งตนเห็นว่าจะให้ทำให้ผู้ใหญ่ลำบากใจ จึงตัดสินใจแจ้งทางโรงพยาบาลไปแล้วว่าขอลาออก

“ชดพยาบาลที่แป้งสวมก็เป็นเครื่องแบบปกติ กระโปรงอาจจะสั้น แต่พยาบาลคนอื่นๆก็สวมแบบนี้ ซึ่งรูปที่ดูไม่เหมาะสม น่าจะเป็นภาพช่วงที่นั่ง ทำให้ดูกระโปรงสั้น แต่ไม่เป็นไร แป้งตัดสินใจแล้วขอลาออกจากโรงพยาบาลดีกว่า เพื่อความสะบายใจของทุกฝ่าย” น้องแป้งกล่าว


ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ค Pang C-Yanin
Credit : https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_358110


    วิบากกรรม “โอรสนโปเลียนที่ ๓” ขอ “พึ่งบารมี” พระเจ้ากรุงสยาม และอวสานราชวงศ์โบนาร์ปาต


    วิบากกรรม “โอรสนโปเลียนที่ ๓” ขอ “พึ่งบารมี” พระเจ้ากรุงสยาม และอวสานราชวงศ์โบนาร์ปาต


    (ซ้าย) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้อนรับปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน อย่างอบอุ่นในกรุงเทพฯ (ขวา) ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทรงขอพึ่งพระบารมีพระเจ้ากรุงสยาม
    ต้นทศวรรษ ค.ศ. ๑๘๖๐ (พ.ศ. ๒๔๐๓) ถือเป็นยุคทองของรัชกาลพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ฝรั่งเศสได้กลายเป็นชาติชั้นนำของโลกทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง พระนามของพระองค์มีอิทธิพลเตือนใจให้ชาวฝรั่งเศสรำลึกถึงคุณงามความดีของพระเจ้านโปเลียนที่ ๑ ผู้เป็นพระปิตุลาและผู้ก่อตั้งราชวงศ์โบนาร์ปาต พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ จึงทรงเกิดความคิดที่จะรื้อฟื้นอำนาจของราชวงศ์โบนาร์ปาตขึ้น เพื่อแสวงหาโอกาสในการก้าวขึ้นมาเป็น “เจ้ายุโรป” อีกครั้ง
    การขยายอิทธิพลของมหาอำนาจยุโรป ซึ่งในเวลานั้นมีเพียงอังกฤษและฝรั่งเศส ไม่ได้จำกัดตัวอยู่เฉพาะการสงครามเท่านั้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ยังเป็นยุคของการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอาณานิคมด้วย เครื่องจักรกลชนิดใหม่ได้แปรเปลี่ยนอังกฤษและฝรั่งเศสให้เป็นผู้นำทางอุตสาหกรรม สนามแข่งขันแห่งใหม่ของยุคนั้นคือตะวันออกไกล ซึ่งทั้ง ๒ ประเทศขับเคี่ยวกันอย่างเผ็ดร้อน และต่างก็หวังที่จะเข้าครอบครองดินแดนใหม่อันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และเพื่อหาแหล่งระบายสินค้าขนาดใหญ่ ดินแดนที่ว่านี้คือคาบสมุทรอินโดจีน (อุษาคเนย์) และแคว้นยูนนาน (จีนตอนกลาง) อันเป็นผืนแผ่นดินที่ยังบริสุทธิ์อยู่
    มงติญี ราชทูตฝรั่งเศสประจำเมืองมาเก๊า รายงานการสำรวจเข้าไปทางปารีสว่า “บทบาทของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบทบาทอันยิ่งใหญ่ คือบทบาทของผู้คุ้มครอง ไม่เพียงแค่สำหรับไทยและลาวเท่านั้น แต่ยังสำหรับดินแดนทั้งหมดอันมั่งคั่งและไพศาล ซึ่งมีอาณาเขตตั้งแต่อินเดียของอังกฤษจนกระทั่งจรดเมืองจีน หากรัฐบาลแห่งองค์จักรพรรดิประสงค์แล้ว ฝรั่งเศสก็จะเข้าอารักขาเยี่ยงผู้มีอำนาจสูงสุด และยามนั้นฝรั่งเศสก็จะเป็นผู้ตัดสินที่การุณย์และเป็นผู้พิทักษ์อันทรงเดชานุภาพที่เหลืออยู่สำหรับพวกเขา”(๖)
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหยั่งรู้โครงสร้างของลัทธิจักรวรรดินิยมดี ตรัสว่า“เมื่อครั้งมงติญี ก็ได้เคยมาเกลี้ยกล่อมชักชวนสยามที่นี่ ให้ขึ้นกับฝรั่งเศส โดยนำเอาเรื่องร้ายต่างๆ ที่จะมีกับอังกฤษมาชี้แจงให้เห็น เดี๋ยวนี้ฝรั่งเศสก็คงจะรู้แล้วว่า จะปฏิบัติหรือดำเนินนโยบายอย่างสันติกับกรุงสยามนั้นคงจะไม่สำเร็จเสียแล้ว มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น เขาจะต้องใช้กำลังเข้ารุกราน”(๕)
    แต่พระองค์ก็ทรงทำใจดีสู้เสือ และทรงหาทางออกด้วยกุศโลบายต่างๆ เพื่อผ่อนปรนการบีบคั้นของศัตรู ในขั้นแรกแทนที่จะตั้งรับฝ่ายเดียว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยส่งคณะทูตชุดใหญ่ที่สุดจากกรุงรัตนโกสินทร์ไปเปิดฉากเจรจาโดยตรงถึงกรุงปารีส พระราชวิเทโศบายเชิงรุกที่ทรงใช้กับฝรั่งเศส มีเจตนาที่จะขัดขวางนโยบายขยายอาณานิคมของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ไม่ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ การต้อนรับความแข็งกร้าวด้วยการประนีประนอม ๒ ครั้งใหญ่ๆ เกิดขึ้นโดยวิธีออกอุบายให้รัฐบาลฝรั่งเศสส่งเรือรบขนาดใหญ่มารับทั้ง ๒ ครั้ง ครั้งแรกเพื่ออัญเชิญเครื่องมงคลราชบรรณาการจำนวนมหาศาลรวมถึงพระมหามงกุฎสยามอันสูงค่าไปพระราชทาน (พ.ศ. ๒๔๐๔) และครั้งที่ ๒ เพื่อนำช้างกับสัตว์ป่ามีชีวิตจำนวนมากไปเป็นของขวัญเพิ่มเติมอีก (พ.ศ. ๒๔๐๕) ล้วนเป็นแนวคิดรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใดทรงกระทำมาก่อน ส่งผลให้ผู้นำฝรั่งเศสต้องหันมาเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เคยใช้ความรุนแรงมาเป็นการเจรจาแทน กลยุทธ์ใหม่ที่พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ทรงใช้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ทรงเคยปฏิบัติต่อราชสำนักอื่นใดในทวีปเอเชียมาก่อนเลยเช่นกัน ในการนี้ทรงจัดส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดสำหรับชาวต่างชาติ ชื่อลิยอง ดอนเนอร์ มาพระราชทานพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระองค์และจักรพรรดินียูเจนี ขนาดเท่าองค์จริง ๒ รูป นอกจากนั้นยังมีภาพวาดคณะราชทูตสยามเข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นที่พระราชวังฟองเตนโบล แล้วยังมีพระบรมรูปปั้นจำลองส่งมาให้เป็นที่ระลึกด้วย แต่ที่พิเศษที่สุดประกอบด้วยพระแสงกระบี่ ๒ เล่ม สลักพระบรมนามาภิไธยย่อ “N III” แทนคำเต็มว่า Napoleon III ซึ่งถึงแม้จะไม่มีความมุ่งหวังโดยตรงก็ตาม ทว่ามันกลับสื่อความหมายสำคัญทางการเมืองต่อราชสำนักกรุงเทพฯ และมีผลทางจิตวิทยาต่อเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ในตระกูลบุนนาค ทำให้เกิดความลังเลใจและหวั่นเกรงพระบารมีของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ไปตามๆ กัน สร้างแรงกดดันให้กับเสียงสนับสนุนและการสรรหาองค์รัชทายาทที่จะสืบทอดราชบัลลังก์สยามต่อไป ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ร.๕ ว่า
    “ฝ่ายฝรั่งเศสก็เห็นจะเข้าใจอย่างเดียวกัน พระเจ้าเอมเปอเรอนโปเลียนที่ ๓ จึงถือเอาเป็นโอกาสที่จะบำรุงทางพระราชไมตรีให้สนิทยิ่งขึ้น โปรดให้สร้างพระแสงกระบี่ขึ้น ๒ องค์ ส่งมาถวายเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ พระแสงกระบี่องค์ใหญ่จารึกอักษรว่า ‘ของเอมเปอเรอฝรั่งเศสถวายพระเจ้าแผ่นดินสยาม’ พระแสงกระบี่องค์น้อยจารึกอักษรว่า ‘ของพระยุพราชกุมารฝรั่งเศสถวายพระราชกุมารสยาม’ ดังนี้”(๓)
    ภาพพจน์ของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ มีผลทางจิตใจและความรู้สึกของเสนาบดีไทยไม่น้อยไปกว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะนั้น พระราชพงศาวดารฉบับดังกล่าวเน้นต่อไปถึงอิทธิพลของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ที่มีต่อพระเจ้ากรุงสยาม
    “พระยาสุรวงศวัยวัฒน์กราบบังคมทูลว่า ถ้าไม่ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ [เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์] ขึ้นครองราชสมบัติ น่ากลัวจะมีเหตุร้ายไปภายหน้า ด้วยคนทั้งหลายตลอดจนชาวนานาประเทศก็นิยมนับถือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถว่า เป็นรัชทายาท แม้สมเด็จพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ เอมเปอเรอฝรั่งเศสก็ได้มีพระราชสาส์นทรงยินดีประทานพระแสงมีจารึกยกย่องพระเกียรติยศเป็นรัชทายาทมาเป็นสำคัญ ถ้าไม่ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถ ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป การภายหน้าเห็นจะไม่เป็นปกติเรียบร้อยได้ มีพระราชดำรัสว่า เมื่อเห็นพร้อมกันเช่นนั้นก็ตามใจ”(๓)
    ความเข้าใจเรื่องความสำคัญของพระแสงกระบี่นโปเลียนอาจจะมีความจริงอยู่บ้าง เพราะนอกจากกระบี่อาญาสิทธิ์จะสามารถทำให้พระราชกุมารสยามได้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินจริงๆ แล้ว มันยังเป็นเครื่องมือที่พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ใช้บอกสัญญาณในการสละราชสมบัติของตัวพระองค์เอง ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นเพียง ๓ ปี และจะได้อธิบายต่อไป
    นอกจากพระนามของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ จะได้รับการบันทึกอยู่ในพงศาวดารไทยมากมายหลายที่แล้ว พระนามของพระราชโอรสของพระองค์ที่ชื่อ “หลุยส์ นโปเลียน” ยังได้รับการกล่าวขวัญถึงควบคู่กันอยู่เสมอๆ พระณรงค์วิชิต (จอน บุนนาค) ในคณะราชทูตไทยไปฝรั่งเศสครั้งปี พ.ศ. ๒๔๐๔ เคยพูดถึงปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ไว้เช่นกันดังนี้ “ท้องพระโรงที่เสด็จออกนั้น พื้นสองชั้นๆ บนมีพระแท่นยาวแล้วมีพระที่นั่งเรียงกัน ๓ องค์ สมเด็จพระเจ้าเอมเปอเรอเสด็จประทับพระที่นั่งข้างซ้าย พระเจ้าลูกยาเธอทรงเครื่องดำอย่างทหาร เสด็จยืนอยู่ข้างพระที่นั่งฝ่ายขวา” และภายหลังพิธีการถวายพระราชสาส์นจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว “สมเด็จพระเจ้าเอมเปอเรอแลเอมเปรศ พระมเหษีแลพระเจ้าลูกยาเธอเนโปเลียน เสด็จมาไต่ถามทุกข์สุขถึงสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามทั้งสองพระองค์ แล้วรับสั่งให้หาตัวนายชาย [บุตรของอุปทูตอายุ ๑๐ ขวบ] มาให้พระเจ้าลูกยาเธอเนโปเลียนจับมือด้วย” ราชวงศ์โบนาร์ปาตถูกฟื้นฟูจนได้รับการยอมรับถึงขีดสุดอีกครั้งเมื่อพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ทรงสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนและศรัทธาจากพันธมิตรกลับคืนมาให้สนับสนุนนโยบายใหม่ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยความหวังของพระองค์(๑)

    (ซ้าย) ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทรงสัมผัสมือกับบุตรชายอุปทูตไทย พาดหัวข่าวทูตไทยเข้าเฝ้าพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ในฝรั่งเศส (ภาพจากหนังสือพิมพ์ Le Monde Illustré, 1861)
    (ขวา-บน) ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน วันหนึ่งข้างหน้าจะเข้ามากรุงสยามเพื่อขอพบพระสหายเก่า (ภาพจากหนังสือพิมพ์ Le Monde Illustré, 1861)
    (ขวา-ล่าง) ความฝันของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ วันหนึ่งฝรั่งเศสจะมีพระเจ้านโปเลียนที่ ๔

    แต่หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พงศาวดารไทยก็ไม่เขียนถึงจักรพรรดิฝรั่งเศสอีก ราชวงศ์โบนาร์ปาตและราชวงศ์จักรี “ขาดการติดต่อ” กันโดยฉับพลัน ระหว่างรอยต่อของรัชกาลที่ ๔ และที่ ๕ ในสยามมีเพียงหนังสือพิมพ์สยามรีโพซิตอรี (The Siam Repository) ของ Samuel J. Smith เท่านั้นที่รายงานความต่อเนื่องเป็นระยะๆ ว่าในยุโรปสงครามได้ปะทุขึ้นระหว่างฝรั่งเศสและปรัสเซีย (เยอรมนี) ประมาณกลางปี ค.ศ. ๑๘๗๐ (พ.ศ. ๒๔๑๓) โดยฝรั่งเศสเป็นฝ่ายเริ่มประกาศสงครามก่อน
    “พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ พร้อมด้วยสมเด็จพระยุพราช เสด็จฯ โดยรถไฟพระที่นั่งสู่แนวรบด้านชายแดนฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของกองทหารรักษาพระองค์ที่มาส่งเสด็จ “พระจักรพรรดิจงทรงพระเจริญ!” (Vive L”Empereur!) จักรพรรดินีทรงพระกันแสงแต่ก็ทรงฝืนยิ้มด้วยความตื้นตันพระทัย” (ข่าว ๑๐ สิงหาคม ๑๘๗๐)
    นายสมิธรายงานความเป็นไปต่อไปอีก “สมเด็จพระยุพราชทรงตรากตรำอยู่กับสมเด็จพระจักรพรรดิผู้ทรงบัญชาการรบอย่างองอาจ ทรงควบม้าตามหลังม้าพระที่นั่งของพระบรมราชชนกเป็นชั่วโมงๆ เมื่อเสด็จไปทอดพระเนตรการรบในสมรภูมิ” แต่แล้วข่าวสั้นๆ ที่สร้างความตื่นตระหนกก็แทรกเข้ามาอย่างกะทันหัน “สมเด็จพระจักรพรรดิมีพระราชบัญชาให้นำพระยุพราชออกไปจากสมรภูมิโดยเร็วเพื่อความปลอดภัย และด้วยเหตุผลบางประการ พระยุพราชมิได้ถูกอัญเชิญกลับมากรุงปารีสในทันที แต่ถูกนายทหารกลุ่มหนึ่งนำพระองค์บ่ายหน้าไปทางพรมแดนเบลเยียม แล้วทรงถูก ‘ลักลอบ’ ข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังเมืองเฮสติงบนฝั่งอังกฤษแล้ว” (ข่าว ๑๗ กันยายน ๑๘๗๐)(๙)
    ช่างเป็นเรื่องน่าสลดใจที่พระยุพราชผู้ทรงเป็นความหวังของราชวงศ์โบนาร์ปาต จำต้องมีอันพลัดพรากไปอย่างกะทันหันเช่นนั้น ลางร้ายของความวิบัติจากสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย นำความหายนะมาสู่ราชบัลลังก์ พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะสละราชสมบัติในสนามรบนั่นเอง โดยปล่อยให้อนาคตของฝรั่งเศสเป็นไปตามชะตากรรม

    พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ และพระโอรส ที่แนวหน้า

    นักพงศาวดารชาวอังกฤษลำดับเหตุการณ์ของชั่วโมงวิกฤติในเวลานั้น
    “ที่เมือง Sedan [อ่าน เซ-ดง] ทหารฝรั่งเศสถูกโอบล้อมอยู่โดยรอบด้วยกองทัพปรัสเซีย พระเจ้านโปเลียนทรงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของพระยุพราชจึงมีพระบัญชาให้นำพระราชโอรสไปอยู่ใกล้ชายแดนเบลเยียมที่สุด หากเกิดอันตรายขึ้นจะได้เล็ดลอดข้ามชายแดนเข้าไปได้โดยสะดวก พระยุพราชถวายบังคมลาที่เมือง Tourterton ครึ่งทางระหว่าง Rheims กับ Sedan พระเจ้านโปเลียนทรงแน่พระทัยว่ามันเป็นการลาครั้งสุดท้าย พระองค์ทรงมอบหมายให้ราชองครักษ์ ๓ นาย คือ กัปตัน Duperre, Lamey และ Comte Clary เป็นผู้ถวายอารักขาพระยุพราช โดยที่พระจักรพรรดินียูเจนี ณ กรุงปารีสไม่ทรงทราบความคืบหน้าเหล่านั้นเลย
    พระยุพราชต้องทรงระหกระเหินตามลำพังต่อไปอีก ๑ สัปดาห์ ด้วยพระชนมายุเพียง ๑๔ พรรษา ความตรากตรำจาก ๔ สัปดาห์ที่แนวรบทำให้ทรงอิดโรยอย่างมาก คืนหนึ่งทรงผวาตื่นจากพระบรรทม เพราะเสียงปืนใหญ่ของฝ่ายศัตรูที่ประชิดเข้ามา ราชองครักษ์รีบนำพระองค์ลึกเข้าไปในป่าใหญ่ทางทิศเหนือ แต่เนื่องจากไม่มีพระราชบัญชาจากพระจักรพรรดิ ราชองครักษ์รีบถวายรายงานเข้ามายังจักรพรรดินีที่ปารีส พระนางตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียวว่า ‘จงยืนหยัดต่อไปในสนามรบ ฉันยอมเสียน้ำตาหากสงครามจะมาพรากลูกที่รักไป แต่การทรยศต่อหน้าที่ฉันคงไม่ยอมแน่’ “(๘)
    ในที่สุดก็มีหมายรับสั่งเข้ามาจากพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ให้ลักลอบนำพระยุพราชเข้าไปในเบลเยียม ข่าวความพ่ายแพ้ของกองทัพฝรั่งเศสมาถึงหูชาวปารีสในไม่ช้า จักรวรรดิที่สอง (Second Empire) กำลังสิ้นสุดลงแล้ว ประชาชนลุกฮือขึ้นก่อการจลาจลไปทั่วทุกหย่อมหญ้า พระยุพราชต้องทรงปลอมพระองค์ไปตลอดทางเพื่อกันคนสังเกต พระองค์ทรงเปลี่ยนเครื่องแบบจากหัวหน้าทหารมหาดเล็กฝรั่งเศสเป็นชุดเด็กชาวนามอมแมม พรางตาผ่านเข้าไปยังประเทศที่สาม จากเมืองท่า Ostend บนชายฝั่งเบลเยียม ทรงต่อเรือข้ามไปยังประเทศอังกฤษ
    ณ จุดนั้น แม่ทัพชั้นผู้ใหญ่ทูลแนะนำให้พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ทรงหนีเอาชีวิตรอดเช่นกัน แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ มีพระราชหัตถเลขาไปยังแม่ทัพใหญ่ M. Macmahon ให้ประกาศว่า “ทหารหาญของข้า พวกเจ้าจงแสดงวีรกรรมเฉกเช่นบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเจ้า พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งฝรั่งเศส ถ้าทุกคนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิต่อไปอย่างกล้าหาญ” แต่ทรงถลำไปข้างหน้าเพราะความเจ็บปวดจากพระอาการประชวรที่กำเริบขึ้น [ทรงเป็นโรคนิ่วเรื้อรังในกระเพาะปัสสาวะ-ผู้เขียน] จนต้องถูกหามออกไปจากสนามรบ วันรุ่งขึ้นมีพระราชหัตถเลขาถึงพระจักรพรรดินีมีใจว่าความ “ฉันไม่เคยนึกฝันถึงความหายนะที่เลวร้ายถึงขนาดนี้” นายพล ๓ คนขอเข้าเฝ้าด่วนเพื่อถวายรายงานถึงความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการรบ และทูลแนะนำให้ยอมจำนนเพื่อยุติการรบทันทีเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่ก็ทรงปฏิเสธอีก หลังจากนั้นไม่นาน นายพล Lebrun ก็ยกธงขาวขึ้นและยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข

    (ซ้าย) ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทรงฉายกับพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ และพระราชชนนี ภายหลังรับรองทูตจากสยาม
    (ขวา) ทหารนโปเลียน “ยกธงขาว” ย้อมแพ้ที่เซดง (ภาพจาก The Illustrated London News, 1870)

    พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ทรงฝืนพระทัยร่างพระราชหัตถเลขาถึง Prince Frederik William มกุฎราชกุมารปรัสเซีย ซึ่งทรงบัญชาการรบอยู่นอกเมือง Sedan เจ้าชายพระองค์นี้ครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. ๑๘๖๗ (พ.ศ. ๒๔๑๐) เคยได้รับการทูลเชิญจากพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ให้เป็นตัวแทนปรัสเซียไปร่วมในงานปารีสเอ๊กซิบิชั่น เฉกเช่นพระประยูรญาติที่สนิทชิดเชื้อพระองค์หนึ่ง ในพระราชหัตถเลขานั้นมีใจความว่า
    “พระอนุชาที่รักของฉัน เพราะฉันไม่สามารถตายในสนามรบพร้อมกับกองทัพของฉัน ฉันจึงขอใช้เวลานี้มอบพระแสงกระบี่ของฉันต่อพระหัตถ์ของท่านแต่โดยดี
    จากพระเชษฐาของท่าน
    นโปเลียน
    เซ-ดง ๑ กันยายน ๑๘๗๐”(๗)

    พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ มีพระราชหัตถเลขาอีกฉบับหนึ่งส่งถึงจักรพรรดินีเปิดเผยความในพระทัยว่า
    “ฉันปรารถนาความตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่อย่างผู้ปราชัย แต่มันเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งการทำลายชีวิตทหารหาญกว่า ๘๐,๐๐๐ คน ฉันได้เข้าเฝ้ากษัตริย์แล้ว [พระเจ้าวิลเลียมแห่งปรัสเซีย] พระองค์ตรัสกับฉันพร้อมน้ำตาถึงความอัปยศและความเศร้าโศกที่ฉันได้รับ พวกเขากำลังจะส่งฉันไปอยู่ที่ปราสาทแห่งหนึ่งใกล้เมือง Cassel แต่มันจะมีความหมายอะไรอีก ฉันโทมนัสด้วยความทุกข์ระทมแสนสาหัส ขอพระเจ้าคุ้มครองเธอ
    นโปเลียน”
    หลังจากนั้นเพียง ๑ เดือน กองทัพปรัสเซียเกือบครึ่งล้านคนก็เคลื่อนถึงกรุงปารีส ท่ามกลางความไม่สงบและจลาจลที่มีอยู่ทั่วไป จักรพรรดินียูเจนีทรงหนีตายออกมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยความช่วยเหลือของ Dr.Evans นายแพทย์ชาวอเมริกันประจำราชสำนัก ทางรอดของราชวงศ์โบนาร์ปาตที่เหลืออยู่มีเพียงประเทศอังกฤษเท่านั้น และควีนวิกตอเรียพระสหายเก่า ก็ไม่ทรงทำให้ผิดหวังเลย(๘)
    อีก ๓ เดือนต่อมา พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ก็ทรงถูกเนรเทศออกไปสมทบกับครอบครัวของพระองค์ในอังกฤษ สมาชิกในราชวงศ์ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาฝรั่งเศสอีก พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ จักรพรรดินียูเจนี และปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน มาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง ในสภาพผู้ขอลี้ภัยการเมืองในประเทศที่ ๓ ถึงจะมีชีวิตรอดมาได้ แต่ก็ปราศจากเกียรติยศและอิสรภาพ ได้มีความพยายามที่จะกอบกู้ราชบัลลังก์ของพวกฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าพวกนิยมโบนาร์ปาต ซึ่งตั้งตัวเป็นขบวนการใต้ดิน เพื่อเตรียมการทำรัฐประหารครั้งใหม่ในฝรั่งเศส แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เพราะพระอาการประชวรของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ไม่ดีขึ้น ความเคลื่อนไหวต่างๆ จำต้องหยุดชะงักลงเป็นการชั่วคราว ปี ค.ศ. ๑๘๗๒ (พ.ศ. ๒๔๑๕) พระยุพราชซึ่งมีพระชนมายุย่างเข้า ๑๗ พรรษา ทรงเจริญวัยเข้าสู่วัยหนุ่มที่มีความมั่นใจและเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน มีพระประสงค์จะเป็นทหาร เพื่อเตรียมตัวสำหรับการสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไปในอนาคต ติดอยู่ที่กฎมณเฑียรบาลไม่อนุญาตให้พระยุพราชฝรั่งเศสรับราชการในกองทัพต่างชาติ แต่แล้วพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ก็เข้าแทรกแซงและพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ พระยุพราชจึงทรงได้มีโอกาสเข้าศึกษา ณ โรงเรียนนายร้อยทหารบกอังกฤษที่เมือง Woolwich
    วันที่ ๘ มกราคม ๑๘๗๓ (พ.ศ. ๒๔๑๖) พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ทรงเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะเป็นครั้งที่ ๓ แต่พระอาการกลับทรุดลงอย่างหนัก และเสด็จสวรรคตในวันนั้นที่เมือง Chiselhurst ในประเทศอังกฤษ ท่ามกลางผู้แทนจากราชสำนักอังกฤษและชาวฝรั่งเศสโพ้นทะเลประมาณ ๓๐๐ คน งานพระบรมศพถูกจัดขึ้นอย่างเศร้าสลดที่โบสถ์เล็กๆ ชื่อ St.Mary ซึ่งผู้แทนพระองค์ของควีนวิกตอเรียเขียนรายงานถวายภายหลังว่า ถึงมันจะเป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่ก็เป็นการถวายพระเกียรติยศเต็มรูปแบบสำหรับกษัตริย์เช่นที่ควรเป็น หากจัดขึ้นที่โบสถ์ Notre Dame ในปารีส เมื่อพระยุพราชเสด็จออกมาทางประตูโบสถ์ ฝูงชนก็ร้องตะโกนอยู่เซ็งแซ่ว่า “พระจักรพรรดิองค์ใหม่จงทรงพระเจริญ” แต่พระยุพราชร้องตอบไปว่า “ไม่ใช่, พระจักรพรรดิสวรรคตแล้ว ขอให้ฝรั่งเศสจงเจริญ” แต่ก็ยังมีเสียงโห่ร้องอื้ออึงสวนขึ้นอีกว่า “นโปเลียนที่ ๔ จงทรงพระเจริญ!”(๗)
    “ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน” รัชทายาทองค์สุดท้ายโดยชอบธรรมของราชวงศ์โบนาร์ปาตทรงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในอังกฤษกับพระราชชนนี แต่ด้วยวัยหนุ่มแน่นและนิสัยรักการผจญภัย พระองค์เสด็จไปในประเทศต่างๆ ที่พระองค์รู้จักและที่ที่ประชาชนให้การยอมรับ อิตาลีเป็นประเทศหนึ่งที่พระเจ้าแผ่นดิน [พระเจ้าอุมแบรโต] มีศักดิ์เป็นพระประยูรญาติทางพระบรมราชชนก ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน จึงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่นั่นเสมอ
    ทว่ายังมีอีกประเทศหนึ่งในซีกโลกตะวันออก ซึ่งครอบครัวของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ทรงคุ้นเคยเป็นอย่างดี ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทรงเคยมีโอกาสรู้จักกับคณะของชาวสยามที่เดินทางมาเยือนถึงพระราชวังฟองเตนโบล ๑๐ กว่าปีก่อนหน้านั้น และพระบรมราชชนกของพระองค์ก็ทรงเคยเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวราชสำนักที่กรุงเทพฯ บางทีราชวงศ์จักรียังพอจะนับญาติกับราชวงศ์โบนาร์ปาตอยู่บ้าง
    หนังสือพระราชประวัติพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ทุกเล่ม กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า สมาชิกของพระราชวงศ์โบนาร์ปาตเดินทางออกมาจากประเทศฝรั่งเศสแบบคนสิ้นเนื้อประดาตัว การดำรงชีพในอังกฤษจึงอยู่ภายใต้พระบรมราชินูปถัมภ์ของพระราชินีอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ การเดินทางของพระยุพราชฝรั่งเศสไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองมาก จึงไม่น่าจะเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินเหมือนในยามปกติ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า การเสด็จประพาสแต่ละครั้ง ถ้ามิใช่เป็นการเดินสายเพื่อหาเสียงสนับสนุนทางการเมืองแล้วก็อาจจะเป็นการแสวงหาปัจจัยนอกระบบ หรือเพื่อร้องขอความอนุเคราะห์จากมิตรประเทศที่เคยมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก่อน อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำอธิบายใดๆ ที่สามารถยืนยันจุดประสงค์ที่แท้จริงของพระยุพราชได้ การค้นพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพระกรณียกิจลับๆ ของสมาชิกจากราชวงศ์โบนาร์ปาตนับจากนั้น ถือเป็นการค้นพบทางประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น และยังมิได้มีการชำระมาก่อน(๘)
    หนังสือจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคที่ ๒๐ เล่าเรื่องการมาเยือนกรุงสยามของปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน พระราชโอรสองค์เดียวของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นที่เปิดเผย การมาครั้งนี้เป็นราชกิจส่วนพระองค์ที่รัฐบาลฝรั่งเศสไม่รับรู้ด้วย และไม่ยอมถวายการต้อนรับในฐานะราชนิกุลฝรั่งเศสผู้มีเกียรติ ในเวลานั้นประเทศฝรั่งเศสได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐแล้ว โดยมีตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นผู้นำประเทศแทนจักรพรรดิ ชาวฝรั่งเศสจึงไม่เคารพนับถือเจ้านายในระบอบเก่าอีก โดยเฉพาะรัชทายาทของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ซึ่งนำความพ่ายแพ้ในสงครามที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นมาสู่ชาวฝรั่งเศสโดยตรง
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกถึงพระสหายเก่าแก่ผู้เคยถวาย “กระบี่พระยุพราชนโปเลียน” เข้ามาพระราชทานถึงกรุงสยาม มีรายละเอียดดังนี้
    “วันอาทิตย์, ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา เวลาจวนย่ำค่ำกรมหมื่นเทววงศ์นำฮีลไฮเนส ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน เอมเปรอฝรั่งเศส ซึ่งปราชัยในการสงครามกับเยอรมันแล้ว ต้องจากเมืองฝรั่งเศสไป ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน องค์นี้เปนราชภาคินัยของสมเด็จพระเจ้าอุมเบิด พระเจ้าแผ่นดินอิตาลีด้วย ครั้งนี้กงสุลอิตาลีเปนธุระรับรอง และได้ทรงพระกรุณาโปรดให้ไปอยู่ที่วังพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณตามเช่นเคยรับเจ้านายต่างประเทศมาแต่ก่อน เมื่อปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน เข้าเฝ้าก็ได้ดำรัสพระราชปฏิสันถารโดยสมควรแล้ว กราบถวายบังคมลากลับไป เสด็จออกมาส่งถึงมุขอัฒจันทร์พระที่นั่ง”(๒)
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ เป็นเจ้านายไทยอีกผู้หนึ่งที่มีโอกาสได้ถวายต้อนรับปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน บันทึกความทรงจำของพระองค์ตอนหนึ่งกล่าวถึงพระยุพราชผู้ตกยากว่า
    “เวลาบ่าย ๕ โมงเสด็จออกประทับที่ซิตติงรูม ปรินสหลุย แนโปเลียน เฝ้า ปรินสหลุย แนโปเลียน คนนี้เปนเจ้านายเชื้อวงษ์ของเอมเปอเรอฝรั่งเศส แต่การบ้านเมืองผันแปรไป คือ เขาไม่นับถือเจ้าในบัดนี้ จึงต้องเที่ยวรหกรเหินไป เข้าในกรุงเทพฯ สองสามวันนี้เปนการไปรเวต กงซุลอิตาลีผู้เปนธุระรับรอง ทูตฝรั่งเศสไม่ยอมเกี่ยวข้องเปนธุระด้วย มาพักอยู่ที่วังองค์สวัสดิโสภณ วันนี้จึ่งมาเฝ้า”(๔)
    หลักฐานเพิ่มเติมที่พบในเมืองไทยทำให้เชื่อได้ว่าปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทรงพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ นานกว่า ๑๐ วัน พร้อมด้วยราชองครักษ์อย่างน้อยคนหนึ่ง ทำให้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหลายครั้งหลายหน
    “วันพุธ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา มีการมหรสพสมโภชพระอาราม [วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม] เปนการใหญ่ตามธรรมเนียม วันนี้ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน มาเข้าเฝ้าที่พลับพลาด้วย”(๒)
    ต่อมาอีก ๑ สัปดาห์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสบโอกาสเหมาะที่จะพระราชทานเลี้ยงใหญ่เพื่อเป็นเกียรติยศต่อพระสหายเก่า ซึ่งมีให้เห็นไม่บ่อยนักสำหรับผู้นำประเทศที่หมดอำนาจทางการเมือง ข้อมูลต่อไปนี้เป็นรายละเอียดของงานเลี้ยง พร้อมด้วยพระนามของเจ้านายฝ่ายสยามผู้ได้รับคัดเลือกให้ร่วมโต๊ะเสวยอยู่ด้วย บ่งบอกความสำคัญของผู้มาเยือน
    “วันพุธ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา วันนี้ไม่มีราชการอะไร โปรดให้มีการดินเนอร์พระราชทานฮีลไฮเนส ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน เวลาทุ่มเศษ พระเจ้าอยู่หัวทรงครึ่งยศทหาร เสด็จออกประทับดายนิ่งรูม ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน กับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ถูกเชิญเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วเสด็จไปประทับห้องเสวยพระที่นั่งมูลสถานบรมอาศน์ มีแผนที่และพระนาม นาม ท่านผู้ที่ประชุมในโต๊ะข้างล่างนี้

    ยามเศสดินเนอร์แล้วเสด็จประทับซิตติ้งรูม ตรัสอยู่กับเจ้านโปเลียน จนเวลา ๔ ทุ่มเศษเจ้ากลับไป เสด็จขึ้น”(๒)
    บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เป็นสักขีพยานของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะของเหตุการณ์ต่างๆ สยามประเทศสามารถปรับสภาพของตนเองจากครั้งหนึ่งที่เคย “เป็นรอง” ฝรั่งเศสอยู่อย่างเทียบไม่ติด ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มา “เป็นต่อ” ได้ ในระดับหนึ่งสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ นี่เอง ความเป็นต่อนี้เห็นได้จากการที่ผู้นำในระบอบเก่า คือปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทรงอุตส่าห์เดินทางมาขอพึ่งพระบารมีพระเจ้ากรุงสยามซึ่งเคยถูกฝรั่งเศสข่มเหงรังแกมาก่อน นอกจากนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน ผู้นำในระบอบใหม่ คือประธานาธิบดีจูล เกรวี ก็ยังติดต่อมาขอทหารไทย ๕๐๐ คน ให้ไปช่วยฝรั่งเศสรบกับพวกญวนในตังเกี๋ย (Tonkin) อีกด้วย(๔)

    (ซ้าย) พระแสงกระบี่นโปเลียนถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระแสงกระบี่หลุยส์ นโปเลียนถวายเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (สันนิษฐานว่าทรงฉายพระรูปนี้เพื่อส่งกลับไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ จักรพรรดินียูเจนี และพระโอรสขณะทรงลี้ภัย
    (ขวา-บน) “ตกยากในอังกฤษ” พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ จักรพรรดินียูเจี และพระโอรส ขณะทรงลี้ภัย
    (ล่าง-ซ้าย) พระเจ้านโปเลียน โบนาร์ปาตที่ ๑ เป็นพระปิตุลาของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓
    (ล่าง-ขวา) ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ในฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารม้าอังกฤษ ทรงฉายก่อนทิวงคตไม่นาน

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้อนรับขับสู้ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน อย่างอบอุ่น โดยไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพระองค์จะพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อะไรไปมากกว่านั้น แผนฟื้นฟูราชวงศ์โบนาร์ปาตที่เริ่มต้นไว้ก่อนที่พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ จะสวรรคต ไม่ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาอีกเพราะขาดปัจจัยเฉพาะหน้าหลายอย่าง เช่น อุปสรรคด้านทุนทรัพย์ กำลังทหาร และฐานอำนาจของปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน เองที่ไม่มีเหลืออยู่เลย ตั้งแต่พระบรมราชชนกจากไปอย่างกะทันหัน
    เมื่อปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทรงพบว่าความพยายามที่จะสืบทอดราชบัลลังก์เป็นเรื่องไกลตัว พระภารกิจที่เหลืออยู่จึงทุ่มเทไปกับการศึกษาวิชาทหารที่ทรงถนัดและเหมาะสมที่สุดต่อไป ประมาณปี ค.ศ. ๑๘๗๙ (พ.ศ. ๒๔๒๒) ในแอฟริกาใต้เกิดการต่อต้านการยึดครองของกองทัพอังกฤษโดยชนพื้นเมืองเผ่าซูลู การสู้รบครั้งใหญ่ในวันที่ ๒๒ มกราคม ๑๘๗๙ (พ.ศ. ๒๔๒๒) ที่เมือง Isandhlwana เป็นเหตุให้ทหารอังกฤษเสียชีวิต ๘๐๐ นาย รัฐบาลอังกฤษจึงมีมติให้ส่งกองหนุนไปเสริมทันที และหน่วยหนึ่งที่ได้รับมอบหมายมีปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน รวมอยู่ด้วย พระองค์มีพระประสงค์จะเสด็จไปช่วยอังกฤษอย่างกระตือรือร้น แต่รัฐบาลอังกฤษไม่อนุญาตให้ไปในฐานะที่ทรงเป็นพระยุพราชของราชวงศ์ฝรั่งเศส ด้วยเห็นแก่พระโอรสที่ต้องการทำหน้าที่อย่างชายชาติทหาร จักรพรรดินียูเจนีทรงร้องขอให้สมเด็จพระราชินีอังกฤษเข้าแทรกแซง ควีนวิกตอเรียจึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้โดยมีข้อแม้ว่า ไม่ทรงอนุญาตให้ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ร่วมในปฏิบัติการสู้รบไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น(๘)
    M. Deleage นักข่าวหนังสือพิมพ์ Le Figaro จากฝรั่งเศส ประจำสำนักข่าวในแอฟริกาใต้ รายงานความคืบหน้าของสงคราม และพาดพิงไปถึงปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ว่า “ทรงเป็นชายชาติทหารโดยกำเนิด มีบุคลิกลักษณะและสายเลือดของนักรบแห่งราชวงศ์โบนาร์ปาตอันเป็นที่เลื่องลือ”(๗)
    ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๑๘๗๙ (พ.ศ. ๒๔๒๒) หน่วยลาดตระเวนเบาประกอบด้วยทหาร ๖ นาย รวมทั้งปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน เข้าเวรตรวจการอยู่นอกค่าย ทันใดนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับหน่วยสอดแนมของซูลูโดยบังเอิญ ทหารอังกฤษซึ่งไม่ได้รับคำสั่งให้ต่อสู้ เกิดความตกใจต่างกระโจนขึ้นม้าควบหนีเอาตัวรอด เหลืออยู่แต่ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ซึ่งปกติเป็นคนชำนาญการขี่ม้า แต่ในวันนั้นพลาดท่าเนื่องจากขาหยั่งเท้าที่อานม้าหักลงกลางคัน ทำให้ทรงหงายหลังหล่นลงมากองอยู่ที่พื้นหญ้า พวกซูลู ๗ คนตีวงล้อมเข้ามา ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน รีบชักปืนสั้นออกมาเพื่อป้องกันตัว โดยยิงออกไป ๓ นัด แต่ด้วยคราวเคราะห์เสียหลักเท้าสะดุดก้อนหินเข้าอีก เลยคะมำไปข้างหน้า ซูลูจึงกระหน่ำแทงด้วยหอกพร้อมๆ กัน ทำให้เสด็จทิวงคตในทันที
    เชลยซูลูคนหนึ่งซึ่งถูกจับได้ในเวลาต่อมา สารภาพว่าร่างของหลุยส์ นโปเลียน ไม่ได้ถูกชำแหละเป็นชิ้นๆ เหมือนเหยื่อรายอื่นๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของการเสียชีวิตเยี่ยงนักรบผู้กล้า เขาเล่าว่าพระองค์ยืนหยัดสู้อย่างพญาราชสีห์ด้วยความทระนงองอาจ(๘)
    นักหนังสือพิมพ์คนเดิมรายงานข่าวอันเศร้าสลดไปฝรั่งเศสว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่านี่คือความสูญเสียครั้งใหญ่ของคนฝรั่งเศส ความเกลียดชังที่พวกเรามีต่อเขาได้บีบคั้นให้เจ้าชายผู้อาภัพ ต้องการพิสูจน์ความกล้าหาญของสายเลือดนักรบอันเข้มข้นที่เขามีอยู่ แต่ในดินแดนซึ่งไม่มีค่าสำหรับเขาเลย วีรกรรมของนโปเลียนคนสุดท้ายนำเกียรติยศมาสู่ประเทศฝรั่งเศสมากกว่าประเทศอังกฤษจะพึงได้รับ”(๗)
    กองทัพอังกฤษได้ถวายคืนเครื่องแบบและสิ่งของติดตัวปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทั้งหมดให้กับจักรพรรดินียูเจนี หนึ่งในของสำคัญนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งเป็นพินัยกรรมอันสะเทือนใจที่ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ได้เขียนไว้
    “ฉันตายในนามของคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกที่ฉันเลื่อมใส ฉันปรารถนาให้ร่างของฉันอยู่เคียงข้างพระบรมชนกนาถของฉัน จนกว่าร่างของพวกเราจะถูกนำไปฝังไว้โดยสงบในสุสานหลวงของผู้ก่อตั้งพระราชวงศ์โบนาร์ปาตของเรา [หมายถึงที่ฝังพระศพพระเจ้านโปเลียนที่ ๑ ที่สุสานหลวง Les Invalides ในกรุงปารีส-ผู้เขียน] สิ่งสุดท้ายที่ฉันฝันถึงคือประเทศฝรั่งเศส และเพื่อฝรั่งเศสเท่านั้น ที่ฉันปรารถนาจะสละชีวิตให้เป็นราชพลี”

    (ซ้าย) ปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ทรงพลาดท่าตกจากม้า ถูกปลงพระชนม์โดยนักรบซูลู (ภาพจากวารสาร Royal Romances ตอน Emperor Napleon III & Eugénie)
    (ขวา) ยถากรรมของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ถวายบังคมพระบรมศพแบบตามมีตามเกิด

    ปัจจุบันนี้พระศพของปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน พร้อมด้วยพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ยังคงอยู่ในอังกฤษ บรรจุอยู่เคียงข้างกันในสุสานโบนาร์ปาตของโบสถ์ Farnboroug Abbey ในจังหวัด Hampshire พระบรมศพจักรพรรดิองค์สุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศส และรัชทายาทของพระองค์ไม่ได้ถูกนำกลับไปฝรั่งเศสตามพระราชประสงค์ในพินัยกรรมฉบับนั้น มีแต่เพียงเครื่องแบบทหารอังกฤษของปรินซ์หลุยส์ นโปเลียน ที่มีรอยหอก ๑๗ รู และคราบเลือดจางๆ เท่านั้นที่ถูกนำกลับไปเก็บรักษาไว้เพื่อจัดแสดง ณ พระราชวังกองเปียญ (Chateaux de Compiegne) นอกกรุงปารีสจนทุกวันนี้(๗)
    พงศาวดารฝรั่งเศสยังไม่ยอมรับวีรกรรมของพระเจ้านโปเลียนทุกพระองค์เสียทั้งหมด ประวัติการณ์อันโชกโชนของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ และพระราชโอรสเป็นเรื่องราวที่น่าอัปยศในหัวใจของชาวฝรั่งเศสจริงหรือ?

    หนังสือประกอบการค้นคว้า
    (๑) จดหมายเหตุเรื่องราชทูตสยามไปกรุงฝรั่งเศส. พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงตลับ ประดิพันธภูบาล. กทม., ๒๕๑๓.
    (๒) จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ภาคที่ ๒๐. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าจอมเอิบ ต.จ.ว. ในรัชกาลที่ ๕. กทม., ๒๔๘๗.
    (๓) ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ร.๕.
    (๔) บันทึกรายวัน ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเกื้อ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ต.จ. กทม., ๒๕๒๖.
    (๕) พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีถึงราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ๔ มีนาคม ๒๔๑๐. พิมพ์ในงานอนุสรณ์หม่อมสาย ศรีธวัช ณ อยุธยา. พระนคร, ๒๕๑๒.
    (๖) เพ็ญศรี ดุ๊ก, ศ.ดร. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย (สยาม) กับฝรั่งเศส ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙. ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๓๙.
    (๗) Bierman, John. Napoleon III and his Carnival Empire. New York, 1988.
    (๘) Duff, David. Eugenie and Napoleon III. New York, 1978.
    (๙) Smith, Samuel J. The Siam Repository. Vol.3 No.4, Bangkok, 1871.

    วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

    19 พฤษภาคม 1536: “แอนน์ โบลีน” ราชินีอังกฤษถูกประหาร



    19 พฤษภาคม 1536: “แอนน์ โบลีน” ราชินีอังกฤษถูกประหาร


    ภาพของแอนน์ โบลีน ราชินีองค์ที่สองของกษัตริย์เฮนรีที่ 8 โดย Hans Holbein the Younger (1497/1498–1543) [Public domain], via Wikimedia Commons
    แอนน์ โบลีน (Anne Boleyn) เกิดเมื่อปี 1507 ส่วนวันที่เท่าไหร่ไม่มีบันทึกที่แน่ชัด เธอเป็นบุตรของเซอร์โธมัส โบลีน (Thomas Boleyn) ซึ่งภายหลังได้เป็น เอิร์ลแห่งวิลต์เชียร์และออร์มอนด์ (Earl of Wiltshire and Ormonde)
    แอนน์ โบลีน ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในวัยเด็กที่ฝรั่งเศส ก่อนเดินทางกลับอังกฤษในปี 1522 และเข้ารับใช้ในราชสำนักของกษัตริย์เฮนรีที่ 8 (Henry VIII) ความงามของเธอทำให้มีหลายคนหลงใหล แม้กระทั่งกษัตริย์เฮนรีเองที่ทรงสมรสแล้วกับแคเธอรีนแห่งอารากอน (Catherine of Aragon) พระชายาที่มีอายุมากกว่าพระองค์ 6 พรรษา แต่ทรงเป็นพระธิดาของราชวงศ์ที่ทรงอำนาจที่สุดในยุโรปยุคนั้น [แคเธอรีนแห่งอารากอนเป็นพระธิดาองค์เล็กของกษัตริย์เฟอร์ดินันด์ที่ 2 แห่งอารากอน (Ferdinand II of Aragon) กับ ราชินีอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสติล (Isabella I of Castile)]
    เดิมแอนน์ โบลีน ได้หมั้นหมายไว้กับลอร์ดเฮนรี เพอร์ซี (Lord Henry Percy) แต่กษัตริย์เฮนรีได้เข้าขัดขวาง โดยให้พระคาดินัลด์วอลซี (Cardinal Wolsey) ประกาศให้การหมั้นหมายของทั้งสองตกเป็นโมฆะ
    แต่ความรักของกษัตริย์เฮนรียังมีอุปสรรคสำคัญคือการที่พระองค์ทรงสมรสแล้ว และการหย่าในสมัยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พระองค์ต้องได้รับการยินยอมจากสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกด้วย
    เหตุผลสำคัญที่กษัตริย์เฮนรีต้องการหย่ากับราชินีแคเธอรีน คือการที่พระนางไม่สามารถให้กำเนิดทายาทเป็นโอรสได้ แต่สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 (Clement VII) ก็ทรงบอกปัดฎีกาของกษัตริย์เฮนรีมาโดยตลอด ด้วยแรงกดดันจากจักรพรรดิชาลส์ที่ 5 (Charles V) แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (พระองค์ทรงสืบทอดบัลลังก์แห่งอาณาจักรสเปนและดินแดนในครอบครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก)
    แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ความรักที่ถูกขวางกั้นด้วยจารีตประเพณียิ่งทำให้แรงปรารถนาของกษัตริย์เฮนรีพลุ่งพล่าน พระองค์ทรงแอบสมรสอย่างลับๆกับแอนน์ โบลีน ช่วงปลายเดือนมกราคม 1533 ก่อนมีการประกาศในช่วงอีสเตอร์ปีเดียวกัน (ราวปลายเดือนมีนาคมต้นเดือนเมษายน) จากนั้นในวันที่ 23 พฤษภาคม กษัตริย์เฮนรีได้ให้อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี โธมัส แครนเมอร์ (Thomas Cranmer) ประกาศให้การสมรสของพระองค์กับราชินีแคเธอรีน ตกเป็นโมฆะ เท่ากับการสมรสของทั้งสองพระองค์เสียเปล่ามาแต่ต้น
    ทั้งนี้ แคเธอรีนแห่งอารากอน เคยสมรสกับเจ้าชายอาเธอร์ (Prince Arthur) โอรสองค์โตของกษัตริย์เฮนรีที่ 7 เมื่อเจ้าชายอาเธอร์สิ้นพระชนม์ แคเธอรีนจึงสมรสกับเจ้าชายเฮนรี โอรสองค์ที่สองของกษัตริย์เฮนรีที่ 7 ซึ่งภายหลังได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เฮนรีที่ 8


    ภาพเขียนสีน้ำมันของ กษัตริย์เฮนรีที่ 8 โดย Hans Holbein, the Younger (1497/1498–1543) [Public domain], via Wikimedia Commons
    ภาพเขียนสีน้ำมันของ กษัตริย์เฮนรีที่ 8 โดย Hans Holbein, the Younger (1497/1498–1543) [Public domain], via Wikimedia Commons
    กษัตริย์เฮนรีที่ 8 จึงอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าว ประกอบกับบัญญัติตามคัมภีร์ไบเบิลในส่วนพันธสัญญาเก่า (เลวีนิติ 20:21) ที่ระบุว่า “ถ้าชายใดเอาเมียของพี่ชายหรือน้องชายไปเป็นเมียตน ผู้นั้นต้องตายโดยไร้ทายาท บุคคลนั้นได้ทำเรื่องอันเป็นมลทินและสร้างความอัปยศต่อพี่หรือน้องตนเอง” ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงอ้างว่าการสมรสครั้งแรกของพระองค์ถือเป็นการขัดต่อประสงค์ของพระเจ้า จึงทำให้การสมรสในครั้งนั้นตกเป็นโมฆะ
    เหตุการณ์ครั้งนี้ยังนำไปสู่การแยกตัวจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก กษัตริย์เฮนรี ทรงออกพระราชบัญญัติว่าด้วยพระราชอำนาจสูงสุดหรือ “Act of Supremacy” ซึ่งทำให้พระองค์มีสถานะเป็นประมุขศาสนจักรแห่งอังกฤษ
    แต่ความพยายามของกษัตริย์เฮนรีในการสมรสกับแอนน์ โบลีน ด้วยหวังจะมีทายาทเป็นพระราชโอรสกลับสูญเปล่า เมื่อเดือนกันยายน 1533 ราชินีแอนน์ทรงให้กำเนิดทายาทเป็นพระธิดา (ซึ่งภายหลังได้ขึ้นครองราชย์เป็น ราชินีอลิซาเบ็ธที่ 1) ทำให้กษัตริย์เฮนรีเริ่มมีพระทัยออกห่าง พอถึงปี 1534 ราชินีแอนน์ทรงแท้งลูก การพยายามมีพระราชโอรสจึงเป็นความหวังเดียวที่ช่วยรักษาสถานะของพระองค์ไว้ได้ แต่ในเดือนมกราคม 1536 พระโอรสที่น่าจะช่วยราชินีแอนน์ได้ กลับสิ้นพระชนม์ตั้งแต่แรกประสูติ
    ความถือพระองค์ของราชินีแอนน์ ทำให้พระองค์ไม่ได้รับความนิยมในราชสำนักมาแต่แรก และเมื่อพระองค์ไม่อาจให้กำเนิดพระโอรสได้ยิ่งทำให้สถานะของพระองค์เสื่อมทรามอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่เดือนหลังทรงแท้งพระโอรส กษัตริย์เฮนรีทรงบีบให้พระองค์รับสารภาพว่า ทรง “ทำชู้” กับชายมากหน้าหลายตา รวมถึงกับพี่น้องร่วมอุทรของพระองค์เอง คดีของพระองค์ถูกไต่สวนในศาลต่อหน้าคณะลูกขุน ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พระองค์มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา
    ราชินีแอนน์ ทรงถูกลงโทษด้วยการตัดศรีษะในวันที่ 19 พฤษภาคม 1536 ซึ่งนักประวัติศาสตร์มองว่าโอกาสที่ราชินีแอนน์จะทรงมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหานั้นมีน้อย แต่เชื่อว่าความผิดของพระองค์น่าจะเป็นผลมาจากการแย่งชิงอำนาจในราชสำนักมากกว่า

    ข้อมูลจาก Encyclopedia Britannica

    วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

    พบ “ไม้เช็ดก้น” โบราณ แพร่เชื้อมานานตั้งแต่ 2 พันปีก่อนบน “เส้นทางสายไหม”

    พบ “ไม้เช็ดก้น” โบราณ แพร่เชื้อมานานตั้งแต่ 2 พันปีก่อนบน “เส้นทางสายไหม”


    ภาพเขียนผนังถ้ำบอกเล่าการเดินทางของจาง เชียน (Zhang Qian) ทูตจีนในจักรพรรดิฮั่นอู่ ซึ่งออกไปเจริญสัมพันธไมตรีกับดินแดนนอกจักรวรรดิในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล (ภาพจากถ้ำหมายเลข 323 ในกลุ่มถ้ำแห่งโมเกา, Public Domain)
    นักวิทยาศาสตร์พบ “เส้นทางสายไหม” นอกจากจะเป็นเส้นทางการค้าขายสินค้าแล้ว ยังเป็นเส้นทางแพร่เชื้อโรคระหว่างจากตะวันออกไปยังตะวันตก จากหลักฐานเป็น “ไม้เช็ดก้น” โบราณ ที่พบในส้วมอายุกว่า 2,000 ปี
    สถานที่ขุดพบไม้เช็ดก้นเหล่านี้อยู่ที่เฉียนเฉียนจื้อ (Xuanquanzhi) จุดพักทางขนาดใหญ่บนเส้นทางสายไหม เมืองตุนหวง มณฑลกานซู่ ประเทศจีน เป็นโบราณสถานที่คาดว่าอยู่ในยุคของราชวงศ์ฮั่น ถูกใช้ในช่วง 111 ปีก่อนคริสตกาลถึง ค.ศ. 109 (ราว พ.ศ. 432-652)
    เฉียนเฉียนจื้อถูกขุดสำรวจมาตั้งแต่ 20 ปีก่อน เคยพบเอกสารโบราณหลายชิ้น แต่ ฮุยหยวน เยห์ (Hui-Yuan Yeh) นักวิจัยจากเคมบริดจ์ในสหราชอาณาจักร เลือกที่จะให้ความสนใจกับ “ไม้เช็ดก้น” ที่ถูกทิ้งในส้วมโบราณแห่งนี้
    ไม้เช็ดก้นโบราณที่นักวิจัยจากเคมบริดจ์พบว่ามีไข่ปรสิตสี่ชนิด (AFP PHOTO / UNIVERSITY OF CAMBRIDGE)
    ไม้เช็ดก้นโบราณที่นักวิจัยจากเคมบริดจ์พบว่ามีไข่ปรสิตสี่ชนิด (AFP PHOTO / UNIVERSITY OF CAMBRIDGE)
    ฮุยหยวนได้รับอนุญาตให้นำตัวอย่างบางส่วนไปตรวจสอบ เขาจึงนำไปให้เพียส์ มิตเชล (Piers Mitchell) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคยุคโบราณของเคมบริดจ์ตรวจสอบ โดยทั้งสองเพิ่งเผยแพร่งานวิจัยของพวกเขาในรายงานวารสารโบราณคดีศาสตร์ (Journal of Archaeology Science: Reports)

    งานวิจัยของทั้งคู่ระบุว่า ในไม้เช็ดก้นเหล่านี้พบไข่ของปรสิตทั้งพยาธิตัวกลม พยาธิตัวแบน พยาธิแส้ม้า และพยาธิใบไม้ในตับสายพันธุ์จีน ซึ่งพื้นที่แพร่กระจายของปรสิตเหล่านี้ที่ใกล้กับเฉียนเฉียนจื้อมากที่สุดมีระยะทางห่างออกไปถึง 1,500 กิโลเมตร
    “ตอนแรกที่เราเจอไข่พยาธิใบไม้ในตับสายพันธุ์จีน เรารู้เลยว่าได้เจอกับการค้นพบครั้งสำคัญเข้าแล้ว” ฮุยหยวนกล่าว “งานวิจัยของเราถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้หลักฐานทางโบราณคดีจากโบราณสถานบนเส้นทางสายไหมเพื่อแสดงให้เห็นว่า นักเดินทางได้พาโรคระบาดไปกับพวกเขาบนเส้นทางที่มีระยะกว้างไกลมาก”
    มิตเชลกล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการสันนิษฐานว่า พ่อค้า ทหารและเจ้าหน้าที่ทูต ซึ่งเดินทางบนเส้นทางสายไหมเข้าไปยังตะวันออกกลาง และเมดิเตอร์เรเนียนได้พาโรคระบาดติดตัวไปด้วย แต่ก็ยังไม่เคยมีหลักฐานยืนยันหนักแน่น การแพร่กระจายของโรคจากตะวันออกไปยังตะวันตกทั้งกาฬโรค และโรคเรื้อนจึง อาจมาจากอินเดีย มองโกเลีย หรือรัสเซียก็เป็นได้
    “นี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้ว่าพยาธิใบไม้ในตับมาพร้อมกับเส้นทางสายไหม ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า โรคอื่นๆก็อาจแพร่กระจายผ่านเส้นทางเดียวกัน มันเยี่ยมเสมอที่[ข้ออ้าง]มีข้อพิสูจน์” มิตเชลกล่าว
    (The Guardian)

    วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

    8 นิสัยแย่ๆ ที่ทำลายสมอง / ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

    8 นิสัยแย่ๆ ที่ทำลายสมอง / ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ




    12 พฤษภาคม 2560 21:26 น.

    8 นิสัยแย่ๆ ที่ทำลายสมอง / ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
            สมองเป็นอวัยวะสำคัญในการควบคุมการทำงานทุกส่วนของร่างกาย หากสมองได้รับการกระทบกระเทือนจะทำให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ เราจึงควรรักษาสมองให้คงอยู่ในสภาพดีและฝึกฝนให้สมองฉลาดอยู่เสมอ เพื่อชีวิตที่มีความสุข ดังนั้นวันนี้ผู้เขียนขอเขียนเรื่อง 8 ลักษณะนิสัยที่ไม่ควรกระทำเพราะจะทำลายสมองดังนี้
          
           1.ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หลายครั้งที่เราติดเป็นนิสัยไม่ดีที่เป็นตัวทำลายสมอง ยกตัวอย่างเช่น การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมจำไม่ได้ รวมทั้งเป็นโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และหากเรามีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อีกทั้งควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดเพื่อไม่ให้มีแสงไปรบกวนในขณะที่เรานอนหลับ
          
           2. ใช้เวลาอยู่คนเดียวนานเกินไป มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะมีความสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าเรามีจำนวนเพื่อนใน Facebook มากขนาดไหน แต่เราควรมีความสัมพันธ์ที่แสดงออกเป็นการกระทำ เช่น นัดพบเพื่อน ไปไหนมาไหนด้วยกัน พูดคุย เล่าเรื่องราวต่างๆให้กันและกันฟัง คนที่มีเพื่อนสนิทสองสามคน จะมีความสุขและทำงานที่เกิดผลมากกว่าคนที่มีเพื่อนมากมายที่ไม่รู้จักตัวตนกันจริงๆในfacebook ดังนั้นถ้าเราอยู่เพียงลำพังเสมอและปล่อยให้ตัวเองเหงา จะเป็นผลร้ายต่อสมอง ดังนั้นเราควรโทรศัพท์ถึงเพื่อนและหากิจกรรมทำร่วมกัน เช่นไปออกกำลังกายด้วยกัน ไปเต้นรำด้วยกัน เพื่อพัฒนาสมองเป็นต้น
          
           3. รับประทานอาหารขยะมากเกินไป หน้าที่ส่วนหนึ่งของสมองนั้นคือการเชื่อมโยงความจำและการเรียนรู้ สุขภาพจิตของคนที่ทานอาหารขยะ เช่น แฮมเบเกอร์ มันทอด เครื่องดื่มโซดาต่างๆจะทำลายสมองได้มากกว่าคนที่รับประทานอาหารสุขภาพ เช่น ข้าวสาลี ถั่ว พืชผักใบเขียว เป็นต้น ดังนั้นหากเราต้องการให้สมองได้รับการพัฒนาและใช้งานอยู่คู่กับเราไปนานๆ เราควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
           

           4. ใส่หูฟังตลอดเวลา เมื่อเราใส่หูฟังแล้วเปิดเสียงดังเต็มที่ เสียงนั้นจะเข้าไปทำลายสมองได้ภายในเวลาเพียง 30 นาที ไม่เพียงแต่หูของเราเท่านั้นที่ถูกทำลาย แต่เสียงที่ดังมากจะทำลายสมองด้วย อีกทั้งทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์หรือสูญเสียเซลต่างๆในสมอง สาเหตุอาจเป็นเพราะว่าสมองทำงานหนักมากเกินไปเพราะต้องเข้าใจคำต่างๆพร้อมกับแปลความหมายในขณะที่มีเสียงดัง ดังนั้นให้เราลดระดับเสียงเพลงลงไม่ควรเกิน 60% ของคลื่นความถี่ในระดับสูงสุด และไม่ควรฟังเสียงเพลงดังๆเป็นเวลานานหลายๆชั่วโมง
          
           5. ชอบนั่งนิ่งๆโดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย หากเราไม่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างเพียงพอจะทำให้เราเป็นโรคความจำเสื่อมและมีโรคอื่นที่จะตามมาอีกมากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งโรคต่างๆเหล่านี้สามารถจะเชื่อมโยงให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งการเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไปวิ่งแข่งมาราธอน แค่เพียงการเดินเล่นในสวนหรือรอบๆบ้านเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างน้อยสามวันต่อหนึ่งสัปดาห์
          
           6. สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ทำให้สมองถูกทำลาย และทำให้ความจำเสื่อมลง อีกทั้งทำให้เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ถึงสองเท่าเทียบกับคนที่ไม่ได้สูบ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดในสมองแตก และโรคความดันโลหิตสูงอีกด้วย
          
           7. ทานอาหารมากเกินไป หากเราทานอาหารมากเกินไปแม้ว่าจะเป็นอาหารที่ดี แต่จะส่งผลเสียต่อสมองมากกว่าส่งผลดี เพราะสมองไม่สามารถจะสร้างเครือข่ายในการเชื่อมโยงด้านความคิดและความจำได้ การรับประทานอาหารที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะการมีน้ำหนักเกินทำให้เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคต่างๆเหล่านี้จะเชื่อมโยงต่อปัญหาทางด้านสมองและโรคอัลไซเมอร์
          
           8. อยู่ในความมืดมากเกินไป หากเราไม่ได้รับแสงจากธรรมชาติเราจะรู้สึกเครียดและทำให้สมองทำงานช้าลงนักวิจัยค้นพบว่าแสงอาทิตย์สามารถจะช่วยให้สมองของเราทำงานได้ดี
          
           หากเรารู้เช่นนี้แล้วเราจึงควรหลีกเลี่ยงลักษณะนิสัยต่างๆที่กล่าวมาซึ่งเป็นตัวการทำลายสมอง หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้อยเป็น กำลังใจให้ผู้อ่านเสมอค่ะ
          
           ข้อมูลอ้างอิง
           Webmd.com 

    วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

    10 เรื่องน่ารู้ ของ “มุน แจ อิน” ประธานาธิบดีคนใหม่เกาหลีใต้





    10 เรื่องน่ารู้ ของ “มุน แจ อิน” ประธานาธิบดีคนใหม่เกาหลีใต้


    เรื่องรอบตัวที่น้องๆ ควรรู้กันสักหน่อย อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวแล้วไม่สนใจนะคะ เพราะเรื่องนี้ต้องอยู่ในวิชาสังคม ประวัติศาสตร์แน่นอน สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ ผู้ที่ได้ก็คือ นาย Moon Jae-In  (มุน แจ อิน) วัย 64 ปี  ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเขายังเป็นอดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน พรรคมินจู ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ถึงปี พ.ศ. 2559 วันนี้ทีนเอ็มไทยเลยขอนำประวัติและเรื่องน่ารู้ของนาย มุน แจ อิน มาฝากกัน

    10 เรื่องน่ารู้ ของ “มุน แจ อิน”
    ประธานาธิบดีคนใหม่เกาหลีใต้

    1. มุน แจ-อิน เกิดวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2496 ที่คอเจ ประเทศเกาหลีใต้ เป็นบุตรชายคนแรกของมุน ยง-ฮย็อง (บิดา) และ คัง ฮัน-อ๊ก (มารดา) มีพี่น้องทั้งหมดห้าคน
    2.บิดาของเขาเป็นผู้ลี้ภัยจากจังหวัดฮัมคย็องใต้ โดยบิดาของมุนหลบหนีออกมาจากเมืองเกิด ฮัมฮึง ระหว่างการล่าถอยฮัมฮึง บิดาของเขามาตั้งรกรากที่เมืองคอเจ โดยเป็นแรงงานที่ค่ายนักโทษสงครามคอเจ และในที่สุดแล้วครอบครัวของเขาก็ได้มาตั้งรกรากกันที่ปูซาน

    3.มุน แจ-อิน เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมคย็องนัม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่ตั้งอยู่นอกโซล ต่อมาเขาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคย็องฮี ในสาขากฎหมาย โดยเขาถูกจับกุมและขับไล่ออกจากมหาวิทยาลัย ซึ่งในข้อหาที่เขาเป็นผู้จัดการนักศึกษาเพื่อประท้วงต่อต้านรัฐธรรมนูญยูซิน

    4. เขาถูกบังคับให้เข้าระดมพลในกองทัพ และถูกเกณฑ์เข้าไปอยู่ในหน่วยรบพิเศษ ที่ซึ่งเขาเข้ามีส่วนร่วมในปฏิบัติการทางทหารระหว่างเหตุการณ์การฆาตกรรมโดยใช้ขวาน




    Moon Jae-in  (คนขวา)


    5. ภายหลังปลดประจำการ เขาสำเร็จการศึกษาเป็นเนติบัณฑิต และได้รับการตอบรับเข้าสู่สถาบันวิจัยทางตุลาการ และฝึกอบรม โดยเขาได้รับคะแนนสูงสุดเป็นลำดับสองในรุ่น
    6. แม้ว่าเขาจะทำคะแนนได้อย่างดีเยี่ยมในการอบรม แต่เขาไม่ได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นผู้พิพากษา เนื่องจากเขาเคยเป็นผู้จัดการการประท้วงของนักศึกษา และเขาได้เลือกที่จะเป็นทนายความแทน
    7. เมื่อมุน แจ-อิน เป็นทนายความ เขาเป็นหุ่นส่วนและทำงานร่วมกับ โน มู-ฮย็อน พวกเขาเป็นเพื่อนกันจนกระทั่งการถึงแก่อสัญกรรมของโน ในปี พ.ศ. 2552 ระหว่างทำงานร่วมกันโน เขาได้ทำคดีเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง เขาเป็นสมาชิกของมินบย็อน (กลุ่มทนายความเพื่อสังคมประชาธิปไตย) และประธานกลุ่มสิทธิมุษยชนที่เนติบัณฑิตยสภาปูซาน
    8. มุน แจ-อิน เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้า ฮันคยอเร ในปี 2531
    9. มุน แจ-อิน เริ่มต้นทำงานเกี่ยวกับการเมือง โดยเขาตีพิมพ์หนังสือบันทึกความทรงจำของเขามีชื่อว่า มุน แจ-อิน: พรหมลิขิต ซึ่งได้กลายเป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง ต่อมาความนิยมของเขาเพิ่มขึ้นอย่างเรื่อยๆ ในการต่อสู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับ พัก กึน-ฮเย ในช่วงต้นปี 2555 มุนเสนอตัวเขาชิงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาและดำเนินการหาเสียงทางตะวันตกของปูซาน และเขายังลงรับสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี ก่อนจะพ่ายแพ้ให้แก่ พัก กึน-ฮเย บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดี พัก ช็อง-ฮี

    10.มุน แจ-อิน สมรสแล้วและมีบุตรสาวหนึ่งคนและบุตรชายหนึ่งคน เขานับถือเป็นโรมันคาทอลิก

    ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, ภาพ Reuters


    วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

    ลัทธิประชาธิปไตย ว่าด้วย เรื่อง รัฐธรรมนูญ(Constitution)


    ลัทธิประชาธิปไตย ว่าด้วย เรื่อง รัฐธรรมนูญ(Constitution)

    รัฐธรรมนูญสร้างระบอบประชาธิปไตยไม่ได้
    ผมไปค้นในแฟ้มเก่าๆ พบข้อเสนอทางการเมืองเก่าๆของนักวิชาการ นักการเมืองเก่าๆแล้วลองมาเปรียบเทียบกับข้อเสนอของนักการเมือง นักวิชาการในปัจจุบัน เหมือนกันถึงแม้จะเก่าก็ทันสมัย ตัวอย่างเช่น
    ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ เขียนไว้ในคอลัมน์ “เทศกาลบ้านเมือง” ในหนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” ฉบับวันที่ 11กรกฎาคม 2521 ว่า
    “...คนไทยเราเข้าใจคำว่ารัฐธรรมนูญผิดหมดเพราะคำว่า “รัฐธรรมนูญ” นั้น คณะราษฎรท่านนำมาใช้เมื่อหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แล้ว คณะราษฎรท่านเชื่อว่า ท่านจะใช้รัฐธรรมนูญสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาได้ ซึ่งความคิดเช่นนี้ก็ได้สร้างความล้มเหลวในทางการเมืองตลอดมา อย่างที่เห็นกันแม้จนทุกวันนี้...คนไทยเรา ด้วยการปลูกฝังของคณะราษฎรทำให้เชื่อมั่นว่า “รัฐธรรมนูญ” เป็นของคู่กับประชาธิปไตย และเชื่อว่าเราสามารถสร้าง “ประชาธิปไตย” ด้วยการเขียน “รัฐธรรมนูญ”
    ฉะนั้น เมื่อประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งล้มเหลวในทางการเมืองตลอดมา อย่างที่เห็นกันแม้จนทุกวันนี้....คนไทยเราด้วยการปลูกฝังของคณะราษฎรทำให้ เชื่อมั่นว่า “รัฐธรรมนูญ” เป็นของคู่กับประชาธิปไตย และเชื่อว่าเราสามารถสร้าง “ประชาธิปไตย” ด้วยการเขียน “รัฐธรรมนูญ “
    ฉะนั้น เมื่อประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งล้มเหลว ก็ “ฉีก” รัฐธรรมนูญฉบับนั้นทิ้งเสียแล้วก็มานั่ง “ร่าง” รัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตยกันใหม่ พอร่างเสร็จ พิจารณาเสร็จ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็โล่งอกโล่งใจ นึกว่าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว เพราะมีรัฐธรรมนูญ แต่ต่อมาประชาธิปไตยก็ล้มเหลวอีก ก็ต้อง “ฉีก” รัฐธรรมนูญเพื่อ “ร่างรัฐธรรมนูญสร้างประชาธิปไตยกันใหม่” ทำวนเวียนกันอยู่อย่างนี้จนชาวบ้านชาวเมืองเบื่อ “รัฐธรรมนูญ” และ “ประชาธิปไตย” กันหมดแล้ว ผมว่าทั้งคนฉีกและคนร่างรัฐธรรมนูญต่างฝ่ายต่างเข้าใจความหมายของ “รัฐธรรมนูญ” และ “ประชาธิปไตย” ผิดด้วยกันทั้งคู่....ปัญหามีอยู่ว่าทุกวันนี้เราตัดสินใจกันหรือยังว่าเรา เป็นประชาธิปไตยกันโดยแน่แท้ ถ้าเรามั่นใจในเรื่องนี้แล้ว เราก็ลงมือเป็นประชาธิปไตยกันได้เลย แล้วเราจะมีรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องมาเสียเวลานั่งลับเดือยเพื่อโต้คารมในสภานิติบัญญัติฯ เรื่องร่างรัฐธรรมนูญกันอีก... ”
    (นี่คือข้อเขียนของดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ เขียนไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2521 ถึงปัจจุบัน ปี 2559 รวมเวลา 38 ปียังทันสมัยสถานการณ์การเมืองของไทยยังล้มลุคลุกคลานอยู่กับวงจรอุบาทว์ คือเลือกตั้ง – รัฐประหาร –เลือกตั้ง – รัฐประหาร ---- ตลอดมามีบ้างช่วงประชาชนมีการล้มหายตายจากวงจรอุบาทว์นี้ มากบ้าง น้อยบ้าง )


    เครดิต : ครูทองคำ วิรัตน์
    edit:thongkrm_virut@yahoo.com