วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

“ วิ่งไล่ลุง “ กระหื่มแล้ว..5 มค.เริ่มที่แอลเอ 12 ม.ค. กทม., พัทยา, เชียงใหม่และที่อื่นๆ

“ วิ่งไล่ลุง “ กระหื่มแล้ว..5 มค.เริ่มที่แอลเอ  12 ม.ค. กทม.พัทยาเชียงใหม่และที่อื่นๆ
คอยติดตามเวลาและสถานที่ตามสื่อต่างๆหรือในกลุ่มของตนนะครับ...


 De5ccPB.jpg]





































ก็รับคำท้าให้ออกไปวิ่งกับคุณจอห์น วิญญู ด้วย...
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ทวิตเตอร์พร้อมแท็กบุคคลที่มีชื่อเสียง คน ให้มาร่วมงาน "วิ่งไล่ลุง" ในวันที่ 12 ม.ค. 63 นี้ หลังได้รับคำท้าจาก จอห์น วิญญู โดยระบุว่า "กฎของเกมนี้ไม่มีอะไรมาก ใครเห็นทวีตนี้ของผม ต้องชวนเพื่อนๆ อีก คน ต่อๆ ไปด้วย  // เอาไงดีครับ? 12 มกราคมนี้ ไปร่วม #วิ่งไล่ลุง กันมั้ย? " พร้อมกับแท็กรายชื่อกลุ่มคนดังจำนวน 5 คน

งานนี้...คนที่จะร้อน จะหนาวก็คือคนที่ได้ทำกรรมไว้ให้กับประเทศ สร้างความร้าวฉานและความรู้สึกต่อต้านให้กับประชาชน...
สำหรับคนที่จะออกมาแสดงอารมณ์ร่วมก็คือประชาชนที่เขาทนไม่ไหวกับสิ่งที่รัฐบาลนี้ได้กระทำย่ำยีหัวใจพวกเขา...สิ่งที่เขาจะแสดงออกได้ในตอนนี้ก็คือออกไปวิ่งไล่..ไปออกกำลังไล่.. ไปปั่นไล่...ไปเดินไล่..หรือจัดกลุ่มหมู่คณะไปเรียกร้องอะไรก็ได้ฯลฯ
เสร็จจากงาน ”วิ่งไล่ลุง” สิ่งจะทำได้อย่างต่อเนื่องก็คือการ “อารยะขัดขืน “
ลองนึกดูซิว่าอะไรจะเกิดขึ้นภายใน 1 วัน..ถ้าทำพร้อมๆกัน....
-เราไม่ออกบ้านไปไหนนอกจากจำเป็นจริงๆถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายต้องไปหาหมอ
-ไม่ใช้รถใช้ถนนออกบ้านไปไหน
-ไม่ไปเข้าห้าง เดินห้าง
-ลาหยุดงาน
-ฯลฯ
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่พวกเราจะทำได้และไม่ผิดกฎหมายอะไรแด่ผลกระทบกับรัฐบาลเผด็จการมันจะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงแน่ๆ...
นัดกันซิครับ..ว่าจะเอาแบบไหน..อย่างไร..
เผด็จการจงพินาศ  ประชาธิปไตยจงเจริญ
ป.ล. รูปโลโก้นี้สามารถนำไปใช้กับแผ่นป้ายหรือเสื้อยืดได้เลยนะครับ

http://nanasara.org/forum/showthread.php?tid=10160
 80427484_513727769236194_190048021624599...e=5E6AF60C]




วิ่งไล่ลุง วิ่งไล่ใคร

วิ่งไล่พวกมันเผด็จการ

RED USA หัวเรือใหญ่ผู้จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงในแคลิฟอร์เนีย

ให้สัมภาษณ์ จอม เพชรประดับ Sunai TV และ Sunai FC เมื่อบ่ายวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2019 ว่ากิจกรรมวิ่งไล่ลุงจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2020 เริ่มตั้งแต่เวลา 10 โมงเช้า ที่ SEQUOIA Park, เมือง Monterey Park, California
แบนเนอร์ขนาด 8 ฟุต x 8 ฟุตเด่นสะดุดตาด้วยข้อความ “วิ่งไล่ลุง” เป็นจุดปล่อยตัวให้ออกวิ่งไล่ ส่วนที่เส้นชัยจะมีแบนเนอร์ขนาด 4 ฟุต x 8 ฟุตมีภาพบุคคลบางคนบนแบนเนอร์คาดด้วยข้อความ “finished” ระหว่างเส้นทางวิ่งระรานตาไปด้วยแบนเนอร์ขนาด 2 ฟุต x 4 ฟุตหลายสิบแผ่นพร้อมข้อความจิ๊ดจ๊าดจัดจ้านสะใจผู้อ่าน
จอม เพชรประดับถามว่ากิจกรรมวิ่งไล่ลุงมีจุดมุ่งหมายอะไร ตัวแทนของ RED USA ตอบว่ามีเป้าหมายวิ่งไล่เผด็จการทั้งแผง ขณะเดียวกันก็ให้การสนับสนุนกิจกรรมวิ่งไล่ลุงของนักศึกษาที่เมืองไทยด้วย เพื่อบอกสังคมว่าคนไทยในต่างแดนจะไม่ปล่อยให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ต่อสู้โดยลำพัง
คำถามยังมีอีกหลายประเด็นเช่นใครอยู่เบื้องหลัง ใครเป็นสปอนเซอร์ กลัวไหม

คิดว่าที่เมืองไทยคนยังกลัวประยุทธ์ไหม จะมีคนมาวิ่งไล่ลุงมากไหม และอีกบางมุมมองของคพถาม ติดตามรายละเอียดของการสัมภาษณ์ได้ที่เพจของจอม เพชรประดับ Sunai TV และ Sunai FC
 80251155_2861860490499198_44382494622838...e=5E706EA5]


No photo description available.



 text
ขอบคุณข้อมูลและภาพ : ประชาทอล์ค



ขอบคุณข้อมูลและภาพ : ประชาทอล์ค

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ขาดคุณสมบัติ! "ธรรมนัส" สั่งรื้อฟาร์มไก่ปารีณารุกที่ สปก.

ขาดคุณสมบัติ! "ธรรมนัส" สั่งรื้อฟาร์มไก่ปารีณารุกที่ สปก.




ขาดคุณสมบัติ! "ธรรมนัส" สั่งรื้อฟาร์มไก่ปารีณารุกที่ สปก.

18 พฤศจิกายน 2562
Thai PBS

"ธรรมนัส" ชี้แล้ว "ปารีณา" ขาดคุณสมบัติไม่เข้าข่ายได้สิทธิเช่าที่ดินสปก. 1,706 ไร่ ในพื้นที่ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ด้านเลขาฯ สปก.ระบุปักป้ายคนนอกห้ามเข้าใช้พื้นที่เขาสนฟาร์มแล้ว ส่วนกรมป่าไม้ เร่งสแกนพื้นที่ทับซ้อน เพื่อรื้อจัดการที่ดินรอบใหม่

วันนี้ (18 พ.ย.2562) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีฟาร์มไก่เขาสนฟาร์ม ของน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เนื้อที่ 1,706 ไร่ บริเวณหมู่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ที่พบว่าอยู่ในที่กินปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) และป่าสงวนแห่งชาติ จ.ราชบุรี

ล่าสุด นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสปก. รายงานว่าได้ให้ปฏิรูปที่ดินจ.ราชบุรี เข้าไปติดป้ายหน้าพื้นที่ฟาร์มไก่ว่าเป็นพื้นที่ของ ส.ป.ก.คนภายนอกห้ามเข้า เพื่อตรวจสอบโดยด่วน นอกจากนี้ยังมอบหมายให้ตรวจสอบที่ดินอีกกว่า 600 ไร่ใน อ.สวนผึ้ง ที่มีกระแสข่าวว่าเป็นของครอบครัว น.ส.ปารีณา โดยทราบว่า น.ส.ปารีณา มาเข้าพบนายวิณะโรจน์ 
 
“สั่งการให้เลขาฯ สปก.ตรวจสอบและให้เกิดความชัดเจน แม้ว่านักการเมืองจะอยู่พรรคเดียวกัน ต้องไม่ล่าช้า โดยสั่งเป็นนโยบายชัดเจนว่าทุกคนทำตามกฎหมาย มาตรฐานเดียวกัน”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง กางแผนที่ตรวจสอบที่ดิน สปก. "ปารีณา"



ขาดคุณสมบัติเช่าพื้นที่สปก.

รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันให้ประสานงานกรมป่าไม้ วางแนวทางทำ งานร่วมกัน เนื่องจากที่ดินฟาร์มไก่ มีทั้งที่ดินในส่วนของกรมป่าไม้ และที่ สปก.ส่วนกรณี น.ส.ปารีณา จะขอเช่าพื้นที่ สปก.ต่อ ยังไม่ทราบ แต่ไม่น่าจะเช่าได้ เพราะไม่มีข้อกฎหมาย การเช่าที่ดินสปก.เรื่องแรกเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกิน และต้องทำเกษตรกรรม กรณี น.ส.ปารีณา อ้างเสียภาษีบำรุงท้องที่ หรือ ภบท.5 ก็ไม่เกี่ยวกัน

นอกจากนี้ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวถึงกระแสข่าวนักการเมืองมีการถือครองพื้นที่สปก.ว่า สั่งเลขาฯสปก.ให้ตรวจสอบทั้งหมด ซึ่งได้ประชุมคอนเฟอร์เรนท์ทั่วประเทศ ให้รายงานขึ้นมาว่าจัดสรรที่ดินให้เกษตรกร เท่าไหร่ แปลงใหญ่แปลงเล็กต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่แล้ว

สปก.ป่าไม้สแกนที่ดินทั้งหมด

ส่วนนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ได้เข้าหารือกับเลขาฯ สปก.เพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาที่ดิน สปก.ที่ทับซ้อนกันทั่วประเทศ ทั้งในส่วนของกรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ และสปก.โดยหลังจากนี้จะกางแผนที่และสแกนทั่วประเทศ ดูขอบเขตในรายแปลง แต่ละจังหวัดทำขอบเขตให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด จากนั้นจะนำเข้าคณะกรรมการนโยบายที่ดิน (คทช.) กำหนดว่าจะจัดการทีดินที่ทับซ้อนกันอย่างไร

“กรณีที่ดินของ น.ส.ปารีณา ทางสปก.ต้องตรวจสอบขอบเขตแต่ละแปลงให้ชัดเจนก่อน มีบางส่วนที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งทำงานร่วมกันอยู่แล้ว เขาสามารถรื้อได้ทันที ถ้าชัดเจนว่าผิด ”


วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Hun Sen learns how to fake democracy

Hun Sen learns how to fake democracy

Prime Minister Prayut Chan-o-cha, right, and his Cambodian counterpart Hun Sen address a press conference together in Bangkok in December 2015 .  (Photo by Thiti Wannamontha)
Prime Minister Prayut Chan-o-cha, right, and his Cambodian counterpart Hun Sen address a press conference together in Bangkok in December 2015 .  (Photo by Thiti Wannamontha)
Cambodia may avoid trade sanctions from the EU and US if its government has learnt the art of faking a return to democracy and rule of law from Thailand, which has done its neighbour a huge favour by barring entry to its exiled opposition leaders.
In fact, Thailand is the only "democratic" country in the region that bowed to the request of Prime Minister Hun Sen's government.
Indonesia and Malaysia ignored the demand not to let Cambodian dissidents land, even letting some enter and stay. But that does not seem to have made Thailand a bad guy in the eyes of the West.
"I also came to power through elections," Prime Minister Gen Prayut Chan-o-cha, the 2014 coup-maker, boasted to locals during his recent trip to Ratchaburi province.
Without a doubt, his government must have delivered the same message to western nations, who have bought it -- or perhaps faked their acceptance -- out of relief that the political mess in Thailand seems back to tolerable levels.
That indicates Prime Minister Hun Sen could have softened his crackdown on the opposition Cambodia National Rescue Party (CNRP), which has been so ruthless and rigorous that the West has threatened penalties over the past few years.
Here in Thailand, we cannot lie to ourselves that the political climate is any prettier. It just looks less ugly from the outside.
Suppression of the opposition to the previous and current regimes here has been as worrying as that in Cambodia, except that it is done in a more gradual and subtle way, and the West seems to feel comfortable enough with us.
Looking at the bigger picture, the ruling regimes in both countries have applied similar tactics against their political rivals.
First, they invented a string of new legislation (which, in the case of Thailand, includes a new constitution) and exploited existing laws to help facilitate their political purge and justify their path to power.
Next, they applied the legislation and cited "the rule of law" to justify their actions. All of this was done with the support of certain state organisations in which their influence was already embedded -- in Thailand, through the appointment of their leaders.
Then, there were concerted efforts by individuals and state agencies to exploit "the justice process" so as to have the opposition parties dissolved and their members banned from politics. All of this was and is being done in the name of law.
Prior to Cambodia's general election last year, the country's Supreme Court disbanded the CNRP and banned its senior members from politics for five years. CNRP president Kem Sokha also faces treason charges, which stemmed merely from his stating that he had received political advice from the US.
That has made Cambodia a de facto one-party state. By any legitimate standards, it is no longer a democracy.
Shocked by widespread arrests of CNRP supporters and charges against their leaders, the West finally lost patience and called for a restoration of their political rights.
Thailand had also been a de facto one-party state since the 2014 coup, until the general election in March this year.
The polls could have marked a transition to genuine democratic rule, but the Election Commission instead concocted a much-criticised interpretation of the election law that eventually resulted in party-list MP seats being given undeserved to a bunch of small parties.
That decision helped give the current coalition parties a thin majority in parliament.
Coupled with a new rule under the charter that allows appointed senators to vote for a prime minister, the parties managed to form a government when they should have been in the opposition camp.
Some called it "hybrid-democracy". Others may brand it "hybrid-dictatorship". Like it or not, it is something the international community can swallow.
It also demonstrates the regime's culture of yoo pen, loosely translated as the willingness to compromise and adapt in order to survive or be accepted as part of a community or a group.
Recently, the opposition Future Forward Party (FFP) announced its plan to launch a campaign based on the opposite principle, yoo mai pen, this Saturday to demonstrate its more principled stance.
With such an unforgiving stance, it's no wonder the FFP has become a target of political bullying by the current regime, in an echo of what happened to the CNRP in Cambodia.
The FFP and its executives have become targets of a string of lawsuits and formal complaints based on flimsy grounds. Observers and media outlets have come out to predict the "fate" of the party and its leaders, with the former threatened with dissolution and the latter a ban from politics. Under a genuine democracy where the rule of law is respected, these accusations would never have got this far.
Luckily, western governments seem to be okay with our political mess. Thailand has not been pressured with threats of trade or diplomatic sanctions, and for that we can thank our hybrid-democracy (or hybrid-dictatorship). But for Thais who stand up for principles, there is nothing much to be proud of.
While Cambodia's political repression has brought the threat of being removed from the US Generalised System of Preferences (GSP), which lifts tariffs and quotas on its exports, Thailand faces a similar fate but for a different reason -- US concerns about workers' rights.
The European Union is also considering whether to withdraw preferential trade status for Cambodia due to its democratic rollback, but Thailand has escaped any such pressure.
In a world where the West is also yoo pen -- knowing where the bigger problems are and dealing with them, while turning a blind eye to less serious issues -- Cambodia loses and Thailand wins.
Prime Minister Hun Sen over the weekend made a decision to ease restrictions attached to the house arrest of senior opposition member Kem Sokha. That may demonstrate the strongman's willingness to compromise, but he will have to do much more in order to win back support or acceptance from the West. And he can turn to Gen Prayut for advice on the art of faking a return to democracy.
ขอขอบคุณข้อมูล
SURASAK GLAHAN
DEPUTY OP-ED EDITOR
Surasak Glahan is deputy op-ed editor of the Bangkok Post.

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2562

14 ตุลาคม 2516

14 ตุลาคม 2516: รัฐบาลทหารใช้กำลังสลายผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย แต่สุดท้ายสิ้นอำนาจรัฐบาลเผด็จการ





ภาพเหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516, AFP PHOTO

การจับกุมตัวบุคคลกลุ่มดังกล่าวทำให้
เกิดการประท้วงเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วขยายสู่ถนนราชดำเนินซึ่งคาดกันว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมกว่าครึ่งล้าน โดยในคืนวันที่ 13 รัฐบาลได้ให้สัญญาว่าจะทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม และยอมปล่อย 13 ขบถรัฐธรรมนูญ รวมทั้งจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งปี แต่หลังจากเจรจากลุ่มนักศึกษายังคงชุมนุมต่อไปอีกหนึ่งคืน และบางส่วนได้เข้ายึดกรมประชาสัมพันธ์เพื่อใช้ระบบวิทยุกระจายเสียงของรัฐ4การชุมนุมครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2516 เกิดขึ้นด้วยความไม่พอใจต่อรัฐบาลเผด็จการจากเหตุสะสมต่างๆ หลายประการ อันสืบเนื่องจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยเฉพาะการควบคุมตัวกลุ่มบุคคล 13 คน (หรือที่รู้จักกันในชื่อ “13 ขบฏรัฐธรรมนูญ”) ที่บางส่วนออกมาแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม
วันที่ 14 ตุลาคม ก่อนเวลาเที่ยงไม่นาน รัฐบาลที่เคยรับปากจะทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมได้ตัดสินใจใช้กำลังสลายฝูงชนจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 77 ราย และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน อ้างว่า เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และอธิปไตยของชาติ หลังผู้ชุมนุมพยายามบุกยึดสถานที่ราชการด้วยอาวุธปืนที่บุก “ปล้น” มาก่อนหน้านั้น
หลังเกิดเหตุรุนแรง จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และอดีตประธานศาลฎีกา ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระราชดำรัสทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทรงขอให้ประชาชนชาวไทยร่วมมือกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว หลังการออกอากาศของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจได้ราวหนึ่งชั่วโมง ทหารได้เปิดฉากยิงขึ้นอีกครั้งหลังนักศึกษาพยายามใช้รถโดยสารเข้าพุ่งชนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งพยานผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 1 ราย จากนั้นจึงมีการประกาศกฎอัยการศึก เริ่มต้นในเวลา 22 นาฬิกา แต่ทั้งทหาร และตำรวจก็มิได้ใช้ความพยายามในการสลายการชุมนุมของประชาชนแต่อย่างใด
หนึ่งในเหตุการณ์บนถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2516, AFP PHOTO / STF
หนึ่งในเหตุการณ์บนถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2516, AFP PHOTO / STF
นักศึกษาหลายรายกล่าวว่า พวกเขาได้ยินพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้ว แต่ไม่เชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล พวกเขาจึงยังคงชุมนุมต่อไป จนกว่าจะแน่ใจว่า จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร (รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) จะพ้นจากอำนาจจริงๆ จนกระทั่งวันที่ 15 ตุลาคม จึงได้มีการประกาศว่า “3 ทรราช” (ถนอม, ประภาส และณรงค์ กิตติขจร บุตรชายถนอม) จากรัฐบาลชุดเดิมได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว เหตุการณ์จึงคลี่คลายลง
อ้างอิง:

  1. “New Thai Premier Named As Students Battle Troops”. The New York Times. <http://www.nytimes.com/1973/10/15/archives/new-thai-premier-named-as-students-battle-troops-student-rioting.html?_r=0>
  2. “Students Gain Control in Thai Uprising”. The New York Times. <http://www.nytimes.com/1973/10/16/archives/students-gain-control-in-thai-uprising-bangkok-students-gain.html>