วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

“พิน็อคคิโอตู่” ประกาศอีกแล้ว! “เดือนกุมภา ปี62 เลือกตั้งแน่นอน!” วอนเลิกถามซักท

“พิน็อคคิโอตู่” ประกาศอีกแล้ว! “เดือนกุมภา ปี62 เลือกตั้งแน่นอน!” วอนเลิกถามซักท

          (เป็นหลักฐาน เรื่อง เลือนเลือกตั้ง ครั้งล่าสุดของ "ยุทธืน๊อกคิโอ")
อ่านกลอนสุจิตต์ วงษ์เทศ : โกหกยาว
อยากอยู่ยาวยิ่งจมูกยาว
แต่ละคราวโกหกยิ่งยาวใหญ่
เลือกตั้งเคลื่อนจมูกครากลากยาวไกล
ประจานไปถึงดาวจันทร์อังคาร

***********************************
 “บิ๊กตู่” ประกาศแล้ว! “เดือนกุมภา ปี62 เลือกตั้งแน่นอน!” วอนเลิกถามซักที (คลิป)

เมื่อเวลา 14.10 น.ที่ทำเนียบฯ หลังประชุม ครม. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคสช.ระบุหลังพ.ร.บ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส และที่มา สว. ผ่านความเห็นชอบและนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อลงพระปรมาธิไธยและประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา จะอยู่ในราวเดือนมิถุนายนนี้ จากนั้นตนจะได้เรียกแม่น้ำ5สาย และพรรคการเมืองเพื่อหารือ กำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งจะมีขึ้นไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้ง จะอยู่ในห้วงเวลานี้ แต่ทั้งนี้อยู่ในสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนั้นด้วย
“ขอร้องให้เลิกถามเรื่องนี้ได้แล้ว รวมถึงเรื่อง กกต.ด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว


ขอคุณข้อมูล : ข่าวสด

ดารา ณ.ศิษย์เมือก ! ไม่ได้ซ้ำเติมลองอ่านดู

ดารา ณ.ศิษย์เมือก ! ไม่ได้ซ้ำเติมลองอ่านดู

อดีตอันยิ่งใหญ่ แต่ปัจจุบัน
ตามไปอ่านเอาเอง


 

ลูกศิษย์ จักร 5ใบ และรูปนี้คือปัญหาของมัน ถ้ายังจำกันได้ 
+
9
นายหนหวย
นายหนหวย
03 ก.พ. 2018 - 15:31
คอยดูเหอะยังมีอีกหลายตัวที่ต้องรับกรรมนี่ก็อีกเหมือนกัน
ขอขอบคุณข้อมูจาก : Khaosod.co.th
edit : suriya mardeegun

วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประเมินความเห็นของฝ่ายต่างๆโดยเฉพาะฝ่ายติ่ง คสช. หลังจาก"ยุทธ์น๊อกคิโอ"เคาะกะลา เลือกตั้งไม่เกิน ก.พ.62

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 28, 2561

เลือกตั้งแน่นะ แต่เอ๊ะไหงมีผู้พิพากษา 'กินป่า' กันเหรอ เขาถึงได้เคมเปญ 'ทวงคืน'

โอเค เป็นอันกล้าพูดแล้วนะว่าจะเลือกตั้งกุมภา ๖๒ แต่จะให้คุณค่าแก่คำพูดของตัวเองแค่ไหน คอยดูกันไปอีกนิด ว่าจะเป็นพิน็อคคิโออย่างเดิมไหม

ประยุทธ์พูดว่าจะปลดล็อคพรรคการเมืองหลังกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. และแต่งตั้ง สว. ประกาศใช้ในเดือนมิถุนานี้ แล้วจะเรียกประชุมแม่น้ำ ๕ สาย กับบรรดาพรรคการเมือง (เพื่อกำชับว่าทำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง) ก่อน เท่ากับพรรคการเมืองมีเวลาหาเสียงกันราว ๖ เดือน

แต่ “ต้องดูสถานการณ์บ้านเมืองว่าปลดล็อคแล้วจะเกิดอะไรขึ้น” อีกที

อันนี้ไม่แน่ใจเขายังห่วงอะไรกัน ไอ้  สถานการณ์’ นั่นถ้าเป็นความรุนแรง ก่อการร้าย บึ้มโน่นบึ้มนี่ แม้ขณะนี้ที่ว่า คสช. เอาอยู่แล้ว เสื้อแดง ราบคาบหมด ก็ยังมีบึ้มอยู่ไม่ขาด ทั้งนราธิวาส ยะลา แสดงว่าไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย มากไปกว่าจะดูว่าเปิดหาเสียงแล้ว คสช. ได้เปรียบเสียเปรียบแค่ไหน ต่างหาก

'สมชาย แสวงการ' ตำแหน่งเลขานุการวิป สนช. (ศักยะประมาณขนหน้าแข้ง คสช.) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า “มั่นใจจะจัดเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้ประมาณ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๒”

เนื่องจากรอให้พรรคการเมืองที่ตั้งใหม่ๆ จะพรรคสุเทือกหรือพรรคนิติตะวันก็ตาม จดทะเบียนกันในเดือนมีนาคมนี้ และจะยินดีให้พรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ประโคมหาเสียงกัน หลังจากที่มีการเลือกตั้งท้องถิ่นแล้วในราวเดือนมิถุนาถึงสิงหา (๖๑) เพื่อประเมินสถานการณ์เสียก่อน

ข้อสำคัญ นายสมชายว่า “ยังไม่สามารถปลดล็อกพรรคการเมืองได้ เพราะเกรงว่าจะเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งรอบใหม่ โดยเฉพาะความขัดแย้งในกลุ่มพรรคการเมืองที่มีจุดยืนสนับสนุนแนวคิดระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ซึ่งเป็นปัญหาเดิมๆ”


บร๊ะ พูดยังกะเขาตั้งหน้าจะตีกันอีก ถ้าหมายถึงเสื้อแดงฮ้าร์ดคอร์ที่ยังเป็นอิสระกันอยู่นอกเขตแดนละก็ พวกนั้นเขาขอบใจที่ให้สรรพคุณล้นแก้ว โกตี๋ก็เก็บไปแล้ว ไม่เห็นจะต้องจะเก็บใครอีก

ลุงสนามหลวงเหรอ ดูเหมือนรายนี้ใช้ยุทธวิธีมวลชน ไม่เลือกตั้งในกติกา คสช.’  แต่จะทดสอบพลังจากการเลือกตั้งท้องถิ่นว่าประชาชนพร้อมขนาดไหน ถ้าหากทัดทานพลังโหมลงพื้นที่ ปูพรม’ โดย กอ.รมน. และฝ่ายปกครองได้ละก็ เลือกตั้งใหญ่อาจเอาด้วยมั้ง

ฉะนั้น ฝ่ายที่หัวเด็ดตีนขาดไม่เอา คสช. เขาก็มาทางสงบด้วยเหมือนกันนี่ แม้นว่าไม่เอาสงบราบเรียบแบบ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ว่า “ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยแล้วจะไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายหรือความขัดแย้งในบ้านเมืองอีก”

กับต้องเดินตามพิมพ์เขียวในหน้าที่ ที่มีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พร้อมทั้ง “ยืนหยัด ยืนยัน ที่จะปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ด้วย


ใครจะว่า เกี๊ยเซี้ย-จูบปาก ตะหาน คสช. ไม่ยั่น ถ้าเพื่อไทยพร้อมจะมาอยู่ในอ้อมอกหญิงหน่อยละก็ฟันธง ไม่ยิ่งหย่อนกว่า ปชป. แน่

ขานั้นออกมาชัดเจนแล้วนิ “พรรคประชาธิปัตย์จะร่วมกับพรรคของนายสุเทพ (เทือกสุบรรณ) จัดตั้งรัฐบาลเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่นั้น ตนย้ำว่าสุดท้ายอยู่ที่ผลการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดแบะท่าอ้าซ่าพร้อมจะกลับไป ราบ ๑๑


ส่วน ลุงกำนัน’ ที่เป็นข่าวมาหลายอาทิตย์ว่าตั้งแน่พรรคลิ่วล้อทหาร (เห็นว้อยซ์ทีวีบอกว่าเพิ่งออกมาแก้ตัว “ไม่ได้พูด”) ก็โดนลุงตูบห้ามทัพแล้วให้ “ช้าก่อน” ขอบคุณที่จะตั้งพรรคหนุน มีมากมายหลายคนอยากหนุนเหมือนกัน

“หนุนแล้วจะได้เป็นมั้ย หวั่นยิ่งขัดแย้ง ขอให้พอได้แล้ว” (สรุปที่ประยุทธ์พูดสั้นๆ ตามสำนวน Wassana Nanuam)

แก่นกลางหัวใจของเรื่องอยู่ที่ ถ้ามีเลือกตั้งแน่อย่างที่ประยุทธ์โพล่งออกมาจริง นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ (ม.รังสิต) อย่าง ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ เค้าว่าจะเกิด “ผลบวกต่อภาคการลงทุน
โดยเฉพาะตลาดหุ้นน่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าได้อีก นอกจากนี้ยังจะส่งผลดีต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รอดูความชัดเจนในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตย ความน่าสนใจของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะเพิ่มขึ้น”


แต่หากเป็นปาหี่อีก เศรษฐกิจจะยิ่งกลับมาพับเพียบหนักกว่าเดิม “คสช. ไม่สามารถทำได้ตามที่ประกาศเอาไว้ หรือมีการเลื่อนการเลือกตั้งอีก คาดว่าผลกระทบทางลบต่อภาคการลงทุนจะรุนแรงมากกว่าก่อนหน้านี้”

ดร.อนุสรณ์เตือนพร้อมกับตั้งข้อกังขาว่า “การให้สัญญาในวันนี้ก็จะเป็นเพียงเทคนิคในการลดแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศและแรงกดดันจากประชาคมโลก”

ปัญหาก็คือจากวันนี้ถึงวันนั้น ปีกว่าๆ มะเร็งร้ายของสังคมประชาธิปไตย ในยุคอำนาจนิยม คสช. นี่มันกินกร่อนไม่หยุดหย่อน

ไหนจะคอรัปชั่นโตวันโตคืน อย่างที่ Somchet Mhin Jearanaisilpa โพสต์ว่าสมัยก่อนเขาเรียกค่าหัวคิวในวงการก่อสร้างที่ ๕ เปอร์เซ็นต์ “แต่สมัยนี้ เรียกกัน ๒๐แบบเอาเงินสดๆมาก่อนเลย
 
ซ้ำร้าย “ขนาดประมูล e-Auction ที่เริ่มทำสมัยนายกคนไหนก็ไม่รู้ ที่ต้องการจะให้มีการประมูลแบบโปร่งใส มาสมัยนี้คนประมูลก็สามารถจ่ายเงินซื้อเพื่อดูข้อมูลของคู่แข่งได้ บางคนจ่ายเงิน ๒ ล้าน แต่ประมูลไม่ได้ก็เสียเงินค่าดูฟรีๆ เรียกว่าหากินกันง่ายๆ เลย

ไหนจะระบบยุติธรรมเน่าเฟะ เศรษฐีบุกรุกป่ายิงสัตว์สงวนกำลังจะหลุดข้อหาทีละเปลาะ แต่คนที่ปูด (หรือ ‘whistle blower’) กลับจะโดนข้อหาเสียเอง

แล้วพวกตุลาการก็อิ่มเอมเปรมปรีดิ์ ดังที่ ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน เอามาปูด ว่าพวกผู้พิพากษานอกจากเพิ่งได้ขึ้นเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งกันอีกคนละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ในหมู่ผู้พิพากษาชั้น ๔ (ประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองประธาน ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ อธิบดีศาล)
น่าจะได้ราว ๘๐,๕๖๐ + ๔๖,๕๗๐ (= ๑๒๗,๑๓๐ ของเดิม ๗๓,๒๔๐ +๔๒,๕๐๐ ๑๑๕,๗๔๐) แล้วมีค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่งอีก ๔๑,๐๐๐ (เทียบเท่าปลัดกระทรวง) ยังไม่พอ “แถมบ้านพักตากอากาศหรู วิวดอย น้ำไฟฟรี”

ดังที่เขามีแคมเปญกันทาง change.org ขอให้ศาลอุทธรณ์ ภาค ๕ คืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ๑๔๗ ไร่ ๓ งาน๔๑ ตร.ว.” เพราะเอาที่ราชพัสดุในป่าสงวนไปทำโครงการจัดสรรบ้านพักตีนดอยสำหรับผู้พิพากษากับแฟลตตุลาการ มูลค่า ๑,๐๑๗ ๖๖๕ ล้านบาท

ซึ่งเขาบอกว่า “คนธรรมดามีตังค์ก็สร้างให้ถูกกฎหมายไม่ได้” นั่นละ

edit : สุริยา มาดีกุล

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สื่อญี่ปุ่น มองคดี นาฬิกาหรู-ล่าเสือดำ บ่งชี้ชนชั้นนำไทยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย

Thailand's culture of impunity for the powerful causes backlash - สื่อญี่ปุ่น มองคดี นาฬิกาหรู-ล่าเสือดำ บ่งชี้ชนชั้นนำไทยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย




สื่อญี่ปุ่น มองคดี นาฬิกาหรู-ล่าเสือดำ บ่งชี้ชนชั้นนำไทยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย


ที่มา Hilight Kapook.com


สำนักข่าวนิกเคอิ ยกคดี นาฬิกาหรู-ล่าเสือดำ และบิ๊ก ตร.ยืมเงินเสี่ยกำพล 300 ล้าน บ่งชี้ชนชั้นนำไทยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย สุดท้ายก็เอาผิดใครไม่ได้


วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 สำนักข่าวนิกเคอิ สื่อชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น รายงานข่าว คดีนาฬิกาหรูของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งสื่อต่างประเทศขนานนามว่า "นายพลโรเล็กซ์" ได้นำมาซึ่งกระแสตื่นตัวต่อสังคมที่ออกมาโจมตีให้เหล่าผู้มีอำนาจที่กระทำผิดลาออกจากตำแหน่ง หรือตั้งคำถามว่าสมควรได้รับโทษหรือไม่





ขณะเดียวกัน สื่อดังกล่าวยังกล่าวถึงกรณีที่คล้ายคลึงกัน ทั้งคดีที่ พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืมเงินเจ้าของธุรกิจอาบอบนวดเป็นเงิน 300 ล้านบาท และคดีที่ นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหารบริษัทอิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ถูกจับในข้อหาล่าสัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งถือเป็นกรณีที่มีบางอย่างคล้ายคลึงกัน

สื่อจากญี่ปุ่น มองว่า 3 คดีดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นว่า หากผู้ที่กระทำความผิดในไทยนั้นมีอิทธิพลหรือเป็นมหาเศรษฐี ก็มักจะได้รับสิทธิพิเศษในกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับเหล่าลูกหลานของอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ ก็มีพฤติกรรมทำตัวเหนือกฎหมายด้วยเช่นกัน แม้บางคดีจะเกี่ยวเนื่องกับการเสียชีวิตของบุคคลอื่นก็ตาม

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นิกเกอิ ได้สัมภาษณ์ นายคิงส์ลีย์ แอบบอตต์ ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโสของ International Commission of Jurists หรือ ICJ องค์กรระหว่างประเทศด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน โดยนายแอบบอตต์ กล่าวว่า วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดหยั่งรากลึกมานานในสังคมไทย และไม่ใช่แค่เรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับผู้กระทำผิดที่มีเงินหรือมีอำนาจมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่กระบวนการยุติธรรมดูจะยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับบางคดี จนทำให้สุดท้ายไม่มีผู้ถูกลงโทษแต่อย่างใด

ภาพจาก คนอนุรักษ์ 


ooo


Thailand's culture of impunity for the powerful causes backlash


A retired general's taste for expensive watches and bling stirs open public criticism


By MARWAAN MACAN-MARKAR, Asia regional correspondent
Nikkei Asian Review
February 21, 2018



Prime Minister Prayuth Chan-ocha, right, leaves Government House with Prawit Wongsuwan, his embattled deputy with expensive tastes in watches and jewelry. © Reuters


BANGKOK -- With its political future in the balance, Thailand's military government is digging in to protect one of its key figures, Prawit Wongsuwan, the deputy prime minister and defense minister who is among three prominent figures who have openly flouted laws. Public opinion is against them, but it remains to be seen if they will be held accountable for their actions.

The junta's portly second in command landed himself in hot water after evidently failing to declare among his assets a collection of 25 premium wrist watches worth some $1 million. Prawit's expensive tastes were exposed in December by an observant Thai Facebook user.

Prime Minister Prayuth Chan-ocha has not wavered in his support for the senior retired general -- both men are former army chiefs. The scandal places Prayuth in a difficult position as he courts public support to remain in power. An overdue general election has still not been scheduled.

Prawit has claimed the extravagant timepieces were loans from a deceased friend, but the brazen display of watches and rings has sparked outrage on social media. The furore suggests patience with the regime that seized power through a coup in 2014 is waning.

By Feb. 16, the start of Chinese New Year, an online petition calling for Prawit's removal had garnered 80,000 signatures. Cartoonists have openly lampooned him, and one columnist dubbed him the "Rolex General." The waves of ridicule have washed away the junta's claims to moral authority, a justification often cited by the military for staging coups and clinging to power.



CSI LA posted on Facebook photographs of Deputy Prime Minister Prawit Wongsuwon wearing a large number of luxury watches. (Photo by Takaki Kashiwabara)


The private habits of two other rich and famous men have also come under scrutiny. One is Somyot Poompanmpoung, a former national police chief, who admitted borrowing 300 million baht ($9.5 million) from a Bangkok brothel owner while he was still a serving officer. "We are friends and of course friends do help each other," he explained. Surveys have revealed the public is not impressed.

The other is business tycoon Premchai Karnasuta, president of Italian-Thai Development, a listed company and the country's largest construction conglomerate. Premchai was arrested this month leading a hunting party inside a national park. The kills in the protected forest included an endangered black leopard. Premchai is ranked by Forbes magazine among Thailand's richest. He has dropped from sight since the incident to the consternation of environmentalists. Police have threatened to issue an arrest warrant if he misses an appearance in court on Mar. 26.

The three cases support a common perception that the country's rich and famous are untouchable, and enjoy special treatment in the justice system. Sons and daughters of tycoons, the well-heeled, and influential public officials have frequently been held above the law, even when deaths have occurred.

According to Kingsley Abbott, a senior international legal adviser at the International Commission of Jurists, a global watchdog, this culture of impunity goes back many years in Thailand, and extends beyond police simply failing to arrest high-profile perpetrators. "Certain investigations have seemingly perpetual status -- of being 'ongoing,' sometimes for years, without anyone ever being held accountable," he told the Nikkei Asian Review.

Until recently, Bangkok's politically influential middle class, which largely backed the 2014 coup, acquiesced to this traditional throwback in the police and judiciary. There were, for example, only grumbles after a senior military figure was linked to corruption in the development of a park commissioned by the junta to honour former Thai monarchs.

According to Transparency International, corruption also continues to prosper in Thailand. In 2017, the anti-graft watchdog, ranked Thailand at 101 among 175 countries it had surveyed, a significant drop from 76 in 2015.

A new survey pours cold water on the idea that the junta can tackle corruption more effectively than elected governments. Conducted in December by the University of the Thai Chamber of Commerce, it concludes that graft and under-the-table payments for state projects have gobbled 25-30% of the state investment budget -- over 676 billion baht. Some foreign investors have meanwhile admitted to NAR that they paid up to 30% of a project's estimated value to win official approval.

Press commentaries have increasingly reflected the recent change in the political current, and openly question the junta's claims of moral authority to mask its lack of electoral legitimacy. The Prayuth government is "morally bankrupt," wrote Thitinan Pongsudhirak, a political scientist at Chulalongkorn University, in an op-ed last week in the Bangkok Post, an English language daily. The scandals have eroded whatever remains of the military government's credibility and legitimacy, he said. The Prawit scandal is "the last straw in a long line of other graft scandals since the coup."

Military insiders expect Prayuth to stand by Prawit. The traditional military contention is that "soldiers love and protect the country more than civilians." There is also an esprit de corps among senior officers. "The military mentality is to stay together and not cut your buddy loose," a military insider told NAR. "But if one goes, they will fall like dominoes."

edit : l6ibpk ,kfud6]

ข้อคิดแย้งฮ้าร์คอร์ ทำไมต้องเอาเลือกตั้ง กับทางเลือกใหม่ ‘ที่ดีกว่าเดิม’

ข้อคิดแย้งฮ้าร์คอร์ ทำไมต้องเอาเลือกตั้ง กับทางเลือกใหม่ ‘ที่ดีกว่าเดิม’

น่าจะเป็นที่ยอมรับกันถ้วนหน้าในฟากประชาธิปไตยว่า การเคลื่อนไหวหรือ ‘movement’ ของคนรุ่นใหม่ในนาม คนอยากเลือกตั้ง ปีนี้นั้น เริ่มแตกกระเส็นเป็นดอกไม้ไฟ จุดประกายให้กับการสกัดกั้น คสช. ยื้อยึดอำนาจต่อไป ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

แม้นว่าจะมีกลุ่มที่เรียกตนเอง (หรือใครต่อใครตั้งชื่อให้) ว่า เสื้อแดง ฮ้าร์ดคอร์ หรือ แก่นแข็ง’ พยายามทัดทาน “ประมาณว่าเลือกตั้งแล้วไง” ถึงชนะเลือกตั้งก็ยังมี สว.ลากตั้งค้ำคออยู่ คสช. ก็ยังครองอำนาจต่อไป ซ้ำอาจเป็นนายกฯ คนนอกด้วยซ้ำ

ผู้ใช้นาม Baramee Chaiyarat พูดแทนไว้บนเฟชบุ๊คว่า “เลือกตั้งแล้วก็กวาดล้างเผด็จการ และสร้างสรรประชาธิปไตยไง” เขาย้ำ “โดยเนื้อหาคือต้องโค่นล้มขับไล่ คสช.ได้

และถ้าไล่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นประชาธิปไตยในทันที การเสนอคำว่า ประชาธิปไตยจงเจริญ ก็เป็นการเล่นคำอีกว่า ต้องร่วมกันสร้างประชาธิปไตยขึ้นมา”

เขาคงหมายถึงการ สร้าง สิ่งที่สมบูรณ์ถูกต้องมากยิ่งกว่า ประชาธิปไตยไทยๆ แบบที่เคยมีมา “กลุ่มคนอยากเลือกตั้งก็ไม่ได้คาดหวังแค่คนเสื้อแดง ยังคาดหวังคนกลุ่มอื่นด้วย ยังคาดหวังคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อด้วย และก็ไม่ได้มองว่าจะต้องได้ชัยชนะในการชุมนุมครั้งเดียวสองครั้งด้วย”


มันสะท้อนไปถึงความคิดเห็นของคนรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ ที่สอดประสานไปได้อย่างดีกับประกายไฟพะเนียงที่คนรุ่นใหม่กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย‘DRG’ พากันจุดขึ้นมา ในที่นี้ใคร่เอ่ยถึงสองท่าน

หมอเลี้ยบ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสมัยรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้ข้อคิดไว้ว่า คนหนุ่มสาวควรตั้งพรรคการเมือง ใหม่’ ของตนขึ้นมา โดยการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่ “เพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่อนาคตที่พวกเขาใฝ่ฝัน”

หมอเลี้ยบยกตัวอย่างการก่อเกิดในลักษณะเดียวกับพรรคไทยรักไทย ที่ “เปลี่ยนการเมืองไทยและสังคมไทยในทศวรรษ ๒๕๔๐ โดยสิ้นเชิง” แต่ไม่ใช่ให้พรรคไทยรักไทยเมื่อปี ๒๕๔๔ กลับมาเสนอตัวรับเลือกตั้งในปี ๖๑ หรือ ๖๒ ใหม่

“เพราะระบบนิเวศของสังคมเมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้วกับปัจจุบันนี้แตกต่างกันมาก” เนื่องจาก “คนหนุ่มสาววันนี้รับแรงกดดันจากปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาส

ความบีบคั้นจากการแข่งขันและเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Blockchain, IOT, EV ฯลฯ กำลังรื้อถอนสิ่งที่เขาเคยชินอย่างดุดันด้วยความเร็วแบบยกกำลัง ส่งผลให้เขาเหล่านั้นเรียกร้องหาพรรคการเมืองที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่นี้ ซึ่งแน่นอน...พรรคไทยรักไทยยุค ๒๕๔๔ ทำไม่ได้”

หมอเลี้ยบยังแนะอีกว่า “พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคการเมืองอื่นๆ ที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรับความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแค่การซ่อม (Fix), ปรับปรุง (Renovate) หรือใหญ่ขนาด รื้อถอน (Disrupt)ก็ตาม”
หมอเลี้ยบยกเอาคำของ อจ.ปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการกฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเสนอไว้เป็นข้อคิด เช่น “การเมืองเป็นเรื่องของเรา หากเราไม่ทำคนอื่นก็จะเข้ามาทำ” แน่ๆ

“หากเราต้องการให้การเมืองเป็นแบบใด เราต้องลงมือทำเอง เราต้องสร้างทางเลือกใหม่ ให้สำเร็จให้จงได้ ทางเลือกใหม่อาจไม่ชนะในวันนี้ แต่อย่างน้อยต้องทำให้ผู้คนมี ความหวัง กับการเมือง...

การเมืองแบบใหม่ ประชาชนสร้างได้”


ขณะที่ ดร.ปิยบุตรเองก็ได้เขียนเอาไว้หลายครั้งเกี่ยวกับความหวังที่คนรุ่นใหม่จะสร้างการเมืองทันสมัย ตอบสนองความต้องการของคนหนุ่มสาวเวลานี้ และปูรากฐานให้กับการปกครองในศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ อันเป็นสากล ซึ่งเคารพในสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนเป็นเอกอุ

อย่างเช่นประเด็นที่ว่า ความสำคัญของการตั้งพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ใหม่ อยู่ที่การสร้าง ทางเลือก ให้กับสังคมได้รับรู้ว่ามีทางเลือกใหม่ ที่ดีกว่าเดิม ในขณะที่นอกจากจะเสนอทางเลือกใหม่แล้ว “พวกเขายังสามารถอธิบายได้ว่า หากยังเลือกทางเลือกแบบเดิมๆ อะไรจะเกิดขึ้นตามมา”

นั่นเป็นส่วนที่ ดร.ปิยบุตรเอ่ยถึงคำของ Íñigo Errejón นักวิชาการรัฐศาสตร์ชาวสเปน รองหัวหน้าพรรคโพเดโมสฝ่ายซ้าย ได้กล่าวไว้ระหว่างร่วมเสวนาที่อาร์เจ็นติน่าเมื่อสิงหาคม ๒๕๖๐ ว่า
 
“การแพ้การเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติอย่าไปกังวล แน่นอนเมื่อเราตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาก็หวังว่าจะชนะเลือกตั้ง เพื่อผลักดันความคิดและนโยบายให้สำเร็จ

แต่ถ้าหากแพ้การเลือกตั้ง ก็ไม่ต้องท้อถอย การแพ้การเลือกตั้งไม่ใช่การแพ้สงครามทางการเมือง ตรงกันข้าม มันทำให้เรารู้ว่าเรายังขาดประชาชนมาสนับสนุนอีกเท่าไร เพื่อที่จะลงมือทำงานหนักต่อไป”


และที่น่าใส่ใจยิ่งกว่านั้นเป็นตอนที่กล่าวถึง “ข้อผิดพลาดของฝ่ายซ้ายดั้งเดิม (พอจะเทียบเคียงกับพวกฮ้าร์ดคอร์ ได้ไหม) ก็คือ ชวนฝันเรื่องปฏิวัติทุกวันทุกเวลา” หมายถึงผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิดในการเปลี่ยนแปลงประเทศ

“แต่ต้องยอมรับว่า ประชาชนคนทั่วไปไม่มีใครฝันถึงปฏิวัติทุกวัน ประชาชนคนทั่วไปต่างหาเช้ากินค่ำ ต้องดำเนินชีิวิตประจำวัน หากฝ่ายซ้ายดั้งเดิมพูดแต่ ปฏิวัติๆๆๆ คงไม่สามารถเอาชนะใจคนได้”

หลักคิดและอุดมการณ์จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นการกระทำ เช่นเดียวกับประชาธิปไตยที่กินได้ นั่นคือ “เราต้องลงไปทำงานกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง วาดฝันอนาคตใหม่ ชี้ชวนให้เขาเห็นถึงอันตรายผลร้ายที่จะเกิดขึ้นหากให้พรรคเดิมครองอำนาจ”

ดังที่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ชลธิชา แจ้งเร็ว กาณฑ์ พงษ์ประพันธ์ ณัฏฐา มหัทธนา สกฤษณ์ เพียรสุวรรณ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ รังสิมันต์ โรม และอีกหลายๆ คน กำลังทำกันอยู่

วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ตอนนี้เสียงเรียกร้องลามปามไปในขบวนการนักศึกษาแล้ว...

ไม่มีอำนาจเผด็จการที่ไหนในโลกที่จะอยู่ค้ำฟ้า..”เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ..! 

ไม่มีอำนาจเผด็จการที่ไหนในโลกที่จะอยู่ค้ำฟ้า..”เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ..! “
ตอนนี้เสียงเรียกร้องลามปามไปในขบวนการนักศึกษาแล้ว...
ล่าสุด...กลุ่มนักศึกษาเชียงใหม่-ลำปางเรียกร้อง คสช. ยุติดำเนินคดีคนอยากเลือกตั้ง..
กรณีที่ พล.ต.สาธิต ศรีสุวรรณ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.เชียงใหม่ มอบอำนาจให้อัยการผู้ช่วยศาลมณฑลทหารบกที่ 33 แจ้งความตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ให้ดำเนินคดีนักศึกษา มช.-มธ.ศูนย์ลำปาง 4 ราย และชาวบ้าน 2 ราย ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 เหตุชุมนุมเรียกร้องเลือกตั้งอยู่หน้า ม.เชียงใหม่เมื่อ 14 ก.พ. ที่ผ่านมานั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
เอาเป็นว่า...พวกที่เอาตัวไปเป็นขี้ข้าเผด็จการจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่...หน่าที่ของพวกมันคือ...ไปกดดัน ..รังควาญ..ตามจับตามคำสั่งกฎหมายเถื่อน....
โดยไม่คำนึงถึงสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมือง (ICCPR) ที่เรียกร้องต่อรัฐบาลให้คืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชน คืนประชาธิปไตยสู่สังคมโดยการเลือกตั้ง...
ซึ่งการออกหมายเรียกและหมายจับโดยรัฐบาลคสช.นั้น เป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง...ชัดเจน…
เอา “กฎเถื่อน “ มาอ้างเป็น “ กฎหมาย “ ปราบปรามประชาชนให้อยู่ใต้อุ้งตีน....
แต่ประชาชนไม่ยอม..กลุ่มต่างๆก็เริ่มออกแถลงการณ์ เรื่อง "ประณามการกระทำของรัฐบาล คสช. ต่อพลเรือนและนักศึกษากลุ่มคนอยากเลือกตั้ง" เผยแพร่ไปในโซเชี่ยล..ไปได้ทั่วโลกภายในเ ยววินาที...
ใครจะอยู่...ใครจะไป..อีกมานานก็รู้...
เชิญอ่านข่าวครับ:
กลุ่มนักศึกษาเชียงใหม่-ลำปางเรียกร้อง คสช. ยุติดำเนินคดีคนอยากเลือกตั้ง
กลุ่มนักศึกษาในเชียงใหม่และลำปาง ทั้งพรรคนักศึกษายุวธิปัตย์ ม.เชียงใหม่ กลุ่มนักศึกษาสาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ และชมรมนกกระดาษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ต่างออกแถลงการณ์โดยเรียกร้องให้ยุติการแจ้งความดำเนินคดี 6 นักศึกษา-ปชช. ฐานขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 พร้อมเรียกร้องให้ คสช. ยุติการละเมิดสิทธิพลเมือง ยุติการดำเนินคดีคนอยากเลือกตั้งทั้งหมด และคืนอำนาจอธิปไตยแก่ประชาชนโดยเร็ว
กรณีที่ พล.ต.สาธิต ศรีสุวรรณ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.เชียงใหม่ มอบอำนาจให้อัยการผู้ช่วยศาลมณฑลทหารบกที่ 33 แจ้งความตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ให้ดำเนินคดีนักศึกษา มช.-มธ.ศูนย์ลำปาง 4 ราย และชาวบ้าน 2 ราย ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 เหตุชุมนุมเรียกร้องเลือกตั้งอยู่หน้า ม.เชียงใหม่เมื่อ 14 ก.พ. ที่ผ่านมานั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
 40218046902_ad9a4a7aa3_h.jpg]
"รวมพลคนอยากเลือกตั้ง" เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (แฟ้มภาพ)
ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 20 ก.พ. มีกลุ่มนักศึกษาทั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แก่ ชมรมนกกระดาษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง, คณะกรรมการนักศึกษา สาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง และพรรคนักศึกษายุวธิปัตย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของรัฐบาล คสช. รวมทั้งเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีทั้งกรณีการจัดกิจกรรม "รวมพลคนอยากเลือกตั้ง" ที่เชียงใหม่และทั่วประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้
[img]s://chttp1.staticflickr.com/5/4757/25514066867_0b4a67f521_b.jpg[/img]
ที่มา: นกกระดาษ - PPB
โดยชมรมนกกระดาศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ออกแถลงการณ์ เรื่อง "ประณามการกระทำของรัฐบาล คสช. ต่อพลเรือนและนักศึกษากลุ่มคนอยากเลือกตั้ง" มีรายละเอียดระบุว่า
"จากเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมานี้ ทางชมรมนกกระดาษ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ได้จับตาดูการกระทำของ รัฐบาล คสช. มาโดยตลอดทั้งการออกหมายเรียกและหมายจับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งทั้ง 39 คน (MBK39) บริเวณสกายวอร์ค หน้าห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง และการออกหมายเรียกนักศึกษา และพลเรือน จำนวน 6 คน บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์เป็นการชุมนุมเรียกร้องของประชาชนซึ่งมีสิทธิชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมือง (ICCPR) ที่เรียกร้องต่อรัฐบาลให้คืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชน คืนประชาธิปไตยสู่สังคม โดยการเลือกตั้งตามโร้ดแม้พของรัฐบาลคสช.ที่ได้วางเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ชมรมนกกระดาษฯไม่สามารถนิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่ไม่ปกติและละเมิดสิทธิต่อประชาชนเช่นนี้ต่อไปได้จึงขอประณามการกระทำของรัฐบาลดังนี้"
"1. ขอประณามรัฐบาลคสช.ในการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสืบถอดอำนาจของตนเองผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ.๒๕๖o มาตรา ๒๖๕ ประกอบกับมาตรา ๔๔ ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปีพ.ศ.๒๕๕๗ ในคำสั่งที่ ๓/๒๕๕๘ ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายในทางที่ผิดและไม่ได้เป็นไปเพื่อความยุติธรรมแต่เพื่อความชอบธรรมของตนเอง
2.ขอประณามรัฐบาลคสช. ในการจับกุมกลุ่มคนอยากเลือกตั้งทั้ง 39 คน บริเวณสกายวอร์ค หน้าห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง และการออกหมายเรียกนักศึกษา และพลเรือน จำนวน 6 คน บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการชุมนุมโดยชอบธรรมและมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมือง (ICCPR) ซึ่งการออกหมายเรียกและหมายจับโดยรัฐบาลคสช.นั้น เป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ชมรมนกกระดาษ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง จึงได้ประณามการกระทำดังกล่าวและขอให้รัฐบาลคสช.ยุติการกระทำซึ่งเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือและละเมิดสิทธิพลเมืองซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนของประชาชนและยุติการดำเนินคดีต่อต่อพลเรือนและนักศึกษากลุ่มคนอยากเลือกตั้งทั้งหมดและคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชนโดยทันที
ชมรมนกกระดาษ
แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง
วันที่ 20 ก.พ. พ.ศ.2561"
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการนักศึกษา สาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง "การแสดงจุดยืนต่อคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 3/2558"
 39489271575_0ab3d48c99_b.jpg]
โดยตอนหนึ่งระบุว่า "ในนามคณะกรรมการนักศึกษา สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ขอแสดงความกังวลต่อคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ จากการกระทำนี้ เป็นการแสดงเรียกร้องสิทธิควรพึงได้ในฐานะประชาชนชาวไทย ซึ่งกลุ่มประชาชนต้องการให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งให้โดยเร็วที่สุดตามระบอบประชาธิปไตย และหยุดการใช้อำนาจในทางมิชอบต่อประชาชน"
"ในการนี้ ทางคณะนักศึกษานั้น ขอเรียกร้องให้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติทบทวนการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นการลดทอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงจุดยืนที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาล อีกทั้งการใช้อำนาจรัฐต่อประชาชนนั้น เป็นการกระทำโดยมิชอบต่อข้อกฎหมาย ที่ประชาชนสามารถออกมาเรียกร้องและเคลื่อนไหวชุมนุมได้" โดยท้ายแถลงการณ์ลงว่า คณะกรรมการนักศึกษาสาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง
 39489271835_5b513ba8b8_c.jpg]
นอกจากนี้ พรรคนักศึกษายุวธิปัตย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 21 ก.พ. "เรียกร้องให้ยุติการแจ้งความดำเนินคดีกับนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 คน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง 1 คน และประชาชนอีก 2 คน" โดยมีรายละเอียดดังนี้
"เนื่องจากเหตุการณ์การจัดกิจกรรม “รวมพลคนอยากเลือกตั้ง” โดยกลุ่มนักศึกษาสมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ตั้งแต่เวลา 16.45 น. เพื่อแสดงพลังในการยืนยันข้อเสนอที่ว่าให้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และไร้การเลื่อนออกไปอีก เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ตลอดจนพูดถึงปัญหาทุจริตคอรัปชั่นภายใต้รัฐบาลนี้ โดยมีผู้คนเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 100 คน และเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
ต่อมาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ผู้แทนของฝ่ายความมั่นคง ได้เดินทางมาแจ้งความให้ดำเนินคดี กับกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว จำนวน 6 คน ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 คน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง 1 คน และประชาชนอีก 2 คน ที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงค์ราชนิเวศน์ โดยกล่าวอ้างว่ากระทำผิดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ซึ่งในการจัดกิจกรรมเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่แสดงถึงความรุนแรง และบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย และเป็นการกระทำภายใต้เสรีภาพของพลเมือง ที่ต้องการแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องราวความเป็นไปของรัฐตนเองอย่างอิสระ
ในฐานะเยาวชนของราชอาณาจักรไทย พวกเรารู้สึกถึงความอยุติธรรมในสังคมที่ปรากฎในเหตุการณ์นี้ เราเชื่อมั่นในการกระทำของประชาชนชาวไทย เพื่อนนักศึกษา และเยาวชน ว่ากระทำไปภายใต้ขอบเขตในสิทธิ และเสรีภาพในฐานะพลเมืองในรัฐ การออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา จึงเสมือนหนึ่งเป็นการคุกคามต่อการแสดงออกในสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของพลเมืองที่ตื่นตัวในรัฐต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในรัฐ
พรรคนักศึกษายุวธิปัตย์ ในฐานะพรรคนักศึกษาที่เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และพร้อมปกป้องสิทธิ เสรีภาพของศึกษา จึงขอแสดงความกังวลต่อการล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองที่มีจุดยืน และความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล ตลอดจนกังวลถึงการที่รัฐมาบังคับใช้กฎหมายกับพลเมืองที่แสดงความคิดเห็นต่อการเลื่อนการเลือกตั้ง และความไม่โปร่งใสภายในรัฐบาลชุดนี้
ดังนั้นเราขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง พิจารณาการแจ้งข้อกล่าวหาอีกครั้งหนึ่ง ตลอดจนให้เกิดการยกเลิกข้อกล่าวหาแก่กลุ่มนักศึกษา และประชาชนผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสงบเรียบร้อยในกิจกรรมดังกล่าว ตลอดจนไม่สมควรมีการแจ้งข้อกล่าวหาเช่นนี้อีกต่อไป
ท้ายที่สุด พรรคนักศึกษายุวธิปัตย์ขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งหมด ทบทวนบทบาทของตน ที่ได้ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง จากการกระทำดังกล่าว และพึงระลึกถึงหลักสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองตามที่ปรากฎอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตลอดจนปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
“เชื่อมั่นในนักศึกษา ศรัทธาในผองชน”
พรรคนักศึกษายุวธิปัตย์ องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
21 กุมภาพันธ์ 2561"