วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

พระมหาอุเทน..แนะ!! ทางรอดทางเดียวของ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" บอกเล่าฐานะ..เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน!!

     พระมหาอุเทน..แนะ!! ทางรอดทางเดียวของ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" บอกเล่าฐานะ..เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน!!

             จากกรณีที่ หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ถูกตำรวจกองปราบได้นำชุดคอมมานโด บุกจับตั้งแต่รุ่งเช้า และได้มีการเผยแพร่คลิปวินาทีที่หลวงปู่พุทธะอิสระ ถูกจับกุมไปทั่วโลกโซเซียล ด้วยข้อหาคดีปล้นทรัพย์และเป็นหัวหน้าอังยี่ ซ่องโจร และปลอมพระปรมาภิไธย



               ล่าสุด พระมหาอุเทน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ ถึงกรณีของหลวงปู่พุทธะอิสระ โดยระบุข้อความว่า



กรณีพุทธะอิสระ “อาจเอื้อมเบื้องสูง” เรื่องใหญ่จีวรหลุด

           สมัยข้าพเจ้าออกจากกรรมฐานใหม่ๆ ขณะอายุวัย ๒๕ ปี หันกลับมาชื่นชมมธุรสบทกวี กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ มากๆ ศึกษาฉันทลักษณ์เรียนรู้เองและเขียนแต่งออกมาเป็นบ้าเป็นหลังได้เกือบ ๑,๐๐๐ บท
กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ในภาษาไทย และการเขียนหนังสือไม่เคยอยู่ในความคิดของข้าพเจ้ามาก่อนเลยว่า ตนจะต้องมาแต่งบทกวีขีดเขียนเรื่องอะไรต่ออะไรอยู่เช่นนี้



              การบวชประพฤติพรหมจรรย์ทำกรรมฐานเท่านั้นที่อยู่ในความคิดตลอดเวลา ดังนั้น ครั้นจบการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค และพธ.บ. พุทธศาสตรบัณฑิต เอกปรัชญา (ไปเรียนในมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยตามเพื่อน มิได้ศรัทธาจะเรียนวิชาทางโลกอยู่แล้ว) ก็ได้โอกาสปลีกตัวไปปฏิบัติธรรมทำกรรมฐานวิปัสสนาภาวนาทันที การแต่งบทกวี เขียนหนังสือเริ่มแต่ตอนข้าพเจ้าอายุวัย ๒๕ ปี จากการแต่งบทกวีไม่ได้ เขียนหนังสือไม่เป็น ก็มาเร่ิมๆ แต่งได้เขียนเป็น บทกวีที่ด้นกลอนไปเรื่อยๆ ตามเรื่องตามราวของอารมณ์กวี สะเปะสะปะไม่มีทิศทาง



           วันหนึ่งข้าพเจ้าเขียนหนังสือได้แผ่นหนึ่งให้อ่านง่ายๆ ติดตลกสักหน่อย ยื่นให้พระมหาใจ เขมจิตฺโต ป.ธ. ๙ ปริญญาโท ลองอ่านดู ได้รับคำตอบจากพระมหาใจ เขมจิตฺโต อ่านจบตอนนั้น ยังระลึกจำภาพได้ชัดนั่งอยู่ด้วยกันบนโต๊ะม้าหินอ่อนใกล้กุฏิพระมหาเสริม คเวสโก นั่นเองว่า
“เหมือนคนเพิ่งหัดเขียนหนังสือ อาจารย์เขียนหนังสือไม่เป็น”



           หลังจากได้รับคำตอบจากพระมหาใจ เขมจิตฺโต อย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็พากเพียรมุมานะเขียนหนังสือ เขียน เขียน และเขียน ใช้ดินสอเขียนร่างอยู่บนแผ่นกระดาษเขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบ จนเศษยางลบดินสอเกลื่อนอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด นั่งอยู่กับที่เขียนจนหัวร้อนฉ่ามึนงงปวดขมับไปหมด จนจะจำวัดหลับไม่ได้ ใช้เวลา ๓ ชั่วโมงเขียนหนังสือออกมาได้เพียงกระดาษแผ่นเดียว กระนั้นเนื้อเรื่องสำนวนโวหารก็ใช่ว่าจะดี พอให้ตนอ่านเข้าใจได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ครั้นฝึกเขียนต่อมาเรื่อยๆ เนื้อเรื่องสำนวนโวหารก็ดีขึ้นมาตามลำดับ ทำให้คนอ่านรู้เข้าใจเนื้อเรื่องสำนวนโวหารตามตนที่ต้องการสื่อได้
“พุทธประวัติ ภาคหลากบทกวี กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์” หนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สุขภาพใจ คุณบัญชา เฉลิมชัยกิจ สำเร็จเป็นรูปเล่มแรก



          หนังสือชื่อ “พุทธประวัติ ภาคหลากบทกวี” หนังสือเล่มแรกของข้าพเจ้านี้ ขอบอกว่ายากลำบากมากๆ แต่ที่ยากลำบากไปมากกว่านั้น คือ “สำนักพิมพ์” เขาจะไม่รับพิมพ์ให้ได้ง่ายๆ ในความเป็นพระโนเนมไม่มีชื่อเสียง ทุนรอนอะไรๆ ก็ไม่มีเลย จึงต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อขอสำนักพิมพ์ให้เขารับจัดพิมพ์เผยแพร่ แทบจะเรียกว่า “กราบสำนักพิมพ์ขอให้เขารับจัดพิมพ์ออกเผยแพร่วางจำหน่ายเลยทีเดียว” สำนักพิมพ์นั้นคือ “ธรรมสภา” office ที่ทำงานของเขาสมัยนั้นอยู่ใกล้กับสะพานซังฮี้ ผู้จัดการประจำสำนักพิมพ์ธรรมสภาพคนหนึ่งดูถูกข้าพเจ้ามากปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยเลย



ข้าพเจ้าเดินออกมาจาก office สำนักพิมพ์ธรรมสภาตอนนั้นพูดได้คำเดียวว่า
“มาดแม้นว่า เหลือสำนักพิมพ์แห่งเดียวในโลก คือ สำนักพิมพ์ธรรมสภา เราก็จะไม่พิมพ์หนังสืออย่างเด็ดขาด”

            “พุทธประวัติ ภาคหลากบทกวี” อาจเรียกว่า “พุทธประวัติคำหลวง” สำเร็จเป็นรูปเล่มได้ด้วยสำนักพิมพ์สุขภาพใจ กระนั้นก็ต้องผ่านความอดทนอดกลั้นยากลำบากทุลักทุเลเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้ามองหนังสือพุทธประวัติภาคหลากบทกวีกองวางอยู่ต่อหน้าอย่างปลาบปลื้มใจมากๆ ประหนึ่งมารดาคลอดบุตรออกมารูปร่างหน้าตาครบอาการ ๓๒ เป็นคนแรก มองชื่นชมแล้วชื่นชมเล่าอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาแรมเดือนเลยทีเดียว

           “พุทธประวัติ ภาคหลากบทกวี” เป็นการหนังสือเล่มแรกก็จริง แต่ก็เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่จดจารจารึกไว้กับจิตของข้าพเจ้าอยู่อย่างไม่อาจลืมเลือนไปได้เลย เพราะข้าพเจ้าได้ทำหนังสือเขียนเป็นจดหมายหนึ่งฉบับ พร้อมกับหนังสือพุทธประวัติ ภาคหลากบทกวี จำนวน ๕ เล่ม ส่งไปทางพัสดุไปรษณีย์ถึงสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ข้าราชการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ พระองค์นั้น หลังจากส่งหนังสือพุทธประวัติ ภาคหลากบทกวี ไปทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว เวลาผ่านไปไม่นานประมาณ ๑๕ วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับหนังสือตอบรับจากสำนักราชเลขาธิการ หม่อมหลวงพีระพงศ์ เกษมศรี ประโยคข้อความวรรคว่า “ทรงชื่นชมในกุศลเจตนาของท่าน” หนึ่งเดียวนี้เท่านั้นได้นำความปลาบปลื้มปีติปราโมทย์เป็นล้นพ้นมาให้แก่ข้าพเจ้ามากจริงๆ



            ความโสมนัสปีติปราโมทย์หล่อเลี้ยงจิตใจของข้าพเจ้าให้มีกำลังจิตอุทิศชีวิตถวายทำงานเผยแผ่ให้แด่พระพุทธศาสนามายาวนานพอสมควร ต่อมาวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับหนังสือพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ ปลาบปลื้มปีติยินดีเช่นเดียวกัน ด้วยความปรารถนาจะเทิดทูนพระเกียรติคุณให้สูงยิ่งขึ้นไป ข้าพเจ้าจึงนำพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” มาเป็นหนังสือประกอบการประพันธ์เป็นบทกวีภาษาไทยวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ เพียงเล่มเดียว มิได้ย้อนกลับไปค้นคว้าเอาข้อมูลจากแหล่งต้นเดิมคือพระไตรปิฎกอรรถกถามาเลย อาศัยเพียงทำตามธรรมเนียมวิชาการการอ้างอิงเป็นบรรณานุกรมอยู่กระดาษแผ่นสุดท้ายของหนังสือชื่อ “มหาชนกคำฉันท์” เท่านั้น
ข้าพเจ้าทำด้วยเจตนาดีแต่ขาดความรอบคอบรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ “อาจเอื้อมเบื้องสูง” เสียแล้ว

            หนังสือเล่มใหม่ของข้าพเจ้าชื่อ “มหาชนกคำฉันท์” ได้รับการตีพิมพ์สำเร็จเป็นรูปเล่มโดยสำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง สมัยนั้นคุณอุทิศ ศิริวรรณ เป็นบรรณาธิการที่ปรึกษาอยู่ เขาอ่านพิจารณาแล้วให้ผ่านฝากบอกคุณถนอมศักดิ์มาถึงข้าพเจ้าว่า “เยี่ยมมาก”

           ข้าพเจ้าทำหนังสือเขียนเป็นจดหมาย พร้อมกับหนังสือ “พระมหาชนกคำฉันท์” จำนวน ๕ เล่ม ส่งไปทางพัสดุไปรษณีย์ถึงสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอให้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ พระองค์นั้นหวังพระกระแสราชดำรัสกลับให้ตนได้รับความปีติโสมนัสปลาบปลื้มใจอีกเช่นเคย

           แต่คราวนี้ผิดคาดมากๆ กลับกันหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ผู้อำนวยการในสำนักงานราชเลขาธิการ พร้อมกับข้าราชการเจ้าหน้าที่ ๒-๓ คน บุกเข้ามาถึงกุฏิคณะ ๙ ของข้าพเจ้าด้วยหน้าตาตื่นตระหนก กราบนมัสการนั่งเรียบร้อยแล้วเรียนถามข้าพเจ้าว่า
“พระคุณเจ้า ท่านทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาตหรือยัง”
“เจริญพร ยัง อาตมาอาศัยทำตามธรรมเนียมวิชาการอ้างอิงเป็น บรรณานุกรม ไว้ท้ายเล่มของหนังสือเท่านั้น” ข้าพเจ้าตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบมิได้ตื่นตระหนกอะไร
“ไม่ได้นะพระคุณเจ้า ท่านต้องทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาตก่อน ถ้าท่านไปค้นคว้าเอาข้อมูลมาจากแหล่งต้นเดิมคือพระไตรปิฎกอรรถกถาและนำมาเขียนเป็นบทกวีของตนก็ไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาต”




           ผู้อำนวยการในสำนักงานราชเลขาธิการอธิบายร่ายยาวให้ข้าพเจ้าฟังเสร็จแล้ว ก็ขอร้องให้ข้าพเจ้าทำเรื่องเขียนเป็นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ และขอริบเอาหนังสือ “พระมหาชนกคำฉันท์” จำนวน ๑,๐๐๐ เล่มนั้นไปหมดเลย ห้ามเหลือไว้เผยแพร่แจกจ่ายแม้ให้เป็นธรรมทาน

           โอโห งานเข้าเรื่องใหญ่เลยคราวนี้ ความคิดว่าจะได้รับความโสมนัสปีติปราโมทย์หายไปเป็นปลิดทิ้ง ข้าพเจ้าส่งข่าวถึงคุณถนอมศักดิ์ เจ้าของกิจการสำนักพิมพ์เลี่ยงเชียงสมัยนั้น เขาเป็นคนใจถึงมาก บอกมาทางโทรศัพท์ทันทีว่า “ดีเลยครับ หนังสือของเราจะได้สูงขึ้น”
       
             ข้าพเจ้าเขียนกล่าวเกริ่นร่ายยาวเรื่องใหญ่งานเข้าของตนมาให้สาธุชนชาวพุทธอ่านกันนี้ เพื่อจะเชื่อมโยงเข้าสู่กรณีคดีความ “ปลอมสัญลักษณ์พระปรมาภิไธย” ของพุทธะอิสระที่ต้องโทษทัณฑ์ถึงกับจีวรหลุดอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาวเข้าไปนอนจำวัดอยู่ในเรือนจำสันติบาลขณะนี้ ทางการดำเนินคดีได้ถูกต้องแล้ว แอบอ้างเบื้องสูงปลอมสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยนี้เรื่องใหญ่มากๆ ต้องโทษสถานหนัก ศาลตัดสินให้จำคุก ๕-๒๐ ปีเลยทีเดียว เบื้องแรกที่พุทธะอิสระต้องโทษถูกจับมาดำเนินคดีอย่างอุกอาจฉกาจฉกรรจ์ให้การยอมรับสภาพผิดตั้งแต่ตอนแรกนั้นถูกต้องแล้ว ต่อมาจะทำเรื่องอุทธรณ์ ฎีกาอะไรอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง

               ข้าพเจ้าเชื่อในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ ว่า พระองค์จะต้องพระราชทานอภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้าผู้เจตนาดีแต่ขาดความรอบคอบรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างแน่นอน เห็นไหม ข้าพเจ้ารอดพ้นจากราชภัยมาได้ถึงทุกวันนี้ และพระเจ้าอยู่หัว ฯ รัชกาลที่ ๑๐ ข้าพเจ้าก็เชื่อในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เช่นเดียวกัน

             พุทธะอิสระ จะรอดพ้นจากราชภัยได้เช่นเดียวกับข้าพเจ้า ต่อเมื่อมาอยู่ในกรณีเดียวกันกับข้าพเจ้า คือ ทำหนังสือขอพระราชอภัยโทษ และยินยอมให้ทางราชการสำนักราชเลขาธิการริบเอาพระนาคปรกที่มีตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ นั้นไปทั้งหมด ไม่เหลือไว้แม้เพียงองค์เดียวในที่แห่งใดแห่งหนึ่งเลย



             พุทธะอิสระต้องคดีความนี้อยู่ในกรณีเดียวกันกับข้าพเจ้า ท่านเทิดทูนเชิดชูสถาบันกษัตริย์จงรักภักดีสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ เป็นล้นพ้น มิฉะนั้น ท่านคงไม่ไปอยู่ในชุดจีวรตัวเก่งทะมัดทะแมงทำอาหารแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่เรียงคิวมาขอเฝ้าเข้าถวายสักการะพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ ในเต๊นตรงถนน ณ ท้องสนามหลวงแห่งหนึ่งอย่างแน่นอน และเมื่อถูกถามสัมภาษณ์ พุทธะอิสระก็พูดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ ร้องไห้น้ำตานองหน้าอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน (เขียนถึงวรรคนี้ข้าพเจ้าก็พลอยน้ำตาคลอจะร้องไห้ตามไปด้วย)

             ขอบอกก่อน ข้าพเจ้ามิได้เลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของพุทธะอิสระก็จริง แต่ข้าพเจ้าก็มิได้มีอคติหรือรังเกียจเดียดฉันท์จงเกลียดจงชังท่านเลย ดังนั้น ข้าพเจ้าพระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์จึงขออวยพรให้พุทธะอิสระรอดปลอดภัยจากราชภัยที่ต้องโทษจากคดีความ “ปลอมสัญลักษณ์พระปรมาภิไธย” ในครั้งนี้ด้วยเถิด
เชื่อแน่ว่าพุทธะอิสระจะรอดปลอดภัยใช่ไหม



ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟสบุ๊ค พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น