วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

อ่านข่าวแล้ว ก็เศร้าใจและหวังว่า ชีวิตของน้องๆ ที่ติดอยู่ในถ้ำ จะได้รับการช่วยเหลือในเวลาอีกไม่นาน

วันเสาร์, มิถุนายน 30, 2561

อ่านข่าวแล้ว ก็เศร้าใจและหวังว่า ชีวิตของน้องๆ ที่ติดอยู่ในถ้ำ จะได้รับการช่วยเหลือในเวลาอีกไม่นาน



อ่านข่าวแล้ว ก็เศร้าใจและหวังว่า ชีวิตของน้องๆ ที่ติดอยู่ในถ้ำ จะได้รับการช่วยเหลือในเวลาอีกไม่นาน

และก็ต้องเตรียมใจด้วย การคาดหวังเป็นเรื่องที่ดี แต่มันทรมานมากๆ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่า จะมีข่าวดีหรือข่าวร้ายในเวลาต่อมาอีกด้วย


เราก็คงจะต้องสร้างที่พึ่งทางใจ หรือ กำแพงทางจิตใจ (Defense Mechanism) ขึ่นมากันพอประมาณ

---------------

การค้นหาและช่วยชีวิต (Search and Rescue) เป็นเรื่องแรกที่สุดที่จะต้องทำเพื่อการหาตัวบุคคลให้พบ เรากำลังเห็นอยู่ในช่วงนี้

แต่ถ้ามีการประกาศว่าเป็น การกู้ซากหรือกู้สภาพ (Recovery) แล้ว ก็แสดงว่า ยอมรับผลของการสูญเสีย และกำลังกอบกู้ว่าจะได้วัตถุหลักฐานอะไรเพิ่มเติมอีก

เราต้องเข้าใจขั้นตอนของเรื่องนี้กันด้วยว่า อยู่ในช่วงไหน

-----------------

ตอนที่ยังไม่ป่วยแบบนี้ ดิฉันก็ทำงานอยู่ใน Fields หรือภาคสนามเป็นเวลานานพอสมควร และขออธิบายให้ทราบเป็นสังเขปดังนี้:

1. อุณหภูมิภายในถ้ำต่างๆ จะอยู่ระหว่าง 10-20 เซลเซียส ขึ้นว่าอยู่แถบไหนของโลก

2. ถ้าท่านไม่เคยเดินทางเข้าถ้ำ ท่านจะต้องมีไฟฉาย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากๆ เพราะแสงสว่างธรรมดาจะเข้าไม่ถึงแน่นอน

3. ความมืดสนิทของถ้ำ เป็นแบบมืดสนิทจริงๆ เราไม่สามารถเห็นมือหรือนิ้วมือของเราได้เลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน การปรับตัวของสายตาให้ชินกับความมืด ก็ช่วยอะไรไม่ได้

ถ้าไม่มีไฟฉาย เราจะไม่ทราบเลยว่า กำลังยืน หรือ เดิน หรือนั่งอยู่ที่ไหน (ถ้าคิดจะเดิน จะเดินไปแล้วศีรษะจะไปโขกกับหินต่างๆ ภายในถ้ำหรือเปล่า หรือ อาจจะสะดุดล้ม เจ็บตัวขึ้นมาอีก เพราะมองอะไรก็ไม่เห็น)

และสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร แม้แต่เพียงเซนติเมตรเดียว ก็มองไม่เห็น (เพียงแต่สัมผัสกับลมหายใจเท่านั้น ด้วยการเอานิ้วมือขึ้นมาอยู่ใกล้ๆ จมูก)

4. สัตว์อย่างค้างค่าวไม่ได้ใช้สายตาในการบินในถ้ำ แต่เป็นการใช้ระบบเหมือนกับเรดาห์ เวลาบินไปไหนมาไหน รวมทั้งมีประสาทหูที่ดีมาก

ส่วนมนุษย์เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้น การมองในที่มืดสนิทจริงๆ ก็ไม่ทราบว่า มีอะไรเกิดขึ้น ต้องพึ่งประสาทจมูก หู และการสัมผัสเท่านั้น

5. ดิฉันไม่แน่ใจว่า ถ้ำแห่งนี้ เป็นถ้ำปิดและมีห้องมากมายขนาดไหน เพราะถ้ามีการตะโกนเข้าไปในถ้ำ คนที่อยู่ในที่มืด อาจจะได้ยิน แต่ไม่ทราบว่า เสียงมาทางไหน เพราะเสียงสะท้อน (Echos) จะดังมากๆ

และ ไม่ทราบทิศทางที่ถูกต้องได้ ต้องใช้ระบบแสงช่วยกัน และตัวเด็กๆ อาจจะไม่รู้จักวิธีการหาทิศทางจากเสียงที่ได้ยินด้วยว่า มาจากทิศไหน เพราะ มันจะเหมือนกับว่า มาจากข้างบน (ถึงแม้ว่า เสียงจะมาจากด้านข้างก็ตาม)

6. การใช้อากาศหายใจ การอยู่ในถ้้ำนานๆ จะมีการใช้ อ๊อกซิเจนสูงมาก และไม่แน่ใจว่า อากาศในถ้ำเป็นแบบไหน มีปล่องให้อากาศลงไปมากน้อยขนาดไหน คาร์บอนไดออกไซด์จะสูงมากๆ ยิ่งมีคนมากกว่า 10 คนติดอยู่ในนั้น

อากาศบริสุทธิ์ไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ เพราะถ้าเข้าไปได้ ก็ต้องมีปล่องลงไปแล้ว เพราะฉะนั้น อาจจะต้องมีการปั๊มอากาศเข้าไปในถ้ำให้มากที่สุดเช่นกัน

7. เท่าที่ทราบมา ภายในถ้ำ มีน้ำขังที่ลึกมากๆ ข้อสำคัญคือ ต่างก็หวังว่า น้องๆ เหล่านั้น จะขึ้นไปบน “หาดทราย” ในถ้ำกันได้ เพราะถ้าอยู่ในน้ำนานๆ และไม่สามารถเห็นอะไร้เลย เนื่องจากความมืดสนิทจริงๆ อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับ hypothermia หรือ ภาวะตัวเย็นเกินเกิดขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิที่เย็นกว่าข้างนอกมาก และร่างกายไม่สามารถสร้างความอุ่นได้

หวังว่า ไม่ได้ "แช่น้ำ" กันอยู่ ก็แล้วกัน

----------

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดู”โอกาส” ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ ดิฉันเห็นเป็นข้อๆ คือ:

1. เราเห็นความร่วมมือเพื่อการช่วยชีวิต จากความสัมพันธ์ที่มีกับประเทศต่างๆ ในแถบตะวันตก รวมทั้งของประเทศจีนอีกด้วย ยิ่งถ้าเพื่อนๆ ได้มีโอกาสอ่านข่าวภาษาอังกฤษกัน จะเห็นได้เลยว่า ทางนี้เขาให้ความสำคัญและคุณค่ากับชีวิตมนุษย์มากขนาดไหน

2. เราจะเห็นเครื่องไม้เครื่องมือการช่วยชีวิตแบบ First Class จากหลายๆ ประเทศ ที่ทางรัฐบาลไทยเอง ไม่ได่ทำงบประมาณจัดสรรมาช่วยเรื่องแบบนี้กัน (อาจจะคิดว่า ไม่จำเป็นกับชีวิตผู้คนเท่าไรนัก)

3. ดิฉันเห็นภาพอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ จากทาง USA, อังกฤษ จีน พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญการกู้ภัยจากหลายๆ ประเทศ ทำให้คิดว่า นี่คือการสาธิตเรื่องการช่วยชีวิตผู้คนเป็นอย่างดีที่สุด จากเครื่องอุปกรณ์ชั้นเลิศที่สุด (อาจจะเป็นชั้นเลิศของโลกก็ได้)

และเหมือนกับให้คนไทยได้เห็นการสาธิตใช้งานของอุปกรณ์เหล่านี้ “ฟรีๆ” ว่า มันมีความสามารถขนาดไหน ทำงานได้อย่างไร ทำงานได้จริงหรือเปล่า รวมทั้งทำภาพสามมิติ หรือแม้แต่การตรวจความร้อนของร่างกายบุคคลได้

นี่คือตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นง่ายๆ ว่า เครื่องมือเหล่านี้ มัน “ทำงาน” และ "มีประสิทธิภาพ" ได้แน่นอน และดีกว่า GT200 เรือเหาะ หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ที่สั่งซื้อกันมาทุกๆ ปี เป็นจำนวนหลายพันล้านบาทกัน

หากการช่วยชีวิตบุคคลที่ติดอยู่ภายในถ้ำประสบความสำเร็จ นี่ก็เหมือนกับ “การโฆษณา” ให้เห็นว่า มันมีประโยชน์สำหรับการใช้กับชีวิตผู้คนได้จริงๆ

---------------

สิ่งที่เราจะเริ่มเห็นต่อไปคือ:

1. หากการช่วยชีวิตประสบความสำเร็จ เราควรจะดูว่า ทางทีมงานต่างประเทศเขาจะกล่าวอะไรบ้าง

อย่าลืมว่า ทางต่างประเทศ โดยเฉพาะโลกตะวันตก เขาจะให้เครดิตเป็น “ทีม” และเขาจะไม่สร้าง “Heroes” กันขึ้นมาแบบประเภท “ฉายเดี่ยว” เพราความสำเร็จต่างๆ มันมาจาก Teamwork ไม่ใช่โดยคนๆ เดียว

รวมทั้งเรื่อง "การฉวยเครดิท" หรือ "เอาหน้า" กัน จะไม่เห็นทางต่างประเทศเขาทำกัน

2. หากการช่วยชีวิตประสบความล้มเหลว ก็จะมีการรับผิดชอบกันเป็น ทีมเช่นกัน เพราะพวกเขาหรือเธอ ทำงานอย่างสุดความสามารถจริงๆ และเราก็จะต้อง “ปรบมือ” ยอมรับให้กับ การเสียสละของทุกๆ ฝ่ายเช่นกัน

และจะไม่เห็นเรื่องการ “จับแพะ” หรือ “หาแพะ” มารับโทษ เพราะเรื่องนี้ เขาถือว่าเป็นการช่วยชีวิตคน (Search and Rescue) และมี Good Samaritan Law หรือ กฎหมายเรื่องการละเว้นการถูกฟ้อง หากมีการเสียชีวิตเกิดขึ้นจากการเข้าไปช่วยชีวิตอยู่แล้ว

ทางฝั้งตะวันตก เขาจะนำเอาเคสเหล่านี้ ไปพิจารณา เพื่อป้องกันความล้มเหลวให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด หากพลาดอะไร พวกนี้จะ list เรื่องเป็นข้อๆ และนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไปในอนาคต ภาษาอังกฤษเรียกว่า Lesson(s) Learned.

3. ควรจะ "ลากตัว" คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยออกไปจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด รวมทั้งการวางแผนตั้ง War Room ควรจะมีการตัดสินใจจากคนที่อยู่ในพื้นที่ ไม่อย่างนั้น จะมีความสับสนกันว่า จะฟัง “คำสั่ง” ใคร?

ใน USA เอง เมื่อมีการประกาศพื้นที่ว่า เป็นสถานที่ประสบภัยหรือต้องให้เจ้าหน้าทีที่เกี่ยวข้องทำงานแล้ว คนที่เป็น Head ของ War Room จะเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจมากที่สุด

ไม่ใช่ ใครก็ไม่รู้ ไม่ทราบว่า เอาอำนาจอะไรมา ถามนู่น ถามนี่ ได้รับการอนุญาตหรือยัง (ดิฉันไม่ทราบว่า ใครเป็น Head of the War Room) เพราะการทำอย่างนี้ หมายความว่า คนที่รับ "คำสั่ง" จะสับสนมากๆ ว่า จะต้องปฎิบัติตาม "คำสั่งของใคร" แน่? ใครเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการปฎิบัติงานในพื้นที่

ขนาดตัว President of the United States (POTUS) เอง ยังไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายหน้าที่อะไรได้ เพราะเขาจะให้เกี่ยรติคนทำงานในพื้นที่เท่านั้น แต่ตัว POTUS จะไปช่วยเหลือในเรื่อง การของบประมาณกลางอย่างรีบด่วน หรือ การขอเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ จากสำนักงานของรัฐบาลกลาง เขาจะช่วย "วิ่ง" เรื่อง Logistics เหล่านี้ให้

-----------------------

ส่วนคนที่ชอบถามว่า ได้รับอนุญาตโน่นนี่หรือยัง ก็ควรจะเข้าไปทำความเข้าใจกับเรื่อง การประกาศพื้นที่การช่วยเหลือชีวิตผู้คนแบบนี้ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้อง Bypass เรื่องเหล่านี้ได้อยู่แล้ว กฎหมายที่เขาสร้างขึ้นมา เพราะเป็นการช่วยเหลือชีวิตคนให้มากที่สุด

รวมทั้งประกาศให้กองกำลัง National Guards เข้ามาป้องกันในพื้นที่ทันที ประชาชนธรรมดา แม้กระทั่งผู้ที่อยู่อาศัยในแถบนั้น จะต้องแสดงหลักฐานว่าเป็นเจ้าของบ้านจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้รับการอนุญาตเข้าไปได้

-------------------------

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ถ้าเป็นรัฐบาลของ USA เราจะใช้งบกลางหรืองบฉุกเฉิน เพื่อการช่วยเหลือเรื่องการช่วยชีวิตผู้คนกัน

แต่ของไทยในเวลานี้ คิดว่า น่าจะใช้งบกลางเช่นกัน (แต่ไม่แน่ใจว่า จะไปประกาศ ขอรับ "บริจาค" กันอีกหรือเปล่า เพราะนี่ ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่จัดให้กับประชาชนผู้เสียภาษีภายในประเทศ)

-------------------------

สุดท้าย ก่อนจะจบ ก็คือ ควรจะลากตัวคนที่ถามว่า ได้รับอนุญาตโน่นนี่หรือยัง ออกไปจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด เพราะเป็น “ตัวถ่วง” ในการกู้ภัยและช่วยเหลือชีวิตผู้คนที่กำลังอยู่ในถ้ำตอนนี้...

หวังว่า เราคงจะได้รับข่าวที่ดีกันในอีกไม่นานก็แล้วกัน ขอคุณพระจงช่วยปกป้องชีวิตของน้องๆ ด้วยค่ะ

เครดิต : Doungchampa Spencer-Isenberg

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561

‘หมูป่าอคาเดมี่’ Be strong, help is on the way. มี HOPE

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 28, 2561


‘หมูป่าอคาเดมี่’ Be strong, help is on the way. มี HOPE

เข้าวันที่ ๖ ความพยายามทุกภาคส่วนในการกู้ภัยนำทีมเยาวชนฟุตบอล หมูป่าอคาเดมี่ และผู้ฝึกรวม ๑๓ คน ออกจากถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน แม่สาย เชียงราย ตอนสายวันที่ ๒๘ มิถุนายน ยังไม่สัมฤทธิ์ผล

แม้นว่าการลงพื้นที่เกิดเหตุคราคร่ำไปด้วยผู้คน ทั้งหน่วยพิเศษทัพเรือ (เนวี่ซีล) กองทหารทัพบก ผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำจากอังกฤษ ที่เคยสำรวจถ้ำหลวง หน่วยทหารกู้ภัยสหรัฐ แถมด้วย ผู้ว่าฯ เชียงราย ผบ.ตร. รมว.มหาดไทย และคำพร่ำภาวนาจากนายกรัฐมนตรีคณะรัฐประหาร และสื่อมวลชนมากหน้า (ยกเว้น สกายไทย ที่นั่งเก็บข่าวจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาเขียน)

ราว ๗ โมงเช้า @ThaiPBS แจ้งว่า “เช้านี้ฝนยังตกต่อเนื่อง ทำให้ระดับในถ้ำเพิ่มสูงขึ้น จนท.จึงหยุดการสูบน้ำชั่วคราวเนื่องจากระดับน้ำสูงบริเวณจุดตั้งเครื่องสูบ”

อีกทั้ง “มีฝนตกอย่างต่อเนื่องสังเกตจากการมีน้ำไหลลงมาจากภูเขา ระดับน้ำในถ้ำเพิ่มสูงขึ้นจนถึงจุดที่ จนท.กำลังปฏิบัติการ อาจมีการปรับแผนใหม่”

ทางด้านเดลินิวส์ รายงาน “เฟซบุ๊กของสมาชิกใช้ชื่อ คาเธ่ย์ หมี ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ ระบุว่า 07.00 น. หน่วยซีล & จนท.ทุกหน่วย ถอนกำลังออกจากถ้ำขึ้นที่สูงแล้ว หลังฝนตกหนักตลอดทั้งคืน

จนท.หยุดเดินเครื่องสูบน้ำทั้งระบบ และล่าสุดน้ำท่วมทุกห้องโถงของถ้ำ จนไม่สามารถปฎิบัติการค้นหาได้ รอประชุมปรับแผนการค้นหาใหม่ โมงวันนี้



แผนการค้นหาใหม่ที่ว่า อาจเป็นอีกความพยายามเข้าไปในถ้ำให้ถึงบริเวณที่เรียกว่า หาดพัทยา อันเป็นเนินดินเหนือแหล่งน้ำขนาดใหญ่เลยลานกลางเข้าไป ที่มีปริมาณน้ำไหลเพิ่มตลอดสองวันที่ผ่านมาเนื่องจากบนเขามีฝนตกชุก

ทั้งที่ตอนสี่ทุ่มครึ่งเมื่อคืน (๒๗ มิ.ย.) ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกู้ภัยแจ้งว่าการสูบน้ำด้วยเครื่องชนิดงวงหนวดปลาหมึกทำได้เต็มพิกัด ขณะที่สำรวจพบปล่องจากยอดเขาเพื่อหาทางลงไปในถ้ำได้แล้ว ๔ ปล่อง

หากแต่ ๓ ปล่องแรก “ยังไม่สามาถเจาะลงไปถึงพื้นถ้ำได้เพราะหลังจากสำรวจแล้วมีหินจำนวนมาก แต่ล่าสุดได้สำรวจแล้วพบปล่องที่สี่อีก ดังนั้นจะมีการเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดในช่วงเช้าวันที่ ๒๘ มิ.ย.”


ทั่วทั้งประเทศจดจ่อกับสถานการณ์กู้ภัยครั้งนี้ ล้วนตั้งความหวังให้หน่วยซีลประสพความสำเร็จ และนักเตะรุ่นเยาว์ทั้งทีมรอดชีวิตปลอดภัยออกมาได้ ทว่า ๕ วันที่ผ่านมาบริเวณหน้าถ้ำ เช่นเดียวกับบนหน้าสื่อโซเชียล ออกจะชุลมุนกันน่าดู

ระหว่างลุ้น ข่าวดี’ ประชากรเน็ตใช้เวลาที่รอ อัด สื่อกันมันมือ แถม สกายไทย สื่อจับเสือมือเปล่าหน้าแป้นอย่างเรา ฉวยโอกาสประกาศตัวด้วยการร่วมอัดนักข่าวสาวที่ขึ้นไปเกาะติดสถานการณ์ถึงในถ้ำ
 
ฐปณีย์ เอียดศรีไชย แห่งช่อง ๓ โดนหนัก ถูกจี้ตัวว่าทำให้ “กสทช. ห้ามสื่อทุกสำนักไล้ฟ์สดที่ถ้ำหลวง” เพื่อจะได้ไม่กีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าตัวเพิ่งโพสต์ชี้แจง


ขอยืนยันนะคะแยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ไม่ใช่นักข่าวทีวี ที่ท่านผู้ว่าราชการจ.เชียงรายระบุว่าเข้าไปทำข่าวภายในถ้ำ ขอความเป็นธรรมด้วยค่ะ แยมไปแค่ภารกิจค้นหาปล่องถ้ำบนเขา กับตชด.และจนท.กรมอุทยานที่ได้รับอนุญาตให้ตามไปมี Tpbs, Springnews, NBT ไปด้วยกันไม่ได้เข้าถ้ำนะคะ”

หนักกว่านั้นมีบางสื่อ เล่น ข่าวกันอย่างเมามัน ทั้งข่าวเท็จ เช่น ซีลพบพวกเด็กๆ ในถ้ำแล้ว นั่งกินอาหารกันอยู่ฟื้นพลังตอนขาออก ประมาณนั้น
 
ยังมีประเภทรายงานผลการเข้าทรงองคเจ้า เอามาโพสต์ก็หลายราย จนสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ต้องออกแถลงการณ์บ้าง “ขอความร่วมมือเพื่อนสื่อมวลชนปฏิบัติงานอย่างเป็นระเบียบ” แล้วก็ขอให้ “ตรวจสอบข้อมูลอย่างถูกต้อง อย่าสร้างกระแสจนเกิดความสับสน”

ดูจากคอมเม้นต์ต่างๆ ออนไลน์ เห็นว่ารายงานข่าวสถานการณ์ถ้ำหลวงของ สำนักข่าวไทย (MCOT) ทำได้สมดุลและตรงตามความจริง ไม่เว่อ ไม่มั่ว ที่สุด ขอบันทึกไว้ตรงนี้

ว่าไปก็น่าเห็นใจฐปณีย์อยู่เหมือนกัน เธออ้างว่าที่เข้าไปรายงาน สุกบ้างสดบ้าง ในถ้ำนั่นก็ตอนเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ตามเข้าไปได้ เธอเคยโดดเด่นตอนรายงานกรณีโรฮิงญาถึงบนเรือผู้ลี้ภัยมุสลิมจากพม่า ก็เลยมีพวกเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ อย่างผู้ใช้นาม ผัว exo @exohubby’ ขากใส่ว่า “เขาให้อาหารโรฮิงยาที่บ้านหรือยังก่อนมา”

พอดีมีคนตั้งกังขาสื่อเสี้ยมแบบสกายไทย ว่า นี่เห็นมาพักใหญ่ล่ะ ไม่รู้ว่าของใคร ระบุว่าเป็นบริษัทสื่อสารแถวปทุมวัน แต่ตามดูเห็นเล่นข่าวกระแสสังคมทุกอย่างเพื่อให้ได้ไลค์

จุดยืนคือเชียร์ทหาร (อวยอย่างกับเป็นฮีโร่ในหนัง) ด่านักการเมือง ปกป้องรัฐบาล โหนข่าวกระแสทุกอย่าง ด่าเอ็นจีโอ ดูวิธีเขียนโปรยสเตตัสแล้วน่าจะไม่ใช่สื่ออาชีพ

มาเกิดจริงๆ ก็ตอนเรื่องโทษประหารนี่แหละ ทำป้ายด่าเอ็นจีโอได้ใจคนหนุนประหาร และมาดังพลุแตกก็เรื่องเด็กติดถ้ำ เพราะความคืบหน้าถี่ยิบที่สุด และด่าร่างทรง ลามมาด่านักข่าวที่ลงพื้นที่ คนก็เฮอีก” (จากโพสต์ของ Nattharavut Muangsuk)

นี่ละ ดร่าม่าไตแลนเดีย ดูท่าประชากรฝ่ายสลิ่มจะเอาอย่างทั่นภู่ณรรมกันแล้ว คงซึมซับตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ล่าสุดทั่นเพิ่งได้จังหวะพาดพิงปัญหาบีทีเอส ห่วย’ ว่า “เห็นปชช.เดือดร้อน ก็ทุกข์ใจ จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ” น่ะ

ขอขอบคุณข้อมูล : 

(https://www.khaosod.co.th/politics/news_1268561)

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตลกดีอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกแต่รู้เรื่องหมด ....อิอิ

บิ๊กป้อม โต้ “ไทม์” ปม “สฤษดิ์น้อย” ชี้ บิ๊กตู่ไม่ได้ดุร้าย ฉะ ‘สมศักดิ์ เจียม’ แปลไม่น่าเชื่อถือ (นายพลไทยนี่เก่งจริงๆ ตัวเองอ่านก็ไม่ออกแท้ๆ แต่รู้ว่าสมศักดิ์เจียมแปลไม่น่าเชื่อถือ)




https://www.youtube.com/watch?v=NH7fos_JPug

บิ๊กป้อม โต้ “ไทม์” ปม “สฤษดิ์น้อย” ชี้ บิ๊กตู่ไม่ได้ดุร้าย ฉะ ‘สมศักดิ์ เจียม’ แปลไม่น่าเชื่อถือ

...


...




"ก็ไอ้สมศักดิ์เจียมมันแปลน่าเชื่อถือหรือเปล่าล่ะ" 

อิอิ เห็นคุณ "ป้อมใหญ่" (ชื่อแปลแล้ว) หาว่าผมแปลรายงานของนิตยสาร "เวลา" (ชื่อแปลแล้ว) ไม่น่าเชื่อถือ ผมเลยเอาข้อความต้นฉบับพร้อมคำแปลมาให้ดูชัดๆอีกที เผื่อคุณ "ป้อมใหญ่" เห็นตรงไหนยังแปลขาดตกบกพร่อง ก็ยินดีแก้ไขนะครัช 

รายงานของมติชน ดูได้ที่นี่ (พร้อมคลิป) https://goo.gl/sWUBdV
หรือ โพสต์ของคุณ วาสนา นาน่วม (พร้อมคลิป) ที่นี่ https://goo.gl/YJ5wge

ที่ขำๆ ยังไงท่านผู้อ่านลองช่วยฟังจากคลิปดูนะครับ แต่ที่ผมฟัง ดูเหมือนนักข่าวตอนถามว่า "ก็มีคนแปล" (เสียงค่อยในคลิป) ไม่ได้เอ่ยชื่อผมเลย แต่คุณ "ป้อมใหญ่" เขาเอ่ยขึ้นมาเอง "ก็ไอ้สมศักดิ์เจียมมันแปลน่าเชื่อถือหรือเปล่าล่ะ" -- อย่างนี้ ก็แสดงว่าคุณ "ป้อมใหญ่" เขาแอบอ่านของผมแล้วสิ
ขอขอบคุณข้อมูล
https://www.youtube.com/watch?v=NH7fos_JPug

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 ปฏิญญาว่าด้วยการเลือกตั้งของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยให้ไว้

5 ปฏิญญาว่าด้วยการเลือกตั้งของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยให้ไว้



(ล่าสุด) ปฏิญญาลอนดอน ประยุทธ์ยืนยันนายกฯ อังกฤษ ไทยเลือกตั้งต้นปี 2562 แน่นอน






เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 เวลา 16.15 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เดินทางเยือนทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง โดยมีนางเทเรซา เมย์ (Theresa May) นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรให้การต้อนรับและถ่ายรูปร่วมกันก่อนที่จะพบปะหารือ

พล.อ. ประยุทธ์ ได้ขอบคุณที่รัฐบาลอังกฤษให้การต้อนรับการในเยือนครั้งนี้ พร้อมชื่นชมนางเทเรซา เมย์ ในการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งในการเจรจาให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปด้วยเงื่อนไขที่ดีที่สุด

รวมถึงนโยบาย Global Britain ที่ยึดมั่นในการค้าเสรี และเป็นโอกาสดีที่สหราชอาณาจักรจะเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่างๆ ทั้งในและนอกยุโรป พร้อมชื่นชมที่สหราชอาณาจักรให้ความสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยให้ความสำคัญเช่นกัน

ส่วนเรื่องการเดินหน้าทางการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยยืนยันว่า ต้นปีหน้าจะมีการเลือกตั้งแน่นอน เพราะกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งต่างๆ หลายฉบับทยอยประกาศมีผลบังคับใช้แล้ว และการเดินหน้าเข้าสู่ประชาธิปไตยของไทยจะต้องมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และเหมาะกับบริบทของความเป็นไทย

ขณะเดียวกันสิ่งที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการในขณะนี้คือเดินหน้าการปฏิรูปโดยมีวัตถุประสงค์ให้ประเทศไทยมีการพัฒนาที่มีระเบียบแบบแผน ประเด็นสำคัญอีกเรื่องประเทศไทยจะต้องเตรียมตัวสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10

ขณะที่ นางเทเรซา เมย์ กล่าวว่า ได้ติดตามพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทยอย่างใกล้ชิด และมั่นใจว่าไทยกำลังเดินทางสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคง ยั่งยืน รวมทั้งเล็งเห็นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร เนื่องด้วยประเทศไทยมีศักยภาพและมีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคอาเซียน พร้อมที่จะเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาค และดำเนินความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โดยจะดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับการเปิดการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหราชอาณาจักร ตลอดจนความเชื่อมั่นที่มีต่อนโยบาย Thailand 4.0 และยินดีสนับสนุนให้ภาคเอกชนอังกฤษร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
ที่มา The Standard

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 ปลดล็อคผังเมือง ในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีเขียว กับผลต่อการนำเข้าขยะพิษ ขยะอิเล็กทรอนิกส์

คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 ปลดล็อคผังเมือง ในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีเขียว กับผลต่อการนำเข้าขยะพิษ ขยะอิเล็กทรอนิกส์






คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 ประกาศเมื่อ วันที่ 20 มกราคม 2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม สําหรับการประกอบกิจการบางประเภท
.
สาระสำคัญคือ โรงงานประเภทพลังงานทดแทน และโรงงานคัดแยก ฝั่งกลบและรีไซเคิลขยะและกากอุตสาหกรรม สามารถที่จะก่อสร้างในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีเขียว พื้นที่เกษตรกรรมได้ ซึ่งในอดีตไม่สามารถสร้างได้
.
เหตุผลที่ต้องมีการปลดล็อคผังเมือง ตามคำสั่งนี้อ้างว่าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาขยะล้นเมือง เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งดำเนินการทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว แต่ในขณะเดียวกัน โรงงานเหล่านี้ไม่ถูกกำหนดให้ต้องทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA จึงทำให้ภาคประชาสังคม เห็นว่า การก่อตั้งโรงงานในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมโดยไม่มีการประเมินผลกระทบก่อน จะส่งผลเสียต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม







แล้วทำไม คำสั่งหัวหน้า คสช. ถึงเกี่ยวข้องกับประเด็นขยะอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ?
.
โรงงานประเภท 105 คือ โรงงานคัดแยก-ฝังกลบ วัสดุไม่ใช้แล้ว โรงงานประเภท 106 คือ โรงงานรีไซเคิล ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและของเสียจากโรงงาน
.
หากดูเฉพาะโรงงานประเภท 105 และ 106 ที่ได้รับใบอนุญาตตั้งแต่ ปี 2557 83 โรง ปี 2558 93 โรง
แต่ภายหลังมีคำสั่งหัวหน้า คสช. 20 มกราคม 2559 ยกเลิกผังเมือง มีโรงงานที่ได้รับใบอนุญาต ปี2559 จำนวน 162 โรง ปี 2560 235 โรง และ ปี2561 (1 ม.ค. - 31 พ.ค.) 119 โรง รวมทั้งหมด 516 โรง โดยจังหวัดที่มีมากที่สุด 3 ลำดับ ได้แก่ ชลบุรี สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา





หากพิจารณาเฉพาะ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่มีการตรวจสอบพบการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าหลังมีคำสั่งปลดล็อคผังเมือง มีโรงงานประเภท 105 และ106 เพิ่มเป็น82โรง จาก 516 โรงทั่วประเทศ หรือคิดเป็นร้อยละ16 จากโรงงานทั้งหมด
.
แบ่งเป็น ประเภท 105 42 โรง จดแจ้งทั้ง 105 และ 106 3 โรง และ106 อย่างเดียว 37 โรง หากเปรียบเทียบกับปี 2556 - 2558 ที่มีการประกาศใช้กฎหมายผังเมืองรวม พบมีโรงงานได้รับการอนุญาตประกอบกิจการ 105 และ 106 รวม 23 โรง
.
สำหรับการออกใบอนุญาต กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะพิจารณาจากที่ตั้ง สภาพแวดล้อม และกฎหมายผังเมือง ซึ่ง โรงงานคัดแยกและรีไซเคิล ขยะประเภท 105 106 ไม่สามารถตั้งในพื้นที่สีเขียวได้ตามกฎหมายผังเมือง เพราะถูกกำหนดให้เป็นเขตชนบทและเกษตรกรรม แต่เมื่อกฎหมายผังเมืองที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมใช้เป็นเกณฑ์ในการออกใบอนุญาต ถูกคำสั่งหัวหน้าคสช. ยกเลิก จึงทำให้โรงงานประเภทนี้สามารถก่อสร้างได้





ทีมข่าวลงสำรวจพื้นที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา พบว่า หลายโรงงาน ตั้งอยู่ในพื้นที่สีเขียว ทั้งพื้นที่เพาะปลูกข้าว ไร่มันสัมปะหลัง และชุมชน
.
โรงงานบางแห่งถูกตรวจสอบ และสั่งให้ปิดปรับปรุง หลัง ดำเนินกิจการ ผิด พ.ร.บ.โรงงาน 2535 ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า ก่อนเริ่มก่อสร้างโรงงาน ไม่เคยรู้มาก่อนว่า จะมีโรงงานมาตั้งใกล้บ้านขนาดนี้ และมองว่าชาวบ้านต้องได้รับข้อมูลและมีส่วนร่วม เพราะถือเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะต้องใช้ทรัพยากรร่วมกัน
.
สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการโรงงานเหล่านี้ จึงเรียกร้องให้มีการยกเลิกคำสั่ง หัวหน้า คสช. 4/2559 ให้โรงงานประเภทนี้จัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ และมีมาตรการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม





ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ระบุ ไทยมีปริมาณการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับอนุญาต

ปี 2558 2,856.41 ตัน
ปี 2559 9,402.62 ตัน
ปี 2560 53,290.60 ตัน
ปี 2561 37,805.59 ตัน

จะสังเกตเห็นได้ว่า การนำเข้าปี 2560 มากกว่าปี 2559 อย่างก้าวกระโดดเกือบ 6 เท่าตัว
.
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ระบุว่า ปัจจุบันมีการอนุญาตให้โรงงาน 7 แห่ง นำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และของเสียอันตราย ตามอนุสัญญาบาเซล

และพบกระทำผิดเงื่อนไขการนำเข้า 5 บริษัท และทั้งหมดถูกพักใบอนุญาตนำเข้าแล้ว

ล่าสุด มีปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ 3 หมื่นตัน เมื่อผ่านกระบวนการรีไซเคิล ไม่ได้มีเฉพาะวัสดุที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่ยังมีของเสียอันตรายที่เกิดจากกระบวนการนี้ คิดเป็นร้อยละ 10

ของเสียอันตราย ต้องถูกส่งไปกำจัดและบำบัดตามมาตรฐาน แต่ในความเป็นจริง โรงงานก็ไม่ได้ส่งไปกำจัดและบำบัดอย่างถูกวิธี อีกทั้ง มาตรการติดตามของภาครัฐ ก็ไม่มีชัดเจน





แล้วคุณคิดว่า...
คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 ปลดล็อคผังเมืองเพื่อให้สามารถตั้งโรงงานประเภทพลังงานทดแทน และโรงงานคัดแยก ฝั่งกลบและรีไซเคิลขยะและกากอุตสาหกรรม ในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีเขียว พื้นที่เกษตรกรรมได้

ส่งผลต่อการนำเข้าขยะพิษหรือไม่?


หวังว่าเมื่อทุกท่านฯ อ่านแล้ว คงจะทราบว่าใครคือ ไอ้ตัวปัญหาที่ทำให้สับปะรดราคาเหลือกิโลละบาทเดียว

หวังว่าเมื่อทุกท่านฯ อ่านแล้ว คงจะทราบว่าใครคือ ไอ้ตัวปัญหาที่ทำให้สับปะรดราคาเหลือกิโลละบาทเดียว





ต้องขอเรียนว่า เรื่องสับปะรด อ่านได้ แต่ห้ามเถียง เพราะผมคือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องธุรกิจสับปะรด ในช่วงวัยหนุ่ม ครอบครัวผมปลูกเองก็ เต็มพื้นที่ 300 ไร่เศษที่มีอยู่ ผมรับซื้อจากชาวไร่ และส่งขายโรงงานสับปะรดกระป๋อง เป็นผู้ค้าส่งรายใหญ่ของ บจก โดลไทยแลนด์ ปีหนึ่งๆ หลายหมื่นตัน

ปัญหาของสับปะรดที่ผ่านมาปัญหาไม่ใหญ่มากนัก มีอยู่ช่วงหนึ่งที่สับปะรดรับซื้อจากชาวไร่ราคาตก เพราะประเทศ ไอวอรี่โคสต์ อดีตเมืองขึ้นฝรั่งเศส ในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเขาได้รับสิทธิทางภาษี GSP เหมือนเรา แต่ประเทศเขาอยู่ใกล้ยุโรปมาก เขาเอาส่วนต่างค่าขนส่งทางเรือมาตัดราคาเรา และคุณภาพสับปะรดของเขาเหมือนเรา เพราะเขาอยู่ในเส้นละติจูตเดี่ยวกับเรา (ถ้าดูแผนที่โลก ไล่ตามเส้นละติจูตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ของเราไปเลย อยู่ทางซ้ายมือของประเทศเราบนแผนที่โลก) แต่บุญของเกษตรกรของไทยดีกว่าเกษตรกรไอวอรี่โคสต์ เทวดาคุ้มครองเรา ไอวอรี่โคสต์ ทำตลาดยุโรปของเราพังไปแค่ปีกว่าๆ การเมืองภายในของไอวอรี่โคสต์ ก็มีการแย่งอำนาจการปกครองกัน เอารถถังออกมายึดอำนาจกันไป-มา ตลาดยุโรป ยกเลิกการนำเข้าสับปะรดกระป๋องจากไอวอรี่โคสต์ ที่ปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการในทันทีเพราะต้องจ่ายภาษีเต็มๆ และผู้นำเข้าสหภาพยุโรป ก็ถูกผู้ส่งออกของเราสั่งสอนจนเข็ดหลาบ ต่อมาเมื่อไอวอรี่โคสต์ มีรัฐบาลเลือกตั้ง แม้เสนอราคาต่ำเท่าใด ผู้นำเข้าของยุโรป ก็ไม่กล้าทุ่มส่งคำสั่งซื้อไปจนกระทบตลาดของเราอีกแล้ว และถึงวันนี้ไอวอรี่โคสต์ ก็ยังมีปฏิวัติบ่อยๆ ทำให้ผู้นำเข้าของยุโรป เกิดความหวาดกลัว กลัวผู้ส่งออกของไทย จะไม่ส่งสินค้าให้ขายอีก

ตลาดยุโรป เรามีส่วนแบ่งอยู่ 45% ตลาดสหรัฐเรามีส่วนแบ่งอยู่กว่า 50% (ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ)

ปัญหาทางด้านการเมือง ที่ทหารปฏิวัติบ่อยๆ ก็ทำให้บริษัทผลิตสับปะรดกระป๋องในเมืองไทยที่เป็นบริษัท Multi-Nation เขาก็ป้องกันความเสี่ยง ด้วยการไปมีโรงงานในฟิลิปปินส์ ในอินโดนีเซียพร้อมกันไปด้วย ซึ่งทั้งสองประเทศนี้รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากร คาดการณ์ว่าอีก 8-10 ปี จึงจะมีรายได้ต่อหัวประชากร ที่จะหมดสิทธิการใช้สิทธิพิเศษด้านศุลการกร GSP ซึ่งของเราหมดไปแล้ว แต่รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ฯ ได้เตรียมโปรแกรม FTA รองรับไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่พอเรามีการปฏิวัติ เราก็ไปอยู่แถวเดียวกับไอวอรี่โคสต์ ต้องจ่ายภาษีเข้า 18 - 25% ตามชนิดของสับปะรดกระป๋อง แต่ถ้าเราอยู่ในโปรแกรม GSP ภาษีขาเข้าจะอยู่ที่ 0-3.5% นี่คือความพ่ายแพ้ของผู้ผลิตสับปะรดกระป๋อง ในประเทศไทย ต่อฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย 2 ประเทศนี้กวาดตลาดใหญ่ของสับประกระป๋องในสหภาพยุโรป ไปเรียบ ใครจะมาภักดีกับแบรนด์สินค้าของเรา ที่แพงกว่าสินค้าจาก 2 ประเทศนั้นตั้ง 20% รวมทั้งกุ้ง และอาหารทะเล ก็เจอปัญหานี้ด้วย

ทหารยุคโบราณของเรา ท่านฯ ฉลาดมาก ท่านฯ ปฏิวัติแย่งอำนาจกัน ท่านฯ จะทำอย่างรวดเร็ว แล้วจัดเลือกตั้งเลย ไม่รอให้เกิดความเสียหายด้านการส่งออกของประเทศ เราคนชาวบ้านทำมาหากิน เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับอำนาจอยู่แล้ว แต่การที่เราถูกปกครองโดยรัฐบาลทหารยาวนานมา 4 ปี ทำให้การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ไม่สามารถเจรจาได้ เพราะเป็นข้อห้ามสำคัญของประเทศพัฒนาแล้วเขา แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามเราส่งสินค้าไปขาย ส่งไปได้ แต่ต้องจ่ายภาษีเต็มๆ แล้วสินค้าของเราราคาขายจะไปสู้สินค้าจากประเทศที่ได้ GSP เขาได้หรือเปล่าล่ะ ส่วนเราจะซื้อสินค้าจากเขา เขายินดีขายให้เราอยู่แล้ว

หวังว่าเมื่อทุกท่านฯ อ่านแล้ว คงจะทราบว่าใครคือ ไอ้ตัวปัญหาที่ทำให้สับปะรดราคาเหลือกิโลละบาทเดียว
ขอขอบคุณข้อมูล : Thaienews

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

พบน้ำตกใหม่ "ป่าแหว่งธาราธาร"

พบน้ำตกใหม่ "ป่าแหว่งธาราธาร" 😂😂😂




...





ป่าแหว่ง : หมู่บ้าน “อาคารวิบัติ” ทั้งแหว่ง ทั้งชัน ดินสไลด์ พัง ทรุด

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ศึก “หมู่บ้านป่าแหว่ง” โครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการ ศาลอุทธรณ์ ภาค 5 เชิงดอยสุเทพ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ยกใหม่มีการการันตีมันส์ ซี้ด... ถึงใจพระเดชพระคุณแน่ เพราะหมดเวลาเกมยื้อแล้ว และเห็นแล้วว่าฟากฝั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่ทำทีโยนผ้า แต่ว่าเอาเข้าจริงกลับทำ “เสมือน” ไม่ยอมรับกติกาที่ตกลงกันเอาไว้ ทำให้คำบัญชาของนายกรัฐมนตรีที่ว่าให้ตั้งกรรมการร่วมหาทางออก ฟื้นฟูสภาพ และห้ามใครเข้าอยู่อาศัย หาความเชื่อถืออะไรไม่ได้ เสมือนตบหน้าโชว์สาธารณะกันฉาดใหญ่

“.... เรากำลังแก้ปัญหาอย่างถูกวิธีก็คือแก้ทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ .... ขอให้ไว้เนื้อเชื่อใจ ในเมื่อผมไม่ให้ใครอยู่ก็ไม่ให้ใครอยู่ .... เรื่องจะรื้อไม่รื้อเป็นเรื่องของคณะกรรมการไปว่ากันมานะ...”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2561 ณ อาคารเอนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2561 ซึ่งมีความชัดเจนว่าให้เคลียร์ปัญหาให้จบและห้ามเข้าอยู่อาศัยโดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นป่าแหว่งแทงใจสาธารณชน

ปัญหารอบใหม่อุบัติขึ้น ด้วยปรากฏว่า คณะอนุกรรมการศึกษาการดำเนินการในส่วนของสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้พื้นที่เป็นป่าสมบูรณ์ กรณีก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการ (อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่) ที่มีนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน เพื่อหาข้อยุติปัญหาที่เกิดขึ้นตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อขอเข้าพื้นที่เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2561 แต่กลับได้รับการปฏิเสธไม่ให้ตัวแทนประชาชนที่เป็นกรรมการและอนุกรรมการเข้าไปในพื้นที่ เป็นเสมือนการตบหน้าผู้ว่าราชการจังหวัด รัฐมนตรี ตลอดถึงนายกรัฐมนตรี อย่างจัง อีกครั้ง

“.... การไม่ให้ตัวแทนประชาชนที่เป็นกรรมการ/อนุกรรมการเข้าไปในพื้นที่ ก็คือการตบหน้าผู้ว่าราชการจังหวัด รัฐมนตรี ตลอดถึงนายกรัฐมนตรีอย่างจังๆ ก็นายกฯ แถลงข่าวออกมากับปาก ว่าจะให้มีคณะกรรมการไปศึกษาหาทางออก ไปตั้งกรรมการมา ... นี่ก็ตั้งแล้ว ... แล้วไง อำนาจหน้าที่เพื่อไปศึกษาข้อเท็จจริง แต่เข้าพื้นที่ดูข้อเท็จจริงไม่ได้ มันพิสูจน์ด้วยตัวเอง ว่าตั้งแต่ปี 56 - 57 ทำไมโครงการมาทำโดยไม่ต้องแจ้งใคร อบต.ท้องที่ก็เข้าไม่ได้ ไม่มีใครเคยเห็นแบบแปลน ก็ไม่ต้องแยแสใครแบบนี้นี่เอง” นายบัณรส บัวคลี่ โฆษกเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว Bunnaroth Buaklee จี้จุดต้นตอปัญหา

ต่อด้วยความที่ว่า “ท่านไม่ให้เข้า เราก็เอามาโชว์ซะ ตัวแทนของคณะกรรมการและหน่วยราชการที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมาย ประชุมที่ศาลากลาง ทำหนังสือล่วงหน้าขอเข้าไปดูพื้นที่วันที่ 12 มิ.ย. ส่งรายชื่อแนบด้วย ให้เกียรติเจ้าของสถานที่ตามขั้นตอน จน .... 11 มิ.ย. ณ เวลา 17.00 น. เลยเวลาราชการไปแล้วยังไม่มีคำตอบ สำหรับภาคเอกชนอย่างเรา นี่เป็นเรื่องง่วงเง่าน่างุนงง ในเมื่อท่านยอมรับให้ฝ่ายบริหารดำเนินการ ขนาดที่นายกรัฐมนตรีของประเทศประกาศให้มีกลไกไปดู ศึกษา เสนอเรื่อง เพื่อยุติปัญหา แถลงข่าวออกสื่อดังๆ ท่านก็ไม่นำพา !!

“เราสงบเงียบเรียบร้อย ทำตามกลไก ขั้นตอนทุกอย่าง เพื่อให้เรื่องยุติในห้องประชุม แต่ในเมื่อท่านไม่เข้าใจ ว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่สังคมเขาเห็นตำตา ประจักษ์ชัดเจนขนาดไหน ...ท่านยังไม่เข้าใจ ท่านก็จะได้เข้าใจ ไว้ท่านรอดูแล้วกันนะขอรับ การันตีความมันส์ ซี้สที่นี่..เร็วๆ นี้.....”

Bunnaroth Buaklee ยังได้แชร์โพสต์ของ “ชาติ มาลัย” ในเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าฯ ด้วยว่า “.... การค้ดค้านบ้านป่าแหว่งของชาวเชียงใหม่ และชาวไทยทั่วประเทศ ที่กำลังดำเนินอยู่นั้น ต้องยอมรับกันว่า คู่กรณีที่แท้จริงตั้งแต่ต้นก็คือ สำนักงานศาลยุติธรรม และข้าราชการตุลาการบางคน

ในเบื้องต้นนั้น คนเชียงใหม่เริ่มเห็นรอยแหว่งของป่าดอยสุเทพ ต่างก็กังขา ตั้งคำถามกันต่าง ๆ นานา บางคนก็ก่นด่าประกอบความสงสัยไปด้วย เมื่อเสียงคัดค้านดังมากขึ้น ๆ ก็มีคนใหญ่โตระดับอธิบดี ออกมาแถลงพร้อมกับขู่ไปพร้อมกันว่า ที่พวกคุณกำลังด่ากันอยู่นั้น มันคือโครงการของศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ซึ่งทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายนะ หากยังยังไม่หยุด ยังเผยแพร่ ยังคัดค้าน และทำให้ศาลฯเสียหาย จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จนถึงที่สุด ได้ผล ทุกสำนักข่าว ทุกนักเลงคีย์บอร์ด ทุกนักเคลื่อนไหว หยุดกันหมด

และเมื่อคนเชียงใหม่ทนไม่ได้ ออกมาคัดค้านอีกครั้ง ก็มีการโยนกลองไปให้รัฐบาล โดยแถลงว่า จะเอาอย่างไรกับบ้านป่าแหว่งก็เอาเถอะ ตามแต่รัฐบาลก็แล้วกันจนทำให้รัฐบาลส่งคุณสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ ออกมาตั้งโต๊ะเจรจาผลออกมา ก็จะต้องเป็นไปตามที่รัฐบาลขีดเส้นไว้ นั่นคือเข้าสู่โหมดยืดเยื้อ แต่ภาคีเครือข่ายเอง ก็ดูเหมือนจะเต็มใจ(หรืออาจจำใจ) ที่จะทำตามขั้นตอนที่รัฐบาลขีดเส้นไว้ นัยว่า นี่คือการเรียกร้องของพลเมืองดี

สถานการณ์กำลังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ค่อย ๆ ดำเนินการไปในแต่ละขั้นตอน ซึ่งถือว่าไม่เป็นสิ่งที่ประชาชนชอบนัก แต่แล้วการณ์กลับตาลปัตร สำนักงานศาลยุติธรรม ที่เคยเบี้ยวนัดการพบปะพูดคุยกับประชาชนมาถึงสองครั้ง และยังกีดกันไม่ให้ตัวแทนเครือข่ายฯที่เป็นตัวแทนของชาวเชียงใหม่เข้าไปร่วมรังวัดแนวเขตป่ามาแล้ว วันนี้ท่านยังรักษาสถานภาพที่คงเส้นคงวา โดยไม่ยอมให้คณะอนุกรรมการฯที่เป็นประชาชน เข้าร่วมทำงานโดยการตรวจสอบโครงการบ้านป่าแหว่ง จะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ แต่การกระทำเช่นนี้ มันคือการตบหน้าประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จะเป็นอื่นใดไม่ได้ นอกจากต้องการที่จะยืนอยู่คนละข้างกับประชาชน

“กรณีนี้ จะเป็นการเรียกแขกอีกครั้งหนึ่ง แขกที่จะมารอบนี้ อาจจะไม่มีการออมชอม ไม่มีการเจรจา ไม่มีการประนีประนอมเพราะคู่กรณีตัวจริงกลับมาเผชิญกับประชาชนอีกครั้งหนึ่งแล้ว” “ชาติ มาลัย” เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าฯ อุ่นเครื่องรอแขก

สำหรับเรื่องการไม่ให้เข้าพื้นที่นั้น ทางเครือข่ายทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพ เห็นพ้องกันว่า จะทำหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะเป็นประธานกรรมการแก้ปัญหาในส่วนของจังหวัด ว่าเหตุใดทางเครือข่ายภาคประชาชน ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่เพื่อร่วมตรวจสอบทั้งที่เป็นคณะทำงานร่วม ซึ่งในส่วนของภาคประชาชนต้องการเข้าไปสำรวจพื้นที่โดยภาพรวม สำรวจผลกระทบเรื่องดิน เรื่องแหล่งน้ำ พื้นที่ก่อสร้างอาคารต่างๆ รวมทั้งตรวจสอบผู้ที่เข้าไปใช้พื้นที่ ซึ่งทราบมาว่ามีมากกว่า 30 ครอบครัว เข้าไปอยู่อาศัยในอาคารชุดที่อยู่ในพื้นที่ต้องส่งคืน

ขณะที่การส่งมอบพื้นที่ ล่าสุด ทางธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ ทำหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง “ขอกำหนดการรับมอบบ้านพักข้าราชการตุลาการจากผู้รับจ้างก่อสร้าง” เพื่อขอความชัดเจนเรื่องความพร้อมในการส่งมอบงานให้ทันกำหนด วันที่ 18 มิ.ย. 2561 หรือไม่ แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน

หลังวันที่ 18 มิ.ย. 2561 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายตามสัญญาของผู้รับเหมาที่จะต้องส่งงาน เครือข่ายฯ มองเห็นแล้วคาดว่าทางผู้รับเหมาจะไม่สามารถส่งงานได้ทันเวลาต้องถูกปรับวันละ 1 แสนบาท ทางศาลเองสามารถใช้ข้อสัญญานี้บอกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา และคืนพื้นที่กับธนารักษ์ได้ทันที และจะต้องให้คนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวออกทั้งหมดและส่งมอบพื้นที่ต่อไป เรื่องนี้ทางเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าฯ จะทำหนังสืออีกฉบับเพื่อเร่งดำเนินการอีกครั้งหลังวันที่ 18 มิ.ย. 2561

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ถึงเวลานี้ หมดข้ออ้างสุดท้ายที่ว่าขอให้มีการส่งมอบงานตามสัญญาที่จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2561 นี้ก่อน แล้วสำนักงานศาลฯ จึงจะส่งมอบพื้นที่ให้กรมธนารักษ์ เพื่อให้ดำเนินการฟื้นฟูกันต่อไปตามข้อตกลงไม่งั้นจะผิดสัญญา

นายบัณรส ระบุว่า 1. ไม่ทันแน่นอนทั้ง 2 สัญญา 2.กำหนดเวลาต้องปรับตามสัญญา รวมแล้วราว ๆ วันละ 3.5 แสนบาท 3. ผู้รับเหมาอาจต่อรองให้ต่อสัญญาออกไป (เพื่อไม่ต้องปรับ) โดยชี้ว่าเป็นปัญหาจากฝ่ายผู้ว่าจ้าง (งานนี้ต้องจับตา...สนง.ศาลจะต่ออายุสัญญาอีกไหม) 4. ข้อเท็จจริงคือ มีการต่อสัญญามาแล้ว ยืดให้เกือบ 3 ปี จนบัดนี้ก็ไม่แล้ว... ดูสภาพแล้วไม่น่าจะแล้วง่ายๆ

5.บางจุดสร้างไป พังแล้ว ต้องสร้างใหม่ 6. ฝนตกชะดินภูเขามาถมถนนคอนกรีตในโครงการ จุดนี้แก้ยังไง ทางไหลของน้ำ เพราะอาจเป็นงานงอก ไม่มีงบเพื่อการนี้หรือเปล่า? 7. มีการปรับเปลี่ยนแบบ/รายละเอียดมาแล้วหลายครั้ง ดูได้จากมีการทำบันทึกท้ายสัญญา 12-16 ครั้งมาแล้ว 8. นี่เป็นวิบากกรรมของการเลือกทำเลผิด ออกแบบผังพลาด สภาพแวดล้อมภูเขาและป่าดอย ผิดธรรมชาติของคนอยู่ ก็ดันทุรัง มันเป็นวิบากกรรม...ก็ยังมีคน(บางคน)พยายามดันทุรังต่อไป ช้างตายทั้งตัว......

การยึกยักยื้อเวลา เรียกแขกรอบใหม่ ไม่ใช่แต่เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพเท่านั้น ที่ประกาศลั่นจะไม่มีรายการประนีประนอมกันอีกแล้ว แม้แต่ธรรมชาติก็ยังไม่ประนีประนอมด้วย ดูจากสภาพพื้นที่ที่ตั้งโครงการเวลานี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า “อยู่ยาก”

ดังที่ รศ. ชูโชค อายุพงศ์ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มช. โพสเฟซบุ๊ค ส่วนตัว Chuchoke Aryupong เมื่อวันที่ 12 มิ.ย 2561 ว่า “...ทั้งแหว่งทั้งชัน.!!” โดย รศ.ชูโชค ซึ่งเป็นผู้แทนศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มช. ในฐานะกรรมการของจังหวัด ลงพื้นที่โครงการบ้านพักตุลาการ เก็บข้อมูลการใช้พื้นที่ เพื่อตอบโจทย์ประเด็นความเหมาะสมของการเลือกพื้นที่และควรรื้อหรือไม่ “.... เท่าที่ดู เดินไปหอบไป สามารถตอบได้อย่างไม่ต้องวิเคราะห์อะไรให้ซับซ้อนครับ..???”

เมื่อดูภาพที่ รศ.ชูโชค โพสต์โชว์ต่อสาธารณะก็มีคำตอบชัดเจนในตัวอยู่แล้ว

รศ.ชูโชค ได้กล่าวไว้ในการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาการดำเนินการในส่วนของสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้พื้นที่เป็นป่าสมบูรณ์ กรณีก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการ (อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่) ที่มีนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประธานอนุกรรมการฯ เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2561 ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่ง “สำนักข่าวเห็ดลม” รายงานว่า “..... เป้าหมายใหญ่คือการรื้อ เพราะกระทบต่อสังคม จากการเลือกทำเลที่ไม่เหมาะสม หรือ Site Selection ซึ่งล้มเหลวมาตั้งแต่ต้น เพราะพื้นที่ล้อมรอบด้วยผืนป่า ยังไม่รวมผลกระทบต่อดิน น้ำหลาก และปัญหาไฟป่า เพราะฉะนั้นเราใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เห็นนี้อ้างอิงไปในคำเสนอแนะต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ได้เลย รวมทั้งเราจะใช้ข้อกฎหมายตัวไหนมานำสิ่งปลูกสร้างออกไม่ว่าจะรื้อหรือมีวิธีการใดเพื่อนำไปใช้ประโยชน์

“แค่ปัญหาไฟป่า ก็ไม่กล้าอยู่แล้ว แต่ยังล้ำเข้าไปในป่าว่าพื้นที่นี้ไม่เหมาะสม ถือเป็นธงที่ชัดเจนที่สุด การสร้างบ้านพัก 40 หลัง บนที่ดิน 40 ไร่ ผิดตั้งแต่คิด เพราะบ้าน 1 หลัง ใช้พื้นที่ 1 ไร่ ก็ไม่เหมาะสมแล้ว นี่ถือเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนที่สุด ที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ดำเนินการรื้อบ้านคนบุกรุกป่าก็เพราะบุกรุกที่ป่า ไม่ได้ใช้เหตุผลในทางวิศวกรรม เราก็ใช้พื้นฐานเดียวกัน” รศ.ชูโชค กล่าว

นายธำรงค์ สมพฤกษ์ จากวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) สาขาภาคเหนือ 1 กล่าวว่า สรุปคือ 1.เราจะฟื้นฟูป่าโดยไม่มีสิ่งปลูกสร้าง 2.ไม่จำเป็นต้องไปประเมินปัญหาสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเออีก เพราะมีข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่แล้ว 3.ผิดระเบียบและข้อบังคับใดบ้าง ทั้งกฎหมายสิ่งแวดล้อม สิ่งก่อสร้าง และอื่นๆ 4.ในแง่ความเหมาะสมไม่ได้ทั้งผลกระทบทางวัฒนธรรม สังคม และจิตใจ สรุปคือไม่ควรมีบ้านอยู่

5.ข้อเสนอแนะในการจะรื้อทิ้ง หรือเอาไปใช้ ให้ประสานกับบริษัทที่มีการทำโครงการปลูกป่าในลักษณะ CSR รับซื้อไปและนำเงินคืนหลวง เชื่อว่ามีบริษัท เช่น ปตท. หรืออื่นๆ ที่มีโครงการปลุกป่าเป็น 100 ล้านต่อปี ยินดีซื้อบ้านหลังละ 10 ล้าน ก็ได้เงินคืนหลวงแล้ว ไม่มีใครเสียหาย และ 6.หาทางออกให้ศาลด้วยการหาพื้นที่ปลูกบ้านให้ใหม่ โดยให้เสนอแนะไปยังคณะกรรมการชุดใหญ่ว่าจะใช้อำนาจบริหารด้วยการมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าปัญหาส่งผลกระทบต่อประชาชน หรือใช้กฎหมายสิทธิชุมชน หรือจะใช้อำนาจนิติบัญญัติ ก็เสนอ สนช.ออกกฎหมายและประกาศเป็นกฤษฎีกา

“..... เห็นอยู่แล้วว่าไม่เหมาะสม มีข้อมูลมีทางออกอยู่แล้ว ไม่ต้องศึกษาแล้ว เพราะนี่คือข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนเห็น หรือจะเรียกว่าความผิดซึ่งหน้า ไม่ต้องไปโทษว่าเป็นความผิดใคร สรุปว่าไม่เหมาะสมและไม่ควรมีสิ่งปลูกสร้าง นาทีนี้ไม่ควรใช้หลักนิติศาสตร์และต้องใช้รัฐศาสตร์เพื่อประคับประคองจิตใจ ซึ่งภายใน 10 วัน การรวบรวมข้อมูลน่าจะเรียบร้อย พร้อมนำเสนอแนะข้อยุติต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการทั้งสองชุดในวันที่ 6 กรกฎาคม 2561นี้ ก่อนที่จะนำเข้าประชุมร่วมในคณะกรรมการชุดใหญ่ระดับจังหวัดภายในเดือนกรกฎาคมนี้” นายธำรงค์ กล่าว

ทั้งเงื่อนเวลาของสัญญา ทั้งสภาพพื้นที่ตั้งที่ไม่เหมาะสมเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ทั้งคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ชัดเจนมาก่อนหน้านี้แล้ว ต้องบอกว่าหมดเวลายื้อ มีแต่ต้องรื้อสถานเดียวเท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูล
ผู้จัดการ สุดสัปดาห์ และ  ภาพ: อริญชย์วิทย์ Chaiyathep

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ปากเป็นเอกของประยุทธ์ใช้ 'ระราน' พระ (พยอม) แต่ 'ละเลย' ความรู้ขั้นปฐมว่ากระทรวงศึกษาเป็นหน่วยงานรัฐบาล

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 14, 2561

ปากเป็นเอกของประยุทธ์ใช้ 'ระราน' พระ (พยอม) แต่ 'ละเลย' ความรู้ขั้นปฐมว่ากระทรวงศึกษาเป็นหน่วยงานรัฐบาล


น่าจะเป็นเพราะ พระพยอม’ เทศน์เรื่อง “กินเงินเดือนเป็นแสน กลับนอนหลับในที่ประชุม” แล้ว “อย่างนี้ไม่เรียกว่าปล้นเงินหลวง ปล้นเงินคลัง ได้อย่างไร” ทำให้ I-Tube ของขึ้นอีก

หัวหน้า คสช. ที่อยากนั่งในตำแหน่ง นรม. ต่ออีก (แต่ปากบอกไม่) เกิดปรี๊ดแตกเรื่องพระสงฆ์วิจารณ์การเมืองผ่านสื่อสังคม ก็เลยโพล่งไม่มีปี่มีขลุ่ยที่ราชภัฏนครสวรรค์ว่า “พระบางรูปออกมาเคลื่อนไหวผ่านสื่อโซเชียลมีเดียนั้น มันสมควรหรือไม่ พระบางรูปออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง”

ไม่รู้ตั้งแต่ครั้งไหนที่ห้ามพระพูดเรื่องการเมือง พระไม่ใช่ประชาชน พลเมือง หรือปัจเจกชนด้วยหรือไร จึงตำหนิ สนช.ลิ่วล้อ คสช.ที่นอนหลับระหว่างประชุมงบประมาณฯ ๖๒ ไม่ได้ แล้วยังถามแรงว่า “มันเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่”

มีใครต่อใครตอบเยอะ ชำนาญ จันทร์เรือง รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คนหนึ่งละ ตอบว่า “ทหารมีหน้าที่ป้องกันประเทศ...แต่การที่ทหารมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง มันใช่กิจของทหารหรือไม่”

บางรายก็ชี้ว่า เอ๊ะอย่างนั้น สุวิทย์ ทองประเสริฐ เมื่อครั้งใช้นาม พุทธะอิสระ’ เที่ยวไปออกทีวี และนำม็อบข้างถนนบุกโน่น ปิดนี่ นั้นล่ะ กิจสงฆ์ละหรือ
 
มีตัวอย่างมากมายหลายหนให้เห็น ในปี ๕๗ เช่น “พุทธะอิสระจี้ปลัดกลาโหมฯ นอนม็อพ ๓ วัน ๓ คืน” ข่าวเมื่อมีนา ๕๗, “พุทธอิสระนำม็อพ ปิดทีโอที –ไปรษณีย์ไทย” มกรา ๕๗ หรือว่า “พุทธะอิสระ นำม็อพข้าวบุคคลองตลาด” มีนา ๕๗ เป็นต้น

ขนาดอนุชนรุ่นใหม่อย่างประธานสโมสรนิสิตจุฬาฯ ธนวัฒน์ วงศ์ไชย ยังเสนอตัวอย่างให้ดูว่าควรเป็นอย่างไร เขาบอก “ประชุมพิจารณางบประมาณสโมสรนิสิตจุฬาฯ ไม่มีสมาชิกคนไหนนอนหลับเลยครับ...

(แม้นเห็นในภาพที่สมาชิกกำลังดูโทรศัพท์หรือโน้ตบุ๊ค เพราะเราอัพโหลดเอกสารให้อ่านในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ครับ ลดการใช้กระดาษ paperless” ประธานนิสิตชี้)
 
แล้วอย่างนี้เมื่อพระพยอมพูดถึงสมาชิกสภาที่ คสช.ตั้ง เล่นนอนหลับทับสิทธิพิเศษของตน อาจไม่ใช่กิจสงฆ์ แต่ก็เป็นกิจอันสำคัญของประชาชนที่แบกภาระภาษีอากร หัวหน้าจะหาว่าทำผิดพันธะหน้าที่ได้อย่างไร

มันทำให้ต้องกลับไปดูทั่นผู้นำเองว่าพูดกลับไปกลอกมาอยู่เสมอ แก้เก้อและผลักภาระรับผิดชอบอะไรบ้าง โดยเฉพาะล่าสุดทางด้านการศึกษา ต่อปัญหาบัณฑิตตกงานกันมากขึ้นทุกปีในยุค คสช. แทนที่จะพูดเพื่อหาทางแก้ไขเยียวยา กลับปัดสวะให้พ้นตัวไปวันๆ

ประยุทธ์บอกว่า ปัญหานักศึกษาตกงานกันมากขึ้นทุกนาฑี ไม่ใช่เรื่องรับผิดชอบของสำนักนายกฯ ให้ไปสอบถามกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เอาเอง
 
นี่ไง พวกยึดอำนาจได้มาอย่างง่ายๆ ไม่สนใจแม้แต่ในรายละเอียด หรืออาจไม่รู้จริงๆ ว่า กระทรวงศึกษาฯ เป็นหน่วยงานหนึ่งภายในรัฐบาล

ขอขอบคุณบทความ : Thaienews