วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พบกับ 5 นักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักมา กว่าพวกเขาจะไปถึงขั้นนั้นบอกเลยว่าไม่ได้มี ‘ดีแต่พูด’ อย่างเดียวแน่นอน


พบกับ 5 นักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักมา กว่าพวกเขาจะไปถึงขั้นนั้นบอกเลยว่าไม่ได้มี ‘ดีแต่พูด’ อย่างเดียวแน่นอน


แชแนลยูทูบเผยเรื่องราวของ 5 นักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จัก….กว่าพวกเขาจะมาได้ถึงขั้นนี้บอกได้เลยว่าไม่ได้มีดีแต่พูดอย่างเดียวแน่นอน
วินสตัน เชอร์ชิล : นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้มีบทบาทสำคัญในการพาชาติให้พ้นหายนะครั้งใหญ่จากการคุกคามของนาซีเยอรมันภายใต้การนับของฮิตเลอร์ เชอร์ชิลได้กล่าวสุนทรพจน์มากมายเพื่อให้กำลังใจประชาชนและทหารอังกฤษที่ทำการรบเพื่อป้องกันประเทศ ก่อนที่สหรัฐฯ จะเข้าร่วมสงครามและได้ชัยชนะในท้ายที่สุด
topfive-most-powerful-orators-pics-1

มาร์ติน ลูเธอร์ คิง : เขาเป็นนักเทศน์ในนิกายแบปทิส ผู้แสวงหาความเท่าเทียมของมนุษย์ และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของคนอเมริกันผิวดำ และเขาได้กลายเป็นนักเรียกร้องสิทธิมนุษย์ชนที่โด่งดังและมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว จนฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจและหาทางกลั่นแกล้งด้วยวิธีต่าง ๆ และ ลูเธอร์ คิง ไม่ยอมแพ้ เขายังคงเดินหน้าต่อสู้ในแบบฉบับของเขาจนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จนทำให้ผู้นำสหรัฐฯ ในขณะนั้นต้องยอมให้เข้าพบเป็นการส่วนตัว ต่อมา ลูเธอร์ คิง ถูกลอบยิงเสียชีวิต และทุกวันที่ 3 มกราคมของทุกปี กลายเป็นวัน ”มาร์ติน ลูเธอร์ คิง” โดยการรับรองของ ปธน.เรแกน
topfive-most-powerful-orators-pics-2

อดอลฟ์ ฮิตเลอร์ : ไม่ว่าคุณจะศรัทธาหรือเกลียดชังชายคนนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ ฮิตเลอร์คือนักกล่าวสุนทรพจน์ที่เก่งกาจจนหาตัวจับยาก เขาใช้วาทศิลป์รวบรวมนายทหารฝีมือดีของเยอรมันที่กำลังอ่อนแอให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยสไตล์การพูดที่ดุเดือดและชวนให้ฮึกเหิม ทำให้มีชาวเยอรมันในขณะนั้นจำนวนไม่น้อยที่พร้อมสู้ตายถวายหัวให้กับท่านผู้นำรายนี้ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเยอรมนีต้องพ่ายแพ้ในสงครามก็ตาม
topfive-most-powerful-orators-pics-3

จอห์น เอฟ เคนเนดี้ : ปธน.เคนเนดี้ คือผู้นำรุ่นใหม่ไฟแรง ที่กล่าวกันว่าชาวสหรัฐฯ ในขณะนั้นให้ความนิยมชมชอบไม่น้อย เพราะ ปธน.เคนเนดี้ มักใช้นโยบายทางการทูตนำหน้าการทหาร และพยายามเจรจาหาข้อยุติความบาดหมางระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต แต่น่าเสียดายที่นโยบายของเขาไม่ได้รับการสานต่อให้ลุล่วง เพราะ ปธน.เคนเนดี้ถูกลอบสังหารไปเสียก่อน
topfive-most-powerful-orators-pics-4

เนลสัน แมนเดลา : อดีตประธานาธิบดีและรัฐบุรุษของแอฟริกาใต้ ผู้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำ ด้วยเหตุนี้ทำให้แมนเดลาต้องถูกจำคุกอยู่นาน 27 ปี หลังจากพ้นโทษ แมนเดลายังไม่ย้อท้อ เขาเดินหน้าต่อสู้เพื่อคนผิวดำ จนแอฟริกาใต้ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ และทำให้แมนเดลาได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐบุรุษ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพโลก ก่อนเสียชีวิตในปี ค.ศ.2013 ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของชาวแอฟริกาใต้
topfive-most-powerful-orators-pics-5
ที่มา : WatchMojo.com

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อัตตะปือ หัวใจการเมืองลาวใต้

อัตตะปือ หัวใจการเมืองลาวใต้

อัตตะปือ ตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบระหว่างลำน้ำเซกองกับลำน้ำเซกะมาน มีอาณาเขตไม่ไกลจากกัมพูชาและเวียดนาม ภูมิประเทศส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยป่าทึบและเขาสูงที่ทุรกันดาร หากแต่เต็มไปด้วยทองคำและสินแร่นานาชนิด ในบรรดาหัวเมืองลาวใต้ทั้งหมด อาทิ เมืองจำปาสัก เมืองสาละวัน และเมืองโขง อัตตะปือ ถือเป็นนครที่ประกอบไปด้วยชนพื้นเมืองหลากหลายชาติพันธุ์ อาทิ เผ่าเบรา เผ่าละแว เผ่าอาลัก เผ่าส่วย ฯลฯ
ฉะนั้น ปัจจัยทางทรัพยากรและผู้คน จึงเป็นตัวกำหนดให้อัตตะปือกลายเป็นเขตพลวัตทางการเมืองในประวัติศาสตร์ล้านช้าง โดยเฉพาะการลุกฮือของชนพื้นเมืองเพื่อต่อต้านการเก็บส่วยสาอากรจากผู้ปกครองส่วนกลาง
สำหรับที่มาของชื่อ 'อัตตะปือ' เอเจียน แอมอนิเย ในหนังสือเรื่อง บันทึกการเดินทางในลาว ภาคที่หนึ่ง พ.ศ.2438 ได้ให้ความเห็นว่า อัตตะปือ อาจเพี้ยนมาจากภาษาชนเผ่าเบราที่เรียกเมืองนี้ว่า 'อิดกระบือ' ที่แปลว่า มูลควาย โดยอาจเป็นเพราะภูมิสัณฐานตรงจุดสบระหว่างเซกองกับเซกะมาน ที่พบเห็นสันดอนที่เกิดจากการต้อนควายของพ่อค้าเร่จากฝั่งเขมรมาพักไว้ตรงจุดสบก่อนส่งต่อให้พ่อค้าเวียดนาม จนทำให้เกิดสันดอนมูลควายขนาดใหญ่
ขณะที่ ภาษาเขมร ได้เรียกขานดินแดนแถบนี้ว่า 'อักกระไบ' หรือ 'อักกรอเบย' ซึ่งก็มีความหมายในทำนองเดียวกัน ดังนั้น อัตตะปือจึงเป็นเมืองการค้าตอนในที่เต็มไปด้วยปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ตามดินแดนต่างๆ
ในทางประวัติศาสตร์และการเมือง อัตตะปือ เคยเป็นฐานทรัพยากรที่ส่งผลต่อความรุ่งเรืองของราชสำนักล้านช้าง เช่น การร่อนทองคำของชนพื้นเมืองตามลำน้ำต่างๆ เพื่อส่งสายแร่ให้กับชนชั้นสูงและช่างศิลปะเวียงจันทน์ ตลอดจน การคล้องช้างป่าเพื่อส่งเข้ากองทัพหลวง และการเปิดตลาดเมืองอัตตะปือ ซึ่งเต็มไปด้วยการหมุนเวียนไหลบ่าของสินค้าป่านานาชนิด
โดยความสำคัญทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลให้ราชสำนักเวียงจันทน์ พยายามแผ่อิทธิพลเหนือเจ้าเมืองอัตตะปือเพื่อควบคุมการส่งส่วยแรงงานของชนพื้นเมือง
กระนั้น ด้วยการกดขี่ที่เข้มงวดในบางช่วงสมัย จึงก่อให้เกิดการประท้วงขัดขืนจากชนพื้นเมืองในวงกว้าง ซึ่งเรียกกันว่า 'ข่าขัด' อันเป็นคำที่สะท้อนถึงพฤติกรรมขัดขวางของชนพื้นเมืองหลายๆ เผ่า ที่มักก่อกวนกระบวนการเก็บส่วยของชนชั้นปกครองด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ข่มขู่ เข่นฆ่าและไล่จับเจ้าหน้าที่ ซึ่งมักพบเห็นอยู่บ่อยครั้งตามตะเข็บชายแดนที่ติดกับอาณาจักรเขมรและเวียดนาม โดยเฉพาะที่เมืองอัตตะปือ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะข่าขัดที่รุนแรงอันดับต้นๆ ในประวัติศาสตร์ล้านช้าง
ส่วนนัยสำคัญของการเมืองอัตตะปือที่มีต่อรัฐสยาม พบว่า ในช่วงที่ราชสำนักล้านช้างเกิดการแยกขั้วทางการเมืองออกเป็นสามศูนย์อำนาจหลัก คือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์และ จำปาศักดิ์ ราว ปี พ.ศ.2256 ซึ่งส่งผลให้พระเจ้ากรุงธนบุรีตัดสินใจทำสงครามยึดครองล้านช้างเอาไว้ทั้งหมด อัตตะปือได้ตกเป็นหัวเมืองประเทศราชสยามภายใต้การควบคุมของราชวงศ์จำปาสัก
ทว่า กระบวนการสักเลขและเก็บสวยของสยาม มักจะถูกขัดขวางผ่านการประท้วงก่อหวอดจากชนพื้นเมืองอัตตะปืออยู่เป็นระยะ จนทำให้มีการตั้งหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น อุบลราชธานี เพื่อเพิ่มศูนย์อำนาจปราบปราบการลุกฮือของอัตตะปือ พร้อมโยกเมืองอัตตะปือจากเมืองใต้ราชสำนักจำปาสัก ให้เข้ามาอยู่ใต้วงควบคุมของรัฐบาลธนบุรีโดยตรง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้เกิดศึกอานามสยามยุทธ์ โดยเป็นการรบพุ่งระหว่างสยามกับเวียดนามบนแผ่นดินส่วนใหญ่ของกัมพูชา อัตตะปือ ได้แปลงสภาพเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่ทำหน้าที่ป้อนเสบียงของป่าให้กับกองทัพสยาม
โดยพบเห็นเส้นทางการค้า 2 สายหลัก ได้แก่ สายที่ผ่านแก่งหลี่ผีแม่น้ำโขง แล้วลงใต้เข้าทะเลสาบเขมร จนไปถึงศรีโสภณ จากนั้น จึงลำเลียงสินค้าไปอรัญประเทศ ผ่านคลองแสนแสบ เข้ากรุงเทพมหานคร ส่วนอีกสาย คือ การใช้เรือลำเลียงจากแม่น้ำโขงเข้าแม่น้ำมูลในเขตเมืองอุบลราชธานี แล้วมาหยุดพักที่โคราช จากนั้น จึงแบ่งเส้นทางลำเลียงออกเป็นสายปักธงชัย กบินทร์บุรี คลองแสนแสบ กับสายสีคิ้ว มวกเหล็ก แก่งคอย ซึ่งอาศัยการล่องเรือผ่านแม่น้ำป่าสักเข้ากรุงเทพ
จากประวัติศาสตร์ที่นำแสดงมา อาจกล่าวได้ว่า อัตตะปือ คือ จุดหัวใจแห่งการเมืองลาวใต้ โดยการแข่งขันครอบครองทรัพยากรเศรษฐกิจ ทั้งที่มาจากกลุ่มอำนาจล้านช้างเวียงจันทน์และสยามธนบุรี-กรุงเทพ ได้ส่งผลให้ชนพื้นเมืองก่อพฤติกรรมลุกฮือปฏิวัติแบบข่าขัดเพื่อต่อต้านอำนาจกดขี่จากภายนอกพร้อมประกันไว้ซึ่งอิสรภาพในบริหารจัดการตนเอง ซึ่งแม้การเคลื่อนไหวของชนพื้นเมืองจะถูกกำราบกดทับจากส่วนกลางอยู่เป็นระยะ หากแต่ พลังทางการเมืองดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างส่วนกลาง-ท้องถิ่น หรือศูนย์กลาง-ชายขอบ ได้อย่างเด่นชัด จนกลายมาเป็นกรณีศึกษาที่ยังประโยชน์ต่อแวดวงประวัติศาสตร์และการเมืองเอเชียอาคเนย์

suriya mardeegun

"ค่ายวัด" กับ การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา

"ค่ายวัด" กับ การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา







13 December, 2016 - 10:58 
ทฤษฎีว่าด้วยการพังทลายของรัฐอยุธยา ถูกขับเคลื่อนด้วยกระแสทรรศน์หลากหลายระนาบ เช่น หลักเชื้อชาติ/เผ่าพันธุ์นิยม ที่นำเสนอโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเน้นไปที่ภาพความโหดร้ายป่าเถื่อนของกองทัพพม่าที่ผสมผสานกับการแตกความสามัคคีของคนไทยจนทำให้ต้องเสียกรุงครั้งที่สอง ขณะที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้วิพากษ์ไปที่โครงสร้างรัฐ นั่นก็คือ ปัญหาการเกณฑ์ทัพอันเป็นผลสืบเนื่องจากความหละหลวมของระบบควบคุมไพร่แห่งอาณาจักรอยุธยา ส่วนสุเนตร ชุตินธรานนท์ กลับพุ่งเป้าไปที่ปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการทหาร โดยเฉพาะ ความทนทานของกองทัพพม่าในการรบข้ามฤดูน้ำหลากซึ่งทำให้ทหารอยุธยาต้องจนแต้มในการป้องกันกรุง
หากแบ่งการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์อยุธยาช่วงเสียกรุงครั้งสุดท้ายคร่าวๆ ออกเป็น สำนักชาตินิยม โครงสร้างนิยม และ พิชัยยุทธ์นิยม พบเห็นงานเขียนจากนักวิชาการฝรั่งจำนวนมิน้อยที่จัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกันกับข้อโต้แย้งของนิธิและสุเนตร โดยเฉพาะตามหลักยุทธนิยม เช่น หนังสือของ B.J.Terwiel เรื่อง Thailand's Political History: From the Fall of Ayuthaya to Recent Times (2006) ที่แม้ผู้เขียนจะพูดถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการล่มสลายของอยุธยาเอาไว้หลายมิติ หากแต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดอ่อนอยุธยาในระดับยุทธวิธีทางทหาร ซึ่ง Terwiel ได้นำเอาภูมิทัศน์ความมั่นคงวัดเข้าไปวางไว้ในปฏิบัติการโจมตีอยุธยาโดยฝ่ายกองทัพพม่า
Terwiel ได้อธิบายว่า กิจกรรมสร้างบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ ในสมัยราชวงศ์ปราสาททองและราชวงศ์บ้านพลูหลวง เช่น วัดไชยวัฒนาราม ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของย่านวัดจำนวนมากที่มีลักษณะหันเหออกจากแกนราชธานีอยุธยาตรงเกาะเมือง มิหนำซ้ำ รูปแบบวัดที่เต็มไปด้วยชั้นกำแพงอิฐ ยังทำให้เขตวัดที่กระจายตัวอยู่รอบนอกมีความแข็งแกร่งทนทานใกล้เคียงกับตัวกำแพงพระนครศรีอยุธยา ดังนั้น เมื่อกองทัพพม่าสามารถชิงชัยยึดวัดต่างๆ ได้ทีละเล็กทีน้อยจากทหารอยุธยา พร้อมแปลงสภาพวัดให้เป็นค่ายหรือป้อมทหารพม่า เมื่อนั้นกองทัพพม่าจึงเริ่มเขยิบอยู่ในสภาพได้เปรียบทางการยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็น การปลูกหอรบประชิดเมืองหรือการใช้อิฐวัดเป็นฐานกำบังปืนใหญ่จากอยุธยา
จริงแล้ว ข้อสังเกตของ Terwiel ถือว่าน่าสนใจมิน้อย เพราะช่วงใกล้อวสานกรุงศรีฯ ทหารพม่าได้ล้อมกำแพงเมืองอยุธยาผ่านการประสานโครงข่ายจากป้อมวัดที่มีการชักโยกถ่ายเทกำลังกันไปมา โดยเฉพาะ การกระชับวงล้อมตีกรุงแบบรอบทิศทาง เช่น การยิงปืนใหญ่ถล่มตัวเมืองอยุธยาจากวัดสามพิหาร วัดหน้าพระเมรุ วัดพิชัย วัดไชยวัฒนาราม วัดท่าการ้อง ฯลฯ
ขณะเดียวกัน แม้การใช้ค่ายวัดจะสร้างข้อได้เปรียบให้กับทหารพม่าโดยมิต้องวิเคราะห์หรือใช้หลักฐานสนับสนุนข้อโต้แย้งอะไรมากนัก เพราะถือเป็นธรรมชาติทางการยุทธ์ทั้งนี้เนื่องจากค่ายวัดส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในระยะประชิดกรุงโดยมีแต่เพียงลำน้ำหรือคูเมืองเป็นเส้นแบ่งเขตเท่านั้น ทว่า จากการที่รัฐบาลอยุธยาเริ่มสูญเสียกลุ่มวิสุงคามสีมาจำนวนมากให้กับกองทัพพม่า คงทำให้ทหารอยุธยาเกิดอาการเสียขวัญประหวั่นพรั่นพรึงมิน้อยอันเป็นผลจากการที่เขตศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองได้ถูกศัตรูย่ำยีหรือถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อต่อรบกับฝ่ายตน โดยไม่มีหลักประกันแน่ชัดว่าขวัญเมืองเหล่านี้ ท้ายที่สุดจะยังคงคุ้มครองปกป้องทหารอยุธยาหรือหันไปช่วยข้าศึกกันแน่ นอกจากนั้น การที่ทัพอยุธยาตัดสินใจยิงปืนใหญ่ใส่วัดวาอารามที่ถูกเนรมิตรังสรรค์โดยบรรพบุรุษฝ่ายตน คงจะทำให้เกิดภาวะชะงักงันหรือความรวนเรในการโจมตีเป้าหมายทางการรบอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม หากสืบย้อนไปดูศึกล้อมกรุงศรีฯ ก่อนหน้า ก็พบว่า การตีอยุธยาผ่านระบบค่ายวัด นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เช่น ค่ายวัดหน้าพระเมรุ หรือ วัดสามพิหาร ที่ล้วนแล้วแต่เคยเป็นที่ตั้งค่ายของทัพพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้/บุเรงนอง พระเจ้าอลองพญา หรือแม้กระทั่ง พระยาละแวกจากกัมพูชา (หรือพูดอีกแง่ คือ ทั้งศึกเสียกรุงครั้งที่หนึ่ง ศึกสมัยพระมหาธรรมราชาและศึกอลองพญา ล้วนแล้วแต่มีการใช้ประโยชน์จากค่ายวัดทั้งสิ้น) ซึ่งตรงจุดนี้นี่เองที่ Terwiel กลับแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนในสมมุติฐานของเขา ทั้งนี้เนื่องจาก Terwiel ระบุว่าเขาไม่ค่อยแน่ใจจริงๆ ว่าชาวอยุธยาพอจะทราบเรื่องอันตรายจากการปล่อยให้ข้าศึกใช้ประโยชน์จากภูมิทัศน์วัดหรือไม่ เพราะเขารู้สึกฉงนใจว่าทั้งๆ ที่อาจมีผลเสียรุกกระทบตามมา แต่ทำไมรัฐอยุธยาถึงปล่อยให้มีมหกรรมปฏิสังขรณ์วัดจำนวนมาก (ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันแข็งแกร่งดุจป้อมค่าย) ในช่วงปลายอาณาจักร
คำตอบนี้ คิดว่า ผู้ปกครองอยุธยาย่อมประจักษ์ชัดอยู่แล้วเกี่ยวกับพิชัยยุทธ์ล้อมกรุงของข้าศึกผ่านอรรถประโยชน์จากค่ายวัด (ซึ่งคงมีการจดบันทึกหรือบอกเล่าสืบทอดกันมา) เพียงแต่ว่า ความสงบร้างศึกมาร้อยกว่าปีนับแต่ครารัชสมัยพระนเรศวรบวกกับธรรมชาติการขยายตัวของนคราตามกาลเวลา ย่อมทำให้เกิดการผุดตัวขึ้นมาของพระอารามที่กระจายตัวออกไปเรื่อยๆ จากแกนเมืองโดยอัตโนมัติ (บวกกับความมั่นใจของชาวอยุธยาเอง ว่าอย่างไรเสียคงไม่มีศึกใหญ่เข้ามาประชิดกรุงอีกเป็นแน่) แต่อย่างไรก็ตาม หลังการรุกแบบสายฟ้าแลบของศึกอลองพญาที่มีการระดมยิงปืนใหญ่จากวัดหน้าพระเมรุ นับเป็นจุดพลิกผันที่สร้างความตกตะลึงให้กับนักการทหารอยุธยา ซึ่งโชคดีที่องค์ปฐมกษัตริย์คองบองทรงประสบอุบัติเหตุจากการยุทธ์จนต้องเลิกทัพกลับไปก่อน โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าหลังหมดศึกอลองพญาจนกระทั่งถึงศึกเสียกรุงครั้งที่สอง กษัตริย์อยุธยาได้ทำทุกวิถีทางเพื่อวางแนวปะทะผลักพม่าออกนอกกำแพงเมืองโดยอาศัยการตั้งทัพตามวัดต่างๆ เช่น ค่ายเจ้าตากที่วัดพิชัย ทว่า เมื่อท้ายที่สุด ทัพพม่าสามารถขับไล่ทหารอยุธยาออกจากค่ายวัดได้ทั้งหมด จนสามารถตั้งป้อมสวมทับประชิดกำแพงเมืองได้สำเร็จพร้อมกุมชัยชนะในการรบข้ามฤดูน้ำหลาก เมื่อนั้น ทหารอยุธยาจึงเริ่มเห็นลางพ่ายแพ้ทางการยุทธ์อย่างชัดเจน
จากกรณีดังกล่าว จึงนับได้ว่า การประดิษฐ์ปรับแปลงค่ายวัดโดยทหารพม่า ถือเป็นตัวแปรหนึ่งที่มีผลต่อความปราชัยของทัพอยุธยาในศึกอวสานกรุงศรีฯ โดยหากจะใส่ปฏิบัติการยึดค่ายวัดเข้าไปใน Dynamic Tactical Framework หรือ กรอบพลวัตยุทธวิธีช่วงหลังฤดูน้ำหลาก อาจเรียงลำดับการรณรงค์สงครามของทัพพม่าคร่าวๆ ได้ดังนี้
1. ระดมเสบียงและกำลังพลเข้ารุกคืบทำลายฐานทหารอยุธยา
2. ไล่ทัพอยุธยาออกจากค่ายวัดรอบเมือง พร้อมตั้งค่ายใหม่สวมทับเข้าไปในเขตวัดประกอบกับเพิ่มค่ายใหม่ระหว่างวัดเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลำเลียงพลและขยับวงล้อมกรุง
3. ก่อมูลดินตามค่ายวัดและค่ายอื่นๆ เพื่อระดมยิงทำลายเป้าหมายภายในตัวกำแพงอยุธยา
4. ขุดอุโมงค์เพื่อเผาฐานกำแพงเมือง และ
5. ระดมพลบุกเข้าเมืองเพื่อรบขั้นแตกหัก
จากขั้นลำดับที่นำแสดงมา "Temple Fortress" จึงมีผลต่อการ "Shut Down" กรุงศรีอยุธยาอย่างล้ำลึก

ขอขอบคุณข้อมูล : ดุลยภาค ปรีชารัชช

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อีมัลดา มาร์กอส

อีมัลดา มาร์กอส

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ร. 4 ทรงลองใจเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ว่าจะมักใหญ่ใฝ่สูงหวังเป็นกษัตริย์หรือไม่

ข้อมูลจาก สโมสรศิลปวัฒนธรรม
ร. 4 ทรงลองใจเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ว่าจะมักใหญ่ใฝ่สูงหวังเป็นกษัตริย์หรือไม่

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

‘ในปีเถาะ พ.ศ.2410 เมื่อพระราชทานเพลิงพระศพ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนกรมเจ้านายเนื่องในเหตุที่พระมหาอุปราชสวรรคตตามราชประเพณีซึ่งเคยมีมา“…ผู้คนเกรงท่าน [กรมขุนราชสีหวิกรม] แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็คงจะมีอะไรที่ทรงเกรงอยู่บ้าง ทั้งที่ท่านเป็นที่ใกล้ชิดกับพระองค์ เพราะปรากฏว่าในปลายรัชสมัยได้ตรัสเรียกให้ท่านเข้าไปปฏิญาณพร้อมกับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หน้าพระแก้วมรกตว่าจะไม่แย่งราชบัลลังก์ เรื่องนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกไว้ใน ‘พระราชประวัติรัชกาลที่ 5 ก่อนเสวยราชย์’ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเล่าพระราชทาน ดังนี้
‘เจ้านายซึ่งโปรดให้เลื่อนกรมครั้งนั้นมี 5 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหามาลา เป็นกรมขุนบำราบปรปักษ์ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวรจักรธรานุภาพ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นราชสีหวิกรม สองพระองค์หลังนี้เป็นกรมขุนคงพระนามเดิม ส่วนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เดิมทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุระสังกาศ) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงเปลี่ยนพระนามกรมเป็นกรมขุนพินิตประชานาถ ด้วยทรงพระราชดำริว่ากรมมเหศวรศิววิลาศ กรมวิษณุนาถนิภาธร พระชันษาไม่ยั่งยืน จะเป็นด้วยพระนามพ้องกับนามของพระเป็นเจ้าในไสยศาสตร์ จึงทรงเปลี่ยนพระนามกรมหมื่นพิฆเนศวรสุระสังกาศ เป็นกรมขุนพินิตประชานาถ
‘เวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้เลื่อนกรมเจ้านายครั้งนั้น เสด็จประทับที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อทรงสั่งแล้วมีพระราชดำรัสให้หาเจ้านายทั้ง 4 พระองค์นั้นเข้าไปเฝ้า ณ ที่รโหฐานตรงหน้าพระพุทธรูป แล้วมีพระราชดำรัสว่าจะทรงปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์พระมหามณีรัตนปฎิมากรว่า เจ้านายซึ่งจะเป็นกรมขุน 4 พระองค์นี้ ถ้าใครได้ครองราชย์สมบัติต่อไปจะไม่ทรงรังเกียจเลย
‘เจ้านาย 3 พระองค์ ต่างกราบทูลถวายปฏิญาณว่ามิได้ทรงคิดมักใหญ่ใฝ่สูง ตั้งพระหฤทัยแต่จะสนองพระเดชพระคุณช่วยทำนุบำรุงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอให้ได้รับราชสมบัติสืบไป’



พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม

ครั้งมีสุริยุปราคาหมดดวง กรมขุนราชสีหวิกรม พร้อมด้วยพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ได้ตามเสด็จพระราชดำเนินไปเกาะจาน เมื่อเสด็จกลับมาก็ประชวรไข้และสิ้นพระชนม์ก่อนสวรรคตในรัชกาลที่ 4 เพียง 15 วัน ส่วนโอรสธิดาซึ่งประสูติในวังท่าพระ ก็ประทับในวังนั้นต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 5 จึงย้ายออกไปอยู่ที่บ้านท่าช้าง คือบ้านของคุณตาท่าน (พระยาราชมนตรี) สำหรับหม่อมเจ้าปฤษฎางค์ โอรสองค์สุดท้องซึ่งภายหลังได้เลื่อนขึ้นเป็นพระองค์เจ้า ถูกส่งไปศึกษาต่อที่สิงคโปร์และประเทศอังกฤษ เป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้ามหาวิทยาลัย (King’s College, London) และถูกแต่งตั้งให้เป็นราชทูตสยามคนแรกประจำราชสำนักอังกฤษและอีก ๑๑ ประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
บทบาทสำคัญของเจ้านายพระองค์นี้ได้แก่การแก้สนธิสัญญาเบาริ่ง (Bowring) ที่กลุ่มประเทศตะวันตกได้เปรียบสยาม การนำสยามเข้าเป็นสมาชิกการไปรษณีย์โทรเลขสากล และจัดการวางสายโทรเลขกรุงเทพฯ-ไซ่ง่อน และกรุงเทพฯ สิงคโปร์ อีกทั้งได้ชักชวนข้าราชการสถานทูตกราบบังคมทูลถวายร่างรัฐธรรมนูญสยามฉบับแรก ใน ค.ศ. 1884″
คัดมาจากบางส่วนของบทความ “วังท่าพระและเรื่องพิศดารบางเรื่องเกี่ยวกับเจ้านายในวัง” โดย สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มิถุนายน 2559

         edit :  suriya mardeegun

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

2 มีนาคม 2477: รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศสละราชสมบัติ หลังทรงไม่อาจต่อรองกับฝ่ายคณะราษฎรได้

2 มีนาคม 2477: รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศสละราชสมบัติ หลังทรง

ไม่อาจต่อรองกับฝ่ายคณะราษฎรได้


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (AFP)


บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิ์ออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จและเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าในฐานที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์…”“…ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
คัดจากบางส่วนของคำประกาศสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ซึ่งทรงประกาศไว้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2477
ก่อนหน้านั้นระหว่างการเสด็จประพาสยุโรป รัชกาลที่ 7 ทรงมีโทรเลขมาถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ เป็นเหตุให้ กรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ทรงทำหนังสือไปถึง พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีถ้อยคำบางส่วนว่า
“…รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยมากรู้สึกแน่ใจว่าไม่จำเป็นจะต้องประนีประนอมต่อพระองค์ไม่ว่าในเรื่องใดๆ พอใจที่จะขัดพระราชดำริเสียทุกอย่าง ถ้าหากรัฐบาลมีประสงค์จะประสานงานต่อพระองค์ด้วยดีแล้วคงจะกราบบังคมทูลปรึกษาก่อนที่จะดำเนินการอันสำคัญไป ถ้าได้ทำดั่งนั้นความยุ่งยากอย่างหนึ่งอย่างใดก็จะไม่เกิดขึ้นได้ แต่รัฐบาลมิได้ทำดั่งนั้น การใดๆ รัฐบาลทำไปจนถึงที่สุดเสร็จเสียแล้วจึงกราบบังคมทูลพระกรุณา ไม่มีทางที่จะทรงทักท้วงให้แก้ไขโดยกระแสพระราชดำริอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะมีอะไรเหลือนอกจากความขึ้งเคียดแก่กัน…”
“…ตามพฤติการณ์เช่นนี้ทรงพระราชดำริเห็นว่าพระองค์ไม่ควรจะดำรงราชสมบัติอยู่สืบไป เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยปกปักรักษาผู้ใดได้เลยแล้ว …จึงสมัครพระราชหฤทัยที่จะทรงสละราชสมบัติ…จะโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชหัตถเลขามาภายหลังโดยไปรษณีย์”
หลังทราบเรื่องทางรัฐบาลจึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง โดยมีเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) เป็นประธานในการเดินทางไปเข้าเฝ้าและกราบบังคมทูลชี้แจงไกล่เกลี่ยเพื่อทูลเชิญพระองค์เสด็จกลับประเทศไทย แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
ทั้งนี้ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 รัชกาลที่ 7 ยังทรงพยายามรักษาบทบาทในการบริหารประเทศของพระองค์เอาไว้ แต่ฝ่ายคณะราษฎรไม่ยินยอม จนก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มอำนาจ เห็นได้จากหนังสือของกรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ รวมถึงในคำประกาศสละราชสมบัติของพระองค์เอง ซึ่งทรงตัดพ้อฝ่ายรัฐบาลที่ไม่ยอมให้พระองค์ได้มีส่วนเลือกสมาชิกสภาประเภทที่ 2 ตามความดังนี้
“…การที่ข้าพเจ้าได้ยินยอมให้มีสมาชิก 2 ประเภทก็โดยหวังว่าสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งข้าพเจ้าตั้งนั้น จะเลือกจากบุคคลที่รอบรู้การงานและชำนาญในวิธีดำเนินการปกครองประเทศโดยทั่วๆไป ไม่จำกัดว่าเป็นพวกใดคณะใด…แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ขึ้น ข้าพเจ้าหาได้มีโอกาสแนะนำในการเลือกเลย…”
อีกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นก่อนการสละราชสมบัติของพระองค์คือเหตุการณ์กบฏบวรเดช (ตุลาคม 2476) นำโดย พระองค์เจ้าบวรเดช ซึ่งในหนังสือ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น โดย ม.จ.พูนพิศมัย ดิสกุล ได้กล่าวถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังไกลกังวลก่อนการกบฏไม่นานว่า เจ้านายพระองค์หนึ่ง “ไปขอเฝ้าในหลวงเป็นไปรเวต, แล้วกราบทูลขอพระราชทานอนุญาตว่าจะเปลี่ยนแปลงใหม่. ในหลวงทรงตอบว่า-ไม่ทรงเห็นด้วยเลย”
อย่างไรก็ดี หลังจากการเข้าเฝ้าในครั้งนั้น ได้มีผู้เขียนเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 200,000 บาท จากพระคลังข้างที่ให้แก่พระองค์เจ้าบวรเดช ไม่นานจากนั้นพระองค์เจ้าบวรเดชทรงนำทัพลงมาจากทางเหนือเพื่อหวังยึดอำนาจ ซึ่ง ม.จ.พูนพิศมัย ได้ยืนยันในบันทึกเล่มเดียวกันว่า รัชกาลที่ 7 ทรงมิได้รู้เห็นกับการสั่งจ่ายเช็คดังกล่าว ขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรมองต่างออกไป
ขอขอบคุณ : 
ข้อมูลจาก สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น โดย ม.จ.พูนพิศมัย ดิสกุล, พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์โดย รัฐสภา และ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ โดย ณัฐพล ใจจริง

“บทบาทปัญญาชนไทย ก่อนสมัย 2500”

“บทบาทปัญญาชนไทย ก่อนสมัย 2500”


ตั้งแต่ ปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงปี 2500 สังคมไทยสร้างปัญญาชน, นักคิด, นักเขียน, ไว้ไม่น้อย และท่านเหล่านั้นสร้างผลงานไว้มากมาย เป็นขุมคลังทางปัญญาความ คิดของคนรุ่นต่อๆ มา
นี่คือยุคของ กุหลาบ สายประดิษฐ์, สด กูรมะโรหิต, ม.จ. สกลวรรณากร วรวรรณ, ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน, “จูเลียต”, อิศรา อมันตกุล, เสนีย์ เสาวพงศ์, สุภา ศิริมานนท์, ส.ธรรมยศ, สมัคร บุราวาศ, สุภัทร สุคนธาภิรมย์, อารีย์ ลีวีระ, ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร, อัศนี พลจันทร, “อุชเชนี”, สุวัฒน์ วรดิลก, “ทวีปวร”, “นารียา”, เสนาะ พานิชเจริญ, ชาญ กรัสนัยปุระ, “พ. เมืองชมพู”, จิตร ภูมิศักดิ์, และ ฯลฯ
บุคคลเหล่านี้เป็นใคร และงานของเขาส่งผลสะเทือนอย่างไรในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ของไทย?
“บทบาทปัญญาชนไทยก่อนสมัย 2500″

“พระ” เขมรทำพิธีกรรม “ล่วงล้ำอวัยวะเพศ-เสพเมถุน” กับเด็กสาวพรหมจรรย์จริงหรือ?

“พระ” เขมรทำพิธีกรรม “ล่วงล้ำอวัยวะเพศ-เสพเมถุน” กับเด็กสาวพรหมจรรย์จริงหรือ?

ภาพ แกะสลักที่ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าเป็นพิธีเบิกพรหมจารี แต่พิเศษเชื่อว่าเป็นการรักษาคนถูกงูกัดที่ภาพสลักปัจจุบันเหลือเพียงปลาย เท้า ส่วนหญิงที่ยืนด้านหลังก็น่าจะเป็น "ผู้ดี" ที่มากับขบวนแห่ มากกว่า "สาวพรหมจรรย์"
ใน ปี พ.ศ.1838 โจวต้ากวาน ทูตจีนแห่งราชสำนักหยวนได้เดินทางมายังเขมร เพื่อเกลี่ยกล่อมให้อาณาจักรเขมรยอมสวามิภักดิ์ ระหว่างนั้นเขาได้ใช้เวลากว่า 1 ปี ในดินแดนอุษาคเนย์ และได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ รวมถึงวิถีชีวิตของชาวเขมร โดยเรื่องหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานถึงมากในบันทึกของเขา คือ “พิธีเบิกพรหมจารี” ที่เขาเรียกว่า “เจวิ้นถาน”
เรื่องนี้ได้มีผู้แปลเอาไว้ได้ความว่า ลูกสาวของผู้มีฐานะเมื่ออายุได้ 7 ถึง 9 ขวบ จะต้องให้ “ภิกษุ” หรือ “ดาบส” ทำพิธีทำลายพรหมจารี ซึ่งครอบครัวของเด็กสาวต้องจองตัวพระ หรือดาบสล่วงหน้า โดยนักบวชเหล่านี้จะทำพิธีทำลายพรหมจารีได้เพียงปีละครั้ง และค่าธรรมเนียมบุญก็สูงตามฐานะ เช่น ถ้าเป็นขุนนาง คหบดี ก็ต้องถวายเหล้า ข้าวสาร ผ้าแพร หมาก และเครื่องเงินหนักเป็นร้อยหาบ หรือ 2-3 ร้อยตำลึงจีน ส่วนที่ฐานะต่ำลงมาก็อาจต้องจ่ายเป็นเงินหลักสิบหาบลดหลั่นกันลงมา ส่วนคนยากคนจนก็อาจต้องรอให้ลูกโตถึง 11 ขวบจึงจะได้ทำพิธี โดยอาศัยเงินทำบุญจากผู้มีฐานะ
“ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อถึงเวลาพระภิกษุและเด็กหญิงก็เข้าไปในห้อง พระภิกษุใช้มือทำลายพรหมจารีนั้นใส่ลงในเหล้า เขายังเล่ากันอีกว่า บิดามารดาญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านต่างแต้มเหล้านั้นที่หน้าผากของตนทุกคน บางคนก็ว่าทุกคนใช้ปากชิมดู บ้างก็ว่าพระภิกษุประกอบเมถุนธรรมกับเด็กหญิง บ้างก็ว่าไม่เป็นความจริงดังว่านั้นเลย โดยเหตุที่เขาไม่ยอมให้คนจีนรู้เห็น ข้าพเจ้าจึงไม่ทราบเรื่องที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร” โจวต้ากวานกล่าว
ทูตจีนยังอ้างว่า ชาวเขมรมิได้ใส่ใจเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรส โดยกล่าวว่า “…เกี่ยวกับการมีสามีและการมีภรรยา แม้จะมีประเพณีรับผ้าไหว้ ก็เป็นเพียงแต่การกระทำลวกๆ พอเป็นพิธี หญิงชายส่วนมากได้เสียกันมาแล้วจึงได้แต่งงาน ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของเขาไม่ถือเป็นสิ่งที่น่าละอายและก็ไม่ถือเป็น เรื่องประหลาดด้วย”
ในส่วนที่ทูตจีนกล่าวถึงพิธีเบิกพรหมจรรย์นั้น เห็นได้ว่า ตัวเขาเองมิได้เป็นประจักษ์พยานในพิธี เพียงแต่บอกต่อในสิ่งที่ตนรับฟังมา ซึ่งก็มีข้อมูลที่ขัดแย้งกัน เขาจึงออกตัวว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องที่แท้จริงเป็นอย่างไร”
แต่! ในไทยได้มีผู้นำคำบอกเล่าเกี่ยวกับพิธีดังกล่าวของโจวต้ากวานไปเชื่อมโยงกับ ภาพสลักบนปราสาทพนมรุ้งว่าเป็น “พิธีเบิกพรหมจรรย์” ตามที่ทูตชาวจีนกล่าวถึง หลังมีการพบศิวลึงค์ขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง ซึ่งเท่ากับว่าผู้สันนิษฐานเชื่อแล้วว่า พิธีดังกล่าวมีอยู่จริง แม้ว่า โจวต้ากวานเองยังไม่กล้ายืนยันก็ตาม!
เรื่องนี้ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถาน เคยอธิบายไว้นานแล้วว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะผู้เล่าเรื่องนี้อาจเล่าเชิงทีเล่นทีจริงให้กับพวก “ไม่รู้ภาษา” (มิงติงเทียซา) ฟัง ความที่โจวต้ากวนรับฟังมาจึงขัดแย้งกัน แต่เขาก็บันทึกตามที่ตนได้รับฟังมา
พิเศษ ชี้ว่า ภาพสลักบนปราสาทไม่เคยเห็นภาพที่สมบูรณ์ ภาพที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันก็เหลือเพียง “ฝ่าเท้า” ยากที่จะบอกเพศของบุคคลในภาพ หรือจะบอกได้ว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ และหากยังไม่ยอมสนใจคำบอกของโจวต้ากวานเองว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องที่แท้จริงเป็นอย่างไร” ถึงอย่างนั้น การสันนิษฐานว่าภาพดังกล่าวบนปราสาทเขาพนมรุ้งเป็นพิธีเบิกพรหมจรรย์ก็ยังมี ข้อบกพร่อง
หนึ่งคือ เรื่องที่โจวต้ากวานเล่าอยู่คนละยุคกับปราสาทเขาพนมรุ้ง ห่างกันกว่า 200 ปี สองคือ โจวต้ากวานเล่าว่าพิธีดังกล่าวทำกันที่บ้านของเด็กหญิง การบอกว่าพิธีดังกล่าวทำในปราสาทเขาพนมรุ้งจึงขัดกันเอง และสาม โจวต้ากวานกล่าวว่า การประกอบพิธีจะทำกันในห้องสองต่อสอง แต่ในภาพสลักกลับมีผู้อื่นอยู่ร่วมด้วยหลายคน
พิเศษจึงยืนยันว่า ภาพดังกล่าวไม่ใช่พิธีเบิกพรหมจรรย์แน่ แต่น่าจะเป็นภาพที่ขบวนของนเรนทราทิตย์เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของอาณาจักรขอม ขณะหยุดระหว่างทางเพื่อช่วยคนถูกงูกัด สังเกตได้จากภาพคนนั่งเหยียดเท้าที่ชำรุดจนเหลือแต่ส่วนเท้า และส่วนบนของภาพที่เป็นภาพธวัชฉัตรธง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพขบวนแห่ในศิลปะขอมทั่วไป อันเป็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับบันทึกใน “จารึกปราสาทหินพนมรุ้ง ๙” ตอนหนึ่งว่า “…เขาไปพร้อมฝูงชนที่เป็นทั้งผู้ดีและไพร่ ยังคนหนึ่งซึ่งกำลังทำแพถูกงูกัด ได้รับความเจ็บปวดเพราะพิษอันร้ายแรงให้จากสระ แล้วรักษาโดยเวทย์มนตร์…เขาชื่อนเรนทราทิตย์ ซึ่งเป็นครูของไตรโลก…”
พิเศษอธิบายภาพว่า คนที่นั่งคุกเข่าอยู่คือผู้ให้การรักษา โดยในมือของเขาถือหินซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาพิษงู ส่วนสตรีที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็น “ผู้ดี” ที่มากับขบวนของนเรนทราทิตย์ [ไม่ใช่สาวพรหมจรรย์] โดยพิเศษเชื่อว่า สตรีในภาพนี้เป็นสตรีคนเดียวกันกับที่ปรากฏในภาพอื่นๆ บนปราสาทพนมรุ้ง นั่นคือมารดาของนเรนทราทิตย์ ที่น่าจะเสด็จมาประอยู่ ณ ปราสาทพนมรุ้งเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ข้อสันนิษฐานของผู้ที่เชื่อว่า “พิธีเบิกพรหมจรรย์” มีจริง และเป็นพิธีที่พระหรือดาบสเป็นผู้ทำลายพรหมจรรย์ของเด็กสาวเอง จึงเป็นเพียงคำบอกเล่าฝ่ายเดียวที่ผู้บอกเล่าไม่กล้ายืนยัน และไม่มีบันทึกอื่นใดที่สอดรับกับคำกล่าวอ้างดังกล่าว
การเชื่อมโยงว่าพิธีดังกล่าวถูกจารึกไว้บนปราสาทพนมรุ้งก็มีหลายส่วนที่ ขัดกันเอง จนไม่น่าเชื่อว่าพิธีดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่จารึกของปราสาทพนมรุ้งสื่อไปถึง และยังมีหลักฐานอื่นๆ ที่ชี้ว่า ภาพดังกล่าวน่าจะเป็นภาพประกาศ แสดงถึงการสร้างกุศลของนเรนทราทิตย์ซึ่งเดินทางมาเป็นผู้ทรงศีลที่พนมรุ้ง เพื่อหลีกทางให้เชื้อพระวงศ์ท่านอื่นขึ้นครองราชย์

อ้างอิง:
  1. ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ “บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ โดย เฉลิม ยงบุญเกิด แปลจากต้นฉบับภาษาจีนของโจวต้ากวาน
      2.“เบิกพรหมจรรย์” UNSEEN ไทยแลนด์ ที่ปราสาทพนมรุ้ง โดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ใน ศิลป        
           วัฒนธรรม ฉบับ กันยายน 2546

พระพุทธเจ้าทรงชี้ ผู้หญิงไม่มีวันระอาต่อการ “เสพเมถุน” จนกว่าจะตาย

พระพุทธเจ้าทรงชี้ ผู้หญิงไม่มีวันระอาต่อการ “เสพเมถุน” จนกว่าจะตาย


สาม โสเภณีชาวบราซิลสวมเสื้อผ้าเป็นนางแบบให้กับ DASPU บริษัทที่ได้รับการอุดหนุนจากเอ็นจีโอเพื่อให้ประกอบกิจกรรมสนับสนุนโสเภณี สูงอายุที่เข้าสู่วัยเกษียณ 
(AFP PHOTO / ANTONIO SCORZA)
พระ พุทธเจ้า ตามความเชื่อของชาวพุทธคือผู้ตรัสรู้ความจริงในโลก (มีการตีความไปถึงขนาดที่ว่า พระองค์ทรงรู้ในเรื่องทุกๆ เรื่อง รวมถึงทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ด้วย) คำสอนของพระองค์จึงได้รับการยึดถือโดยไม่ได้ถูกตั้งคำถามเท่าใดนัก (แม้พระองค์เองอยากให้สาวกของพระองค์รู้จักตั้งข้อสงสัยในทุกสิ่งให้มากก็ ตาม)
หนึ่งในความเห็นของพระพุทธองค์ที่ผู้เขียนมองว่าออกจะไม่ตรง กับความเป็นจริงมากนักคือ เรื่องแรงปรารถนาทางเพศของผู้หญิง ที่พระองค์เชื่อว่า ผู้หญิงจะ “ไม่อิ่ม” “ไม่ระอา” ไปจนตาย เห็นได้จาก คำกล่าวของพระองค์ตามที่ปรากฏใน พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต ในหมวดว่าด้วยบุคคล ซึ่งมีความตอนหนึ่งกล่าวถึง “สิ่งที่มาตุคามไม่อิ่ม” ว่า
“มาตุคาม(สตรี)ไม่อิ่ม ไม่ระอาต่อธรรม 2 ประการจนกระทั่งตาย
ธรรม 2 ประการอะไรบ้างคือ
1. การเสพเมถุนธรรม 2. การคลอดบุตร
มาตุคามไม่อิ่ม ไม่ระอาต่อธรรม 2 ประการนี้แลจนกระทั่งตาย”
คำกล่าวของพระองค์มิได้มีการอธิบายขยายความแต่ประการใด ซึ่งน่าสงสัยว่าเหตุใดพระองค์จึงเน้นย้ำเรื่องความปรารถนาในเพศรสไปที่เพศ หญิงเป็นกรณีพิเศษในจุดนี้ เพราะในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ในส่วนที่ว่าด้วยสิ่งที่เสพไม่รู้จักอิ่ม พระองค์ตรัสว่ามีอยู่สามประการ คือ
“1. ความอิ่มในการนอนหลับ
2. ความอิ่มในการเสพเครื่องดื่มสุราและเมรัย
3. ความอิ่มในการเสพเมถุนธรรม”
ซึ่งครั้งนี้ พระองค์มิได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นเพศใด และไม่ได้บอกช่วงระยะเวลาว่ามนุษย์กลุ่มที่พระองค์กล่าวถึงจะหมดความปรารถนา ในสิ่งเหล่านี้เมื่อใด
ความเห็นของพระพุทธองค์ ที่เน้นว่าสตรีคือเพศที่ไม่อิ่มในกามไปตลอดชีวิต ดูจะต่างจากผลวิจัยในยุคปัจจุบันที่ส่วนใหญ่มักมีผลออกมาว่า สตรีเพศคือเพศที่เสื่อมความสนใจในกิจกรรมทางเพศลงเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น ขณะที่ผู้ชายคือเพศที่รักษาระดับความต้องการทางเพศในระดับสูงไว้ได้เกือบ ตลอดชีวิต
นักทฤษฎีวิวัฒนาการมักเสนอว่า ผู้ชายรักษาระดับความต้องการทางเพศในระดับที่สูงกว่าผู้หญิงก็เพื่อเพิ่ม โอกาสที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ที่สูงขึ้นด้วยแผนเชิงปริมาณ
ส่วนเพศหญิงมักหมดความสนใจในกิจกรรมทางเพศหลังมีลูกก็ด้วย เป้าหมายที่ต้องการรักษาเผ่าพันธุ์เช่นกัน แต่ผู้หญิงไม่ได้ใช้แผนในเชิงปริมาณเหมือนผู้ชาย เนื่องจากเธอมักเป็นผู้ดูแลเด็กเป็นหลัก ซึ่งมีการอธิบายว่าเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านฮอร์โมนมาเกี่ยวข้อง รวมถึง “ความเจ็บปวด” ที่มาจากการคลอดลูกร่วมด้วย
ขณะที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า สตรีมิได้ระอาต่อการคลอดบุตรแต่อย่างใด

ขอขอบคุณ : silpa-mag.com

จูบรับกลับบ้าน

จูบรับกลับบ้าน

ภาพ ดาราสาว Marlene Dietrich ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน ถูกยกโดยบรรดาทหารสหรัฐฯ ขณะที่เธอจูบต้อนรับทหารนายหนึ่งที่พึ่งกลับจากการรบช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร Life พร้อมคำบรรยายด้านล่างว่า “ดูเหมือนชายทางซ้ายที่ยกเธอขึ้นไปกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพ”
actress-marlene-dietrich-kisses-a-soldier-returning-home-from-war-1945
Dietrich เกิดใน Schöneberg แห่งราชอาณาจักรปรัสเซีย (ปัจจุบันคือเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี)  มีพ่อเป็นตำรวจแต่เสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็กๆ แม่ของเธอจึงแต่งงานใหม่กับทหารม้า
ตอนเด็กๆ เธอเรียนเพื่อเป็นนักไวโอลิน แต่เธอชอบชีวิตการแสดงมากกว่า จึงแกล้งทำเป็นเจ็บมือ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการหางานเป็นนักแสดง ซึ่งภายหลังเธอประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการย้ายมาทำมาหากินในอเมริกา
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีได้ขอร้องกับเธอเป็นการส่วนตัวให้กลับมาหากินในเยอรมนี แต่เธอปฏิเสธและประณามลัทธินาซี จนทำให้เธอถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศ
ในปี 1937 (พ.ศ. 2480) Dietrich ได้รับสัญชาติอเมริกัน และได้เดินสายสร้างขวัญกำลังใจให้กับบรรดาทหารฝ่ายสัมพันธมิตรกว่า 500 ครั้ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี 1943-1946 (พ.ศ. 2486-2489) ภายหลังเธอได้กล่าวถึงปมความรู้สึกเกี่ยวกับชาติและเชื้อชาติของเธอว่า
“อเมริการับฉันไว้ในอ้อมอก ในตอนที่ฉันไม่มีชาติที่ควรคู่จะเรียกว่าเป็นชาติกำเนิดของตัวเองไปแล้ว แต่ในใจของฉัน ฉันคือคนเยอรมัน ความเป็นเยอรมันยังอยู่ในจิตวิญญาณของฉัน”

อ้างอิง: “Marlene Dietrich”. Encyclopædia Britannica. Encyclopædia Britannica Online.
Encyclopædia Britannica Inc., 2016. Web. 15 Nov. 2016
<https://global.britannica.com/biography/Marlene-Dietrich>

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้อ 7. "เรียนรู้อธิปไตยของประชา"


ข้อ 7. "เรียนรู้อธิปไตยของประชา"
(ข้อมูลจาก : Google+ ของ คุณเสาวลักษณ์ กัลยา)

ข้อ 7. "เรียนรู้อธิปไตยของประชา" คือค่านิยมหลักคนไทยที่เสนอโดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี....!!!

เพื่อให้เด็กและคนไทย.."เรียนรู้อธิปไตยของประชา"...นั้นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ปัญหาชาติและประชาชนโดย คสช.ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเอง

1. นับว่าเป็นการเสนอ.."ค่านิยมหลักคนไทย"..ในข้อ 7 ได้ดีมาก...เพราะปัญหาของประเทศไทยที่แก้ไม่ตกคือ.."ปัญหาความไม่รู้ระบอบประชาธิปไตย"..หรือ.."อธิปไตยของประชาฯ"..หรือ..อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน"(Sovereignty of the people) หรือมีความเห็นผิด มิจฉาทิฎฐิว่า.."ระบอบเผด็จการรัฐสภา(อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย)..เป็น..ระบอบประชาธิปไตย(อำนาจอธิปไตยของปวงชน) จึงเป็นการเสนอปัญหาได้ถูกต้อง คือ แก้ปัญหาความคิด หรือแก้ปัญหาความเห็นของคนไทย นั่นเอง

2. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธาน คสช.และนายกรัฐมนตรี...ในฐานะเป็นผู้เสนอค่านิยาหลักคนไทย..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.."ข้อ 7 เรียนรู้ อธิปไตยของประชา" จะต้องแน่ใจก่อนว่าท่านเองและคณะ คสช.และรัฐบาล...ได้เรียนรู้.."อธิปไตยของประชา"..ได้ถูกต้องแล้วหรือยัง...??? ดังต่อไปนี้...
2.1...ถ้ารู้อธิปไตยของประชา...ก็จะต้องรู้ว่า..."ขณะนี้อธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย..ไม่ได้มีอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนแต่อย่างใดทั้งสิ้น"
2.2...อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยปัจจุบัน..คือ..ระบอบเผด็จการรัฐสภา(Dictatorial Regime) อันเป็นมรรควิธีของการปกครอง(Method of Government)ของคนส่วนน้อย แต่อำนาจธิปไตยเป็นของปวงชน..คือ..ระบอบประชาธิปไตย(Democratic Regime) อันเป็นมรรควิธีการปกครองของประชาชน

3. อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย..หรือ..ระบอบเผด็จการ อันเป็นมรรควิธีการปกครองของคนส่วนน้อย...มีรูปธรรมดังนี้คือ...
- มีรัฐสภาที่ประกอบด้วยผู้แทนที่มีลักษณะเป็น.."ผู้แทนของคนส่วนน้อย" มาจากสาขาอาชีพของคนส่วนน้อย เช่น นายทุนพ่อค้านักธุรกิจ หรือทหารตำรวจ หรือคนร่ำรวยได้เปรียบในสังคม ทั้งสิ้น...และรักษาผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย...ไม่รักษาผลประโยชน์ของปวงชนคนทั้งประเทศ
- มีรัฐบาลที่มีนโยบายรักษาผลประโยชน์แต่ของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยได้เปรียบในสังคมที่ยึดกุมอำนาจอธิปไตยอยู่ ทำตามความต้องการของคนส่ีวนนน้อย ไม่ทำตามความต้องการของประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง
- มีพรรคการเมืองของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยได้เปรียบในสังคมเป็นพรรคปกครอง(Ruling Party)เท่านั้้น ไม่มีพรรคของประชาชนขึ้นปกครองประเทศแต่อย่างใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคตามกฎหมาย หรือพรรคตามธรรมชาติ มาตรการสร้างและรักษาพรรคการเมืองของคนส่วนน้อยคือ..."ออกกฎหมายพรรคการเมือง...เข้าควบคุมพรรคอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง"...ไม่ปล่อยให้พรรคการเมืองเกิดขึ้นและเติบโตตามธรรมชาติอย่า่งอิสระ เช่น พรรคประชาธิปไตยทั่วโลก
- มีม็อบหรือมวลชนเผด็จการ...เพื่อรักษาอำนาจของคนส่วนน้อยหรือรักษาระบอบเผด็จการ...คือ..เคลื่อนไหวรักษาระบอบเผด็จการ...ไม่เคลื่อนไหวเปลี่ยนระบอบ หรือยกเลิกระบอบเผด็จการ สร้างระบอบประชาธิปไตย ไม่ยกระดับจากม็อบเผด็จการ..ขึ้นเป็น..มวลชนประชาธิปไตย หรือมวลชนปฏิวัติ...เพื่อทำหน้าที่ผลักดันการสร้างประชาธิปไตย และเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กรักษาภารกิจสร้างประชาธิปไตยไว้ให้จงได้
- ไม่มีรัฐธรรมนูญที่สะท้อนระบอบประชาธิปไตย หรือรักษาระบอบประชาธิปไตย...แต่มีแต่รัฐธรรมนูญที่สะท้อนรักษาระบอบเผด็จการ...โดยหลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย...หรือ..หลอกว่ารัฐธรรมนูญคือเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย หรือสร้างประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษ ไม่สร้างประชาธิปไตยในแผ่นดินจริงๆ ซึ่งใช้นโยบายเป็นเครื่องมือสร้างที่ถูกต้องจึงจะสำเร็จ...นั่นคือ..รัฐธรรมนูญเกิดจากลัทธิรัฐธรรมนูญ..ไม่ได้เกิดจากลัทธิประชาธิปไตย นั่นเอง
- ผู้ปกครองและม็อบ...ไม่มีอุดมการลัทธิประชาธิปไตย ไม่มีอุดมคติสังคมประชาธิปไตย...มีแต่อุดมการ หรือวิธีคิดลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการ นั่นคือ...
# มีจุดยืนเห็นแก่ตัว
# มีวิธีคิดเผด็จการ เช่น...
๐ มีทฤษฎีลัทธิรัฐธรรมนูญ
๐ มีแนวทางเผด็จการ(รัฐธรรมนูญ)
๐ มีหลักนโยบายเผด็จการ "
๐ มีนโยบายเผด็จการ "
๐ มีมาตรการ และวิธีการเผด็จการ
๐ มียุทธศาสตร์เผด็จการ "
๐ มียุทธวิธีเผด็จการ "

4. ระบอบประชาธิปไตย หรืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน หรือมรรควิธีการปกครองของประชาชน จะต้องมีรูปธรรมตรงข้ามกับระบอบเผด็จการ..หรือตรงข้ามกับอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย นั่นคือ...
- มีรัฐสภาที่ประกอบด้วยผู้แทนที่มีลักษณะเป็น.."ผู้แทนของปวงชนคนทั้งประเทศ" มาจากสาขาอาชีพของประชาชนทุกอาชีพอย่างกว้างขวาง เช่น ชาวนาชาวไร่ กรรมกรแรงงาน นายทุนพ่อค้านักธุรกิจ หรือทหารตำรวจ และมาจากทุกเขตทั่วประเทศ...และรักษารักษาผลประโยชน์ของปวงชนคนทั้งประเทศ
- มีรัฐบาลที่มีนโยบายรักษาผลประโยชน์ชิทำตามความต้องการของคนประชาชนคนทั้งประเทศ และทำตามความต้องการของประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง
- มีพรรคการเมืองของประชาชน หรือเป็นพรรคมวลชน หรือเป็นพรรคประชาธิปไตย อันเป็นพรรคปกครอง(Ruling Party) นปกครองประเทศ ทั้งเป็นพรรคตามกฎหมาย และพรรคตามธรรมชาติ มาตรการสร้างและรักษาพรรคการเมืองของประชาชน คือ..."ไม่มีการออกกฎหมายพรรคการเมือง...เข้าควบคุมพรรคอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง"...จะต้องปล่อยให้พรรคการเมืองเกิดขึ้นและเติบโตตามธรรมชาติอย่า่งอิสระ เช่น พรรคประชาธิปไตยทั่วโลก
- มีมวลชนประชาธิปไตย...เพื่อผลักดันการสร้างประชาธิปไตย และรักษาระบอบประชาธิปไตย...นั่นคือ..เคลื่อนไหวเปลี่ยนระบอบ หรือยกเลิกระบอบเผด็จการ สร้างระบอบประชาธิปไตย ยกระดับจากม็อบเผด็จการ..ขึ้นเป็น..มวลชนประชาธิปไตย หรือมวลชนปฏิวัติ...เพื่อทำหน้าที่ผลักดันการสร้างประชาธิปไตย และเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กรักษาภารกิจสร้างประชาธิปไตยไว้ให้จงได้
- มีรัฐธรรมนูญที่สะท้อนระบอบประชาธิปไตย หรือรักษาระบอบประชาธิปไตยปไตย..ไม่มีการสร้างประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษ มีแต่การสร้างประชาธิปไตยในแผ่นดินจริงๆ ซึ่งใช้นโยบายเป็นเครื่องมือสร้างที่ถูกต้องจึงจะสำเร็จ...นั่นคือ..รัฐธรรมนูญเกิดจากลัทธิประชาธิปไตย นั่นเอง
- ผู้ปกครองและมวลชน...จะมีอุดมการลัทธิประชาธิปไตย มีอุดมคติสังคมประชาธิปไตย...นั่นคือ มีระบบความคิดดังนี้ คือ...
# มีจุดยืนเห็นแก่ส่วนรวม
# มีวิธีคิดประชาธิปไตย เช่น...
๐ มีทฤษฎีลัทธิประชาธิปไตย
๐ มีแนวทางประชาธิปไตย
๐ มีหลักนโยบายประชาธิปไตย
๐ มีนโยบายประชาธิปไตย "
๐ มีมาตรการ และวิธีการประชาธิปไตย
๐ มียุทธศาสตร์ประชาธิปไตย
๐ มียุทธวิธีประชาธิปไตย

5. คสช. และรัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา...จะต้องทำการจัดตั้ง..."การปกครองเฉพาะกาล"(Provisional Government)...ที่มีรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล รัฐบาลเฉพาะกาล สภาสร้างประชาธิปไตยเฉพาะกาล และองค์กรบริหารเฉพาะกาล...เข้าปฏิบัติภารกิจของระยะเปลี่ยนผ่าน คือ.."ภารกิจสร้างประชาธิปไตย" หรือปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic Revolution) ตามแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 อันเป็นการสร้างประชาธิปไตยระดับสูง ขั้นตอนสุดท้ายที่ยังไม่ได้รับการปฏิบัติให้แล้วเสร็จ และเริ่มลงมือใช้การปกครองเฉพาะกาลทั้งสิ้นง..ปฏิบัติภารกิจของระยะเปลี่ยนผ่านอันเป็นภารกิจแบ่งยุคเปลี่ยนสมัยให้สำเร็จเสร็จสิ้น ใช้เวลาจนกว่าจะทำภารกิจสำเร็จ...แล้วจึงยกเลิกการปกครองเฉพาะกาล..ส่งมอบอำนาจให้แก่รัฐบาลและรัฐสภาใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยต่อไป...เป็นอันว่าเสร็จสิ้นภารกิจ จึงยุติบทบาทของ คสช.และรัฐบาลเฉพาะกาล และรัฐสภาเฉพาะกาล ลงตามกฎเกณฑ์ของผู้ปกครองของการปกครองเฉพาะกาลทั่วโลก

คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ 18 กันยายน 2557
((เรื่องเก่านำมาเล่าได้ไม่จบ))

ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง



ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง
(ข้อมูลจาก : Google+ ของ คุณเสาวลักษณ์ กัลยา)
ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง
ทำไมเราจึงต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง ?
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับปัญหาทฤษฎีและปัญหาข้อเท็จจริง ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พรรคคืออะไร ? พรรคการเมืองคืออะไร ? เมื่อพูดถึงปัญหาทางทฤษฎีมาทำความเข้าใจว่าพรรคการเมืองคืออะไร ?
๑ .ความหมาย
“พรรคการเมือง” คือ กลุ่มบุคคลหรือคณะบุคคลที่ยึดกุมอำนาจรัฐ หรือมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะเข้ายึดกุมอำนาจรัฐ นี่คือความหมายย่อๆ และก็ง่ายๆ ของพรรคการเมือง คำว่าพรรคการเมืองนี้ นักวิชาการโดยเฉพาะนักรัฐศาสตร์ อธิบายหลายแง่หลายมุมและก็ยืดยาวบางทียากต่อการทำความเข้าใจ แท้จริงแล้วก็มีความหมายและสาระสำคัญเพียงแค่นี้ จะมีรูปเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ รูปของกลุ่มของคณะบุคคลนั้น อาจจะไม่เรียกว่าพรรคก็ได้ อาจจะเรียกว่าขบวนการก็ได้ อย่างขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ แต่ถ้ามีความมุ่งหมายที่จะเข้ากุมอำนาจรัฐแล้วก็ได้ชื่อว่ามีลักษณะเป็นพรรคการเมืองทั้งสิ้น ฉะนั้นพรรคการเมืองจึงหมายถึงสาระสำคัญของมัน ไม่ได้หมายถึงรูปแบบของการมี อาจจะเรียกว่าพวกก็ได้ ถ้าคนเหล่านั้นมีความมุ่งหมายเพื่อเข้ากุมอำนาจรัฐ
ความจริงแต่ก่อนเมืองไทยไม่เคยมีคำว่าพรรคการเมือง คำว่าพรรคมีมาใช้ตอนหลังๆ สมัยก่อนเรียกว่า “คณะ” บ้าง ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Party” หรือเรียกเต็ม ๆ ว่า “Political Party” แปลว่า “พรรคการเมือง” ที่จริงคำว่าพรรคการเมืองนี่มันมีความหมายโดยทั่วไปก็ได้ อย่างที่เราเรียกว่า Tea Party คือจะมีการเลี้ยงน้ำชากันเป็นหมู่คณะ หรืออะไรก็แล้วแต่ ได้อีกมากมาย
๒. ที่มาของรัฐที่ทำให้เกิดพรรค
ส่วนพรรคการเมืองนั้นไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นในปัจจุบัน พรรคการเมืองเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ ถ้าจะถามว่าเกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ต้องบอกว่าเกิดมาพร้อมกับ “รัฐ” คือ “ประเทศ” เมื่อมีรัฐก็มีพรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคการเมืองนั้นจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมีประเทศก็มีรัฐปกครองประเทศ ก็ต้องมีพรรคการเมือง ตั้งแต่ยุคโบราณเป็นมาอย่างนี้ ฉะนั้นพรรคการเมืองหรือพรรคเป็นของคู่กับรัฐ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญ ที่เราจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ว่าพรรคนั้นเป็นของคู่กับรัฐ ถ้าไม่มีรัฐก็ไม่มีพรรคการเมือง ถ้ามีประเทศ ไม่มีรัฐ ก็ไม่มีพรรค คือว่าประเทศกับรัฐไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ประเทศมีมาแต่ไหนแต่ไร อาจจะไม่มีรัฐก็ได้ แต่ว่ามีประเทศ อย่างยุคสมัยป่าเถื่อน ถ้ายังไม่มีการปกครองที่มีรัฐ อาจจะปกครองด้วยวิธีต่างๆ เช่น ปกครองแบบพ่อบ้าน ปกครองแบบพ่อแม่ปกครองลูก แบบเครือญาติ ประเทศสมัยก่อนปกครองแบบโบราณแบบเครือญาติ ฉะนั้นประเทศอย่างนั้นเขาไม่มีรัฐ และเราก็ไม่ปนคำว่า “ประเทศ” (Country) กับ “รัฐ” (State) เข้าด้วยกัน ไม่ใช่ว่ามีประเทศแล้วก็จะต้องมีรัฐเสมอไป แต่ว่าในยุคปัจจุบัน เมื่อมีประเทศแล้วก็ต้องมีรัฐ สมัยนี้มันเป็นอย่างนี้เสียแล้ว แต่สมัยโบราณมีประเทศโดยไม่มีรัฐ “ประเทศ” เราเรียกอีกอย่าง “ปิตุภมิ” (Father Land) หรือ “มาตุภูมิ” (Mother Land)
เมื่อมีประเทศมีรัฐแล้วก็มีรูปต่างๆกัน เช่นก่อนสมัยกลาง สมัยกรีกโรมัน เมื่อเกิดประเทศขึ้นแล้ว รัฐเขาเรียกว่า “รัฐแห่งนคร” ต่อมาประเทศเป็นรูปของ “จักรวรรดิ” เพราะขยายใหญ่โต อย่างสมัยของจักรวรรดิโรมัน เราคงเคยได้ยินกัน ประเทศเป็นจักรวรรดิ เมื่อประเทศเป็นจักรวรรดิ รัฐมันก็กลายเป็นจักรวรรดิ เรียกว่า “Empire State” ต่อมาจักรวรรดิสูญหายไป ล่มสลายไปกลายเป็นรูปใหม่ กลายเป็นรูปศักดินา หรือ Feudal ซึ่งเรียกว่าสมัยกลาง อันนี้เราต้องติดตามประวัติศาสตร์กันบ้าง สมัยกลางนี้ ถ้าพูดถึงยุโรปก็ราวๆ สมัยเดียวกับกรุงสุโขทัย หรือยุธยา ถึงต้นรัตนโกสินทร์ อย่างนี้เรียกว่าสมัยกลาง สมัยกลางนี้ประเทศมีรูปเป็นศักดินา ฉะนั้นรัฐเขาก็เรียกว่า “รัฐศักดินา” หรือ Feudal State
ต่อมาประเทศก็เปลี่ยนรูปไปอีก เปลี่ยนรูปไปเป็น “ชาติ” หรือ “ประชา ชาติ” อย่างคณะชาตินิยม กลุ่มชาตินิยม ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้ หมายความว่าประเทศ ที่มีรูปเป็นชาติหรือประชาชาติ แล้วก็มีขบวนการหนึ่งเกิดขึ้นก็เรียกว่าขบวนการชาตินิยม หรือขบวนการประชาชาตินิยม ประเทศมีรูปเป็นชาติหรือประชาชาติรัฐก็เปลี่ยนรูปไป เป็น “รัฐประชาชาติ” หรือ “รัฐแห่งชาติ” อย่างในยุคปัจจุบันรัฐล้วนมีรูปเป็นรัฐแห่งชาติทั้งสิ้นไม่ว่าชาตินั้นจะเป็นชาติชนิดไหน ชาติมีหลายชนิด ชาติชนิดประชาธิปไตยก็มี ชาติชนิดเผด็จการก็มี ชนิดสังคมนิยมก็มี ที่เป็นกันอยู่ตามข้อเท็จจริง ฉะนั้นรัฐมันก็เป็นไปตามชนิดของชาติที่เป็นเผด็จการ หรือประชาธิปไตย หรือเป็นสังคมนิยม หรือเป็นคอมมิวนิสต์ เราจึงเรียกว่ารัฐเผด็จการบ้าง รัฐประชาธิปไตยบ้าง รัฐสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์บ้าง
๓. รัฐและอำนาจ
ทีนี้ “รัฐ” เนื้อแท้ตัวจริงของมันหมายถึงกลไก และอำนาจการปกครองประเทศ หากจะอธิบายกันอย่างง่าย ๆ ถ้าจะอธิบายกันตามวิชารัฐศาสตร์ ก็อธิบายกันมากมายก่ายกองจนไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คือกลไกและอำนาจที่ใช้การปกครองประเทศ กลไกเหล่านั้นก็ได้แก่ กองทัพ กองตำรวจ ศาลยุติธรรม ระบบราชการ ตลอดจนถึงองค์การนิติบัญญัติ ทางตุลาการ ทางบริหารเป็นต้น
พอมีกลไกแห่งรัฐก็ยังไม่พอ ต้องมี “อำนาจ” ด้วย เพราะการปกครองนั้นต้องปกครองด้วยอำนาจ ถ้าไม่มีอำนาจก็ไม่สามารถปกครองได้ ในระดับหมู่คณะ แม้ในหน่วยครอบครัวก็ต้องมีผู้ปกครองใช้อำนาจ ต่างกันเพียงแค่อำนาจในการปกครองประเทศนั้นเป็นอำนาจสูงสุด สามารถตัดหัวคนได้ สั่งฆ่าคนได้
อำนาจในการปกครองประเทศเรียกว่าอำนาจแห่งรัฐ (อธิปไตย) เป็นอำนาจสูงสุด อำนาจและกลไกแห่งรัฐเมื่อบวกกันก็เรียกว่า “รัฐ” ทีนี้ทั้งกลไกและทั้งอำนาจต่างๆ นี้ ต้องมีผู้ใช้ ผู้ใช้คือใคร ผู้ใช้คือผู้ที่เข้าไปยึดกุม ใครเข้าไปยึดกุมก็สามารถใช้อำนาจและกลไกดังกล่าวได้ สามารถใช้อำนาจแห่งรัฐและกลไกแห่งรัฐได้ เพราะฉะนั้น คณะบุคคลที่เรียกว่าพรรคการเมือง ซึ่งจะมีรูปเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้ามีความมุ่งหมายเพื่อที่จะเข้าไปยึดกุมอำนาจแห่งรัฐแล้วก็เรียกว่าพรรคการเมือง เพราะถ้าคณะเหล่านั้นถ้าได้เข้าไปยึดกุมแล้วก็มีอำนาจสูงสุดสามารถใช้กลไกแห่งรัฐแล้ว ก็มีอำนาจสูงสุดสามารถใช้กลไกแห่งรัฐและสามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ สมัยโบราณบรรดาผู้ที่เข้าไปยึดกุมอำนาจแห่งรัฐก็ย่อมมีอำนาจปกครองและใช้อำนาจนั้นตั้งแต่ประหารชีวิตคนลงมาเป็นลำดับๆ จนถึงโทษต่างๆ ผู้ที่เข้าไปยึดกุมก็คือพรรคการเมือง เพียงแต่ว่าแต่ก่อนไม่ได้เรียกว่าพรรคการเมือง อย่างเช่นในสมัยโบราณ สมัยกรีกโรมัน พวกที่เข้าไปยึดกุมนี้จะเรียกว่าเป็นคณะ เป็นกลุ่ม ฯลฯ แต่ก็จะเห็นว่ามีการยึดกุมกันอยู่เรื่อยๆ
๔. กลุ่มคนผู้ใช้อำนาจ
ต่อมาในยุคที่เรียกว่าสมัยกลาง ผู้ที่เข้าไปยึดกุมเรียกว่าราชวงศ์ ไม่ว่าประเทศไหน ๆ ล้วนแต่มีพระราชวงศ์ พระราชวงศ์หนึ่ง ๆ ก็เรียกว่าพรรคนั่นเอง เช่นในประเทศจีน มีราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ฮั่น กลุ่มเหล่านั้นต่อสู้กันเพื่อเข้าไปยึดกุมอำนาจในกลไกแห่งรัฐ เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด คำว่าพรรคนี่มีเริ่มมีเมื่อ ๓๐๐ ปีมานี่เอง คือหลังจากยุคสมัยกลาง การยึดกุมอำนาจในสมัยก่อนอาจเป็นการรวบรวมกำลังพล นำประชาชน ชาวนามาโค่นล้มอีกฝ่าย พอมาถึงยุคสมัยใหม่ก็เห็นว่าการสู้รบเป็นเรื่องล้าหลัง ก็เลยต้องต่อสู้กันแบบใหม่ด้วยเหตุผลที่เรียกกันว่าวิถีทางประชาธิปไตย
ใครที่ต้องการจะเข้าไปกุมอำนาจรัฐหรือกลไกแห่งรัฐ ก็ตั้งเป็นคณะขึ้นเรียกว่าตั้งพรรคขึ้นแล้วก็ต่อสู้กันด้วยวิธีการต่างๆ วิธีการเลือกตั้งก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะเข้าไปยึดกุมอำนาจรัฐ และกลไกแห่งรัฐ
การต่อสู้กันสมัยนี้ก็มีอยู่สองแบบ คือตามวิธีการประชาธิปไตย ด้วยการเลือกตั้งกันไป อีกแบบหนึ่งก็คือใช้กำลังเวลาไม่เอาด้วยก็เอารถถังออกมา ส่วนวิธีที่ร้ายกว่ารถถังก็ต้องเป็นแบบคอมมิวนิสต์คือการทำสงคราม ซึ่งคอมมิวนิสต์เชื่อว่าเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะยึดกุมกลไกแห่งรัฐและอำนาจรัฐด้วยการจัดตั้งกองทัพ
ต้องเข้าใจว่าผู้ที่จะเข้าไปกุมอำนาจแห่งรัฐเหนือกลไกแห่งรัฐนี้เรียกว่า “พรรคการเมือง” และจะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่อยู่เหนือรัฐ พรรคการเมืองคือผู้ที่จะเข้าไปกุมรัฐ ถ้าเข้าไปกุมไม่ได้ก็ถือว่ามีความมุ่งหมายที่จะเข้าไปอยู่เหนือรัฐทั้งนั้น เพราะจะเข้าไปเอาอำนาจรัฐ เข้าไปเอากลไกรัฐมาไว้ในกำมือตน เป็นสิ่งที่เหนือรัฐ ตามหลักที่แท้จริงแล้วพรรคจึงต้องอยู่เหนือรัฐทั้งนั้นและคณะบุคคลก็อยู่เหนือรัฐทั้งนั้น แต่ขณะนี้กลับเกิดสภาพพรรคบางพรรคเกิดไม่ถือหลักเกณฑ์ขึ้นมา คิดจะเข้าไปยึดกุมเสียคนเดียว กีดกันพรรคอื่นออกไป เพื่อให้พรรคตนเองยึดกุมอยู่ฝ่ายเดียว ก็เลยคิดวิธีการใหม่ขึ้นมาด้วยการใช้กฎหมายพรรคการเมือง ออกกฎหมายที่กำหนดกฎเกณฑ์อะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง โดยมีความมุ่งหวังเพื่อขัดขวางไม่ให้พรรคอื่นมีโอกาสเหมือนตนเอง วิธีการอย่างนี้เรียกว่า “วิธีการเผด็จการ”
๕. พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่ใช่ตามกฎหมาย
ตามประวัติศาสตร์ที่เล่ามาพรรคการเมืองจึงควรพัฒนามาตามธรรมชาติที่มันควรจะเป็น เติบโตขึ้นตามสภาพของมันเองและขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มไหนหรือกลไกไหนจะมีความสามารถทำให้ประชาชนสนับสนุน กฎหมายไม่น่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรได้ เพราะกฎหมายเป็นเรื่องของรัฐ ไม่ใช่เรื่องของพรรค พรรคไม่มีกฎหมาย แต่อยู่เหนือกฎหมายเพราะว่าอยู่เหนือรัฐ พรรคจึงอยู่เหนือกฎหมาย กฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ เมื่อพรรคอยู่เหนือรัฐ พรรคก็ต้องอยู่เหนือกฎหมาย ฉะนั้นถ้าหากว่ามาทำให้พรรคอยู่ใต้กฎหมายก็หมายความว่าเป็นการทำพรรคให้อยู่ใต้รัฐนั่นเอง ตามธรรมดาพรรคจะอยู่เหนือรัฐได้ พรรคต้องไม่มีกฎหมาย การออกกฎหมายเมื่อปี ๒๕๒๔ ให้รัฐอยู่เหนือพรรค จึงเป็นการผิดหลักเกณฑ์ของพรรคการเมือง การทำให้พรรคอยู่ใต้รัฐ เป็นการทำลายกฎเกณฑ์ของพรรคการเมือง เป็นการฝืนธรรมชาติ และตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตยที่มุ่งให้พัฒนาและเจริญไปเองตามธรรมชาติ การสกัดกั้นไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาแข่งขันด้วยความกลัว จึงทำให้เกิดระบอบเผด็จการขึ้นมาและเป็นการฝืนธรรมชาติของการพัฒนา ตัวอย่างพรรคเผด็จการก็อย่างเช่น พรรคฟาสซิสต์ของมุสโสลินี พรรคนาซีของฮิตเลอร์
๖. ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองเพื่อสร้างประชาธิปไตย
เรื่องพรรคการเมือง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับระบอบประชาธิปไตย ถ้าจะให้เป็นระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองเสียใหม่ ให้พรรคการเมืองก่อตัวขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างเช่นการให้สัมภาษณ์ของ ดร. กมล ทองธรรมชาติ ครั้งหนึ่งที่ว่า บ้านเราต้องการจะพัฒนาระบบพรรคด้วยกฎหมาย มุ่งหมายให้มีพรรคการเมืองน้อยพรรค แต่ทำเช่นนี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าจะออกกฎหมายอย่างรัดกุม พรรคการเมืองก็ยังมีอยู่หลายพรรคอยู่นั่นเอง ชาติใดที่ต้องการสร้างระบอบประชาธิปไตย จึงต้องให้มีการพัฒนาของพรรคการเมืองอย่างเป็นธรรมชาติ จะใช้กฎหมายมาตั้งพรรคการเมืองไม่ได้ ตามหลักการที่ว่าพรรคการเมืองอยู่เหนือรัฐ ไม่ใช่รัฐอยู่เหนือพรรคการเมือง เพื่อให้พรรคการเมืองมีเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่เคยมีมาในอดีต มีอยู่เพียงฉบับเดียวเท่านั้นที่กล่าวในเรื่องพรรคการเมืองอย่างถูกหลักเกณฑ์ของระบอบประชาธิปไตย ก็คือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งกล่าวถึงพรรคการเมืองไว้ว่า “บุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการรวมกันเป็นพรรคการเมือง เพื่อดำเนินการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย และจะนำเอากฎหมายที่ว่าด้วยสมาคมมาใช้กับพรรคการเมืองมิได้” นี่คือแบบฉบับของรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องในเรื่องที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง
แท้จริงแล้วสาระสำคัญตามกฎหมายพรรคการเมืองมีสาระสำคัญเพียงข้อเดียวคือ พรรคการเมืองต้องจดทะเบียน ถ้าพรรคการเมืองต้องจดทะเบียน พรรคการเมืองก็ไปขึ้นตรงกับรัฐ เพราะต้องไปจดกับกระทรวงมหาดไทย(1) ซึ่งขึ้นตรงกับรัฐ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองและในข้อเท็จจริงก็ต้องกลับไปสู่สถานการณ์ที่เป็นอยู่เมื่อปี ๒๔๘๙-๒๔๙๐ ก่อนมีการทำรัฐประหาร
--------------------------
* เอกสารทางวิชาการและการเมือง “ทำไมเราจึงต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง”
ถอดเทปจากคำบรรยายของ นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อดีตประธานคณะกรรมการบริหาร
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ โดย นายอนุสรณ์ สมอ่อน กรรมการบริหารขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
เผยแผ่โดยขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ The National Democratic Movement of Thailand (NDMT)
(1) ปัจจุบันจดทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นต้นมา)