วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้อ 7. "เรียนรู้อธิปไตยของประชา"


ข้อ 7. "เรียนรู้อธิปไตยของประชา"
(ข้อมูลจาก : Google+ ของ คุณเสาวลักษณ์ กัลยา)

ข้อ 7. "เรียนรู้อธิปไตยของประชา" คือค่านิยมหลักคนไทยที่เสนอโดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี....!!!

เพื่อให้เด็กและคนไทย.."เรียนรู้อธิปไตยของประชา"...นั้นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ปัญหาชาติและประชาชนโดย คสช.ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเอง

1. นับว่าเป็นการเสนอ.."ค่านิยมหลักคนไทย"..ในข้อ 7 ได้ดีมาก...เพราะปัญหาของประเทศไทยที่แก้ไม่ตกคือ.."ปัญหาความไม่รู้ระบอบประชาธิปไตย"..หรือ.."อธิปไตยของประชาฯ"..หรือ..อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน"(Sovereignty of the people) หรือมีความเห็นผิด มิจฉาทิฎฐิว่า.."ระบอบเผด็จการรัฐสภา(อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย)..เป็น..ระบอบประชาธิปไตย(อำนาจอธิปไตยของปวงชน) จึงเป็นการเสนอปัญหาได้ถูกต้อง คือ แก้ปัญหาความคิด หรือแก้ปัญหาความเห็นของคนไทย นั่นเอง

2. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธาน คสช.และนายกรัฐมนตรี...ในฐานะเป็นผู้เสนอค่านิยาหลักคนไทย..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.."ข้อ 7 เรียนรู้ อธิปไตยของประชา" จะต้องแน่ใจก่อนว่าท่านเองและคณะ คสช.และรัฐบาล...ได้เรียนรู้.."อธิปไตยของประชา"..ได้ถูกต้องแล้วหรือยัง...??? ดังต่อไปนี้...
2.1...ถ้ารู้อธิปไตยของประชา...ก็จะต้องรู้ว่า..."ขณะนี้อธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย..ไม่ได้มีอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนแต่อย่างใดทั้งสิ้น"
2.2...อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยปัจจุบัน..คือ..ระบอบเผด็จการรัฐสภา(Dictatorial Regime) อันเป็นมรรควิธีของการปกครอง(Method of Government)ของคนส่วนน้อย แต่อำนาจธิปไตยเป็นของปวงชน..คือ..ระบอบประชาธิปไตย(Democratic Regime) อันเป็นมรรควิธีการปกครองของประชาชน

3. อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย..หรือ..ระบอบเผด็จการ อันเป็นมรรควิธีการปกครองของคนส่วนน้อย...มีรูปธรรมดังนี้คือ...
- มีรัฐสภาที่ประกอบด้วยผู้แทนที่มีลักษณะเป็น.."ผู้แทนของคนส่วนน้อย" มาจากสาขาอาชีพของคนส่วนน้อย เช่น นายทุนพ่อค้านักธุรกิจ หรือทหารตำรวจ หรือคนร่ำรวยได้เปรียบในสังคม ทั้งสิ้น...และรักษาผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย...ไม่รักษาผลประโยชน์ของปวงชนคนทั้งประเทศ
- มีรัฐบาลที่มีนโยบายรักษาผลประโยชน์แต่ของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยได้เปรียบในสังคมที่ยึดกุมอำนาจอธิปไตยอยู่ ทำตามความต้องการของคนส่ีวนนน้อย ไม่ทำตามความต้องการของประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง
- มีพรรคการเมืองของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยได้เปรียบในสังคมเป็นพรรคปกครอง(Ruling Party)เท่านั้้น ไม่มีพรรคของประชาชนขึ้นปกครองประเทศแต่อย่างใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคตามกฎหมาย หรือพรรคตามธรรมชาติ มาตรการสร้างและรักษาพรรคการเมืองของคนส่วนน้อยคือ..."ออกกฎหมายพรรคการเมือง...เข้าควบคุมพรรคอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง"...ไม่ปล่อยให้พรรคการเมืองเกิดขึ้นและเติบโตตามธรรมชาติอย่า่งอิสระ เช่น พรรคประชาธิปไตยทั่วโลก
- มีม็อบหรือมวลชนเผด็จการ...เพื่อรักษาอำนาจของคนส่วนน้อยหรือรักษาระบอบเผด็จการ...คือ..เคลื่อนไหวรักษาระบอบเผด็จการ...ไม่เคลื่อนไหวเปลี่ยนระบอบ หรือยกเลิกระบอบเผด็จการ สร้างระบอบประชาธิปไตย ไม่ยกระดับจากม็อบเผด็จการ..ขึ้นเป็น..มวลชนประชาธิปไตย หรือมวลชนปฏิวัติ...เพื่อทำหน้าที่ผลักดันการสร้างประชาธิปไตย และเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กรักษาภารกิจสร้างประชาธิปไตยไว้ให้จงได้
- ไม่มีรัฐธรรมนูญที่สะท้อนระบอบประชาธิปไตย หรือรักษาระบอบประชาธิปไตย...แต่มีแต่รัฐธรรมนูญที่สะท้อนรักษาระบอบเผด็จการ...โดยหลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย...หรือ..หลอกว่ารัฐธรรมนูญคือเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย หรือสร้างประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษ ไม่สร้างประชาธิปไตยในแผ่นดินจริงๆ ซึ่งใช้นโยบายเป็นเครื่องมือสร้างที่ถูกต้องจึงจะสำเร็จ...นั่นคือ..รัฐธรรมนูญเกิดจากลัทธิรัฐธรรมนูญ..ไม่ได้เกิดจากลัทธิประชาธิปไตย นั่นเอง
- ผู้ปกครองและม็อบ...ไม่มีอุดมการลัทธิประชาธิปไตย ไม่มีอุดมคติสังคมประชาธิปไตย...มีแต่อุดมการ หรือวิธีคิดลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการ นั่นคือ...
# มีจุดยืนเห็นแก่ตัว
# มีวิธีคิดเผด็จการ เช่น...
๐ มีทฤษฎีลัทธิรัฐธรรมนูญ
๐ มีแนวทางเผด็จการ(รัฐธรรมนูญ)
๐ มีหลักนโยบายเผด็จการ "
๐ มีนโยบายเผด็จการ "
๐ มีมาตรการ และวิธีการเผด็จการ
๐ มียุทธศาสตร์เผด็จการ "
๐ มียุทธวิธีเผด็จการ "

4. ระบอบประชาธิปไตย หรืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน หรือมรรควิธีการปกครองของประชาชน จะต้องมีรูปธรรมตรงข้ามกับระบอบเผด็จการ..หรือตรงข้ามกับอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย นั่นคือ...
- มีรัฐสภาที่ประกอบด้วยผู้แทนที่มีลักษณะเป็น.."ผู้แทนของปวงชนคนทั้งประเทศ" มาจากสาขาอาชีพของประชาชนทุกอาชีพอย่างกว้างขวาง เช่น ชาวนาชาวไร่ กรรมกรแรงงาน นายทุนพ่อค้านักธุรกิจ หรือทหารตำรวจ และมาจากทุกเขตทั่วประเทศ...และรักษารักษาผลประโยชน์ของปวงชนคนทั้งประเทศ
- มีรัฐบาลที่มีนโยบายรักษาผลประโยชน์ชิทำตามความต้องการของคนประชาชนคนทั้งประเทศ และทำตามความต้องการของประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง
- มีพรรคการเมืองของประชาชน หรือเป็นพรรคมวลชน หรือเป็นพรรคประชาธิปไตย อันเป็นพรรคปกครอง(Ruling Party) นปกครองประเทศ ทั้งเป็นพรรคตามกฎหมาย และพรรคตามธรรมชาติ มาตรการสร้างและรักษาพรรคการเมืองของประชาชน คือ..."ไม่มีการออกกฎหมายพรรคการเมือง...เข้าควบคุมพรรคอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง"...จะต้องปล่อยให้พรรคการเมืองเกิดขึ้นและเติบโตตามธรรมชาติอย่า่งอิสระ เช่น พรรคประชาธิปไตยทั่วโลก
- มีมวลชนประชาธิปไตย...เพื่อผลักดันการสร้างประชาธิปไตย และรักษาระบอบประชาธิปไตย...นั่นคือ..เคลื่อนไหวเปลี่ยนระบอบ หรือยกเลิกระบอบเผด็จการ สร้างระบอบประชาธิปไตย ยกระดับจากม็อบเผด็จการ..ขึ้นเป็น..มวลชนประชาธิปไตย หรือมวลชนปฏิวัติ...เพื่อทำหน้าที่ผลักดันการสร้างประชาธิปไตย และเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กรักษาภารกิจสร้างประชาธิปไตยไว้ให้จงได้
- มีรัฐธรรมนูญที่สะท้อนระบอบประชาธิปไตย หรือรักษาระบอบประชาธิปไตยปไตย..ไม่มีการสร้างประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษ มีแต่การสร้างประชาธิปไตยในแผ่นดินจริงๆ ซึ่งใช้นโยบายเป็นเครื่องมือสร้างที่ถูกต้องจึงจะสำเร็จ...นั่นคือ..รัฐธรรมนูญเกิดจากลัทธิประชาธิปไตย นั่นเอง
- ผู้ปกครองและมวลชน...จะมีอุดมการลัทธิประชาธิปไตย มีอุดมคติสังคมประชาธิปไตย...นั่นคือ มีระบบความคิดดังนี้ คือ...
# มีจุดยืนเห็นแก่ส่วนรวม
# มีวิธีคิดประชาธิปไตย เช่น...
๐ มีทฤษฎีลัทธิประชาธิปไตย
๐ มีแนวทางประชาธิปไตย
๐ มีหลักนโยบายประชาธิปไตย
๐ มีนโยบายประชาธิปไตย "
๐ มีมาตรการ และวิธีการประชาธิปไตย
๐ มียุทธศาสตร์ประชาธิปไตย
๐ มียุทธวิธีประชาธิปไตย

5. คสช. และรัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา...จะต้องทำการจัดตั้ง..."การปกครองเฉพาะกาล"(Provisional Government)...ที่มีรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล รัฐบาลเฉพาะกาล สภาสร้างประชาธิปไตยเฉพาะกาล และองค์กรบริหารเฉพาะกาล...เข้าปฏิบัติภารกิจของระยะเปลี่ยนผ่าน คือ.."ภารกิจสร้างประชาธิปไตย" หรือปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic Revolution) ตามแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 อันเป็นการสร้างประชาธิปไตยระดับสูง ขั้นตอนสุดท้ายที่ยังไม่ได้รับการปฏิบัติให้แล้วเสร็จ และเริ่มลงมือใช้การปกครองเฉพาะกาลทั้งสิ้นง..ปฏิบัติภารกิจของระยะเปลี่ยนผ่านอันเป็นภารกิจแบ่งยุคเปลี่ยนสมัยให้สำเร็จเสร็จสิ้น ใช้เวลาจนกว่าจะทำภารกิจสำเร็จ...แล้วจึงยกเลิกการปกครองเฉพาะกาล..ส่งมอบอำนาจให้แก่รัฐบาลและรัฐสภาใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยต่อไป...เป็นอันว่าเสร็จสิ้นภารกิจ จึงยุติบทบาทของ คสช.และรัฐบาลเฉพาะกาล และรัฐสภาเฉพาะกาล ลงตามกฎเกณฑ์ของผู้ปกครองของการปกครองเฉพาะกาลทั่วโลก

คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ 18 กันยายน 2557
((เรื่องเก่านำมาเล่าได้ไม่จบ))

ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง



ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง
(ข้อมูลจาก : Google+ ของ คุณเสาวลักษณ์ กัลยา)
ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง
ทำไมเราจึงต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง ?
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับปัญหาทฤษฎีและปัญหาข้อเท็จจริง ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พรรคคืออะไร ? พรรคการเมืองคืออะไร ? เมื่อพูดถึงปัญหาทางทฤษฎีมาทำความเข้าใจว่าพรรคการเมืองคืออะไร ?
๑ .ความหมาย
“พรรคการเมือง” คือ กลุ่มบุคคลหรือคณะบุคคลที่ยึดกุมอำนาจรัฐ หรือมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะเข้ายึดกุมอำนาจรัฐ นี่คือความหมายย่อๆ และก็ง่ายๆ ของพรรคการเมือง คำว่าพรรคการเมืองนี้ นักวิชาการโดยเฉพาะนักรัฐศาสตร์ อธิบายหลายแง่หลายมุมและก็ยืดยาวบางทียากต่อการทำความเข้าใจ แท้จริงแล้วก็มีความหมายและสาระสำคัญเพียงแค่นี้ จะมีรูปเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ รูปของกลุ่มของคณะบุคคลนั้น อาจจะไม่เรียกว่าพรรคก็ได้ อาจจะเรียกว่าขบวนการก็ได้ อย่างขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ แต่ถ้ามีความมุ่งหมายที่จะเข้ากุมอำนาจรัฐแล้วก็ได้ชื่อว่ามีลักษณะเป็นพรรคการเมืองทั้งสิ้น ฉะนั้นพรรคการเมืองจึงหมายถึงสาระสำคัญของมัน ไม่ได้หมายถึงรูปแบบของการมี อาจจะเรียกว่าพวกก็ได้ ถ้าคนเหล่านั้นมีความมุ่งหมายเพื่อเข้ากุมอำนาจรัฐ
ความจริงแต่ก่อนเมืองไทยไม่เคยมีคำว่าพรรคการเมือง คำว่าพรรคมีมาใช้ตอนหลังๆ สมัยก่อนเรียกว่า “คณะ” บ้าง ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Party” หรือเรียกเต็ม ๆ ว่า “Political Party” แปลว่า “พรรคการเมือง” ที่จริงคำว่าพรรคการเมืองนี่มันมีความหมายโดยทั่วไปก็ได้ อย่างที่เราเรียกว่า Tea Party คือจะมีการเลี้ยงน้ำชากันเป็นหมู่คณะ หรืออะไรก็แล้วแต่ ได้อีกมากมาย
๒. ที่มาของรัฐที่ทำให้เกิดพรรค
ส่วนพรรคการเมืองนั้นไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นในปัจจุบัน พรรคการเมืองเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ ถ้าจะถามว่าเกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ต้องบอกว่าเกิดมาพร้อมกับ “รัฐ” คือ “ประเทศ” เมื่อมีรัฐก็มีพรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคการเมืองนั้นจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมีประเทศก็มีรัฐปกครองประเทศ ก็ต้องมีพรรคการเมือง ตั้งแต่ยุคโบราณเป็นมาอย่างนี้ ฉะนั้นพรรคการเมืองหรือพรรคเป็นของคู่กับรัฐ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญ ที่เราจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ว่าพรรคนั้นเป็นของคู่กับรัฐ ถ้าไม่มีรัฐก็ไม่มีพรรคการเมือง ถ้ามีประเทศ ไม่มีรัฐ ก็ไม่มีพรรค คือว่าประเทศกับรัฐไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ประเทศมีมาแต่ไหนแต่ไร อาจจะไม่มีรัฐก็ได้ แต่ว่ามีประเทศ อย่างยุคสมัยป่าเถื่อน ถ้ายังไม่มีการปกครองที่มีรัฐ อาจจะปกครองด้วยวิธีต่างๆ เช่น ปกครองแบบพ่อบ้าน ปกครองแบบพ่อแม่ปกครองลูก แบบเครือญาติ ประเทศสมัยก่อนปกครองแบบโบราณแบบเครือญาติ ฉะนั้นประเทศอย่างนั้นเขาไม่มีรัฐ และเราก็ไม่ปนคำว่า “ประเทศ” (Country) กับ “รัฐ” (State) เข้าด้วยกัน ไม่ใช่ว่ามีประเทศแล้วก็จะต้องมีรัฐเสมอไป แต่ว่าในยุคปัจจุบัน เมื่อมีประเทศแล้วก็ต้องมีรัฐ สมัยนี้มันเป็นอย่างนี้เสียแล้ว แต่สมัยโบราณมีประเทศโดยไม่มีรัฐ “ประเทศ” เราเรียกอีกอย่าง “ปิตุภมิ” (Father Land) หรือ “มาตุภูมิ” (Mother Land)
เมื่อมีประเทศมีรัฐแล้วก็มีรูปต่างๆกัน เช่นก่อนสมัยกลาง สมัยกรีกโรมัน เมื่อเกิดประเทศขึ้นแล้ว รัฐเขาเรียกว่า “รัฐแห่งนคร” ต่อมาประเทศเป็นรูปของ “จักรวรรดิ” เพราะขยายใหญ่โต อย่างสมัยของจักรวรรดิโรมัน เราคงเคยได้ยินกัน ประเทศเป็นจักรวรรดิ เมื่อประเทศเป็นจักรวรรดิ รัฐมันก็กลายเป็นจักรวรรดิ เรียกว่า “Empire State” ต่อมาจักรวรรดิสูญหายไป ล่มสลายไปกลายเป็นรูปใหม่ กลายเป็นรูปศักดินา หรือ Feudal ซึ่งเรียกว่าสมัยกลาง อันนี้เราต้องติดตามประวัติศาสตร์กันบ้าง สมัยกลางนี้ ถ้าพูดถึงยุโรปก็ราวๆ สมัยเดียวกับกรุงสุโขทัย หรือยุธยา ถึงต้นรัตนโกสินทร์ อย่างนี้เรียกว่าสมัยกลาง สมัยกลางนี้ประเทศมีรูปเป็นศักดินา ฉะนั้นรัฐเขาก็เรียกว่า “รัฐศักดินา” หรือ Feudal State
ต่อมาประเทศก็เปลี่ยนรูปไปอีก เปลี่ยนรูปไปเป็น “ชาติ” หรือ “ประชา ชาติ” อย่างคณะชาตินิยม กลุ่มชาตินิยม ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้ หมายความว่าประเทศ ที่มีรูปเป็นชาติหรือประชาชาติ แล้วก็มีขบวนการหนึ่งเกิดขึ้นก็เรียกว่าขบวนการชาตินิยม หรือขบวนการประชาชาตินิยม ประเทศมีรูปเป็นชาติหรือประชาชาติรัฐก็เปลี่ยนรูปไป เป็น “รัฐประชาชาติ” หรือ “รัฐแห่งชาติ” อย่างในยุคปัจจุบันรัฐล้วนมีรูปเป็นรัฐแห่งชาติทั้งสิ้นไม่ว่าชาตินั้นจะเป็นชาติชนิดไหน ชาติมีหลายชนิด ชาติชนิดประชาธิปไตยก็มี ชาติชนิดเผด็จการก็มี ชนิดสังคมนิยมก็มี ที่เป็นกันอยู่ตามข้อเท็จจริง ฉะนั้นรัฐมันก็เป็นไปตามชนิดของชาติที่เป็นเผด็จการ หรือประชาธิปไตย หรือเป็นสังคมนิยม หรือเป็นคอมมิวนิสต์ เราจึงเรียกว่ารัฐเผด็จการบ้าง รัฐประชาธิปไตยบ้าง รัฐสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์บ้าง
๓. รัฐและอำนาจ
ทีนี้ “รัฐ” เนื้อแท้ตัวจริงของมันหมายถึงกลไก และอำนาจการปกครองประเทศ หากจะอธิบายกันอย่างง่าย ๆ ถ้าจะอธิบายกันตามวิชารัฐศาสตร์ ก็อธิบายกันมากมายก่ายกองจนไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คือกลไกและอำนาจที่ใช้การปกครองประเทศ กลไกเหล่านั้นก็ได้แก่ กองทัพ กองตำรวจ ศาลยุติธรรม ระบบราชการ ตลอดจนถึงองค์การนิติบัญญัติ ทางตุลาการ ทางบริหารเป็นต้น
พอมีกลไกแห่งรัฐก็ยังไม่พอ ต้องมี “อำนาจ” ด้วย เพราะการปกครองนั้นต้องปกครองด้วยอำนาจ ถ้าไม่มีอำนาจก็ไม่สามารถปกครองได้ ในระดับหมู่คณะ แม้ในหน่วยครอบครัวก็ต้องมีผู้ปกครองใช้อำนาจ ต่างกันเพียงแค่อำนาจในการปกครองประเทศนั้นเป็นอำนาจสูงสุด สามารถตัดหัวคนได้ สั่งฆ่าคนได้
อำนาจในการปกครองประเทศเรียกว่าอำนาจแห่งรัฐ (อธิปไตย) เป็นอำนาจสูงสุด อำนาจและกลไกแห่งรัฐเมื่อบวกกันก็เรียกว่า “รัฐ” ทีนี้ทั้งกลไกและทั้งอำนาจต่างๆ นี้ ต้องมีผู้ใช้ ผู้ใช้คือใคร ผู้ใช้คือผู้ที่เข้าไปยึดกุม ใครเข้าไปยึดกุมก็สามารถใช้อำนาจและกลไกดังกล่าวได้ สามารถใช้อำนาจแห่งรัฐและกลไกแห่งรัฐได้ เพราะฉะนั้น คณะบุคคลที่เรียกว่าพรรคการเมือง ซึ่งจะมีรูปเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้ามีความมุ่งหมายเพื่อที่จะเข้าไปยึดกุมอำนาจแห่งรัฐแล้วก็เรียกว่าพรรคการเมือง เพราะถ้าคณะเหล่านั้นถ้าได้เข้าไปยึดกุมแล้วก็มีอำนาจสูงสุดสามารถใช้กลไกแห่งรัฐแล้ว ก็มีอำนาจสูงสุดสามารถใช้กลไกแห่งรัฐและสามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ สมัยโบราณบรรดาผู้ที่เข้าไปยึดกุมอำนาจแห่งรัฐก็ย่อมมีอำนาจปกครองและใช้อำนาจนั้นตั้งแต่ประหารชีวิตคนลงมาเป็นลำดับๆ จนถึงโทษต่างๆ ผู้ที่เข้าไปยึดกุมก็คือพรรคการเมือง เพียงแต่ว่าแต่ก่อนไม่ได้เรียกว่าพรรคการเมือง อย่างเช่นในสมัยโบราณ สมัยกรีกโรมัน พวกที่เข้าไปยึดกุมนี้จะเรียกว่าเป็นคณะ เป็นกลุ่ม ฯลฯ แต่ก็จะเห็นว่ามีการยึดกุมกันอยู่เรื่อยๆ
๔. กลุ่มคนผู้ใช้อำนาจ
ต่อมาในยุคที่เรียกว่าสมัยกลาง ผู้ที่เข้าไปยึดกุมเรียกว่าราชวงศ์ ไม่ว่าประเทศไหน ๆ ล้วนแต่มีพระราชวงศ์ พระราชวงศ์หนึ่ง ๆ ก็เรียกว่าพรรคนั่นเอง เช่นในประเทศจีน มีราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ฮั่น กลุ่มเหล่านั้นต่อสู้กันเพื่อเข้าไปยึดกุมอำนาจในกลไกแห่งรัฐ เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด คำว่าพรรคนี่มีเริ่มมีเมื่อ ๓๐๐ ปีมานี่เอง คือหลังจากยุคสมัยกลาง การยึดกุมอำนาจในสมัยก่อนอาจเป็นการรวบรวมกำลังพล นำประชาชน ชาวนามาโค่นล้มอีกฝ่าย พอมาถึงยุคสมัยใหม่ก็เห็นว่าการสู้รบเป็นเรื่องล้าหลัง ก็เลยต้องต่อสู้กันแบบใหม่ด้วยเหตุผลที่เรียกกันว่าวิถีทางประชาธิปไตย
ใครที่ต้องการจะเข้าไปกุมอำนาจรัฐหรือกลไกแห่งรัฐ ก็ตั้งเป็นคณะขึ้นเรียกว่าตั้งพรรคขึ้นแล้วก็ต่อสู้กันด้วยวิธีการต่างๆ วิธีการเลือกตั้งก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะเข้าไปยึดกุมอำนาจรัฐ และกลไกแห่งรัฐ
การต่อสู้กันสมัยนี้ก็มีอยู่สองแบบ คือตามวิธีการประชาธิปไตย ด้วยการเลือกตั้งกันไป อีกแบบหนึ่งก็คือใช้กำลังเวลาไม่เอาด้วยก็เอารถถังออกมา ส่วนวิธีที่ร้ายกว่ารถถังก็ต้องเป็นแบบคอมมิวนิสต์คือการทำสงคราม ซึ่งคอมมิวนิสต์เชื่อว่าเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะยึดกุมกลไกแห่งรัฐและอำนาจรัฐด้วยการจัดตั้งกองทัพ
ต้องเข้าใจว่าผู้ที่จะเข้าไปกุมอำนาจแห่งรัฐเหนือกลไกแห่งรัฐนี้เรียกว่า “พรรคการเมือง” และจะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่อยู่เหนือรัฐ พรรคการเมืองคือผู้ที่จะเข้าไปกุมรัฐ ถ้าเข้าไปกุมไม่ได้ก็ถือว่ามีความมุ่งหมายที่จะเข้าไปอยู่เหนือรัฐทั้งนั้น เพราะจะเข้าไปเอาอำนาจรัฐ เข้าไปเอากลไกรัฐมาไว้ในกำมือตน เป็นสิ่งที่เหนือรัฐ ตามหลักที่แท้จริงแล้วพรรคจึงต้องอยู่เหนือรัฐทั้งนั้นและคณะบุคคลก็อยู่เหนือรัฐทั้งนั้น แต่ขณะนี้กลับเกิดสภาพพรรคบางพรรคเกิดไม่ถือหลักเกณฑ์ขึ้นมา คิดจะเข้าไปยึดกุมเสียคนเดียว กีดกันพรรคอื่นออกไป เพื่อให้พรรคตนเองยึดกุมอยู่ฝ่ายเดียว ก็เลยคิดวิธีการใหม่ขึ้นมาด้วยการใช้กฎหมายพรรคการเมือง ออกกฎหมายที่กำหนดกฎเกณฑ์อะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง โดยมีความมุ่งหวังเพื่อขัดขวางไม่ให้พรรคอื่นมีโอกาสเหมือนตนเอง วิธีการอย่างนี้เรียกว่า “วิธีการเผด็จการ”
๕. พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่ใช่ตามกฎหมาย
ตามประวัติศาสตร์ที่เล่ามาพรรคการเมืองจึงควรพัฒนามาตามธรรมชาติที่มันควรจะเป็น เติบโตขึ้นตามสภาพของมันเองและขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มไหนหรือกลไกไหนจะมีความสามารถทำให้ประชาชนสนับสนุน กฎหมายไม่น่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรได้ เพราะกฎหมายเป็นเรื่องของรัฐ ไม่ใช่เรื่องของพรรค พรรคไม่มีกฎหมาย แต่อยู่เหนือกฎหมายเพราะว่าอยู่เหนือรัฐ พรรคจึงอยู่เหนือกฎหมาย กฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ เมื่อพรรคอยู่เหนือรัฐ พรรคก็ต้องอยู่เหนือกฎหมาย ฉะนั้นถ้าหากว่ามาทำให้พรรคอยู่ใต้กฎหมายก็หมายความว่าเป็นการทำพรรคให้อยู่ใต้รัฐนั่นเอง ตามธรรมดาพรรคจะอยู่เหนือรัฐได้ พรรคต้องไม่มีกฎหมาย การออกกฎหมายเมื่อปี ๒๕๒๔ ให้รัฐอยู่เหนือพรรค จึงเป็นการผิดหลักเกณฑ์ของพรรคการเมือง การทำให้พรรคอยู่ใต้รัฐ เป็นการทำลายกฎเกณฑ์ของพรรคการเมือง เป็นการฝืนธรรมชาติ และตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตยที่มุ่งให้พัฒนาและเจริญไปเองตามธรรมชาติ การสกัดกั้นไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาแข่งขันด้วยความกลัว จึงทำให้เกิดระบอบเผด็จการขึ้นมาและเป็นการฝืนธรรมชาติของการพัฒนา ตัวอย่างพรรคเผด็จการก็อย่างเช่น พรรคฟาสซิสต์ของมุสโสลินี พรรคนาซีของฮิตเลอร์
๖. ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองเพื่อสร้างประชาธิปไตย
เรื่องพรรคการเมือง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับระบอบประชาธิปไตย ถ้าจะให้เป็นระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองเสียใหม่ ให้พรรคการเมืองก่อตัวขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างเช่นการให้สัมภาษณ์ของ ดร. กมล ทองธรรมชาติ ครั้งหนึ่งที่ว่า บ้านเราต้องการจะพัฒนาระบบพรรคด้วยกฎหมาย มุ่งหมายให้มีพรรคการเมืองน้อยพรรค แต่ทำเช่นนี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าจะออกกฎหมายอย่างรัดกุม พรรคการเมืองก็ยังมีอยู่หลายพรรคอยู่นั่นเอง ชาติใดที่ต้องการสร้างระบอบประชาธิปไตย จึงต้องให้มีการพัฒนาของพรรคการเมืองอย่างเป็นธรรมชาติ จะใช้กฎหมายมาตั้งพรรคการเมืองไม่ได้ ตามหลักการที่ว่าพรรคการเมืองอยู่เหนือรัฐ ไม่ใช่รัฐอยู่เหนือพรรคการเมือง เพื่อให้พรรคการเมืองมีเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่เคยมีมาในอดีต มีอยู่เพียงฉบับเดียวเท่านั้นที่กล่าวในเรื่องพรรคการเมืองอย่างถูกหลักเกณฑ์ของระบอบประชาธิปไตย ก็คือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งกล่าวถึงพรรคการเมืองไว้ว่า “บุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการรวมกันเป็นพรรคการเมือง เพื่อดำเนินการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย และจะนำเอากฎหมายที่ว่าด้วยสมาคมมาใช้กับพรรคการเมืองมิได้” นี่คือแบบฉบับของรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องในเรื่องที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง
แท้จริงแล้วสาระสำคัญตามกฎหมายพรรคการเมืองมีสาระสำคัญเพียงข้อเดียวคือ พรรคการเมืองต้องจดทะเบียน ถ้าพรรคการเมืองต้องจดทะเบียน พรรคการเมืองก็ไปขึ้นตรงกับรัฐ เพราะต้องไปจดกับกระทรวงมหาดไทย(1) ซึ่งขึ้นตรงกับรัฐ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองและในข้อเท็จจริงก็ต้องกลับไปสู่สถานการณ์ที่เป็นอยู่เมื่อปี ๒๔๘๙-๒๔๙๐ ก่อนมีการทำรัฐประหาร
--------------------------
* เอกสารทางวิชาการและการเมือง “ทำไมเราจึงต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง”
ถอดเทปจากคำบรรยายของ นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อดีตประธานคณะกรรมการบริหาร
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ โดย นายอนุสรณ์ สมอ่อน กรรมการบริหารขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
เผยแผ่โดยขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ The National Democratic Movement of Thailand (NDMT)
(1) ปัจจุบันจดทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นต้นมา)

ว่าด้วย..."ปัญหาพื้นฐานของชาติ"

 
ว่าด้วย..."ปัญหาพื้นฐานของชาติ"
(ข้อมูลจาก : Google+ ของ คุณเสาวลักษณ์ กัลยา)
ว่าด้วย..."ปัญหาพื้นฐานของชาติ"...!!!
ประเทศเมื่อก้าวขึ้นสู่ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ฯ...จะมีปัญหาพื้นฐาน(Fundamental Problem)ที่สำคัญอยู่ 2 ปัญหาใหญ่ คือ...
1. ปัญหาเอกราช
2. ปัญหาประชาธิปไตย
ปัญหาพื้นฐานนั้นเป็นปัญหาของชาติที่จะต้องแก้ไขให้ตกไปเสียก่อนปัญหาอื่นทั้งสิ้น ถ้าไม่แก้ปัญหาพื้นฐานแล้ว ปัญหาอื่นๆก็จะไม่มีเงือนไขแก้ให้ตกไปได้
ปัญหาเอกราช หรือปัญหาอธิปไตยของชาติ...ประเทศทีตกเป็นเมืองขึ้น จะต้องแก้ปัญหาเอกราชให้ตกไปก่อนอื่นทั้งสิ้น คือ จะต้องทำ.."ปฏิวัติประชาชาติ"(National Revolution) หรือทำให้มีอธิปไตยของชาติ ด้วยการต่อสู้กอบกู้อธิปไตยมาเป็นของชาติ เรียกว่า.."กู้ชาติ" ในภาษาธรรมดาทั่วๆไป ถ้าไม่ก็ชาติ หรือไม่มีชาติ หรือไม่มีอธิปไตยของชาติ...ก็จะไปแก้ปัญหาพื้นฐานต่อมาคือ.."ปัญหาประชาธิปไตย" ได้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อแก้ปัญหาเอกราชได้ตกไปแล้ว...ก็จะมีเงื่อนไขให้แก้ปัญหาประชาธิปไตย หรือทำให้.."อธิปไตยเป็นของประชาชน" เรียกว่า.."การปฏิวัติประชาธิปไตย"(Democratic Revolution) ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานของชาติ ถ้าไม่แก้ปัญหาประชาธิปไตยให้ตกไปเสียก่อน ก็จะไม่มีเงื่อนไขแก้ปัญหาอื่นๆให้ตกไปได้
ปัญหาพื้่นฐานของยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่นั้น มีทั้งปัญหาการเมือง ปัญหาการปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาวัฒนธรรม ปัญหาสงคม ฯลฯ
แต่ปัญหาพื้นฐานที่สุดของชาติ..คือ.."ปัญหาประชาธิปไตย" เมื่อแก้ปัญหาประชาธิปไตยอันเป็นปัญหาพื้นฐานที่สุดตกไปแล้ว...ก็จะทำให้มีเงื่อนไขแก้ปัญหาพื้นฐานอื่นๆ ไม่ว่าปัญหาการเมือง ปัญหาการปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม ปัญหาวัฒนธรรม ฯลฯ ให้ตกไปได้ตามกฎเกณฑ์
ถ้าเราไม่แก้ปัญหาพื้นฐานที่สุด...เราไปแก้ปัญหาพื้นฐานอื่นๆ ก็ไม่อาจจะแก้ปัญหาได้อย่างสิ้นเชิง อย่างเช่นที่ประเทศไทยได้แก้ปัญหามาเป็นเวลา 82 ปี เราละเลยการแก้ปัญหาประชาธิปไตยอันเป็นปัญหาพื้นฐานที่สุดของชาติ..โดยเข้าใจผิดว่ามันเป็นประชาธิปไตยแล้ว นั่นเอง จะไปแก้ปัญหาพื้นฐานอื่นๆ จึงล้มเหลวตลอดมา นั่นเอง
หรือพวกคอมมิวนิสต์จะไปแก้ปัญหาเอกราช เสนอการปฏิวัติประชาชาติ...ละเลยการแก้ปัญหาประชาธิปไตย ทั้งๆที่เรามีเอกราช มีอธิปไตยของชาติอยู่แล้ว แต่เป็นเอกราชที่ไม่สมบูรณ์....จึงทำให้แก้ปัญหาไม่ถูกกับปัญหาพื้นฐานของชาติ ทำให้แก้ปัญหาไม่ตก ไม่มีชัยชนะ พ่ายแพ้ไปในที่สุด ดังเช่น เสนอแก้ปัญหา.."ปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย" ที่ผิดพลาดนั่นเอง
เมื่อไม่แก้ปัญหาพื้นฐานที่สุด จะทำให้แก้ปัญหาพื้นฐานอื่นๆไม่ได้ เมื่อแก้ปัญพื้นฐานอื่นๆไม่ได้...ก็ทำให้เกิดปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้ามากมาย...เช่น ปัญหาสงครามกลางเมือง ปัญหาจลาจลนองเลือด ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาความยากจน ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสังคม ฯลฯ เรายิ่งแก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าสักเท่าใดก็จะยิ่งล้มเหลวมากเท่านั้น แก้ได้ชั่วคราวก็เกิดปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าอื่นๆ ผุดพรายขึ้นมาอีกมากมายไม่รู้จบและทวีความรุนแรงเลวร้ายมากขึ้น
นักวิชาการไทยไม่รู้จักปัญหาพืนฐาน และปัญหาพื้นฐานที่สุดขอติ...จึงนำทางความคิดผิดๆ ต่อผู้ปกครองและประชาชนตลอดมาก นักวิชาการไทยไม่รู้จักยุคประวัติศาสตร์ คือ ยุคประวัติศาสตร์โบราณ ยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม
จึงไม่รู้จักระบบสังคมในแต่ละยุคว่าเป็นอย่างไร...ทั้งด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรม
ไม่รู้วิชา..คือ...ภาพสะท้อนความสัมพันธ์ภายในของการเมืองอันเป็นส่วนนำ เศรษฐกิจอันเป็นส่วนรากฐาน วัฒนธรรมอั้นเป็นภาพสะท้อน
ไม่รู้กฎเกณฑ์ของแต่ละยุคประวัติศาสตร์ เช่น ยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง(Medieval Order) เช่น...
- การเมืองระบบเจ้าครองนคร(Feudal Lordism)
- ระบบเศรษฐกิจเจ้าเครองนคร((Feudalism)
- รัฐเจ้าครองนคร(Feudal State)
- ลัทธิแผ่กฤษฎานุภาพ(Expansionism)
- ลัทธิครองความเป็นเจ้า(Hegemonism)
- กฤษฎาธิปไตย(Suzerainty) ไม่ใช่อำนาจธิปไตย(Sovereignty)
- ประเทศราช(Suzerainty State) ไม่ใช่เมืองขึ้น(Colony)
- ฯลฯ
ทำให้ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ของการเมือง เศรษฐกิจ ของยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ และการเปลี่ยนผ่าน
- ระบบทุนนิยม(Capitalism) ระบบเสรีนิยม(Liberalism) ระบบเศรษฐกิจตลาด(Market Economy)
- ระบบสังคมนิยม(Socialism)
- ลัทธิประชาธิปไตย(Democracy)
- ลัทธิชาติ(Nationalism)
- ลัทธิรักชาติ(Patriotism)
- ฯลฯ
- การสร้างชาติสมัยใหม่ เป็นต้น
ดังนั้น จีงไม่รู้ปัญหาชาติสมัยใหม่ ไม่รู้จักปัญหาพื้นฐานของชาติ และปัญหาพื้นฐานที่สุดของชาติ ดังที่สะท้อนภาพความไม่รู้หรืออวิชชา(Ignorant) หรือรู้ผิด นำชาติและประชาชนสู่ความวิบัติหายนะล่มจมล้มละลายพังพินาศกว่า 82 ปีนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่รู้ภารกิจระยะเปลี่ยนผ่าน คือ การสร้างประชาธิปไตย อันเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์แบ่งยุคแบ่งสมัย ไมม่รู้จักการปกครองเฉพาะกาล(Provisional Government) ไม่รูัจักเครื่องมือสร้างประชาธิปไตยคือนโยบาย ไม่รู้จักเครื่องมือรักษาประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูญ
คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ 8 ตุลาคม 2557

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ความยุติธรรมอยู่ที่ใคร ศิลปินวาดภาพเสียดสี 'ผู้นำ' ได้เจ็บแสบ!

ความยุติธรรมอยู่ที่ใคร ศิลปินวาดภาพเสียดสี 'ผู้นำ' ได้เจ็บแสบ!



https://www.yaklai.com/lifestyle/special-article/cartoon-world-leaders-2/


Gunduz Aghayev นักเขียนการ์ตูนที่มีความตั้งใจไม่หยุดหย่อนในการเขียนการ์ตูนเสียดสีสังคม
ผลงานของเขามีมากมาย อาทิ Holy Selfie, Global Police, Just Dictators และในครั้งนี้ เขากลับมาพร้อมกับผลงานที่พูดถึงเรื่องของสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม ในประเทศต่างๆ

เยอรมัน


กรีซ


จีน


เกาหลีเหนือ


สหรัฐอเมริกา


ตุรกี


บลาซิล


ฝรั่งเศส


อาเซอร์ไบจาน




Credit: https://www.yaklai.com/lifestyle/special-article/cartoon-world-leaders-2/

ประวัติศาสตร์ การล่าแม่มดในยุคกลาง !


ประวัติศาสตร์ การล่าแม่มดในยุคกลาง !

ข้อมูลเชิงวิชาการ ประวัติศาสตร์ และ ข้อเท็จจริง
                   ในยุคกลางขอยุโรป หรือ ที่เรียกกันว่า ยุคมืด คือ ยุคที่อยู่ใต้การปกครองของศริสตจักร แม่มดถูกประนามว่าเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย เป็นคนของซาตาน จึงมีการไล่ล่าเพื่อกวาดล้างแม่มดอย่างเอาเป็นเอาตายจากบรรดาบาทหลวง ไม่ว่าจะเกิดเหตุร้านผิดปกติอะไร เช่น ภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือ คนตายโดยไม่ทราบสาเหตุ มักจะมีการกล่าวหาว่าเป็นผลงานของแม่มด และ จะมีการระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นแพะรับบาป การกล่าวหาส่วนใหญ่เป็นไปอย่างเลื่อนลอย หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาดูแล้วน่าสมเพช ใช้แค่การดูรูปลักษณ์ภายนอก ใครที่ดูแปลกๆกว่าคนอื่น จะโดนกล่าวห้องกล่าวหาได้ง่ายๆ เหยื่อส่วนใหญ่คือผู้หญิง โดยเฉพาะหญิงแก่ชรา มักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และ ถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอนจอนาถ ไม่ใช่แต่คนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น ผู้ที่มีหน้าตางดงาม สวยเกินไปก็มักถูกข้อกล่าวหานี้เช่นกัน เพราะสงสัยว่าเอาวิญญานเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่างดงาม แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุนกรรมผู้หญิง โดยยกข้องอ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า ” สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต Thou shlt not suffer a witch to live ” การเข่นฆ่าตอนนั้นจึงได้รับรองว่าเป็นสิ่งชอบธรรม
                   เจเค โรลลิ่ง ได้เขียนถึงการล่าแม่มดไว้ในหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในเชิงขบขัน แต่จริงๆแล้วไม่เป็นเช่นนั้น การสังหารแม่มดเป็นเหมือนรอยแปดเปื้อนในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติ ที่ไม่สามารลบเลือนได้ โดยเฉพาะการทารุนกรรมต่างๆ เกิดจากฝีมือของผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ที่ต้องมีความเมตตาการุณย์อยู่ในจิตใจ แต่ตรงกันข้าม ศาสนจักรในยุคกลางนั้นป่าเถื่อน และ วิปริตผิดมนุษย์ ไม่ปรากฎหลักฐานจริงๆว่า แม่มด เคยได้ทำร้ายผู้คนจริงๆ นอกจากคำสารภาพของบุคคลที่ถูกทรมารให้รับผิด
                   เชื่อกันว่าแม่มดเคารพบูชา ซาตาน ในการรับใช้จอมมารนั้น ต้องเกณฑ์ผู้คนเข้าเป็นพวก อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันยิ่งใหญ่ ในการทำลายคริสตศาสนา ลดทอนค่านิยมอันดีงาม และ ล่อวิญญาณมนุษย์สู่ขุมนรก ในวันธรรมสวนะ ( แซบบัธวีนพักผ่อนตามลัทธิศาสนายิว คือ วันพุธ และ ศาสนาคริสต์ คือ วันอาทิตย์ ) หรือ ในวันชุมนุมของศาสนิกชนยิว โดยเฉพาะอันเรียกว่า ซันอะก๊อก ในพิธีนั้น เหล่าแม่มดจะทำการสักการะซาตาน ผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งจะมาปรากฎตัวให้เห็นเป็นบางครั้ง ในเรือนร่างของมนุษย์ แต่บ่อยครั้งจะปรากฎในรูปสัตว์ เช่น แพะสีดำสนิท และ ใหญ่มหึมา จากความเชื่อนี้ และ เมื่อคริสตจักรเรืองอำนาจ จึงเกิดการเข่นฆ่าพวกนอกศาสนาอย่างโหดเหี้ยม
                   เดิมทีมีการจัดการกับพวกแม่มดหมอผีอยู่บ้าง แต่การประหัตประหารเหล่าแม่มดอย่างเป็นระบบนั้น เริ่มต้นจากการพิพากษาของศาลที่สนับสนุนโดยพระสันตะปาปา ที่จัดตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เพื่อกำจัดพวกนอกรีตอัลโบเจนเซียน หรือ ชาวเมือง ฮีลบี ทางตอนใต้ของฝรั่งเศษ อย่างที่เราทราบกันดีกว่าแต่ก่อนนั้น ประสัตะปาปา หรือ โป๊บ เป็นผู้กุมอำนาจ ทั้งการเมือง และ ศาสนาไปพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้น คริสต์ศตวรรษที่ 13 จึงมีบรรดเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่มี โป๊บ สนับสนุนเที่ยวไปสอบสวย ระรานพวก อัลโบเจนเซียน แล้วทำเลยเถิดไป กลายเป็นการเข่นฆ่าพ่อมด แม่มด เทียมกันอย่างสนุกมือ แต่สยองใจไปแทน
                   การเข่นฆ่าแม่มดขนาดใหญ่ เกิดขึ้นกลางของยุโรป รางวศตวรรษที่ 15 ต่อเนื่องไปจนถึง ศตวรรษที่ 17 นานหลายร้อยปีทีเดียว การกล่าวหาบุคคลต่างๆเกิดขึ้นอย่างมากมาย ประบวนการสอบสวนการทารุนต่างๆ ซึ่งไม่มีผู้ไดสามารถทนได้ เช่น การใช้ตะปูควง ตอกเล็ก , ใช้เครื่องดึงชัดรอกดึงแขนให้ไขว้ขึ้น เพื่อให้หัวไหล่หลุด แล้วแขวนไว้ให้ทรมาร และ อื่นๆอีกมาก ซึ่งผลการสอบสวนจะยุติลงเมื่อมีการสารภาพ แน่นอนคือการยอมรับผิดว่าตนเป็นพ่อมด แม่มด แต่เท่านี้ยังไม่พอ เหยื่อยังถูกให้ซัดทอดอีก
                   บทลงโทษยอดฮิตสำหรับการเป็นพ่อมด แม่มด คือ การเผาทั้งเป็น วิธีการนี้ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งคิดขึ้นมาใหม่ แต่เป็นธรรมเนียมตกทอดกันมา จากหลักฐายเก่าแก่ที่กล่าวถึงการเข่นฆ่าแม่มด ที่ได้บันทึกไว้เมื่อ 350 ปีก่อนคริสต์กาล โดย ดิเมอร์ชีนิส นักเล่านิทานแห่งกรีก กล่าวถึงผู้หญิงนามว่า ธีออริส แห่ง เลมมอส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด แห่งกรุงเอเธนส์และ เธอก็ถูกเผาทั้งเป็นในเวลาต่อมา
                   ประเทศที่มีการทารุนกรรมมากที่สุดก็คือ เยอรมนี เฉพาะ เมืองแบมเบิร์ก เพียงแห่งเดียว มีแม่มดถูกเผาทั้งเป็นกว่า 600 คน การลงโทษนี้เริ่มตั้งแต่ปี 1609 ไดยมีบิชอป ฟอน อาสโซเสน ปกครอง โดยบิชอปคนนี้ได้สั่งเผาแม่มดไปกว่า 300 คนภายในเวลา 13 ปี หรือประมาณ สองอาทิตย์ 1 ศพ
                   อันที่จริงก่อนหน้ายุคกลางใช่ว่าจะไม่มีใครสนใจเรื่องราวของ พ่อมด แม่มดมาก่อน อันที่จริงน่าจะมีพ่อมด แม่มดอยู่ทั่วยุโรป ซึ่งปรากฎในประวัติศาสตร์เสมอมา จนมาถึงยุคกลางที่คริสตจักรเรืองอำนาจจนถึงขีดสุด จึงได้มีความพยายามกำจัดสิ่งที่นอกเหนือจากคำสอนของศาสนาออกไป แม้แต่ กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ยังถูกศาสนาพิจารณาความผิด เพราะบังอาจกล่าวว่า โลกกลม ไม่ได้แบน และ โลกไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งขัดแย้งกับไบเบิลเป็นอย่างมาก แต่จนถึง ณ เวลานี้ เราก็ทราบกันดีว่าฝ่ายใดถูกต้อง
ข้อมูลเพิมเติมจากเว็บไซต์ทั่ว
                   ศตวรรษที่ 16-17 จำนวนแม่มดในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 50,000 คน สหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนที่ วิชาว่าด้วยคุณไสย( witchcraft ) เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ จำนวนแม่มดในออสเตรเลียและยุโรป อาจจะมีจำนวนมากพอๆกัน ก็ได้ แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย มีการเปิดสอนวิชาการแม่มดทางจดหมายซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 40,000 คน ในสมัยก่อนผู้คนต่างเชื่อว่า การเจ็บป่วยและโชคร้ายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง เชื่อกันว่าเกิดจากความตั้งใจของแม่มด แม่มดเป็นผลพวงของลัทธิป่าเถื่อน ใช้คุณไสยช่วยเหลือผู้คน รักษาโรค นำโชค แต่คุณไสยสามารถนำมาใช้ในทางไม่ดีได้ด้วย ในสังคมอัฟริกานั้นเชื่อว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากแม่มดทั้งสิ้น
                   ในซูดานและซาอีร์ เชื่อว่า การเป็นแม่มดนั้นเป็นคุณสมบัติที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผู้ที่เป็นอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นแม่มด สังคมนี้เชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อโรค ซึ่งตรงกับนิยามทางวิทยาศาสตร์ ผิดแต่เพียงว่า แม่มดเป็นผู้ควบคุมเชื้อโรคเพื่อสร้างความเจ็บปวดให้กับคนบางคนเท่านั้น
ภาพลักษณ์ของแม่มดในสังคมยุโรปนั้นไม่ค่อยชัดเจน แม่มดอาจจะเป็นผู้วิเศษที่ช่วยรักษาโรคและนำโชคดีมาให้ก็ได้ พวกเขาจะรักษาโรคโดยใช้ความรู้ทางยาและสมุนไพรประกอบกับเวทมนตร์คาถา ภาษา ละติน และฮิบรู ที่โดยมากสืบทอดมาจากพวกเคลต์ ( Celtic : ชาติวงศ์เมื่อพันกว่าปีของยุโรปกลางและยุโรปตะวันตก) นอกจากคุณไสยจะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคแล้ว ยังอาจนำไปใช้ในการสาปแช่ง และทำเสน่ห์ได้ด้วย บุคคลใดเชื่อว่าตนถูกสาป จะต้องไปหาแม่มดเพื่อแก้คำสาปนั้น
                   เรื่องของคุณไสยและเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคกลาง แม้ในศาสนาคริสต์พลังเหนือธรรมชาติถูกแสดงได้โดยพระเจ้าเท่านั้น เรื่องราวของการต่อต้านแม่มดและการใช้คุณไสยเริ่มมีขึ้นก่อนยุคกลาง มีผู้วิเศษออกมากล่าวหาว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างองค์กรทางศาสนาอ้าง ตั้งแต่นั้นมาองค์การศาสนาก็ทำการต่อต้านผู้วิเศษรวมทั้งแม่มด ฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระเจ้า พ.ศ. 2027 องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน
ในช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นได้จาก ภาพวาดของพี่น้องลิมเบอร์ก( Limbourg) แสดงให้เห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง
                   แม่มด ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับและลุ่มหลงในพลังอำนาจของปีศาจ และถือว่าเป็นสาวกของมัน นั่นเป็นเหตุให้มีการล่าและกำจัดแม่มดในเวลาต่อมา ในปี พ.ศ. 2133 พระเจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสก็อต ได้รับทราบแผนลอบปลงพระชนม์ที่เอิร์ล แห่งโบธเวลล์ ( Bothwell) เป็นผู้วางแผนโดยใช้คุณไสยของแม่มดเป็นเครื่องมือ พระเจ้าเจมส์มีความเชื่อในอำนาจของปีศาจอยู่แล้ว จึงสืบสวนแม่มดฐานเป็นกบฏ แอกเนส ซิมพ์สัน ( Agnes Simpson) หัวหน้าแม่มดถูกนำมาพิจารณาคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก( North Berwick) หลังจากถูกทรมาน
                   แอกเนสสารภาพถึงกรรมวิธีต่างๆที่ใช้เพื่อพยายามปลงพระชนม์แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ ทรงเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผลให้พลังอำนาจของปีศาจไม่สามารถทำอันตรายต่อพระองค์ได้ จากคำสารภาพ ทำให้เหล่าแม่มดมีความผิดจริง จึงถูกประหารโดยการ เผาที่ เอดินเบิร์ก ( Edinberg) ส่วน เอิร์ล แห่ง โบธเวลล์ ผู้เป็นราชนัดดาที่ก่อการทั้งหมดได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศชิลี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ นอร์ธ เบอร์วิก เป็นจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มด แม่มดกลายเป็นคนชั่วร้าย สมควรแก่การล่า สังหารโดยการแขวนคอหรือเผาทั้งเป็น นักประพันธ์ผ็ยิ่งใหญ่อย่างวิลเลียม เชกส์เปียร์ ( William Shakespeare) ก็ได้นำเหตุการณ์ที่ นอร์ธ เบอร์วิก มาเขียนเป็นละครและจัดแสดงต่อหน้าพระพักตร์ที่พระราชวัง แฮมพ์ตัน ( Hamton) เนื้อหาของละครเป็นไปตามเหตุการณ์จริงที่แอกเนสสารภาพ
                   ในปี พ.ศ. 2029 มีการพิมพ์คู่มือพฤติกรรมแม่มด เพื่อช่วยในการจับและล่า ในคู่มือจะบอกว่า ส่วนใหญ่แม่มดจะเป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย จึงถูกปีศาจหลอกได้ง่ายกว่า วิธีที่จะทำให้แม่มดยอมรับสารภาพคือ การทรมานโดยวิธีต่างๆ เช่น การตอกเล็บหรือการทรมานอื่นๆ บางคนต้องยอมรับสารภาพเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว บางสมัยมีการสังหารหมู่เหล่าแม่มดในคราวเดียวถึง 600-900 คน วันหนึ่งๆมีผู้หญิงที่ต้องตายเนื่องจากการล่าแม่มดนับพันคน มีตัวอย่างในสมัยพระเจ้าโยฮันจอร์จที่ 2 (Gohannes Georg II ) แห่งเยอรมัน โยฮันเนส จูนิอุส ไม่เห็นด้วยสำหรับการสร้างโรงสำหรับทรมานแม่มดโดยเฉพาะ จึงถูกจำและกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ในที่สุดก็ต้องยอมรับสารภาพและเสียชีวิตเพราะทนรับการทรมานไม่ไหว ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า เพราะสาเหตุใดความเชื่อเกี่ยวกับการล่าแม่มดและแม่มดเสื่อมสลายไป อาจจะเป็นไปได้ว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ในพุทธศตวรรษที่ 23 เบี่ยงเบนความสนใจ หลังจากนั้นแม่มดไม่ค่อยเป็นที่พบเห็น มีเพียงคนทรงและผู้วิเศษที่ยังพบเห็นกันอยู่ ในพุทธศตวรรษที่ 21-22
%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88
ข้อมูลเพิ่มเติงเชิงอ้างอิงจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ    ที่มา susarn.com, vicharkarn.com
                   แม่มด หมายถึงชายและหญิงผู้ใช้เวทมนตร์ประกอบพิธีลี้ลับเหนือธรรมชาติ ในยุโรปในศตวรรษที่ 15, 16 และ 17 ความเชื่อไสยศาสตรืนับถือพญามาร (แม่มดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ  แม่มดขาวเป็นพวกที่นับถือสิ่งศักสิทธ์เหนือธรรมชาติ(Supreme being)หรือไม่อาศัยความช่วยเหลือจากนางฟ้า นักบุญ แม่มดดำเป็นพวกที่เคารพบูชาซาตาน(Satan)และอาสัยความช่วยเหลือจากบรรดาภูติร้ายวิญญาณชั่ว)  มีมากจนทำให้เกิดการลงทัณฑ์ทรมานและประหารชีวิตผู้ถูกกล่าวหาว่าใช้วิชาแม่มดหมอผีประมาณสองแสนคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหญิงชราตัวคนเดียว การตามล่าแม่มดเป็นกิจกรรมโปรดของพวกเพียวริแทน(เคร่งศาสนา) ในศตวรรษที่ 17 แมธธิว ฮอปกินส์ เป็นนักล่าแม่มดตัวยงเขาแขวนคอแม่มดเฉพาะในแคว้นเอสเสกซ์ถึง 60 รายในปีเดียว กฎหมายอังกฤษและสก็อตแลนด์ซึ่งต่อต้านวิชานี้ยกเลิกไปใน ค.ศ.1736
การเผาแม่มดอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายในบริเตนเกิดขึ้นใน ค.ศ.1722 เมื่อ ” เจเนตต์ ฮอร์น ” ถูกกล่าวหาว่าเสกลูกสาวให้กลายเป็นลูกม้า  ปลายเดือนตุลาคมของทุกปี ประเทศแถบยุโรปมีงานเทศกาล ฮัลโลวีน (Halloween : เป็นเทศกาลชุมนุมนักบุญตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม)
                   เทศกาลนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ แม่มดอยู่ด้วย เชื่อกันว่า ผู้ที่มาเคาะประตูขอขนม เล่น เกมจะโดนหลอกหรือให้ขนม (Trick or Treat) นั้นเป็นแม่มด ถ้าเราไล่ไปและไม่ให้ขนมแม่มดจะดลบันดาลให้มีสิ่งร้ายเกิดขึ้น แน่นอนในสายตาของเด็กทั่วไป แม่มดมีเพียงในนิทานและเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งชุดแฟนซีในเทศกาล ฮัลโลวีน เท่านั้น มีเพียงบางคนที่พอจะรู้เรื่องประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยที่แม่มดถูกแขวนคอและถูกฆ่า การกวาดล้างแม่มดในครั้งนั้นไม่ไดทำให้แม่มดหายไป แต่กลับมีการฝึกฝนพลังแม่มดมากกว่าเมื่อสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-17 ที่มีการคลั่งแม่มดเสียอีก
                   ครั้งหนึ่งที่โบสถ์และโรงเรียนแห่งวิกแคน เปิดหลักสูตรสอนวิชา การของแม่มดทางจดหมาย มีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 40,000 คน ความคิดเห็นของผู้คนต่อ คุณไสยของแม่มดมีแตกต่างกันไป มีทั้งกลุ่มที่เห็นว่า เป็นความสนุกสนานรื่นเริง และผู้ที่เกลียดชังลัทธินี้ อย่างไรก็ตาม ความนิยมในคุณไสยของแม่มดก็ยังมีอยู่ เห็นได้จากความสำเร็จของหนังสือและนิตยสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่มียอดขายสูงพอสมควร
                   เรื่องของคุณไสยและเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคกลาง แม้ในศาสนาคริสต์พลังเหนือธรรมชาติถือว่า ถูกแสดงได้โดยพระเจ้า เรื่องราวของการต่อต้านแม่มดและการใช้คุณไสยเริ่มมีขึ้นเมื่อก่อนยุคกลางที่มีผู้วิเศษกล่าวหาว่า พระเยซู เจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างองค์กรทางศาสนาอ้าง ตั้งแต่นั้นมา องค์การศาสนา ก็ทำการต่อต้านผู้วิเศษรวมทั้ง แม่มดฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระเจ้า
%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88
                   พ.ศ. 2027 องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่าผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช้สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปิศาจ พลังที่ได้มาไม่ใช้มาจาก พระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและ ปิศาจ ต่อมาผู้คนเริ่มสงสัยว่า ปิศาจ และซาตาน ที่องค์กรทางศาสนา กล่าวว่า เป็นศัตรูกับพรเจ้านั้นมีรู้ร่างลักษณะอย่างไร ทำให้สาวกของศาสนาต้องทำการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง เพื่อนำข้อมูลออกเผยแพร่ก่อนที่ผู้คนจะหมดศรัทธาในศาสนา
                   เนื่องจากสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับ แม่มด และผู้วิเศษ ในปี พ.ศ. 2124 หนังสือเกี่ยวกับปิศาจถูกพิมพ์ขึ้น เพื่อให้ข้อมูลเป็นที่ประจักษ์และเมื่อช่วงปลายุคกลางปิศาจก็เริ่มมีรูปร่างลักษณะชัดเจนมากขึ้นด้วยภาพวาดของพี่น้องลิมเบอร์ก (Limbourg) แสดงให้เห็นว่า ปิศาจนั้น มีเขา มีหาง และเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจมาในรูปลักษณะอื่นเพื่อหลอกลวงและซักน้ำผู้ที่อ่อนแอไปในทางที่ผิด ดังนั้น ใครก้ตามที่นำทางให้กลุ่มคนเกิดควมเชื่อที่ไม่เกี่ยวขอ้งกับศาสนาแล้วผู้นั้นเป็นสาวกของปิศาจ แม่มดก็ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับและลุ่มหลงในพลังอนาจของปิศาจและถือว่าเป็นสาวกของมัน นั้นเป็นเหตุให้มีการล่าและกำจัดแม่มดในเวลาต่อมา
                   ในปี พ.ศ. 2133 พรเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ (ภายหลังขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ) ได้รับทราบแผนการลอยปลงพระชนม์ที่ เอิร์ล แห่ง โบธเวลล์ (Bothwell) เป็นผู้วางแผนโดยใช้คุณไสยอขงแม่มดเป็นเครื่องมือ พระเจ้าเจมส์ มีความเชื่อในเรื่องอำนาจของปิศาจอยู่แล้วจึงเชื่อว่าคุณไสยของแม่มด น่าจะมีจริง พระองค์ทรงตัดสินพระทัยว่า จะค้นหาความจริงเริ่ม
                   โดยการสืบสวน แม่มด ฐานเป็นกบฏ แอกเนส ซิมพ์สัน (Agnes Simpson) หัวหน้าแม่มดถูกนำมาพิจารณาคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก (North Berwick) หลังจากถูกทรมาน แอกเนส สารภาพถึงกรรมวิธีต่างๆ ที่ใช้เพื่อพยายามปลงพระชนม์แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ ทรงเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผลให้พลังอำนาจของปีศาจไม่สามารถทำอันตรายต่อพระองค์ได้จากคำสารภาพทำให้เหล่าแม่มดมีความผิดจริงจึงถูกประหารโดยการเผาที่ เอดินเบิร์ก (Edinberg) ส่วนเอิร์ล แห่งโบธเวลล์ ผู้เป็นราชนัดดาที่ก่อการทั้งหมดได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศ ชิชิลีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ นอร์ธ เบอร์วิก เป็นจุดเริ่มจ้นของการล่าแม่มด แม่มดกลายเป็นบุคคลชั่วร้ายและอันตราย สมควรแก่การล่า และสังหารโดยการแขวนคอ หรือเผาทั้งเป็น เรื่องราวาของ แม่มด กลายมาเป็นหัวข้อของศิลปินแขนงต่างๆ ในสมัยนั้นมีการแต่งกลอนหรืองานเขียนเกี่ยวกับแม่มด
                   นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง วิลเลียม เชกส์เปียร์ (Wiliam Shakespeare) ก็ได้นำเหตุการณ์ที่ นอร์ธ เบอร์วิก มาเขียนเป็นละครและจัดแสดงต่อหน้าพระพักตร์ที่พระราชวัง แฮมพ์ตัน (Hampton) เนื้อหาของละครเป็นไปตามเหตุการณ์จริงที่ แอกเนส สารภาพ
%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88
                   หลายปีผ่านไป พระเจ้าเจมส์ เริ่มสงสัยว่า ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่มีต่อแม่มดอาจมีขึ้นเนื่องจากต้องการให้แม่มดเป็นแพะรับบาปของยุทธวิธีทางการเมือง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ ปัญหา คือ การหาข้อเท็จจริงและการพิสูจน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อผู้คนปักใจเชื่อแล้วว่าแม่มด เป็นปิศาจร้ายก็ยากที่ลบเลือน
                   ในปี พ.ศ. 2029 มีการพิมพ์ คู่มือพฤติกรรมแม่มดเพื่อช่วยให้การจับและล่า แม่มด เป็นไปอย่างถูกต้องมากขึ้น ห้องกันไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับโทษด้วย ในคู่มืออธิบายว่า แม่มดโดยมากเป็นผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงอ่อนแดกว่าผู้ชายจึงถูกปีศาจหลอกล่อให้ไปเป็นสาวกได้ง่ายกว่า การล่องหนหายตัวก็เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของแม่มด วิธีที่จะทำให้ แม่มด สารภาพคือ การทรมานด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตอกเล็บหรือการทรมานทางร่างกายอื่นๆ ผู้ที่ถูกเชื่อว่าเป็ฯแม่มดจะถูกทรมานจนกบ่าจะยอมรับสารภาพว่าเป็ฯแม่มดจริง ซึ่งการกระทเช่นนี้เไม่สามารถหาความจริงได้เนื่องจากบางคนต้องยอมรับสารภาพเพระาทนความเจ็บปวดไม่ไหว
                   และด้วยอีกความเชื่อที่ว่า แม่มด ไม่อยู่โดดเดี่ยว แต่มีกันเป็นกลุ่มทำให้แม่มดที่ถูกจับต้องยอมบอกชื่อของแม่มดอื่นๆ ด้ยและผู้หญิงที่โนเอ่อยชื่อก็จะถูกจับมาทรมานอีกเป็นวงจรอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุดผู้หญิงคนใดถูกจับแล้วก็ยากที่จะหลุดพ้นข้อกล่าวหนา หนทางที่จะพ้นความทรมาน คือยอมรับและยอมเอ่ยชื่อคนอื่นออกมา ในบางสังคม วงจรนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบไม่เหลือใครให้กล่าวหาอีกแล้ว ในบางหมู่บ้านมีผู้หญิงเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น บางสมัยมีการสังหารหมู่เหล่าแม่มดในคราวเดียวถึง 600-900 คน วันหนึ่งๆ มีผู้หญิงต้องตายเนื่องจากการล่า แม่มด นับพันคน มีบางคนเหมือนกันที่เห็นว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องเพราะทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตาย แต่การต่อต้านก็จะจบลงด้วยการถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเสียเอง และถูกฆ่าในที่สุด
                   มีตัวอย่างดังในสมัยพระเจ้าโยฮันน์ จอร์จ ที่ 2 (Johann Georg ll) แห่งเยอรมัน มีผู้ไม่เห็นด้วยชื่อ โยฮันเนส จูนิอุส (Johannes Junius) ไม่เห็นด้วยกับการสร้างโรงสำหรับทรมาน แม่มด โดยเฉพาะ ผลาคือ จูนิอุสถูกจับและหลังจากความทรมานแสนสาหัสเธอจำเป็นต้องยอมรับว่าเป็นแม่มด และถูกฆ่าในที่สุด ก่อนตาย จูนิอุส ได้เขียนจดหมายถึงลูกสาวบรรยายความทุกข์ทรมานที่ได้รับและการที่ต้องโกหกเพื่อที่จะพ้นควาทุกข์ทรมานนี้ เป็นจดหมายที่สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้คนสมัยนั้นเป็นอย่างมาก ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า อะไรทำให้การล่าและความเชื่อเกี่ยวกับแม่มดลดลงและเสื่อมสลายไป อาจเป็นไปได้ว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ในพุทธศตวรรษที่ 23 เบี่ยงเบนความสนใจ หลังจากนั้น แม่มดไม่ค่อยเป็นที่พบเห็น มีเพียงคุณไสยขอผู้วิเศษหรือคนทรงต่างๆ ที่ยังคงอยู่ต่อไปความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติคงมีอยู่ต่อไป แม้ไม่เป็นที่บ้าคลั่งเหมือนเดิม ดังเช่น ในยุคพุทธศตวรรษที่ 21-22 แต่เดิมก็ไม่มีใครสนใจในเรื่องของแม่มดเท่าใดนัก มาโด่งดังเอาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 เมื่อชาวเมืองอัลบิ (Albi) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีความเบื่อหน่ายในศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิกและหันเหไปแสวงหาสัจธรรมในลัทธิที่เรียกว่า “คาธาริ”
                   การเปลี่ยนใจไปถือลัทธิอื่นนี้เป็นสิ่งที่พระสันตะปาปาแห่งโรมไม่อาจยอมได้ จึงส่งทัพม้า 20,000 นาย และทหารเดินเท้าอีก 200,000 นาย เข้าปราบปรามใน ค.ศ. 1214 จับผู้ชายเมืองอัลบิแขวนคอ ส่วนผู้หญิงกับเด็กนั้นเอาหินขว้างจนตาย บ่อน้ำทั้งหลายถูกทำลายจนสิ้น เรียกว่าปราบปรามแบบถอนรากถอนโคนไม่เหลือหลอเลยล่ะ
                   คณะผู้ดำเนินการปราบปรามนี้มีชื่อว่า “สำนักศักดิ์สิทธิ์ (INQUISITION) แต่งตั้งโดยองค์สันตะปาปา ซึ่งหลังจากปราบชาวอัลบิราบคาบแล้งก็ไม่มีงานอะไรให้ทำอีก จึงต้องมองหากิจกรรมอื่น เหลียวไปเหลียวมาแล้วก็เลยคว้าเอาแม่มดมาสร้างสถานการณ์ขึ้น จนเป็นเหตุให้เกิดการแตกตื่นหวาดกลัวแม่มดกันทั่วยุโรป และกลายเป็นกรรมของผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกระทำทารุณและสังหารอย่างโหดเหี้ยม
                   พิธีกรรมของแม่มด ต้องใช้สิ่งประกอบคือ ไก่ งู และหม้อ ใช้เรียกฝนฟ้าพายุได้
%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88
แม่มดมีความผิดอันใดหรือ จึงถูกองค์การคริสต์ศาสนากวาดล้าง ?
                   คำตอบก็คือว่า ประดา (ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น) แม่มดนั้น มีพฤติกรรมที่ชี้ชัดว่าได้ร่วมมือกับ “ซาตาน” บ่อนทำลายคริสต์ศาสนจักร ทั้งนี้ จากการไต่สวนของคณะศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองตูลุส, ฝรั่งเศส พบว่า สตรีที่แม่มดได้กระทำการวิปริตผิดมนุษย์หลายประการด้วยกัน อาทิ เชื่อว่าปิศาจนั้นทรงอานุภาพระดับเดียวกับพระเจ้า (God) เอาเสื้อผ้าจากศพที่ถูกแขวนคอมาสวมใส่ เอาสมุนไพรที่เป็นพิษมาต้ม เคี่ยวเพื่อทำยาพิษ (คงเคยเห็นภาพที่แม่มดต้มกลั่นน้ำยาด้วยหม้อใบโตๆน่ะ) ลักขโมยทารกแดงๆไปเป็นภักษาหาร เป็นตัวการทำให้ฝูงสัตว์เลี้ยงเจ็บป่วยและพืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหายและที่ร้ายกาจที่สุดก็คือกรรมวิธีฝังรูปฝังรอย โดยเอาขี้ผึ้งมาปั้นเป็นรูปเหยื่อแล้วเอาเศษเสื้อผ้าของเหยื่อมาตกแต่ง จากนั้นก็เผาหุ่นขี้ผึ้ง ทำให้เหยื่อต้องตายอย่างเจ็บปวดทรมาน
                   ความหวาดผวาของชาวยุโรป สาเหตุหนึ่งมาจากกรณีของจอมโหด “จิลล์ เดอ เคร” ซึ่งเป็นขุนนางฝรั่งเศสผู้เคยร่วมรบกับ “โจน ออฟ อาร์ค” มาแล้ว หลังการสงคราม จิลล์ สิ้นเนื้อประดาตัว และต้องการที่จะกลับมาร่ำรวยใหม่โดยอาศัย “มนตร์ดำ” ซึ่งในการนี้จำเป็นจะต้องใช้โลหิตของผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เขาออกปฏิบัติการ”ฆ่า”เด็ก เอาโลหิตไม่น้อยกว่า 50 ราย แต่แล้วก็ถูกจับได้ และโดนประหารด้วยการ “เผาทั้งเป็น”นั่นเป็นตัวอย่างหนึ่งของพ่อมดหมอผี แต่ผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่แล้วมิได้เป็นอาชญากรแต่อย่างใด พวกเขาเป็นเพียงผู้สูงอายุที่สับสนและทำอะไรตามประสาคนแก่ หลงๆลืมๆ และเพี้ยนไปจากชาวบ้านเท่านั้น แต่พวกเขาก็ต้องตกเป็นแพะรับบาปในกรณีที่เกิดข้าวยากหมากแพง หรือมีใครที่เสียชีวิตโดยหาสาเหตุมิได้
                   เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดแม่มดนั้น ก็หมายถึงต้องถูกทรมานและตายนั่นเอง ทางการท้องถิ่นจะเป็นผู้สอบสวนและลงโทษ การประหารครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 เหยื่อที่ถูกกล่าวหานั้นมิใช่ใครอื่น หากเป็นเหล่าอัศวินผู้พิทักษ์ศาสนา (Knight Templar) ผู้กลับมาจากสงครามครูเสด พร้อมด้วยทรัพย์สินที่ยึดมาได้มากมาย กษัตริย์ฟิลิปส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทรงริษยาในความมั่งคั่งร่ำรวยของเหล่าอัศวิน และคิดจะฮุบเอามาไว้เป็นของพระองค์ภายหลังการสอบสวน อัศวิน 54 คน พร้อมกับหัวหน้าถูกพิพากษา “เผาทั้งเป็น”
                   หลังจากนั้นใน ค.ศ. 1459 ก็มีการไต่สวนในข้อหาพ่อมดหมอผีครั้งใหญ่อีก และผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากก็โดนเผาทั้งเป็น ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านนับพันคน
%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88
                   การปราบปรามแม่มดได้พัฒานาสุดขีดใน ค.ศ. 1484 เมื่อสันตะปาปา “บุล” ทรงออกกำหมายลงโทฯผู้ที่ออกนอกรีตและฝักใฝ่ไสยศาสตร์ โดยมีพระคาทอลิก 2 องค์ นาม “ไฮน์ริช เครเมอร์” กับ “เจคอบ สเปรงเกอร์” ได้ช่วยกันออกหนังสือ “คู่มือล่าแม่มด (Malleus Maleficarum)” ยาว 200,000 คำ รวบรวมกำและวิธีการต่างๆในการจับกุม ทรมาน และประหารเหล่าแม่มดทั้งหลาย ซึ่งนานาประเทศในยุโรปได้ยึดเอาหนังสือเล่มนี้ประดุจคัมภีร์ในการกำจัดแม่มดเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี
                   การล่าแม่มดมักเริ่มต้นด้วยการทดสอบง่ายๆ คือ จับตัวผู้ถูกสงสัยโยนลงน้ำ ถ้าหากเป็นแม่มดก็จะลอยขึ้นมา แต่ผู้บริสุทธิ์จะจม (บางทีก็จมน้ำตายไปเลย) และผู้ที่ลอยก็จะโดนนำตัวไปสอบสวนต่อไปการสอบสวนจะคล้ายๆกัน เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล ผู้ต้องสงสัยจะถูกซักถามเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ตนใช้ ความสัมพันธ์ที่มีกับซาตาน และกิจกรรมพิธีต่างๆ คณะศักดิ์สิทธิ์จะบีบบังคับให้สารภาพและบอกชื่อผู้กระทำผิด ถ้าหากผู้ต้องสงสัยปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ผู้สอบสวนก็จะแก้ผ้าผู้ต้องสงสัยออก แล้วโกนขนหมดทั้งตัวเพื่อค้นหาดู “เครื่องหมายปิศาจ” ที่ปรากฏอยู่บนตัว บางครั้งหัวนมที่สามหรือตุ่มไตต่างๆก็อาจถูกระบุว่าเป็นเครื่องหมายแม่มดได้ (ใช้สำหรับให้ทารกซาตานดูดนม) เครื่องหมายแม่มดนี้บางครั้งหลบซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังมองไม่เห็น จึ้งต้องใช้อุปกรณ์แหลมคมเจาะหรือกรีดออกจึงจะพบ
                   หลังจากพบเครื่องหมายแม่มดแล้ว ก็จะบังคับให้สารภาพอีกครั้ง ถ้าปฏิเสธก็ต้องทำการทรมาน เริ่มด้วยการตอกเล็บ ตามด้วยบีบขมับ เข้าเครื่องยืดแขนขา ถ้าหากยังปากแข็งก็เอาไปบีบอัดขา เอาเหล็กแดงๆจิ้มตามตัว สุดท้ายก็คือวิธี “แสตปตาโด” เอาร่างเปลือยของผู้สงสัยขึ้นแขวนโยงกับรอก และถ่วงน้ำหนักที่เท้า ดึงห้อยแขวนไว้จนกว่าจะยอมสารภาพ ซึ่งนั่นก็คือยอมถูกประหารนั่นเองปี ค.ศ. 1594 ที่เมืองคาลวินิสต์. สกอตแลนด์ “นางเอลิสัน บาลโฟร์” ถูกทรมานด้วยการเอาเหล็กรัดบีบแขนนาน 48 ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน สามีวัย 80 กว่าของนางถูกแท่งศิลาหนัก 700 ปอนด์วางทับ ลูกชายถูกไม้เหลี่ยมตีหน้าแข้ง 57 ที จนกระดูกเละ แม้กระทั่งลูกสาวตัวน้อยวัย 7 ขวบ ก็ยังถูกตอกเล็บการถูกทรมานขนาดหนักเช่นนี้ น้อยรายนักที่จะทนได้ ต้องร้องสารภาพทุกราย
                   ยิ่งคิดค้นเครื่องประหารที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเท่าใด จำนวนผู้ตากก็มากขึ้นเท่านั้น เช่นบริเวณมณฑลเทรเวส (ปัจจุบันคือไทรเออร์) ในเยอรมนี ในช่วงเวลา 6 ปี มีผู้หญิงถึง 368 คน จาก 22 หมู่บ้าน ถูกประหารด้วยข้อหาเป็นแม่มด ต้นศตวรรษที่ 17 ท่านบิชอพแห่งเวอร์ซเบิร์ก ทางใต้ของเยอรมันนี ได้เผา “แม่มด” ทั้งเป็นกว่า 900 ราย มีทั้งชายและหญิง รวมทั้งเด็ก 7 ขวบ ซึ่งมาจากทุกฐานะ
                   กระทั่งล่วงเข้าศตวรรษที่ 17 ไปแล้ว ผู้คนเริ่มมีเหตุผลมากขึ้น โดยเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกที่ประกาศยุติการประหารแม่มดใน ค.ศ. 1610 แต่กว่าจะยุติได้หมดทุกประเทศก็เกือบถึงปลายศตวรรษ และยุคแห่งความแตกตื่นกลัวแม่มดก็จบลงแต่เพียงเท่านี้…
                   (จำนวนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังหารด้วยข้อหาแม่มดมีจำนวนมหาศาล เฉพาะในเยอรมนีมีไม่น้อยกว่า 100,000 คน ฝรั่งเศสกับสกอต์แลนด์รวมแล้วราว 10,000 คน อังกฤษประมาณกว่า 1,000 คน เมื่อประเมิณทุกประเทศ เชื่อกันว่าไม่น้อยกว่า 200,000 คน)

ข้อมูลจากเพจ:thongkum virut

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รู้หรือไม่! ทำไมชายไทยสมัยอยุธยา มักนิยมฝังลูกปัดไว้ที่องคชาติ?!!

รู้หรือไม่! ทำไมชายไทยสมัยอยุธยา มักนิยมฝังลูกปัดไว้ที่องคชาติ?!!




เป็นใครที่ได้อ่านเรื่องแบบนี้ หลายคนก็คงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน เพราะมันขัดต่อหลักประเพณีไทยอย่างมากเลยทีเดียว แน่นอนว่ามันไม่เคยปรากฏเอาไว้ในพงศาวดารไทยเลย แต่สำหรับบันทึกการเดินทางของนักเดินเรือชาวจีนที่รับใช้ในสมัยราชวงศ์หมิง กลับมีการค้นพบและเปิดเผยเรื่องราวสุดแปลกนี้ให้โลกได้เห็น


รูปภาพจาก จันทกุมารชาดก วัดเกาะพญาเจ่ง : GQthailand

โดยหลักฐานในเรื่องราว ถูกเขียนขึ้นจากนักเดินเรือชื่อ หม่าฮวน ที่เข้ามาทำธุรกิจการค้าในไทยและทำหน้าที่เป็นล่ามให้ ในตอนนั้น  กองเรือมหาสมบัติ หรือที่เรียกกันในสมัยนั้นคือ กองเรือที่จักรพรรดิหย่งเล่อ ทรงมีพระบรมราชโองการให้สร้างเรือสินค้า เรือรบ และเรือสนับสนุน เพื่อไปเยือนเมืองท่าต่างๆ ซึ่งนักเดินเรือก็ได้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะเรื่อง "การตกแต่งทางเพศ" ด้วย นั่นคือ ผู้ใดก็ตามที่มีอายุย่างเข้ายี่สิบ พวกเขาจะเหมาะสมที่จะถูกเฉือนหนังอวัยวะเพศ  และฝังลูกปัดดีบุกเล็กๆที่หลอมขึ้นมาเอง เพื่อให้มีพื้นผิวขรุขระ จากนั้นก็สมานแผลจนกว่าจะหายสนิท และค่อยดำเนินชีวิตตามปกติได้ กลายเป็นที่นิยมมากในหมู่ชายฉกรรย์ในสมัยนั้นที่น่าตกใจเลยก็คือ วิธีการนี้นิยมทำกันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นอาชีพหนึ่งได้เลย โดยหมอที่ทำจะทำการหลอมลูกปัดขึ้นเอง และทำการเจื๋อนหนังเหล่านั้นใส่ลูกปัดเข้าไป หากคนที่มีฐานะเข้าหน่อยก็จะสั่งทำเป็นทองกลวงๆ เพื่อให้สะดวกต่อการสำราญทางเพศ ซึ่งการกระทำแบบนี้ หากใครที่มีฐานะยากจนจะไม่มีทางทำได้เด็ดขาดนอกจากนั้นในบันทึกของนักเดินเรือต่างๆก็มีเขียนปรากฏเอาไว้เช่นกัน ไม่ใช่แค่ของหม่าฮวนเพียงอย่างเดียว  ทั้งในเรื่องของการร่วมเพศและการสำราญในสมัยนั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนอายุยี่สิบขึ้นไปจะหาความสุขสันต์ในเรื่องนี้เป็นที่หนึ่ง เพราะในช่วงยุคบ้านเมืองสมัยอยุธยา นับว่าเป็นศึกเป็นภัยรอบทิศเลยทีเดียว โอกาสที่จะตายก็มีได้ง่ายๆ ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไรมาก แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องพิลึกพอตัวที่สมัยนั้นก็มีการเสริมแต่งองคชาติแล้ว
ข้อมูลและภาพจาก flagfrog / GQthailand



ประมวลภาพ 29 ส.ค.ส. พระราชทาน จาก ในหลวง แก่ปวงชนชาวไทยในความทรงจำตลอดกาล


ประมวลภาพ 29 ส.ค.ส. พระราชทาน จาก ในหลวง แก่ปวงชนชาวไทย

15 ต.ค. 2559 18:36
เป็นเวลาเกือบ 30 ปีต่อเนื่อง ที่ทุกวันสิ้นปี พสกนิกรชาวไทยต่างใจจดใจจ่อ กับการรอคอยที่จะได้รับการส่งความสุข หรือ ส.ค.ส.พระราชทาน จาก “ในหลวง” ที่ทุกครั้ง พระองค์ท่านจะพระราชทานผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ในประเทศ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ให้แก่พสกนิกรทั่วประเทศ โดยจะพระราชทานมาพร้อมแง่คิด ความหมาย คำสอน และอารมณ์ขัน ที่แทรกปนไว้ในเนื้อหา นอกเหนือจากคำอวยพรปีใหม่ และเหนือสิ่งอื่นใด เป็น ส.ค.ส. ที่พระองค์ทรงสละเวลาคิด และทรงประดิษฐ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง
ระยะแรกนั้น ภาพ ส.ค.ส.พระราชทาน ที่ปรากฏจะเป็นเพียงการเรียงพิมพ์ตัวอักษร หรือเครื่องหมายต่างๆ บนแป้นพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์คอมพิวเตอร์ ไม่มีสีสัน ไม่มีภาพประกอบ ต่อมา จะเริ่มมีภาพประกอบมากขึ้น แต่ก็ยังสร้างจากการนำตัวอักษรและเครื่องหมายต่างๆบนแป้นพิมพ์มาเรียงร้อยจนกลายเป็นภาพ เพิ่มเติมเข้ามา โดยหลายครั้งที่ภาพเหล่านั้นแสดงถึงพระราชอารมณ์ขัน ที่พระองค์ต้องการสื่อสารถึงประชาชนของพระองค์
กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ.2549 เป็นปีแรกที่ ส.ค.ส. พระราชทานจากพระองค์เริ่มเปลี่ยนเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์สีของพระองค์เอง มีเพียงปีเดียวเท่านั้น ที่พระราชทาน ส.ค.ส.เป็นภาพการ์ตูนสี พระมหาชนก นั่นคือ ส.ค.ส.พระราชทาน ปี 2558 และมีเพียง 2 ปีเท่านั้น ที่ไม่ปรากฏ ส.ค.ส.พระราชทาน นั่นคือ ปี พ.ศ.2546 และ พ.ศ.2548

ปี 2530
ปี 2531
ปี 2532
ปี 2533
ปี 2534
ปี 2535
ปี 2536
ปี 2537
ปี 2538
ปี 2539
ปี 2540
ปี 2541
ปี 2542
ปี 2543
ปี 2544
ปี 2545
ปี 2546
ปี 2547
ปี 2548
ปี 2549
ปี 2550
ปี 2551
ปี 2552
ปี 2553
ปี 2554
ปี 2555
ปี 2556
ปี 2557
ปี 2558
 
ขอขอบคุณ : ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับพิเศษ