วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อย่าทิ้งห้ามแลกเด็ดขาด!! “โทรศัพท์เก่า” ที่เห็นรถเร่ฯ ขอแลก/ซื้อตามบ้าน ที่เเท้นำ”ไปสกัดเอาทองคำ” เเบบนี้ เห็นเเล้วต้องทึ่ง!!(ชมคลิป)

อย่าทิ้งห้ามแลกเด็ดขาด!! “โทรศัพท์เก่า” ที่เห็นรถเร่ฯ ขอแลก/ซื้อตามบ้าน ที่เเท้นำ”ไปสกัดเอาทองคำ” เเบบนี้ เห็นเเล้วต้องทึ่ง!!(ชมคลิป)

ล่าสุดถือว่าเป็นไอเดียที่เก๋มากๆ เป็นเรื่องที่หลายคนคงสงสัยอยู่เหมือนกันว่า มีคนที่มาขอซื้อโทรสัพเก่าๆ เเลกกะละมัง เเละของใช้ต่างๆ ตามหมู่บ้าน ว่าเขาจะเอาไปทำอะไรกัน โทรศัพท์เก่าๆ จะเอาไปทำอะไรได้ เเต่หารู้ไม่!! นั้นคือขุมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการอาชีพนี้ได้ออกมาพูดเเล้วว่าได้นำโทรศัพท์เก่าๆ นี้ไปสกัดเอาทองคำ เเต่ก็เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น วันนี้ไทม์ไลน์ก็เลยจะนำเอาหลักฐานที่เป็นข้อมูลที่จะทำให้ทุกคนเชื่อได้อย่างสนิทใจได้ว่า มันคือความจริง ที่ดูเเล้วหลายคนอาจจะไม่อยากขายโทรศัพท์เก่าๆ ของคุณเลยก็ได้ ว่าเเล้วก็ไปดูวิธีการสกัดเอาทองจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีทองคำ ไปกันเลยคะ

ชมคลิป

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ญี่ปุ่นประหารชีวิตฆาตกร 2 ราย (หนึ่งในนั้นยังเป็นผู้เยาว์)

ญี่ปุ่นประหารชีวิตฆาตกร 2 ราย (หนึ่งในนั้นยังเป็นผู้เยาว์)



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Japan opens up death chamber to media



เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้ประหารชีวิตฆาตกร 2 ราย
มีรายหนึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงตอนที่ทำผิดยังเป็นเยาวชนอยู่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้สัมภาษณ์ว่า
เธอขอปฏิเสธข้อเรียกร้องจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน
องค์กร/รัฐบาลนานาชาติที่ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต


ตรงสีแดงคือ หลักประหาร พร้อมกับห่วง 3 ห่วง
ไว้คล้องเชือกผูกคอนักโทษที่จะถูกประหารชีวิต
ห้องกดปุ่มกลไกประตูให้เลื่อนลง/เปิดปิดได้ ให้นักโทษตกลงไป
ห้องสักขีพยานมีม่านสีน้ำเงินไว้เปิดปิดดูการประหารชีวิต


ทั้งนี้จะมีการแขวนคอ Teruhiko Seki กับ Kiyoshi Matsui
ภายในทัณฑ์สถานของญี่ปุ่นตามคลิป
ให้สังเกตตรงช่วงเวลา 0.40 ขึ้นไป ตรงช่องสี่เหลี่ยมสีแดง
มีห่วงเหล็กไว้ร้อยเชือกรัดคอนักโทษประหารชีวิต 3 ห่วง
โดยทำเป็นกระดานกลที่เพชรฆาตเปิดปิดปุ่มสวิทช์ด้านนอก
ให้เชือกกระตุกคอนักโทษตอนหล่นลงไปในห้องว่างด้านล่าง

นับตั้งแต่ปี 2012 มีการประหารชีวิตฆาตกรแล้วจำนวน 21 ราย
ในสมัยการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe
และทั้งนี้ยังมีนักโทษที่ต้องระวางโทษประหารชีวิต 124 ราย
อยู่ระหว่างพยายามรื้อฟื้นคดีใหม่ 91 ราย (ข้อมูล 13 กค.2017)




Teruhiko Seki อายุ 44 ปี
ถูกศาลตัดสินว่าฆ่าคนตาย 4 ศพในเขต Chiba ทางอาคเนย์ของ Tokyo
ในตอนปี 1992 เมื่อเขามีอายุได้เพียง 19 ปีในตอนนั้น (ติดคุก 25 ปี)
นับเป็นการประหารชีวิตฆาตกรที่เป็นผู้เยาว์ครั้งแรกในญี่ปุ่นหลังจากปี 1997
เพราะผู้เยาว์ในญี่ปุ่นจะต้องมีอายุไม่เกินกว่า 20 ปี

Kiyoshi Matsui อายุ 69 ปี (ติดคุก 23 ปี)
ถูกศาลตัดสินว่าฆ่าเพื่อนสาวและพ่อแม่ของเธอตายรวม 3 ศพในปี 1994

แม้ว่าทั้งคู่พยายามจะขอรื้อฟื้นคดีอาญาให้มีการพิจารณาใหม่
แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
เพราะในประเทศญี่ปุ่นจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและลำบากมาก
ในการรื้อฟื้นคดีอาญาที่ต้องระวางโทษประหารชีวิต

“ ทั้งคู่ต่างก่ออาชญากรรมที่โหดร้าย
ฉันได้ลงนามอนุมัติประหารชีวิต
หลังจากได้พิจารณาไตร่ตรองแล้ว "
Yoko Kamikawa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม




แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
แต่ยังคงมีโทษประหารชีวิตที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่
โดยโทษประหารชีวิตยังได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากพลเมืองชาวญี่ปุ่น
แม้ว่าจะได้รับการคัดค้านจากรัฐบาลหลายชาติในยุโรปและกลุ่มสิทธิมนุษยชนก็ตาม
อนึ่ง ฝ่ายที่คัดค้านญี่ปุ่นได้ให้สัมภาษณ์ว่า ระบบเรือนจำของญี่ปุ่นเลวร้ายมาก
เพราะนักโทษจะต้องถูกขังเดี่ยวเป็นเวลานานหลายปี ก่อนจะถูกนำตัวไปประหารชีวิต
โดยรู้ข่าวล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง  ก่อนที่จะถูกแขวนคอจนกระทั่งตาย




เรียบเรียง/ที่มา

https://goo.gl/N73sjZ
https://goo.gl/meagN3
https://goo.gl/cXtVcY



หมายเหตุ


คดีประหารชีวิตของไทยว่างเว้นไปเลยในยุคสมัย
ศาตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นประธานองคมนตรี
ซึ่งท่านต้องเป็นผู้ลงนามสนองรับพระบรมราชโองการ
ว่าฎีกาของนักโทษประหารชีวิตขอพระราชทานอภัยโทษตกไปหรือไม่ตก
เพราะในวงการนักกฎหมายเล่าสืบต่อกันมาเป็นตำนานว่า

ท่านเป็นคนธัมมะธัมโมไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรม
กับบรรดานักโทษที่คดีถึงที่สุดแล้วว่ามีความผิดจริง
ด้วยวิธีการดึงเรื่องถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษประหารชีวิตไว้
โดยไม่นำขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลมหาราช
ให้ทรงมีพระราชวินิจฉัยในเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษจากนักโทษประหารชีวิต
นานจนครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ตรัสถามอาจารย์สัญญาเรื่องนี้
อาจารย์สัญญาได้ทูลว่า " ควรมิควรแล้วจะโปรด อยู่ระหว่างการพิจารณา พะยะค่ะ "
พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ เพราะทรงเมตตาและทรงทราบนิสัยอาจารย์สัญญาเป็นอย่างดี
(ขอพระราชทานอภัยที่นำเรื่องนี้มาบอกเล่าจากที่ฟังสืบต่อกันมา)

ตราบใดที่ยังไม่มีฎีกาตกไปยังกรมราชทัณฑ์
ก็ยังไม่มีการประหารชีวิตแต่อย่างใด
จนระยะเวลาล่วงเลยไปจนถึงวาระพิเศษต่าง ๆ
ที่มีพระราชกฤษฏีกาพระราชทานอภัยโทษ
นักโทษประหารชีวิตเหล่านี้ต่างได้รับการลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
แล้วก็ค่อย ๆ ลดหลั่นโทษลงไปเรื่อย ๆ จนพ้นโทษจากเรือนจำ

อนึ่ง ศาตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์
น่าจะเป็นบุคคลแรกของเมืองไทยที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม
ประธานศาลฎีกา ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี
คณบดีคณะนิติศาสตร์และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ซึ่งยังไม่เคยมีใครดำรงตำแหน่งได้แบบท่านในประวัติศาสตร์ไทย






กฎหมายไทย จะถือว่าเป็นผู้เยาว์หรือไม่ ให้นับตั้งแต่วันที่กระทำความผิด
และถ้าในวันที่ส่งฟ้องดำเนินคดีอาญามีอายุเกินแล้ว เช่น หลบหนีไปจนอายุเกิน
ก็ยังต้องนำตัวขึ้นศาลคดีเด็กและเยาวชน
น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ในสถานพินิจคุ้มครองเด็กบางแห่ง มีขาใหญ่/ขาโจ๋ประจำอยู่
แต่ถ้ากระทำความผิดในช่วงอายุระหว่าง 18-20 ปี
ให้เป็นดุลพินิจของศาลว่าจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
ให้ต้องรับโทษแบบผู้เยาว์หรือนักโทษทั่วไป




เรื่องเล่ากันจนเป็นตำนานนักกฎหมายว่า
ที่เมืองนอกเคยมีคดีแย่งชิงนักโทษแขวนคอแล้วพ้นผิด/รอดตาย
เพราะคำพิพากษาระบุว่าให้แขวนคอจำเลย
ฝ่ายพรรคพวกนักโทษเลยรอเวลาพร้อมทำการช่วยเหลือ
เมื่อเพชรฆาตแขวนคอนักโทษแล้ว
ก็กรูขึ้นไปช่วยเหลือตัดเชือกที่แขวนคอนักโทษออกทันที
แล้วสู้คดีว่าการแขวนคอครบองค์ประกอบตามคำพิพากษาแล้ว
ทำให้ในภายหลังต้องมีคำพิพากษาระบุให้ชัดเจนว่าให้แขวนคอจนกระทั่งตาย
หรือสำนวนกฎหมายไทยในอดีตก็ยังเคยระบุ ให้เอาไปยิงเสียให้ตาย




ในมาเลย์  นักโทษประหารชีวิตจะถูกแขวนคอจนกระทั่งตาย
ก็จะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำโดยไม่รู้ระยะเวลาประหารชีวิตเช่นกัน
จนกว่า 24 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนประหารชีวิตจึงจะแจ้งให้นักโทษทราบ
บางรายก็ให้ญาติพี่น้องเข้าเยี่ยมได้เป็นครั้งสุดท้าย
บางรายก็ไม่อนุญาตให้เยี่ยม ให้รอรับศพอย่างเดียว

ที่เป็นตำนานหลายปีก่อนแล้วคือ
ชายไทยที่ต้องโทษแขวนคอจนตายที่มาเลย์โทษฐานค้าอาวุธปืน
มีการนำศพกลับมาทำพิธีที่เมืองไทยที่ปาดังเบซาร์
สภาพนักโทษถูกขุนจนอ้วนพีช่วงติดคุกเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
จนกระทั่งญาติพี่น้องต่างคิดว่าคงจะไม่มีการประหารชีวิตแล้ว
ทั้งนี้ แม้ว่าจะได้พยายามติดต่อผ่านทางสถานทูตไทย/รัฐบาลไทย
และขออภัยโทษจากอากง ราชามาเลย์
ยังดี เปอร์ตวน อากง Yang di-Pertuan Agong แต่ก็ไม่ได้ผล
ราชาประมุขของรัฐมาเลย์จะดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี
โดยจะการเลือกตั้งกันภายในเฉพาะราชา 9 รัฐจาก 13 รัฐในมาเลย์

ในมาเลเซียแทบจะไม่มีการอภัยโทษเลย
เท่าที่จำได้เคยมีการให้อภัยโทษเพียงครั้งเดียว
เป็นเด็กชายเชื้อชาติจีนไปเก็บปืนสั้นที่ฝังดินไว้นานแล้วและชำรุดมากแล้ว
นำมาถือเล่นในกำปง(หมู่บ้าน) เลยต้องโทษประหารชีวิตตามกฎหมาย
แต่ได้รับคำร้องขอจากรัฐบาลหลายชาติ/องค์กรสิทธิ์ต่าง ๆ
ทำให้อากงยอมลงนามอภัยโทษให้เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต

ในมาเลย์จะบังคับกฎหมายเคร่งครัดมากตามเจ้าอาณานิคมอังกฤษ
สืบเนื่องมาจากยุคที่มีการต่อต้านการปกครองพวกจักรวรรดิ์อังกฤษ
กับสงครามภายในที่มีช่วงปราบปรามคอมมิวนิสต์มาลายา
และมีคอมมิวนิสต์มาลายาบางส่วนได้หลบซ่อนตัวอยู่ในฝั่งไทย แถวเบตง กับ นาทวี
โดยมีการขุดอุโมงค์เป็นสถานที่หลบภัยและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทุกวันนี้
ซึ่งตอนนี้ต่างมารายงานตัวว่าเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
และมีที่ดินทำกินในบริเวณเดิมที่เป็นสถานที่หลบภัย
รายละเอียดสามารถสืบค้นได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ




ในหลายประเทศของยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมันนี อีตาลี รัสเซีย
ยังมีโทษประหารชีวิตอยู่ไม่ได้มีกฎหมายยกเลิกแต่อย่างใด
ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษที่ให้อภัยโทษประหารชีวิตนักโทษได้
แต่ส่วนมากนักโทษจะถูกระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตตามคำสั่งศาล
โทษประหารชีวิตเป็นเครื่องมือของรัฐในการปกครองและรักษาความมั่นคง
การไม่ได้ใช้โทษประหารชีวิต ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใช้อีก
เพราะในสหรัฐอเมริกาหลายรัฐมีการรณรงค์ให้รื้อฟื้นโทษประหารชีวิตขึ้นมาใช้อีกครั้ง

พวกนักสิทธิมนุษยชนมักจะตีความ/มั่วเอาเองว่า
ประเทศไหนที่ว่างเว้นโทษประหารชีวิต 10 ปีขึ้นไป
แสดงว่าประเทศนั้นไม่มีโทษประหารชิวิต/ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว
ของไทยก็ใกล้จะครบ 10 ปีแล้ว ก็จะถูกนำไปอ้างด้วยเช่นกัน

ประเทศที่ตอนนี้ไม่มีโทษประหารชีวิตเลย คือ ยิว
แต่นักโทษจะถูกจำคุกตลอดชีวิตแบบไม่มีการอภัยโทษ
นักโทษจะถูกลงโทษแบบขังเดี่ยว
ต้องทนทุกข์ทรมานแบบจำจนตาย/เข็ดจนตาย
ตายแบบหัวใจแหลกสลายและขมขื่นตลอดกาลนาน
ตามวิธีการลงโทษทัณฑ์และวิธีคิดแบบยิว

ขอบคุณข้อมูล : เพจpantip.com                                  

วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

“ขาลง” ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ

พลันที่พรรคประชาธิปัตย์เรียงแถวกันออกมาเปิดโปงการเคลื่อน ไหว “พรรคทหาร” สถานะของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เป็น”ปัญหา” - “ขาลง” ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ




E-DUANG : “ขาลง” ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ


20 ธันวาคม พ.ศ.2560
มติชนสุดสัปดาห์


พลันที่พรรคประชาธิปัตย์เรียงแถวกันออกมาเปิดโปงการเคลื่อน ไหว “พรรคทหาร”

สถานะของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เป็น”ปัญหา”

เป็นปัญหาเหมือนสถานะของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ภายหลัง

รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

แม้จะได้รับการปูนบำเหน็จ แต่ก็”เล็กน้อย”

และยิ่งเมื่อ “คมช.” สามารถดำเนินตามแผน”บันได 4 ขั้น”ได้สำเร็จหลังเดือนพฤศจิกายน 2551

สถานะของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยิ่งเสื่อมทรุด ตกต่ำ

การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่างโหวง โหรงเหรง กระทั่งแทบไม่เหลือ “พลัง”

เช่นเดียวกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ณ วันนี้

ในห้วงหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 บารมีของ นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อาจยังเฟื่องฟู

สัมผัสได้จากการจัด”ปาร์ตี้ ลายพราง”

สัมผัสได้จากการเสนอ “อนุสาสน์” ผ่านยอดคำเท่”รัฐบาลของเรา” สกัดมิให้เกษตรกรชาวสวนยางเคลื่อนไหว

ตอน”ประชามติ”เดือนสิงหาคม 2559 ก็ยังคึกคัก

แต่หลังจากประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญเมื่อเดือนเมษา ยน 2560 เป็นต้น

ก็เริ่มอยู่ในระยะ “ขาลง”

กระทั่ง เมื่อร่วมกับ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เสนอแก้ไขพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

ก็ถึงจุดที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เริ่ม “หุดหิด”

ปัจจัยอะไรทำให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน

คำตอบคือ “มวลชน” รู้เช่นเห็นทะลุ

รู้ว่าก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 บทบาทของ นายสน

...

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

E-project : ชำแหละเมกะโปรเจกต์ 'คสช.' ตีตั๋วกู้ 1.8 ล้านล.-ปิดเงียบข้อมูลไฮสปีดไทย-จีน

คสช.ปิดเงียบข้อมูลโครงการลงทุนที่จะเป็นภาระกับลูกหลานไม่น้อยกว่า 50 ปี - สำนักข่าวอิศรา ชำแหละเมกะโปรเจกต์ 'คสช.' ตีตั๋วกู้ 1.8 ล้านล. E-project





E-project : ชำแหละเมกะโปรเจกต์ 'คสช.' ตีตั๋วกู้ 1.8 ล้านล.-ปิดเงียบข้อมูลไฮสปีดไทย-จีน

"...สิ่งที่ทำให้รัฐบาลลงทุนโครงการต่างๆได้เร็ว เพราะโครงการเหล่านี้มีการเตรียมการมานานแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่รัฐบาลเองก็มีวิธีที่จะทำให้โครงการเกิดขึ้นได้เร็ว เช่น เมื่อมีการนำโครงการไปรับฟังความเห็น หากมีคนไม่เห็นด้วยก็จะใช้วิธีแยกแก้ปัญหาเป็นชิ้นๆไป..."


เป็นรัฐบาลที่มีแผนงานลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) มากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ว่าได้ สำหรับรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

เนื่องจากในช่วงระยะเวลาเพียง 3 ปีเศษ หรือตั้งแต่ส.ค.2557-ธ.ค.2560 ครม.ประยุทธ์ มีมติอนุมัติแผนลงทุนโครงการขนาดใหญ่ 2 แผนหลัก และในเร็วๆนี้กระทรวงคมนาคมจะเสนอแผนลงทุนเพิ่มเติมให้ครม.อนุมัติอีก 1 แผนงาน ซึ่งทั้ง 3 แผนมีเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 2.78 ล้านล้านบาท มากกว่าร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... 2 ล้านล้านบาท ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญ 'ตีตก' ไปเมื่อเดือนมี.ค.2557 เสียอีก

ย้อนกลับไปวันที่ 1 ธ.ค.2558 ครม.ประยุทธ์มีมติอนุมัติ “แผนปฏิบัติการด้านการคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน พ.ศ.2559” จำนวน 20 โครงการ วงเงิน 1.79 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 โครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง โครงการทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) 3 เส้นทาง โครงการรถไฟฟ้า 5 เส้นทาง โครงการรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง และโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือและศูนย์ขนส่งสินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง 2 โครงการ

แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ.2559





ที่มา : กระทรวงคมนาคม

โดยแหล่งเงินลงทุนตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯ ปี 2559 หลักๆจะมาจากการกู้เงิน 1.26 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 70.64% ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด ส่วนที่เหลือมาจากการร่วมลงทุนกับเอกชน (PPP) เงินงบประมาณ และรายได้ เป็นต้น

แหล่งเงินลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ.2559





1 ปีถัดมา คือ ในวันที่ 13 ธ.ค.2559 ครม.มีมติอนุมัติ “แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ.2560” จำนวน 36 โครงการ วงเงินลงทุน 8.95 แสนล้านบาท เช่น โครงการรถไฟทางคู่และเส้นทางรถไฟสายใหม่ 10 เส้นทาง โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและรถไฟชานเมือง 8 โครงการ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โครงการสร้างทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) 2 โครงการ และโครงการสร้างทางพิเศษ (ทางด่วน) 3 โครงการ เป็นต้น


แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ.2560





ที่มา : กระทรวงคมนาคม 

เช่นเดียวกัน แหล่งเงินลงทุนโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯ ปี 2560 ยังคงมาจากการกู้เงินเป็นหลัก โดยกำหนดกรอบวงเงินกู้ที่ 5.75 แสนล้านบาท หรือ 64.29% ของเงินลงทุนทั้งหมด 

แหล่งเงินลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ.2560






ที่มา : มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 13 ธ.ค.2559


นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอ “ร่างแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ.2561” ให้ครม.อนุมัติในเร็วๆนี้ เบื้องต้นมี 9 โครงการ วงเงินลงทุน 1.03 แสนล้านบาท ได้แก่ 1.ทางยกระดับอุตราภิมุขรังสิต-บางประอิน 2.ทางยกระดับกรุงเทพ-มหาชัย 3.ระบบขนส่งมวลชนทางราง จ.เชียงใหม่ 4.ระบบขนส่งมวลชนทางราง จ.นครราชสีมา 5.ระบบขนส่งมวลชนทางราง จ.ขอนแก่น 6.การพัฒนาธุรกิจท่าเรือบก 7.โครงการพัฒนาสนามบินกระบี่ 8.สนามบินขอนแก่น และ9.โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริหารการเดินอากาศ

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวมความคืบหน้าการดำเนินก่อสร้างโครงการต่างๆตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯ ของรัฐบาลคสช. พบว่า โครงการที่อยู่ภายใต้แผนปฏิบัติด้านคมนาคมฯ ปี 2559 จำนวน 20 โครงการ ขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 10 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2.รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น 3.รถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี 4. รถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี 5.รถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง 

6.มอเตอร์เวย์ สายพัทยา-มาบตาพุด 7.มอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา 8.มอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี 9.โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ท่าเรือแหลมฉบัง 10.โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง
ส่วนโครงการที่เตรียมเสนอครม.เพื่ออนุมัติให้มีการเซ็นสัญญามี 4 โครงการ ได้แก่ 1.รถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 2.รถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน 3.รถไฟทางคู่ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร และ4.รถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ 

ขณะที่โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 2 โครงการ ได้แก่ 1รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง และ2.รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ขณะนี้อยู่ในช่วงเตรียมการเพื่อเปิดประมูล ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในปี 2561

ด้านความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทางนั้น ขณะนี้มีเพียงโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ,แก่งคอย-มาบตาพุด เท่านั้น ที่ได้รับอนุมัติจากครม. แต่ก็ต้องอาศัยอำนาจตามม.44 ของพล.อ.ประยุทธ์ จึงทำให้โครงการสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในปีนี้ ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลกในปี 2562 
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลงทุนโครงการรถไฟไทย-จีน เส้นกรุงเทพ-นครราชสีมา และรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เส้นกรุงเทพ-พิษณุโลก จะมีมูลค่ารวมกันกว่า 4.5 แสนล้านบาท และแหล่งเงินลงทุนหลักจะมาจากการกู้เงิน แต่ที่ผ่านมารัฐบาล คสช.ไม่เคยเปิดเผยตัวเลขจำนวนเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย ตลอดจนเงื่อนไขและระยะเวลาที่ชำระหนี้คืนต่อสาธารณชนแต่อย่างใด โดยเฉพาะรถไฟไทย-จีน ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา ที่ต้องใช้เงินลงทุน 1.79 แสนล้านบาท 

ในขณะที่รถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-หัวหิน และรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-ระยอง ซึ่งเป็นโครงการรัฐร่วมทุนกับเอกชน แม้ว่าทั้งสองโครงการผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการร่วมทุนฯ (PPP) และครม.แล้ว อย่างไรก็ตาม มีเพียงรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพ-ระยอง ที่รัฐบาลผลักดันอย่างจริงจัง เนื่องจากถูกบรรจุไว้ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) 

สำหรับความคืบหน้าการดำเนินก่อสร้างโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯ ปี 2560 มีเพียง 1 โครงการเท่านั้นที่เปิดประมูลไปแล้ว และจะมีการเซ็นสัญญาในปีนี้ ได้แก่ รถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนโครงที่เหลืออีก 35 โครงการยังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการเพื่อเสนอรายละเอียดโครงการให้ครม.อนุมัติก่อนเปิดประมูลต่อไป


ความคืบหน้าโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯ ปี 2559








ที่มา : กระทรวงคมนาคม , มติคณะรัฐมนตรี และสำนักข่าวอิศรารวบรวม ณ 18 ธ.ค.2560

ขณะที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เคยกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางต่างๆเมื่อกลางเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการรถไฟไทย-จีนในเฟสแรก หรือโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา ระยะทาง 252 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 1.79 แสนล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างช่วงแรกก่อน 3.5 กิโลกเมตร คือ ช่วงกิโลเมตรที่ 170 ระหว่างสถานีปางอโศก-ปันไดม้า ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

“โครงการรถไฟไทย-จีน ขนาดราง 1.435 เมตร ระยะทาง 608 กิโลเมตร จะเป็นรถไฟที่ให้บริการขนส่งผู้โดยสารอย่างเดียว ซึ่งจีนเขาก็บอกว่าคนไทยไม่ได้มากมายอะไร ทำไมไม่ใช้ขนส่งสินค้าด้วย เราก็บอกว่าถ้าขนสินค้า เราก็ใช้รถไฟทางคู่ได้ เราไม่อยากให้ใช้ปนกัน โดยในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ เรามีกำหนดจะเริ่มก่อสร้างช่วงแรกที่สถานที่สถานีปากช่อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของรถไฟไทย-จีนเฟสแรก คือ กรุงเทพ-นครราชสีมา 252 กิโลเมตร ส่วนการก่อสร้างในเฟสสองช่วงนครราชสีมา-หนองคาย สิ่งที่เราต้องการ คือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ดังนั้น ในระยะที่สองฝ่ายไทยจะออกแบบก่อสร้างเอง ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากเขา แล้วเราจะเป็นตัวนำในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงนี้เอง”นายอาคมกล่าวในการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “เชียงใหม่…เชื่อมเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก” เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา

นายอาคม กล่าวว่า ในส่วนรถไฟไทย-ญี่ปุ่น หรือรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ ระยะทาง 672 กิโลเมตรนั้น ขณะนี้ญี่ปุ่นได้ส่งมอบรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ให้กับฝ่ายไทยแล้ว และคาดว่าจะมีการเสนอโครงการดังกล่าวให้ครม.อนุมัติได้ภายใน 3 เดือน ซึ่งการก่อสร้างจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ กรุงเทพ-พิษณุโลก และช่วงพิษณุโลก-เชียงใหม่ โดยจะเริ่มเฟสแรกช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 2.76แสนล้านบาท ไปก่อน และหากรถไฟความเร็วสูงเส้นนี้สร้างไปถึงเชียงใหม่ จะลดระยะเวลาการเดินทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่เหลือ 3.30 ชั่วโมง จากปัจจุบันที่การเดินทางไปเชียงใหม่ด้วยรถไฟใช้เวลา 12 ชั่วโมง

“กรุงเทพ-เชียงใหม่ ค่าตั๋วจะอยู่ที่ 1,088 บาท ซึ่งวันนั้นผมบอกกับญี่ปุ่นว่า ต้องบีบราคาให้แข่งขันกับโลคอสแอร์ไลน์ให้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ารถไฟความเร็วสูงใช้เงินลงทุนสูง ต้องกัดฟัน ถ้าไม่กัดฟันทำไม่ได้ เพราะโครงการขนาดนี้ไม่มีประเทศไหนที่ลงทุนแล้วกำไรภายใน 30 ปี ต้อง 50 ปีไปแล้วถึงจะกำไร และต้องมีการพัฒนาเมืองตามเส้นทางด้วย รวมทั้งพัฒนาตัวสถานีและพื้นที่รอบนอกสถานีด้วย เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนรถไฟ ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องหารายได้จากการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเชิงพาณิชย์ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าที่เร็วขึ้น”นายอาคมคมกล่าว

นายอาคม กล่าวว่า เพื่อเร่งรัดให้มีการก่อสร้างโครงการรถไฟไทย-ญี่ปุ่น ช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก พล.อ.ประยุทธ์ เสนอว่าขอให้ทยอยสร้างที่ละสถานี เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงเปิดให้บริการได้หรือไม่ ซึ่งตนได้นำข้อเสนอนี้ไปหารือกับทางญี่ปุ่น ทางญี่ปุ่นก็เห็นด้วย

“รถไฟไทย-ญี่ปุ่นช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กิโลเมตร จะมาเอาซอยลงมาสร้างเหลือช่วงละ 100 กิโลเมตร แล้วเจรจาซื้อตัวรถมาเลย ไม่เกิน 3 ปีก็พร้อมนั่ง ซึ่งทางญี่ปุ่นก็บอกว่าเห็นด้วยกับแนวคิดสร้างแล้วทยอยเปิดไป”นายอาคมกล่าว

ขณะที่ ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ กล่าวกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ต้องถือว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลมีความคืบหน้าตามแผน และเร็วกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เนื่องจากโครงการเหล่านี้มีการเตรียมการมาหลายรัฐบาลแล้ว ส่วนรถไฟความเร็วสูงที่ต้องใช้เวลา 2-3 ปี กว่าจะเริ่มก่อสร้างก็ถือเป็นเรื่องปกติ

“สิ่งที่ทำให้รัฐบาลลงทุนโครงการต่างๆได้เร็ว เพราะโครงการเหล่านี้มีการเตรียมการมานานแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่รัฐบาลเองก็มีวิธีที่จะทำให้โครงการเกิดขึ้นได้เร็ว เช่น เมื่อมีการนำโครงการไปรับฟังความเห็น หากมีคนไม่เห็นด้วยก็จะใช้วิธีแยกแก้ปัญหาเป็นชิ้นๆไป”ดร.สุเมธกล่าว





ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ

เมื่อถามถึงความคุ้มค่าของการลงทุนในโครงการต่างๆ ดร.สุเมธ กล่าวว่า โครงการต่างๆก็ผ่านการประเมินความคุ้มค่าในด้านการลงทุนมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งไม่น่ามีปัญหาอะไร ยกเว้นโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นต่างๆ แม้ว่ารัฐบาลจะเห็นว่าเป็นการลงทุนมีความคุ้มค่า แต่ก็ปรากฏว่าที่ผ่านรัฐบาลไม่ปล่อยรายละเอียด เช่น ผลการศึกษาต่างๆ ออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบเลย

“โครงการลงทุนส่วนใหญ่ เช่น รถไฟทางคู่ ก่อนได้รับการอนุมัติเขาประเมินความคุ้มค่าเรียบร้อยแล้วถึงให้ผ่าน ยกเว้นรถไฟความเร็ว แม้ว่ารัฐบาลจะบอกว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน แต่ที่ผ่านมาเขายังไม่ปล่อยข้อมูลอะไรออกมา เราก็เลยไม่รู้ว่าโครงการคุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะอะไร”ดร.สุเมธกล่าว


ด้านผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ให้ความเห็นกับสำนักข่าวอิศราว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของรัฐบาลคืบหน้าไปตามแผน ทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าในกรุงเทพและปริมณฑล และมอเตอร์เวย์ มีเพียงรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทางเท่านั้นที่ยังล่าช้าอยู่ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้การลงทุนรถไฟความเร็วสูงล่าช้า เป็นเพราะโครงการเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูง






ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

“ตอนนี้รัฐบาลก็ทยอยลงทุนโครงการต่างๆตามแผน เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเร่งทำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เครื่องยนต์การลงทุนเอกชน การบริโภคในประเทศ และการส่งออกไม่ดี แต่ถ้าถามในแง่ความคุ้มค่าของโครงการในแผนก็ต้องบอกว่าคุ้ม เพราะหลายๆโครงการเป็นโครงการที่ต้องลงทุนเพื่อสร้างรากฐานให้ประเทศ และล่าช้ามานาน เช่น รถไฟทางคู่ ท่าเรือ และมอเตอร์เวย์ ซึ่งในความจริงเราต้องลงทุนมาตั้งแต่ปี 2550 แล้ว แต่ทุกอย่างเลื่อนออกไปเรื่อยๆ เพราะปัญหาในประเทศ”ผศ.ดร.พงษ์ชัยกล่าว

ไม่เพียงแต่รัฐบาลคสช.จะเร่งรัดการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯ เท่านั้น รัฐบาลยังเดินหน้าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ๆจากต่างประเทศไปพร้อมกันด้วย โดยล่าสุดเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้เร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆในอีอีซี พ.ศ.2560-2564

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผน EEC พบว่ามีจำนวน 103 โครงการมูลค่าสูงถึง 7.45 แสนล้านบาท โดยมีโครงการที่สำคัญๆ เช่น การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์ระดับนานาชาติ และการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน วงเงินลงทุน 1.68 แสนล้านบาท การพัฒนาท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ 1,846 ล้านบาท ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 วงเงิน 10,154 ล้านบาท โครงการรถไฟทางคู่เชื่อมต่อระหว่างท่าเรือแหลมฉบังและเท่าเรือน้ำลึกทวาย วงเงิน 8.58 หมื่นล้านบาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากตัดโครงการลงทุนตามแผนอีอีซีที่ไปซ้ำซ้อนกับแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯ ปี 2559-2560 ที่มีอย่างน้อย 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพ-ระยอง วงเงิน 1.52 แสนล้านบาท และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท ก็จะเหลือวงเงินลงทุน 5.6 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

แผนลงทุนภายใต้แผนงาน EEC พ.ศ.2560-2564




เหล่านี้เป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลคสช.ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างมหาศาล และมีเม็ดเงินรวมไม่ต่ำกว่า 3.3 ล้านล้านบาท แต่ปรากฏว่าหลายโครงการ โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงที่ต้องกู้หนี้ยืมสินต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และเสี่ยงต่อการขาดทุนอย่างหนัก รัฐบาลคสช. กลับปิดบังไม่ให้เล็ดลอดสู่สายตาคนไทย

ทั้งๆภาระเหล่านี้จะตกกับลูกหลานไม่น้อยกว่า 50 ปี 

ขอขอบคุณข้อมูล : สำนักข่าวอิศรา

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เรื่องนากานี่ มีเรื่องต้องคิดเยอะครับ

Wassana Nanuam รายงาน รอดูว่า บิ๊กป้อม จะชี้แจง ปปช. อย่างไร เพื่อนที่ให้ยืมนาฬิกาเสียชีวิตไปแล้ว เพื่อนคนนี้ ชอบนาฬิกาเหมือนกัน มักจะสลับสับเปลี่ยน กันใส่นาฬิกามาตลอด





เจ้าประคู้ณ!!!!

โมเม้นท์ "บิ๊กป้อม" ไหว้ "พระยอดเมืองขวาง" ที่ มทบ.210 จ.นครพนม ก่อน ไปรับพระราชทานปริญญา ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัย นครพนม เมื่อ13ธค.ที่ผ่านมา

คงจะอธิษฐาน ในใจ และพูดอะไรกับตัวเอง

ใครจะคาดคิด ว่า ชีวิตตัวเอง ที่เป็นทหารชายแดนที่ทำงานทุ่มเท ดูแลชายแดน ดูแลหน่วย ดูแลลูกน้อง ไม่ค่อยกลับบ้าน จนครองโสดมาตลอด ใจใหญ่ ใจดี ดูแลลูกน้อง และเพิ่อนๆ ตท.6 และครอบครัว มาตลอด จนได้เป็นประธานรุ่น ตท.6 ตลอดกาล....จนได้รับฉายาในเวลาต่อมาว่า "พี่ชายที่แสนดี"

คุณงามความดี ที่เคยทำมา เอาชีวิตปกป้องอธิปไตยไทย ในหลายสมรภูมิ กระสุน เฉี่ยวมือ และ รอดปาฏิหารย์ อีกหลายครา จาก ชายแดนเขมร ถิ่น บูรพาพยัคฆ์ ที่เติบโตมา .....

พอมาถึง วันนี้ จุดนี้ กลายเป็น"พี่ใหญ่" จะโดนโจมตี ทุกคำพูด ทุกความเคลื่อนไหว จนมาถึง เรื่อง "แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน" ที่สื่อลงข่าวพาดหัวกัน เมื่อเร็วๆนี้ นั้น

ที่ว่ากันว่า เป็น เพื่อนรักนักธุรกิจ ที่คบกันมากว่า50ปี จนเป็นเหมือนพี่น้อง เดินสายทำบุญไหว้พระ สร้างโบสถ์สร้างวิหาร สร้างพระ ด้วยกันมานักต่อนัก เมื่อครั้งที่ เพื่อนคนนี้ ไม่สบาย บิ๊กป้อม ก็พาไปหาหมอ เก่งๆ ทั้งหมอยา หมอดู หมอพระ ทั่วประเทศ ชอบนาฬิกาเหมือนกัน มักจะสลับสับเปลี่ยน กันใส่นาฬิกามาตลอด ....แถมเพื่อนคนนี้่ก็ เพิ่งเสียชีวิตไป ที่อาจต้อง มีประเด็นที่เกี่ยวกับ ลูกๆของเพื่อน

แต่จะอธิบายสังคมว่ายังไง สังคมจะรับฟังได้ และจะเชื่อหรือไม่....รอดูว่า บิ๊กป้อม จะชี้แจง ปปช. เช่นไร

ขณะที่ นายทหารใกล้ชิด เป็นห่วงสุขภาพ ของ บิ๊กป้อม ที่ดูจะเป็นกังวลกับ วิกฤติ แหวน-นาฬิกา

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า แล้วเรื่องนี้ จะจบอย่างไร!!!




Wassana Nanuam


ooo


เรื่องนากานี่ มีเรื่องต้องคิดเยอะครับ

เพื่อนให้ยืม เมื่อเพื่อนตายจะต้องคืนทายาทหรือไม่ ถ้าใช่ นักข่าวควรตามครับว่าเพื่อนเศรษฐีที่ตายซื้อในไทยหรือเปล่า? ถ้าใช่จะมีบันทึก ถ้าไม่ใช่ต้องเสียภาษีให้ศุลกากร หากไม่เสียภาษีก็ต้องยึดนากาขายทอดตลาดมาเสียภาษีหรือทายาทจะจ่ายภาษีให้ก็ได้ จบกันไป

กรณีเพื่อนให้ยืมกับการให้ของขวัญนักการเมืองมูลค่าเกิน ๓๐๐๐ บาท ต่างกันอย่างไร ปปช. ต้องนิยามใหม่ ถ้ามีช่องว่าง ปปช.ต้องประกาศแก้ไข ถ้าไม่แก้ไขต้องสันนิษฐานก่อนว่าเป็นการให้ของขวัญตอบแทนโดยใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมือง

จำได้ว่าทักษิณฯกลายเป็นนักโทษชายเพราะ เอาบัตรประจำตัวไปให้เป็นหลักฐานการซื้อที่ ปปช. แอบอ้างหลักการไต่สวนว่าสามารถตีความอย่างกว้างได้ว่าทำให้มีอิทธิพลในการซื้อขาย กรณีนี้ก็แนวเดียวกัน เมื่อเพื่อนให้ ก็ต้องตีความอย่างกว้างว่าต้องการตอบแทนทางการเมือง จะมาตีความอย่างเคร่งครัดอย่างคดีอาญาไม่ได้ เพราะเคยทำแบบอย่างไว้ ถ้ากลืนน้ำลายตัวเองก็น่าสนใจ

ทั้งตามหาเพื่อนให้เสียภาษี และตีความว่าเป็นของขวัญหรือไม่ แม้เสียชีวิตไปแล้วก็ยังทำได้ครับ


พงศกร รอดชมภู

...

ชอบโรเล็กซ์ President เป็นการส่วนตัว เพื่อนๆคนไหน มีพอให้ยืมใส่บ้างครัช ไม่แพงเท่าไร



...


ขอบคุณข้อมูลจาก Thai E - News

วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

มารู้จัก “ริชาร์ด มิลล์” ผู้พลิกโฉมวงการนาฬิกาหรูคู่คนดังทั่วโลก - VOA

มารู้จัก “ริชาร์ด มิลล์” ผู้พลิกโฉมวงการนาฬิกาหรูคู่คนดังทั่วโลก - VOA



Richard Mille


“ริชาร์ด มิลล์” ผู้พลิกโฉมวงการนาฬิกาหรูคู่คนดังทั่วโลก


ธันวาคม 15, 2017
VOA


นาทีนี้ไม่มีใครไม่พูดถึงแบรนด์นาฬิกาหรู ริชาร์ด มิลล์ (Richard Mille) ขวัญใจเซเลบริตี้และคนมีชื่อเสียงทั่วโลก ซึ่งวันนี้ VOA ภาคภาษาไทย จะพูดถึงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนาฬิกาไฮเอนด์แห่งศตวรรษที่ 21 กัน

บทความจาก timeandwatches.com ระบุว่า แบรนด์ ริชาร์ด มิลล์ นั้นก็มาจากชื่อของผู้ก่อตั้ง ริชาร์ด มิลล์ เขาเกิดในปี 1951 ที่เมือง Draguignan ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เขากระโดดเข้าสู่วงการนาฬิกาหรูสวิสเมื่อปี 1974 ด้วยวัยเพียง 23 ปี และในช่วงทศวรรษที่ 1990 ริชาร์ด มิลล์ ก็ก้าวขึ้นไปในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของแบรนด์ Mauboussin ในเวลาไม่กี่สิบปี

ในช่วงเวลานั้น ริชาร์ด มิลล์ ห้อมล้อมด้วยบุคคลมากความสามารถในวงการนาฬิกาหรู อย่าง Giulio Papi ช่างนาฬิกาผู้มากประสบการณ์ ที่ดูแลฝ่ายวิจัยและพัฒนานาฬิการะดับไฮเอนด์ Audemars Piguet Renaud et Papi

จนในปี 1999 เขาตัดสินใจผันตัวมาเป็นผู้ผลิตนาฬิกาหรูภายใต้แบรนด์ของตัวเอง Richard Mille SA แหวกม่านประเพณีของนาฬิกาสวิสแบบดั้งเดิมที่มักจะใช้วัสดุมูลค่าสูง แต่ใช้จุดขายที่แหวกแนว จากความหลงไหลในรถแข่งสูตรหนึ่งของ ริชาร์ด มิลล์ จึงนำนวัตกรรมของรถแข่งฟอร์มูล่า-วันและส่วนประกอบของเครื่องบินและยานอากาศ มาบรรจุลงในนาฬิกา ภายใต้สโลแกน “a racing machine on the wrist”



Richard Mille - Rafael Nadal


ในปี 2001 นาฬิการุ่นแรกของ ริชาร์ด มิลล์ ออกมา ภายใต้รุ่น RM001 นาฬิกา tourbillon ดีไซน์รูปทรงคล้ายกับถังไม้ ที่เป็นเอกลักษณ์ ผลิตด้วยมือเพียง 17 เรือน

ริชาร์ด มิลล์ ยังคิดค้นนวัตกรรมใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยการเอาชนะเรื่องน้ำหนักของนาฬิกากลไก tourbillon ทำให้นาฬิกาของริชาร์ด มิลล์ ถูกท้าทายโดยนักกีฬาและผู้ที่ต้องการความแม่นยำ เที่ยงตรง ทนทาน และน้ำหนักเบา จากรุ่นสู่รุ่น ที่โด่งดังอย่างมากเห็นจะเป็นการผลิตนาฬิกาให้กับราฟาเอล นาดาล นักเทนนิสระดับโลก ในรุ่น RM 27-01 ที่มีน้ำหนักเบาเพียง 19 กรัม

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ริชาร์ด มิลล์ เป็นแบรนด์นาฬิกาน้องใหม่ที่ราคาสูงเทียบเท่าแบรนด์ดังที่เกิดก่อนหลายต่อหลายเจ้านั้น คือ การผลิตนาฬิการุ่น RM 012 ในปี 2006 แบบลิมิเต็ด อิดิชั่น เพียง 30 เรือนที่ผลิตด้วยแพลตินัมที่มีน้ำหนักเบา คว้ารางวัล Aiguille d'Or" Award ในงาน Grand Prix d’Horlogerie de Genève 2007 เทียบเท่ากับรางวัลออสการ์ของนาฬิกาหรูเลยทีเดียว

รุ่นที่สร้างความฮือฮาที่สุด คือ รุ่น RM 56-02 Sapphire เมื่อปี 2014 ต่อยอดจาก รุ่น RM 27-01 ของราฟาเอล นาดาล ตัวเรือนโปร่งใสและเกือบไร้น้ำหนัก

​บทความของ thejewelleryeditor.com บอกว่า ปัจจุบัน นาฬิการิชาร์ด มิลล์ ได้ผลิตตัวเรือนที่ออกแบบมาสำหรับนักกีฬาหลากหลายประเภท เช่น เทนนิส กอล์ฟ นักกรีฑา นักกีฬาโปโล และนักแข่งรถสูตร 1

ขณะที่การทำการตลาดของ ริชาร์ด มิลล์ยังใช้เครือข่ายศิลปิน ดารา และผู้มีชื่อเสียงทั่วโลกเป็นตัวช่วยส่งกระแสให้แบรนด์โด่งดังขึ้นไปอีก อาทิ นักวิ่งโอลิมปิกจาแอฟริกาใต้ Wayde Van Niekerk นักกอล์ฟ Bubba Watson นักแข่งรถสูตร 1 Felipe Massa นักกีฬาฟุตบอล Naymar, Didier Drogba ตำนานแข้งแห่งสิงห์บลู “เชลซี”



Didier Drogba กับท่าโพสที่อิงกระแสโดยไม่ตั้งใจ!



Richard Mille - Naymar

ส่วนในวงการบันเทิง ก็มีทั้ง เฉินหลง, มิเชล โหย่ว นักแสดงตลก Kevin Hart


Richard Mille - Jacky Chan



Richard Mille - Michelle Yeoh



Richard Mille - Sylvester Stallone


ศิลปิน Pharrell Williams, Kanye West, Ed Sheeran และ Chris Brown และในวงการการเมืองรัสเซีย โฆษกประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ก็สวมใส่นาฬิกาแบรนด์นี้





ผู้สื่อข่าว Declan Quinn จาก Revolution Online บอกว่า การใส่นาฬิการิชาร์ด มิลล์ นั้นเปรียบเสมือนกับเครื่องสะท้อนความมั่งคั่งของคนรุ่นใหม่ ในศตวรรษที่ 21

ส่วนที่หลายคนอยากทราบ น่าจะเป็นราคา สำหรับผู้เล่นนาฬิกาหรูหน้าใหม่ สามารถจับจองเป็นเจ้าของนาฬิการิชาร์ด มิลล์ ได้ เริ่มต้นที่ 8 หมื่น 5 พันดอลลาร์ หรือราว 2 ล้าน 8 แสน 5 พันบาท ส่วนรุ่นลิมิเตด อิดิชั่น นั้นอาจทำราคาได้สูงถึง 2 ล้าน 2 แสนดอลลาร์ หรือราว 72 ล้าน 6 แสนบาท

2 ระบบสุริยะ...!!!



2 ระบบสุริยะ...!!!
ระบบสุริยะที่มีโลกเรา..มีดาวเคราะห์บริวารจำนวน 9 - 12 ดวง
ระบบสุริยะที่ 2 ที่เหมือนระบบสุริยะของเรา..คือ..ดาวฤกษ์ เคปเลอร์ -90 (Kepler-90) ในหมู่ดาว Draco (ดราโก) ซึ่งอยู่ห่างจากโลกของเราเพียง 2,545 ปีแสง ซึ่งมีดาวเคราะห์บริวารจำนวน ๘ ดวง ดวงที่ 8 เพิ่งค้นพบโดยองค์การนาซ่า...!!!
อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ได้อธิบายสรุปไว้โดยเนื้อหาว่า.. "ในระบบสุริยะ(Solar 's System) นั้น ประกอบด้วยดาวหลายดวง แต่ละดวงมีกำลังไม่เท่ากัน ต่อสู้กัน(ขัดแย้งกัน)จนเกิดดุลยภาพ(Equilibrium) โดยมีดวงอาทิตย์ที่มีกำลังมากที่สุดเป็นผู้ถือดุล จึงเกิดเป็นระบบสุริยะ(Solar 's System)ขึ้น และดำรงอยู่ได้อย่างเป็นเอกภาพตลอดชั่วนาตาปี กล่าวโดยแท้จริงแล้ว "สุญญตาคือผู้ถือดุล" ที่แท้จริง...!!!

- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า..

- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...ประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(Head of State)ดีกว่าประเทศที่มีสถาบันอื่นเป็นประมุข โดยเสนอให้เขียนรัฐธรรมนูญแยกมาตรากันให้ถูกต้องชัดเจนโดยเฉพาะว่าด้วยรัฐ(State)หรือประเทศ นั่นคือ...
มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้
มาตรา ๒ ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มาตรา ๓ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...ตราบใดที่ยังมีระบอบเผด็จการรัฐสภา ตราบนั้นก็ยังมีเงื่อนไขรัฐประหาร และตราบใดที่ยังมีระบอบเผด็จการ ตราบนั้นก็ยังมีม็อบ เหมือนมีไฟก็ต้องมีควัน ถ้าต้องการจะไม่ให้มีรัฐประหารและมีม็อบ ก็จะต้องยกเลิกระบอบเผด็จการ สร้างระบอบประชาธิปไตย เพราะระบอบเผด็จการรัฐสภาคือธาตุแท้(Essence) และรัฐประหารกับม็อบคือปรากฏการณ์(Phenomina)
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...เตือนไว้ว่า...ถ้ายังคงปฏิรูปการเมืองตามลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการ จะต้องพังหนักลง ไม่เชื่อก็ลองดู หรือถ้ายังสร้างประชาธิปไตยด้วยการเขียนใส่ในรัฐธรรมนูญ หรือปฏิรูปด้วยการเขียนใส่รัฐธรรมนูญ ก็จะต้องล้มเหลวในที่สุด เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะการใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย หรือปฏิรูปนั้นไม่ถูกต้อง จะต้องใชนโยบายเป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตยจึงจะถูกต้อง แล้วใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือรักษาประชาธิปไตย หรือรักษาผลสำเร็จของการปฏิรูปหรือปฏิวัติไว้ต่อไป
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันไว้ว่า...การรัฐประหารมี ๒ แบบคือ...
๑. การรัฐประหารแบบเผด็จการคือรักษาระบอบเผด็จการ ขัดขวางการสร้างประชาธิปไตย ซึ่งมีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ ถึงปัจจุบัน
๒. การรัฐประหารแบบประชาธิปไตยคือยกเลิกระบอบเผด็จการ สร้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งยังไม่เคยมีมาเลยในประเทศไทย
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...การเลือกตั้งมี ๓ แบบ คือ...
๑. การเลือกตั้งแบบเผด็จการ ถ้ามีการปกครองระบอบเผด็จการ
๒. การเลือกตั้งแบบคอมมิวนิสต์ ถ้ามีการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์
๓. การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ถ้ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ประเทศไทยมีการเลือกตั้งแบบเผด็จการ เพราะมีการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา ไม่ใช่การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยที่มีหลักการ ๒ อย่างคือ หนึ่งคนหนึ่งเสียง(One man one vote) และเลือกตั้งเสรี(Free vote) คือ เสรีทั้งผู้สมัคร และเสรีทั้งผู้เลือก ไม่มีการใช้รัฐธรรมนูญ ใช้กฎหมายพรรคการเมือง ใช้กฎหมายเลือกตั้ง ใช้การทุจจริตซื้อเสียงของระบบหัวคะแนนมาตัดสิทธิของในการเลือกตั้งประชาชนแต่อย่างใดทั้งสิ้น การเลือกตั้งในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกเป็น "สถาบันประชาธิปไตย"(Democratic Institution) แต่การเลือกตั้งในประเทศไทยเป็นเผด็จการ เพราะยังมีการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา ยังไม่สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้น
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...สาเหตุที่ประเทศไทยยังไม่มีระบอบประชาธิปไตย เพราะประชาชนยังเคลื่อนไหวเรียกร้องแค่เสรีภาพของบุคคล(Freedom of person)ในรูปของม็อบ(Mob) ยังไม่ยกระดับขึ้นสู่การเคลื่อนไหวเรียกร้องอำนาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereignty of the people)ในรูปของแม็ส(Mass)หรือมวลชน และพรรคมวลชนประชาธิปไตย(Mass Party) โดยมวลชนทำหน้าที่ผลักดันให้มีสภาของประชาชนฯ เข้าแทนที่รัฐสภาของคนส่วนน้อย นั่นคือ เรียกร้องให้โอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาประชาชนฯ และพรรคมวลชนประชาธิปไตยขึ้นกุมรัฐ และมีรัฐบาลเฉพาะกาลของประชาชน มีนโยบายสร้างประชาธิปไตยอย่างทั่วด้าน นั่นเอง
ประชาชนจะมีต้องการจัดตั้งองค์การมวลชน(Mass Organisation) องค์การพรรค(Party Organisation) องค์การรัฐ(State Organisation)ให้ครบถ้วน จึงจะสร้างประชาธิปไตยได้สำเร็จ โดยองค์การมวลชนมีหน้าที่ผลักดัน องค์การพรรมีหน้าที่ชี้นำและขึ้นกุมรัฐสร้างประชาธิปไตย องค์การรัฐ(สภาประชาชนฯ)มีหน้าที่โอนอำนาจจากคนส่วนน้อยมาเป็นอำนาจของประชาชน หรือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereignty of the People)
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...เส้นวัดความเป็นประเทศอุตสาหกรรม(Industrialisation)คือ "ประเทศที่สามารถสร้างเครื่องมือ(Machine Tool)สำหรับสร้างเครื่องจักร(Machine)ได้"...!!!
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...นำเอาความคิดประชาธิปไตยของ ร.๗ มาประยุกต์เป็นนโยบาย ๖๖/๒๓ สร้างประชาธิปไตยเอาชนะคอมมิวนิสต์และเผด็จการทุกชนิด จนเกิดปรกฏการณ์ความล่มสลายคอมมิวนิสต์ทั่วโลก สิ้นสุดยุคสงครามเย็น(Cold War) เข้าสู่ยุคสันติภาพถาวร(Lasting World Peace)
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...แนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญของคณะราษฎรผิดพลาด แนวทางลัทธิประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ ร.๕ ร.๖ ร.๗ ถูกต้อง นั่นคือ...
แนวทางลัทธิประชาธิปไตยพระมหากษัตริย์..เป็น..ปฏิวัติที่ถูกต้องแท้จริง(Revolution)
แนวทางลัทธรัฐธรรมนูญคณะราษฎร..เป็น..ปฏิวัติซ้อน หรือปฏิปักษ์ปฏิวัติ(Counter Revolution) อันเป็นการปฏิวัติผิดที่ทำลายการปฏิวัติถูก
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ค้นพบความผิดพลาดของชื่ออนุสาวรีย์ที่สี่แยกคอกวัว ว่าไม่ใช่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่เป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ เป็นต้นเหตุของการเกิดความเห็นผิดมิจฉาทิฎฐิ ว่ารัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย ระบอบเผด็จการรัฐสภาคือระบอบประชาธิปไตย ลัทธิรัฐธรรมนูญคือลัทธิประชาธิปไตย เป็นต้นเหตุที่สำคัญที่สุดของปัญหาชาติและปัญหาประชาชน และเป็นผู้เสนอเสนอเปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์จาก.. “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย”..มาเป็น.. “อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ”ตามลักษณะที่แท้จริงของอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ปัญหาความเห็น นำไปสู่การแก้ปัญหาระบอบ นำไปสู่การแก้ปัญหาประชาธิปไตย และนำไปสู่การแก้ปัญหาชาติและปัญหาประชาชนทั้งปวงให้สำเร็จ
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ได้นำเอาองคมนตรี ร.๕ ดุสิตธานีสภา ร.๖ ซึ่งรวมอยู่ใน.. “สภากรรมการองคมนตรี ร.๗” มาประยุกต์ขึ้นเป็นสภาปฏิวัติแห่งชาติ หรือสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ เพื่อเปลี่ยนผ่านอำนาจอธิปไตยมาเป็นของปวงชนอย่างสันติ สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ ตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย(Democratic Dual Power) ซึ่งมีการเปลี่ยนผ่าน หรือการโอนอำนาจ ๓ ขั้นตอนคือ...
๑. โอนอำนาจทางหลักการ
๒. โอนอำนาจทางการเมือง
๓. โอนอำนาจทางกฎหมาย
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...เสนอให้ศึกษา ๓ ลัทธิใหญ่ของยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่(Modern History) คือ ลัทธิเผด็จการ ลัทธิประชาธิปไตย ลัทธิคอมมิวนิสต์ แบบการศึกษาเปรียบเทียบ(Comparative Approach)จึงจะรู้ประชาธิปไตยจริง และสร้างประชาธิปไตยสำเร็จได้ ลัทธิ(Doctrine) มีโครงสร้างประกอบขึ้นด้วย ๓ ทฤษฎี คือ..
๑. ทฤษฎีทางปรัชญา
๒. ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์(การเมือง)
๓. ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...เสนอระบบความคิด หรืออุดมการ(Ideology) ที่ประกอบด้วยจุดยืน(Standpoint) และวิธีคิด(Way of Thinking)
๑. จุดยืนมี ๒ จุดยืน คือ จุดยืนส่วนตัว และจุดยืนส่วนรวม
๒. วิธีคิดประกอบด้วย...
.."ทฤษฎี(Theory)
.แนวทาง(Line)
..หลักนโยบาย(Program or Platform)
..นโยบาย(Policy)
..มาตรการ(Measure)
..วิธีการ(Mean) ..ยุทธศาสตร์(Strategy)
..ยุทธวิธี(Tactic)"
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร..ยืนยันว่า...
๑. “จุดเข้าตี..คือ..การนำทางยุทธศาสตร์”...!!!
๒. “ความฉลาดในสถานการณ์เฉพาะหน้า..คือ..การนำทางยุทธวิธี”...!!!
จุดยืน(Standpoint)..คือ..เครื่องวัดว่าใครมีคุณธรรมมากหรือมีคุณธรรมน้อย...???
ถ้ามีความเห็นแก่ตัวมาก ก็เห็นแก่ส่วนรวมน้อย..คือ..มีคุณธรรมน้อย...!!!
ถ้ามีความเห็นแก่ตัวน้อย ก็เห็นแก่ส่วนรวมมาก..คือ..มีคุณธรรมมาก...!!!
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า..”วิชา..คือ..ภาพสะท้อนความสัมพันธ์ภายในของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์” และ “หลักวิชา..มาจาก..ความจริงแท้(Reality)จึงถูกต้องอย่างปราศจากเงื่อนไข” หลักวิชาจึงเป็นเครื่องวัดความถูกต้องของความเห็น(Theory)และนโยบาย(Policy) ความเห็นยังผิดได้ถูกได้เพราะเจือปนไปด้วยความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น จะต้องเคารพหลักวิชา การเคารพหลักวิชาคือลักษณะของนักประชาธิปไตย การไม่เคารพหลักวิชาคือลักษณะของเผด็จการ
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...ความจริงมี ๓ ระดับ คือ ข้อเท็จริง(Fact) ความจริง(Truth) ความจริงแท้(Reality) โดยความจริงหรือสัจธรรมเป็นภาพสะท้อนของความจริงแท้ในสมองมนุษย์ ความจริงหรือสัจธรรมคือภาพ ความจริงแท้คือของจริง ข้อเท็จจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฎการณ์ หรือเป็นสถานการณ์อาจผิดก็ได้ถูกก็ได้ ถ้าตรงกับสัจธรรมที่ตรงกับความจริงแท้ก็ถูก(Fact ตรงกับ Truth ที่ตรงกับ Reality) ถ้าไม่ตรงกับสัจธรรมที่ตรงกับความจริงแท้ก็ผิด(Fact ไม่ตรงกับ Truth ที่ไม่ตรงกับ Reality) จึงเรียกว่า "ข้อเท็จจริง" สัจธรรมก็ผิดได้ถ้าไม่ตรงกับความจริงแท้ แต่ถ้าสัจธรรมตรงกับความจริงแท้ก็เป็นสัจธรรมที่ถูกต้อง ดังนั้น ขอจริงหรือความจริงแท้คือเครื่องวัดความถูกต้องของความจริง หรือสัจธรรม นั่นเอง
- ไอน์ สไตน์...ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพระหว่าง Space & Time
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพระหว่าง จิต(Mind) กับ วัตถุ(Mater)...!!!
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...เป็นคนแรกในโลกที่ยืนยันว่า..."คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นวิทยาศาสตร์ และยังเหนือกว่าวิทยาศาสตร์หลายชั้นอีกด้วย"...!!!
ลัทธิคอมมิวนิสต์...ค้นพบการนำมี ๓ ระดับ คือ การนำทางความคิด การนำทางการเมือง และการนำทางการจัดตั้ง....!!!
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ค้นพบการนำระดับที่ ๓ ซึ่งเป็นการนำสูงสุด..คือ..การนำทางจิตวิญญาณ และการนำทางโมกษธรรม...!!!
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...”ประเทศไทย..คือ..จุดยุทธศาสตร์โลก”...!!!
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ยืนยันว่า...โลกยุคต่อไปจะเป็น.. “มหาอำนาจทางหลักการ”...ไม่ใช่มหาอำนาจทางอาวุธอีกต่อไป...และไทยจะเป็นมหาอำนาจทางหลักการ...ถ้านำการปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรมสำเร็จ...!!!
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...คือ...ข้อต่อของประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ...!!!
จากยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณ..มาสู่..ยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง..มาสู่..ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่..ไปสู่..ยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่...!!!
- ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร...ฯลฯ
๒๓ ปีแห่งการจากไปของนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ของโลก...ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร....๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๐...!!!
๒๓ ปี เราบรรลุบรรได ๔ ขั้นแล้ว..คือ...
๑. จาก..ไม่มี..มาสู่..มี...!!!
๒. จาก..เล็ก..มาสู่..ใหญ่...!!!
๓. จาก..อ่อนแอ..มาสู่..เข้มแข็ง...!!!
๔. จาก..เติบใหญ่-เข้มแข็ง..ไปสู่..ชัยชนะ...!!!
คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
สภาบันปฏิวัติสันติพุทธอหิงสาธรรมโลก(ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร) สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
พรรคการนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ(พรรคตามธรรมชาติ) คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยฯ
สมัชชากรรมกรแห่งชาติ สภาชาวนาปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ทหารประชาธิปไตย สภานักศึกษาแห่งชาติ
สภาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งชาติ สภาธรรมสันติภาพโลก ขบวนการศาสนาเพื่อมนุษย์ชาติ ฯลฯ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐