วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่สั่งแจ้งความ จะเอาผิดกลุ่ม 'ซิตี้ไล้ฟ์' ไม่เข้าข่ายกฎหมายอะไรสักอย่าง :ความเห็น 'ไอลอว์'

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่สั่งแจ้งความ จะเอาผิดกลุ่ม 'ซิตี้ไล้ฟ์' ไม่เข้าข่ายกฎหมายอะไรสักอย่าง :ความเห็น 'ไอลอว์'


น่าจะเงิบอีกคนนะ ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ที่พยายามหาข้อกฎหมายมาเอาเรื่อง การกระทำที่ยังไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่า

กรณีออเจ้าให้ลูกน้องไปไล่เบี้ยกลุ่มรณรงค์เชียงใหม่ปลอดหมอกควัน แจ้งความด้วย พรบ.การกระทำบนคอมพิวเตอร์ มาตรา ๑๔ เอย มาตรา ๑๖ ด้วย

เอางี้ ให้ผู้ที่ถนัดเรื่องกฎบัตรกฎหมาย แม้ไม่ใช่ผู้ใช้บังคับก็น่าจะถนัดกว่า เพราะต้องคอยตรวจตราระแวดระวังไม่ให้ผู้ใช้บังคับ มั่ว’ ประจำอย่างเคย คอยเอาเปรียบ ก้ำเกิน และก้าวล่วง

ไอลอว์’ เขาถือเป็นพันธะหน้าที่ “ชวนทำความเข้าใจ พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ ว่าเขียนไว้กว้างแค่ไหน” ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ถึงได้ใช้ความพยายามคุ้ยหาองค์ความผิด มาใช้ฟ้องร้องกลุ่มคนที่ใช้สิทธิทางประชาธิปไตย เพื่อเอาใจเจ้านายนักรัฐประหารของตน

ท้าวความ :ตามที่มีข่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มอบอำนาจให้ปลัดอำเภอเข้าแจ้งความเอาผิด ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “City Life Chiang Mai” ที่โพสต์ภาพอนุสาวรีย์อดีตพระมหากษัตริย์ล้านนาสามพระองค์ สัญลักษณ์ประจำเมือง โดยมีหน้ากากสวมปิดพระพักตร์ เพื่อสื่อสารประเด็นอากาศเป็นพิษในเมืองเชียงใหม่ ว่า เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ”

หนังสือมอบอำนาจดังกล่าว “อธิบายว่า การโพสต์ภาพนี้บนสื่อออนไลน์เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม” ไอลอว์บอกว่า “เพียงแค่เหตุผลว่า ไม่เหมาะสม ยังไม่เพียงพอจะดำเนินคดีกับผู้โพสต์ให้รับผิดตามกฎหมายได้ เพราะพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ไม่ได้กำหนดเอาผิดทุกการกระทำที่มีคนเห็นว่าไม่เหมาะสม

เมื่อลงรายละเอียด มาตรา ๑๔(๑) เอาผิดเรื่อง ข้อมูล’ บิดเบือนหรือปลอม ซึ่งก็ต้องเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง “ซึ่งหมายถึงต้องเจตนาแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ ภาพลักษณะนี้ไม่มีเจตนาแสวงหาประโยชน์ใด จึงไม่ผิดมาตรา ๑๔()

ส่วนมาตรา ๑๔(๒) ซึ่งไอลอว์ชี้ว่าในหนังสือลงนามโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พยายาม หาวิธีอธิบาย หาช่องว่างกฎหมาย และตีความอย่างขยายขอบข่าย “เพื่อลากให้มาเข้าความผิดตามมาตรา ๑๔(ให้ได้

การใช้ถ้อยคำให้กินความหมายกว้างขวางมากๆ เช่นบอกว่าทำให้เกิดความเสียหาย ต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัย หรือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน นั้นไอลอว์บอกว่า “อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ประชาชนที่ดูภาพแล้วตื่นตระหนกตกใจกันแค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่พิสูจน์กันได้ยาก และไม่ชัดเจน

ไอลอว์ให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า “ปัจจุบันยังไม่เคยเห็นคำพิพากษาศาลฎีกา ที่วางหลักการตีความคำว่า "เกิดความไม่มั่นคงในเศรษฐกิจ" เอาไว้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี ตามหลักการตีความกฎหมายที่กำหนดโทษให้ประชาชน ก็ต้องตีความอย่างแคบ ไม่ขยายขอบเขตออกไปบังคับใช้ตามอำเภอใจ

ครั้นจะใช้มาตรา ๑๔(๓) ที่ระบุว่า “ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการก่อการร้าย การยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนก่อความไม่สงบ การก่อกบฏ การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ

ประเด็นท้ายนั่นไปเข้าไคล้ว่าหมิ่นบูรพกษัตริย์ ที่กระบวนตุลาการไทยด้วยวิจารณญานวิเศษสุดจะเอาผิดให้ได้ ทำนองเดียวกับที่ ส.ศิวรักษ์ โดนข้อหาหมิ่นพระนเรศวร ซึ่งไอลอว์ไม่ได้ให้ความเห็นไว้ในข้อนี้ แต่ข้ามไปว่าถึง ม.๑๔(๔) ที่ใช้เอาผิดเรื่องลามกอนาจารก่อน ซึ่งไอลอว์เห็นว่า “ก็ยังห่างไกลจากภาพอนุสาวรีย์มีผ้าปิดปาก

มาถึงขอบข่ายมาตรา ๑๖ ที่บอกว่า “ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

ตามการวิเคราะห์ของไอลอว์ กรณีภาพสามกษัตริย์สวมหน้ากากป้องกันไอพิษ “เอาภาพที่คนอื่นวาดมาโพสต์ โดยไม่ได้ตัดต่อ และไม่ได้ทำให้คนวาดเสื่อมเสีย จึงไม่น่าจะใช้ดำเนินคดีกับภาพอนุสาวรีย์มีผ้าปิดปากได้

ในวรรคสองของมาตรา ๑๖ ชี้เฉพาะเจาะจงว่า “ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำต่อภาพของผู้ตาย และการกระทำนั้นน่าจะทำให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอายผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง

ประเด็นนี้ไอลอว์ไม่ได้วิเคราะห์ไว้ แต่เดี๋ยวจะลองใช้สามัญสำนึกของคนที่มีจิตยึดมั่นในสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลในระบอบประชาธิปไตยสากลมาอธิบายดูสิว่าพอจะฟังขึ้นบ้างไหม เพราะในกระบวนการยุติธรรมสากลเสียง (หรือความเห็น) ของผู้ถูกแจ้งโทษว่าร้าย ย่อมได้รับการ ฟัง จากตุลาการเสมอ

ประเด็นเอาภาพของคนอื่นมาโพสต์ แต่เป็นภาพของผู้ตายและน่าจะทำให้ “บิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง...” ฯลฯ นั้นองค์บูรพกษัตริย์ล้านนาทั้งสามพระองค์ ไม่น่าจะมีผู้สืบสายเลือดหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน อันจะทำให้ได้รับความเสียหายดังกล่าวได้

แม้การสืบเนื่องราชวงศ์ต่างๆ เรื่อยมา ได้มีการเปลี่ยนสายเลือดแล้วหลายครั้งหลายหน แม้แต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับราชวงศ์จักรีก็ยังไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน (การต่อเนื่องโดยพระสุบินนั้น ทางกฎหมายสากลไม่นับเป็นหลักฐาน หรือ ‘exibit’) นับประสาอะไรกับราชวงศ์ล้านนา

(หมายเหตุ บทความเต็มของไอลอว์ ที่นี่https://www.facebook.com/iLawClub/photos/a.10150540436460551.646424.299528675550/10160317475065551/?type=3&theater)

จินดามณีนั้นไม่ใช่จะท่องกันได้ง่ายๆ

จินดามณีนั้นไม่ใช่จะท่องกันได้ง่ายๆ “แต่คุณตู่คงไม่สนใจจะฟังครูบาอาจารย์แนะนำกระมัง”

หัวหน้า คสช.เงิบคนเดียวไม่พอ ลิ่วล้อในกระทรวงวัฒนธรรมช่วยเงิบด้วย เอาใจนายประมาณดั่งตำนานฝรั่ง ที่ว่าคิงลืมใส่เสื้อผ้า แล้วพวกขี้ข้าพากันชมกันใหญ่ว่าฉลองพระองค์ช่างงามเลิศล้ำเหลือหลาย

หลังจากที่มีข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้คณะรัฐมนตรีไปท่องโคลงกลอนในหนังสือจินดามณีมาให้ได้คนละบท ครั้นพออาทิตย์ต่อมา (๒๗ มีนา) เจอผู้สื่อข่าวถามเรื่องจินดามณีไปถึงไหน ตุ๊ดตู่เลยท่องให้ฟังเป็นตัวอย่างบทหนึ่งว่า

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย ซึ่งกลายเป็นนิราศภูเขาทองของสุนทรภู่ ที่ประพันธ์หลังจินดามณีถึง ๑๕๐ ปี ไปเสียฉิบ

ทางด้าน รมว.วัฒนธรรม วีระ โรจน์พจนรัตน์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อต้นอาทิตย์นี้ ชี้แจงว่านายกฯ ไม่ได้สั่งให้รัฐมนตรีไปท่องจินดามณีอย่างที่เป็นข่าว แค่ให้ไปอ่านกัน ตนเองได้เตรียมไว้หนึ่งบทสำหรับท่องให้นายกฯ ฟัง พร้อมแสดงแซมเปิ้ลว่า

“เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น...” (ฤๅพี่ สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือฯ)



ซึ่งเพจ การเมืองไทย ในกะลา’ ดันจำแม่นเสียอีกว่า นั่นมาจากเรื่อง ลิลิตพระลอ’ อันเป็นรวมบทกลอนสมัยอยุทธยาตอนต้น และตัวอย่างที่ รมว.วัฒนธรรมยกมา เป็น “ตอนที่นางรื่นกับนางโรยร่วมมือกับนักดนตรีขับเพลงยอความงามของ พระเพื่อน’ ‘พระแพง นายของตัวเองให้กับ พระลอฟัง เพื่อให้พระลอหลงใหล” 

ที่ถ้าทั้งนายและบ่าวชวนกันไปถามรศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ เสียก่อนก็จะทราบว่า จินดามณีนั้นไม่ใช่จะท่องกันได้ง่ายๆ เนื่องจากต้นแบบในสมัยพระนารายณ์เป็นหลักสูตรสำหรับการฝึกฝนแต่งโคลงกลอน ไม่ใช่บทเรียนของเด็กๆ

จินดามณีถูกปรับให้เป็นแบบเรียนที่เรียกว่า ปฐม ก กา’ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ จนกระทั่งรัชกาลที่ ๕ จึงได้มีการสังคายนาใหม่ให้เป็นแบบเรียนสมบูรณ์ โดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรียกว่ามูลบทบรรพกิจ


แต่คุณตู่คงไม่สนใจจะฟังครูบาอาจารย์แนะนำกระมัง” Nithinand Yorsaengrat เย้าความเขลาของทั่นผู้นำและลิ่วล้อ พร้อมกันนั้นเธอ “ขออนุญาตสรุปสั้นๆ เพิ่มเติมว่า”

1. จินดามณี มีหลายเวอร์ชั่น และจินดามณีที่เชื่อกันว่าเขียนโดยพระยาโหราธิบดีในสมัยพระนารายณ์นั้น ยังไม่เคยมีหลักฐานว่ามีต้นฉบับตัวจริงเลย มีแต่ต้นฉบับครูถูกคัดลอกต่อกันมาเรื่อยๆ แล้วคนคัดลอกก็ต่อเติมโคลง กลอนที่คนคัดลอกเห็นว่าดีเข้าไปเรื่อยๆ

2. จินดามณีในสมุดไทยฉบับคัดลอกที่ว่าเก่าแก่ตั้งแต่ยุคอยุธยานั้น อ่านยากมาก ภาษาโบราณ ไม่คุ้นปาก ไม่คุ้นหูคนสมัยปัจจุบัน และไม่ใช่หนังสือสำหรับคนทั่วไปจะใช้ท่องจำบทกลอนเป็นบทๆ แต่เป็นหนังสือสำหรับคนจะฝึกเขียน โดยเฉพาะโคลง กลอน ให้ได้เห็นตัวอย่างแบบแผนการเขียน การสะกดให้ถูกต้องตามหลักการ

3. คำว่า เอกาทศรถที่ว่ามีปรากฎในจินดามณี จึงทำให้นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่าจินดามณีมีมาก่อนยุคพระนารายณ์ ก็มีนักวิชาการบางกลุ่มค้านว่าเอกทศรถ” “เอกาทศรถ” เป็นคำที่ใช้เรียกกษัตริย์โดยทั่วไปอยู่แล้ว

4.แบบเรียนภาษาไทยที่ปรับภาษายากของจินดามณียุคอยุธยา มาเป็นภาษาคนทั่วไป คือ ประถม ก กา สมัยรัชกาลที่ ซึ่งยังไม่มีหลักฐานว่าผู้ใดแต่ง และประถมมาลา โดยพระเทพโมฬี ตามด้วยมูลบทบรรพกิจ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร ในสมัยรัชกาลที่ 5

5. เห็นด้วยกับอาจารย์ธำรงศักดิ์ว่า คนสั่งให้ท่องจินดามณี คงไม่รู้จักจินดามณี

6. นึกสงสัยเองว่าคนสั่งให้ท่องจินดามณี อาจนึกว่าจินดามณี เป็นวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีไหมนะ

7. ไม่ล้อเลียนคนสั่งให้ท่องจินดามณีแล้ว หัวเราะใหญ่ไปหลายรอบแล้ว555 เห็นใจ ไม่รู้ไม่ผิด แต่นึกสงสัยอีกเหมือนกันว่าเขารู้อะไรบ้าง เขาเคยพูดอะไรที่ตรงความจริงบ้าง

8. จริงๆ มันก็กึ่งๆสะท้อนคุณภาพการศึกษาไทยนะนี่นะ คนระดับผู้นำประเทศที่ชอบคุยว่าเรียนเก่ง และมั่นใจมากเสมอว่ารู้ทุกอย่างดีเลิศกว่าใครๆ แสดงความรู้ทีไร ผิดๆถูกๆ หลงๆงงงวยตลอด

แจ้งความย้อนยุค : เชียงใหม่ 'ของขึ้นเกินไปแล้ว' แจ้งความผู้ใช้ภาพ "อดีตกษัตริย์ยังทนหมอกควันไม่ได้"....อิอิ

เชียงใหม่ 'ของขึ้นเกินไปแล้ว' แจ้งความผู้ใช้ภาพ "อดีตกษัตริย์ยังทนหมอกควันไม่ได้"

กระแสคลั่งย้อนยุคโบราณมาถึงขั้น ‘Hyperbole’ ของขึ้นเกินไปแล้ว เมื่อผู้ว่าฯ เชียงใหม่สั่งลูกน้องไปยื่นแจ้งความฟ้องร้องกลุ่มรณรงค์ต้านอากาศเสีย‘City Life Chiang Mai’

เมื่อ ๓๐ มีนาคม นายศิริพงษ์ นำภา ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับมอบอำนาจจากนายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้นำหลักฐานเข้าดำเนินการกล่าวโทษว่าได้มีการเผยแพร่วาดภาพสามกษัตริย์ ผู้ก่อตั้งนครเชียงใหม่ สวมหน้ากากป้องกันไอพิษ มีข้อความกำกับว่า “มาร่วมกันเอาอากาศของเราคืนมา”

ข้อกล่าวหาระบุว่านั่นเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม เป็นการลบหลู่และไม่เคารพบูรพกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ของเชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อจิตใจของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง “ทั้งยังอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และเกิดความไม่มั่นคงในเศรษฐกิจของจังหวัด”

คำฟ้องอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ แห่ง พรบ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐  แล้วยังอาจเป็นความผิดตามมาตรา ๑๖ ของพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันด้วย เนื่องจากมีข้อความภาษาอังกฤษอธิบายภาพวาดนั้นว่า

Powerful painting by student at Prem, Piyapan Thiamthakorn, who painted this as part of grade 12 IB Diploma”

-ภาพวาดอันทรงพลังโดยปิยพันธุ์ เทียมฐากร นักเรียนของ (โรงเรียนนานาชาติ) เปรม ซึ่งเขียนภาพนี้ในการสอบสำหรับประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลาย- ถือว่าเป็นการแพร่ภาพที่ไม่ใช่ของตน


อนึ่ง เว็บไซ้ท์ chiangmaicitylife.com เคยเสนอบทความชื่นชมโรงเรียนนานาชาติเปรมไว้เมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ทั้งในเรื่องทัศนียภาพ สภาพแวดล้อมอันร่มรื่น และหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนแห่งนี้ ปรากฏภาพเขียนขนาดใหญ่ สามกษัตริย์สวมหน้ากากป้องกันไอพิษ ตั้งแสดงอยู่ในห้องศิลปะของโรงเรียน

มีผู้แชร์ข่าวของ ‘CM108’ กันมาก รวมทั้ง มติชนออนไลน์’ (https://www.matichon.co.th/news/897654) และเพจ พลเมืองต่อต้านSingle Gateway เพื่อเสรีภาพและความยุติธรรม #opsinglegateway ที่โคว้ตคำของ ศาสนวิทยา dr.Sinchai Chaojaroenrat ว่า

มองว่าภาพนี้มีนัยเป็นการเสียดสีเพื่อเรียกร้องให้แก้ปัญหามลพิษของเชียงใหม่อย่างเร่งด่วน”

และ Issaree Coffney เขียนข้อความคอมเม้นต์ต่อท้ายข่าวเช่นกันว่า “มองแนวสะท้อนปัญหาสุขภาพของชาวเมืองด้วยภาพอดีตกษัตริย์ยังทนหมอกควันไม่ได้จึงต้องใส่ผ้าปิดปากจมูก...

ลบหลู่ หมิ่น??? ถ้าว่างมากก็เอาเวลาไปรณรงค์แก้ไขปัญหาหมอกควัน ออกตรวจพื้นที่ให้ความรู้ชาวบ้านเรื่องเผาไร่เถอะ ยังจะดีซะกว่า...”

อย่างไรก็ดี เพจกลุ่มรณรงค์ ‘City Life Chiang Mai’ ได้โพสต์ข้อความสะท้อนการถูกแจ้งความครั้งนี้ว่า “การรณรงค์ของเราที่ถูกยกเลิกไปวันนี้ทำให้มีผู้ไม่พอใจเกิดขึ้น ส่วนน้อยบางคนเริ่มจู่โจมใส่เราแล้ว

กรุณาให้อภัย อย่างน้อยในช่วงสองสามวันต่อไปนี้ เราจะลบข้อความวิพากษ์วิจารณ์ที่อาจถูกนำไปใช้กล่าวหาเราออกไปจากเพจ

เรามั่นใจว่าไม่ช้าไม่นานความรู้ผิดชอบชั่วดีก็จะกลับมาดำรงอยู่ต่อไป ขอบคุณมากที่เข้าใจ”

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

เป็นเรื่องอีกไหมนี่ 'อาซาฮี' สัมภาษณ์ทักษิณ มั่นใจเพื่อไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย

เป็นเรื่องอีกไหมนี่ 'อาซาฮี' สัมภาษณ์ทักษิณ มั่นใจเพื่อไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย

เมื่อ ๒๙ มีนาคม เว็บไซ้ท์ asahi.com รายงานข่าวสองพี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปร่วมงานเปิดตัวหนังสือของนายฮาจิเมะ อิชิอิ อดีตรัฐมนตรีกิจการภายในญี่ปุ่น ที่โรงแรมเเห่งหนึ่งในแขวงชิโยดะ

"การเยือนญี่ปุ่นดังกล่าวนับเป็นครั้งที่ หลังจากครั้งแรกเดินทางมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่าจะพักในญี่ปุ่นราว 2-3วัน"
นายอิชิอินั้นเป็นผู้รับรองให้ทักษิณเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 หลังจากอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยต้องหนีออกนอกประเทศในการรัฐประหารเมื่อปี 2549

ในการเยือนคราวนี้ "ทักษิณให้สัมภาษณ์กับอาซาฮีระบุว่า ตนหวังว่าประเทศไทยที่อยู่ภายใต้การปกครองของทหาร จะหวนคืนสู่ประชาธิปไตยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

ทักษิณกล่าวด้วยว่า เสรีภาพในการแสดงออกนั้นจำเป็นสำหรับประเทศไทย ประชาธิปไตยจำเป็นสำหรับเศรษฐกิจ

ต่อคำถามเกี่ยวกับกำหนดเลือกตั้งในประเทศไทย ที่ คสช.เลื่อนมาถึงครั้งล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ นั้น ทักษิณตอบว่า
"ผมไม่เกี่ยวกับพรรค และพรรคไม่อนุญาตให้ผมเกี่ยวข้อง ผมเชื่อว่ามีคนดีๆ จำนวนมากอยู่ในพรรคเพื่อไทย และพวกเขาควรมีความสามารถในการนำพรรคไปสู่ชัยชนะถล่มทลายอีกครั้งหนึ่ง"

(เนื้อหาจาก https://www.matichon.co.th/news/896623, https://prachatai.com/journal/2018/03/76129?utm_source=dlvr.it&utm_medium=twitter และ https://www.posttoday.com/politic/news/546085)  

โธ่ๆๆ..เลื่อนไปเลยไม่ต้องมาหลอกท่าโน้นท่านี้ ทั้งหมดมันก็ลิเกคณะเดียวกันหมด คณะเผด็จการ คสช. ....อิอิ

เลื่อนไม่เลื่อนเลือกตั้ง (อีก) อยู่ที่ คสช. จะ ‘ร่นไม่ร่น’ กำหนดจากเดิม ๑๕๐ วันไหม


สนช. คึกคักกันหนักตั้งแต่เมื่อวาน (๒๙ มีนา) ที่ได้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่าง พรป. เลือกตั้ง ส.ส. แน่ เพราะเข้าชื่อกันเกิน ๒๕ คนแล้ว

เริ่มที่นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ก่อน ออกมาดี๊ด๊าว่าได้รายชื่อสมาชิกนิติบัญญัติที่ คสช.ตั้ง รวม ๒๗ คน เกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้ว จึงได้ทำหนังสือถึงประธาน สนช. “เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

วินิจฉัย ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ใน ๒ ประเด็น คือการตัดสิทธิ์ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุ ห้ามดำรงตำแหน่งข้าราชการฝ่ายการเมือง และการลงคะแนนแทนผู้พิการ ทุพพลภาพและคนชรา ว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่”

จึงเป็นบทของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ที่จะส่งลูกต่อไป “ตนไม่ทราบว่าจะส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญวันไหน อย่างไร” แต่ก็ “ต้องอยู่ในกรอบเวลาที่ไม่เกินวันที่ ๑๒ เม.ย.” แต่กระนั้นตนก็ยังเชื่อว่า “การยื่นตีความครั้งนี้จะไม่กระทบโรดแม็ปเลือกตั้งอย่างแน่นอน”

แถมอีกนิด นายกิตติศักดิ์ปฏิเสธหัวชนฝา การตัดสินใจยื่นเองครั้งนี้ “ไม่ใช่เพราะรับสัญญาณใดจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.แต่อย่างใด”


ขยับขึ้นมาอีกขั้น รองประธาน สนช. คนที่หนึ่ง เล่นลูกบ้าง นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย บอก “ทราบเพียงว่าสมาชิก สนช.กลุ่มหนึ่งได้มองเห็นถึงประเด็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต จึงต้องการยื่นร่างกฎหมายลูกดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

เพราะน่าจะเป็นประโยชน์แก่สังคมต่อไปในอนาคต ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีและคุ้มค่า เพื่อให้ข้อกฎหมายทุกอย่างชัดเจนขึ้น” ทั้งๆ ที่โดยส่วนตนแล้วเห็นว่าสองประเด็นที่จะยื่นขอตีความนั้น “ไม่ขัดรัฐธรรมนูญก็ตาม” โอว สุดยอด
 
ข้อสำคัญทั่นรองฯ สุรชัยชี้ว่า ศาล รธน.จะตีความยังไงก็ไม่น่ากระทบโร้ดแม็พการเลือกตั้ง “เพราะร่างกฎหมายลูกดังกล่าวขยายเวลาการบังคับใช้ออกไป ๙๐ วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาอยู่แล้ว

รวมทั้งน่าจะขอความร่วมมือให้ศาลรัฐธรรมนูญเร่งพิจารณาเป็นกรณีพิเศษได้ และหากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีความพร้อมก็สามารถขอให้กระชับเวลาการเลือกตั้งขึ้นมาได้”


ว้าว ยุค คสช.นี่ดีไปเสียทุกอย่าง อะไรอะไรได้ทั้งนั้น ถ้าจะเอา เอ้า ยังไม่หมด ถึงคิวหัวโจก ทั่นประธาน สนช. ขึ้นธรรมาสน์เปิดเบิ่ง

นายพรเพชรแถลงว่าได้แจ้งให้ทั่นจ่าฝูงทราบเรื่องแล้วละ “ต้องการรับทราบว่าขั้นตอนของ นายกฯ ระหว่างนี้ ได้ทูลเกล้าฯ ร่างกฎหมายตามกระบวนการหรือไม่

ทั้งนี้ในประเด็นที่เกิดขึ้นไม่ใช่การบังคับให้นายกฯ ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง” อ้า คนนี้ก็มารยาทดีล้นเหลือ พยายามถามไถ่ กลัวจะหาว่าข้ามหน้าข้ามตาผู้หลักผู้หย่าย แถมยังวิสัยทัศน์ก้าวไกลอีกต่างหาก
 
“นายพรเพชรกล่าวด้วยว่า “ในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญมองว่าสองประเด็นขัดกับรัฐธรรมนูญ จะไม่กระทบกระบวนการ เพราะสามารถแก้ไขเฉพาะบทบัญญัติที่ถูกตีความเท่านั้น” ฉะนั้นจึงอาจต้องขัดใจหัวหน้าใหญ่นิดหน่อย

“หากนายกฯ ตัดสินใจไม่ยื่นตีความ ทางสนช. โดยผม ยังมีสิทธิส่งคำร้องของสนช. ไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนด” ได้ นายพรเพชรช่างกล้า เพราะเชื่อว่าไม่กระทบโร้ดแม็พด้วยเหมือนกัน

จากที่ตนอ่านข่าวจากสื่อมวลชน ที่มีข้อเสนอให้ลดระยะเวลาในกระบวนการจัดการเลือกตั้งตามกฎหมายได้ เช่น ที่กำหนดให้เลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วัน อาจลดเหลือเลือกตั้งภายใน ๑๒๐ วันก็ได้”


ที่จริงน่าจะร่นกำหนดเลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วันตามรัฐธรรมนูญ ให้เหลือแค่ ๙๐ วันจะดีกว่ามั้ย (เลขสวยอีกต่างหาก) กกต.ที่เหลือสี่คนต้องทำได้สิ

เพราะไหนๆ สื่อมวลชนเขาคาดกันไว้ ถ้ามีการตีความโดยศาล รธน. กำหนดเลือกตั้งอาจเลื่อนไปอีกได้ถึง ๒-๓ เดือนไง

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

การเมืองไทยในระบอบเผด็จการประเทศไทย พวกลิ่วล้อเผด็จการเขาทำหน้าที่ในการรักษาระบอบเผด็จการไทยอย่างสุดจิตสุดใจมากกว่าเผด็จการไทยตัวใหญ่ๆเสียอีก

วันอังคาร, มีนาคม 27, 2561

สามประสาน สนธิญา เปลว และสมีฟรีด้อม ช่วยกันเตะตัดขาพรรคอนาคตใหม่

อะไรมันจะ สนธิ ไปเสียทุกตนเชียว พวกตัวเอกที่จองล้างจองผลาญฝ่ายประชาธิปไตย เมื่อก่อนได้เจอ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่จ๋ากว่า เปลว สีเงิน’ เล็กน้อย ตามมาด้วย สนธิญาน ชื่นฤทัยฯ ตนนี้ทั้งสั่วและแสบ

ตอนนี้มีน้องใหม่ สนธิญา สวัสดี เปิดสงครามตามล่าพรรคฟิวเจอร์ฟอร์เวิร์ดอย่างกระหายเลือด

ข่าวว่านายสนธิญาคนนี้เป็นประธานสมาพันธ์ประชาชนตรวจสอบรัฐไทย ชื่อย่อเลียนแบบ สปท.’ สภาปฏิรูปของ คสช. ไม่รู้จัดตั้งมายังไง ไปยื่นคำร้องไว้กับกรรมการเลือกตั้ง หลังจากที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ถูกปลดกลางหาวด้วย ม.๔๔ หน่อยนึง

“ขอให้ทบทวนการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่” อ้างว่าหนึ่งในผู้ก่อตั้งของพรรคนั้น คือนายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้พูดถึงกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์เอาไว้ ว่าจะพิจารณาเรื่องแก้ไข

ในความจริงนั่นเป็นความเห็นเดิมของ อจ.ปิยบุตรเมื่อครั้งร่วมงานของคณะนิติราษฎร์ แต่เมื่อตอนเปิดตัวพรรคเขาบอกว่าเรื่องนี้ต้องให้สมาชิกพรรคเป็นผู้ร่วมกันพิจารณา แต่สนธิญาเอามากัดเสียแล้ว อ้างกฎหมายพรรคการเมืองของ คสช. ที่เพิ่งออกมาไม่นานนี่ละ

“มาตรา ๑๕(ที่บัญญัติว่า คำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคและนโยบายของพรรค ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับพรรคด้วย” เลยเหมาว่าแนวคิดของปิยบุตร “ก็จะเข้าลักษณะต้องห้ามของข้อบังคับตามมาตรา ๑๔ ที่ระบุว่าต้องไม่มีลักษณะอาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติ”


ข้อกล่าวหาอย่างโคมลอยของนายสนธิญาหนักหน่วงด้วยระวางโทษอย่างสูง ติดคุก ๑๕ ปี เป็นโจทก์ว่า “ก้าวล่วงต่อสถาบัน” และ “เขาจะละลาบละล้วงจาบจ้วงไปมากกว่านี้หรือเปล่า

นี่เป็นวิธีป้ายสีด้วยการสันนิษฐาน โกหกพกลมให้ร้ายผู้อื่นเพียงเพราะอ้างอยู่ข้าง สถาบันฯ ซึ่งเข้าข่ายหมิ่นประมาทส่วนบุคคล เช่นเดียวกับที่ เปลว สีเงิน หรือนายโรจน์ งามแม้น เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เขียนบทความก้าวร้าว หยามเหยียดตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจ ของนายธนาธร ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่อีกคนหนึ่ง
 
สำหรับวิญญูชนผู้พิจารณาสรรพสิ่งด้วยความรู้และสติปัญญา อ่านข้อเขียนของนายโรจน์ชิ้นนี้แล้วย่อมมองเห็นว่า จงใจดูหมิ่นนายธนาธรและครอบครัวของเขาเป็นการส่วนตัวว่า เนรคุณ ด้วยการอ้าง พระบรมโพธิสัมภาร บ้างพระมหากษัตริย์ บ้าง ว่าอยู่ข้างตน

ความประพฤติ โหนเจ้า เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ตนเองเช่นนี้ ยังความเสื่อมเสียไปสู่พระบรมเดชานุภาพเสียเอง ทำนองเดียวกับบรรดาอดีตข้าราชบริพารใกล้ชิดที่นำเอาเอาพระนามาภิไธยไปใช้ยกตนข่มผู้อื่น ให้ได้มาซึ่งทรัพย์ศฤงคาร และต้องประสพชะตากรรมไปแล้วหลายคน


อีกรายจากพวกจองล้างฯ เป็นชายวัยปลายนามเดิมว่า สุวิทย์ ทองประเสริฐ นุ่งสบง ห่มจีวร ดั่งสาวกในพระพุทธศาสนา แต่วัตรปฏิบัติเป็นกิจกรรมทางการเมืองแบบ ขวาพิฆาตซ้าย ครั้งหนึ่งเคยมีกลุ่มชายฉกรรจ์เป็นผู้คุ้มกันออกไล่ตีทำร้ายฝ่ายที่เห็นต่างทางการเมือง บางครั้งยกขบวนไปห้อมล้อมกิจการห้องเช่าค้างแรม เรียกร้องค่าล่วงเวลาเป็นแสน
 
เขาออกมาหนุนกระบวนถล่มฝ่ายประชาธิปไตยในกลุ่มชนรุ่นใหม่ ให้ท้ายนางรวนของพรรคการเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้วาทกรรมที่ว่า “ประเทศชาติไม่ใช่สถานที่ฝึกงาน” ต่อต้านพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ แต่ผู้อ้างชื่อพุทธะอิสระ’ กลับไพล่ไปโจมตีอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงว่า “ทำให้ฐานะทางการเงินของชาติแทบล่มสลาย”


นั่นก็เช่นกัน เป็นการเขียนข้อความเท็จให้ร้ายเพื่อหยามหมิ่นบุคคล ในเมื่อข้อเท็จจริงนั้นสถานะการคลังในสมัยของนายกฯ หญิงที่ถูกกล่าวหา มั่งคั่งกว่าในสมัยนี้ที่รัฐบาล คสช. ปู้ยี่ปู้ยำมาเกือบสี่ปีเสียอีก

รวมแล้วสามประสาน สนธิญา เปลว และสมีฟรีด้อม ล้วนหนาวร้อนเมื่อกระแสหนุนพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่มาแรง ช่วยกันเตะตัดขาตั้งแต่ก่อนออกสต๊าร์ท ให้ คสช.นั่งชมด้วยความกระหยิ่ม
 
ขณะที่พรรคจำแลงอ้างเป็น ทางเลือกใหม่’ ได้ออกวิ่งก่อนใครเพื่อน มีการจัดประชุมพรรคอย่างเต็มรูปแบบ มีสมาชิกเข้าร่วมเกิน ๖๐๐ คน กำหนดระเบียบข้อบังคับของพรรค เลือกหัวหน้าพรรค ได้นายราเชน ตระกูลเวียง นั่งแป้น ประกาศ ไม่ขัดข้อง ถ้าจะต้องช่วยดันให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกฯ อีกครั้ง


ทีเด็ดกว่านั้น นายราเชนนี่ไม่เบา ในอดีตไม่ไกลเคยเป็นประธาน กปปส.นนทบุรี ย่อมต้องใกล้ชิดม็อบ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะของพระสุวิทย์ ที่ล่ำลือกันมาจนบัดนี้ว่าการ์ดของเขาเหี้ยมหาใครเทียม

สถานการณ์ทั่วไปของการเมืองไทยภายในวงจรอุบาทว์ของระบอบเผด็จการไทยปัจจุบัน

วันพุธ, มีนาคม 28, 2561


โหนเจ้าเตะสกัดได้ผล ปิยบุตรประกาศ พรรคอนาคตใหม่ไม่แก้ ม.๑๑๒

ต้องรับว่า ได้ผล ที่พวกโหนเจ้าอย่าง เหรียญทอง’ และ สนธิญา’ ระดมโจมตีพรรคอนาคตใหม่ว่า ล้มเจ้า ทั้งๆ ที่พรรคนี้ยังไม่เคยเสนอแนะนโยบายไปในทางนั้น

จะมีก็แต่แนวที่สองผู้ร่วมก่อตั้ง ทั้ง ปิยบุตร แสงกนกกุล และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยคิดว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ สมควรจะต้องมีการปรับแก้ เพื่อมิให้ถูกนำไปใช้ทำลายล้างกันทางการเมือง และปรับอัตราโทษให้ต้องตรงกับความผิด

ซึ่งก็ไม่เพียงแค่เขาสองคนคิดเช่นนี้ เคยมีการเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่นกษัตริย์มาแล้วหลายครั้งในอดีต แม้แต่มีผู้ริเริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองรายหนึ่ง (ตัวแทนสามัญชน) ชูนโยบายแก้ไข ม.๑๑๒ ดังที่ Nithiwat Wannasiriชวนให้ย้อนไปดูบทบาทของดร.ธนพร ศรียากูล อดีตรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย และที่ปรึกษาพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ
 
เขาให้สัมภาษณ์ ประชาไท เมื่อเดือนพฤศจิกา ๒๕๕๖ ไว้ว่า ถ้าไม่ยกเลิกไปเลยก็ต้องปรับแก้เกณฑ์การฟ้องร้องคดีให้ชัดเจน คือมีองค์กรเฉพาะสำหรับยื่นฟ้อง เช่นให้สำนักพระราชวังเป้นผู้แจ้งความ แทนที่เป็น ใครฟ้องใครก็ได้ เช่นที่เป็นมากระทั่งปัจจุบัน


แต่นั่นแหละ พลังโหนเจ้านั้นร้ายแรงนัก จนปิยบุตรต้องเขียนตอบนายสนธิญา สวัสดี โดยประกาศว่า “ผมขอยืนยันว่า ผมจะไม่นำเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ มาเกี่ยวข้องกับพรรค และไม่นำไปผลักดันในพรรค”

ดร.ปิยบุตร เขียนท้าวความ “เมื่อต้นปี ๒๕๕๕ โดยผมเห็นว่า การแก้ไขในกรณีนี้จะทำให้บุคคลไม่อาจนำมาตรา ๑๑๒ มาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกัน ป้องกันมิให้บุคคลใดแอบอ้างนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ทำลายล้างกัน แก้ไขอัตราโทษให้ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคง อย่างทรงพระเกียรติยศ ทันสมัย และสอดคล้องกับประชาธิปไตย

จากนั้นเขาวิงวอนด้วยว่า “ผมขอเรียนไปยังบุคคลที่ไม่อยากเห็นการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ ขอเถิดครับ ขออย่าขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่เลย...การขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ มิใช่ขัดขวางผมและเพื่อนเท่านั้น แต่มันคือการทำลายความหวังของประชาชนผู้ใฝ่ฝันถึงอนาคตใหม่ด้วย”


ป่านนี้พวกที่เตะสกัดพรรคอนาคตใหม่ทั้งหลาย อาจตีอกชกลมหรือกระทั่งเฉลิมฉลองกันเหมือนครั้งที่ กปปส.ได้รับชัยชนะก็ได้ มันยังอาจบ่งบอกแนวโน้มการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งและการจะมีพรรคการเมืองเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศภายใต้กฎบัตรกฎหมายของ คสช. ว่า

อย่าหวังเลยว่าแนวความคิดก้าวหน้าใดๆ จะได้โอกาสลืมตาอ้าปาก การจำนนครั้งนี้จะส่งผลไปถึงภายหน้า ที่ อจ.ปิยบุตรบอกว่า “ต่อให้วันนี้ พวกท่านขัดขวางไม่ให้พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นได้ แต่ก็จะมีประชาชนอีกจำนวนมากที่อยากให้มีพรรคการเมืองแบบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นอยู่ดี” นั้นก็จะโดนเตะตัดสกัดกั้นมิให้เกิดได้อีกเช่นกัน

หรือที่ อจ.ปิยบุตร ยกคำของ Georges Clémenceau ที่ว่า “เพราะเราสามารถปกป้องตอบโต้อย่างทรงเกียรติได้ ก็ต่อเมื่อเขาสามารถโจมตีเราอย่างเสรี” นั้นรูปการณ์ที่ปรากฏ เขามีเสรีที่จะโจมตี แต่เราไม่สามารถปกป้องตอบโต้ได้ต่างหาก

ณ จุดนี้บนเส้นทางอันแสนขรุขระไปสู่การเลือกตั้ง ทั้งที่เหมือนจะสั้นอยู่แค่เอื้อม ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกว่า คสช.ไม่เพียงวางหมากวางยาไว้เกลื่อนสำหรับกำกับควบคุมการเมืองการปกครองต่อไปอีกไม่น้อยกว่า ๒๐ ปี แล้วยังมีทีท่าจะอยู่ยงคงใช้กฏระเบียบต่างที่ตนวางไว้เอง
 
แม้นว่าสัญญานจะขาดหายไม่เต็มห้าแท่งดีนักในช่วงนี้ เมื่อหนึ่งในผู้สมคบพรรคทหารที่เคยประกาศจะเป็นข้ารองบู้ตให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในนามพรรคประชารัฐ เกิดโอละพ่อ หันไปสนับสนุนการปฏิรูปกองทัพของพรรคเสรีรวมไทย ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ก่อตั้ง

ดังคำให้สัมภาษณ์ของนายสมพงษ์ สระกวี อดีต ส.ว.สงขลาและ สปท.ประกาศว่า “ผมมีจุดวางเท้าทางการเมืองแล้ว ที่พรรคเสรีรวมไทยของเสรีพิศุทธ์ โดยมุ่งหวังสร้างดาบที่คมกริบให้กับประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยอีกเล่มหนึ่ง

 
ส่วนพรรคภูมิใจไทยอันเป็นที่คาดหมายว่าจะต้องคอยหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ทางการเมืองหลังเลือกตั้ง ก็มีรองเลขธิการพรรคออกมาประกาศเหมือนกันว่า “พร้อมจะเสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี และยืนยันว่าจะไม่เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะตนมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย”


อีกทั้งพ่อตัวดี จินดามณี’ รำไม่ดีเล่นบทสับสน สายไป ๑๕๐ ปีกลายเป็นสุนทรภู่ เสียนี่ การถ่วงเวลายืดออกไปอีกนิดอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าสำนักนายกฯ ส่งร่าง พรป. การเลือกตั้ง ส.ส.ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ตามที่ข่าวลือกระหึ่ม

แต่กระนั้นรัฐบาลทหารไม่หยุดยั้งสร้างผลงาน ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ’ ต่อไป ครม.รับข้อกำหนดโครงการไทยนิยมยั่งยืนของกระทรวงมหาดไทย “


https://www.matichon.co.th/news/893589)