วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

สรุปข่าวจากสื่อ : สรุปสั้นๆได้ว่า คอรัปชั่นยังบานตะไท ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ กำลังจะอดตายกันอยู่แล้ว ความชั่วร้ายเหลวแหลกของ คสช.เป็นอย่างนี้ ต้องช่วยเร่งเร้าเลือกตั้งโดยเร็ว

คอรัปชั่นยังบานตะไท ชาวนาจะอดตายกันอยู่แล้ว ความชั่วร้ายเหลวแหลกของ คสช.เป็นอย่างนี้ ต้องช่วยเร่งเร้าเลือกตั้งโดยเร็ว


เลือกตั้งน่ะฟันธงได้ว่ามาแน่ แต่ แต่ช้าแต่ น่าจะมาสายสัก ๒ ถึง ๔ เดือน จากที่เลื่อนครั้งที่ ๕ มาเป็นกุมภา ๖๒ ที่ต้องสายเพราะรอศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างกฎหมาย ส.ส. และ ส.ว. นั่นข้ออ้าง

จริงๆ แล้วรอความพร้อมของพรรคใหม่ๆ พวก ข้ารองบู๊ต ทั้งหลาย จึงเป็นอันว่าฝ่ายประชาธิปไตยที่กระสันต์ อยากเลือกตั้ง’ จะต้องรอกันอีก ๑ ปีนับแต่นี้ไป แก่อ่อน ๒ เดือน ประเด็นอยู่ที่ ไหวไหม’ ในสภาพต่อไปนี้

ทางมหภาค สำนักบริหารหนี้สาธารณะ แจ้งตัวเลขล่าสุดเมื่อปลายกุมภา ๖๑ ด้วยฝีไม้ลายมือ คสช. ที่ยำการคลังมาเกือบสี่ปี เราได้หนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ ๖.๔๖ ล้านล้านบาทไทย “คิดเป็น ๔๑.๓๔ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ๒.๒๓ หมื่นล้านบาท”

สบน. อธิบายตัวเลขเหล่านั้นว่า เนื่องจากหนี้โดยรัฐบาล คสช. เพิ่มขึ้นอีก ๑.๓๖ หมื่นล้าน เป็น ๕.๑๓ ล้านล้าน เพราะรัฐบาลตู่ไม่ กู้อีจู้’ แต่กู้ดะมากกว่าเดิม ๒.๐๘ หมื่นล้าน แล้วยังกู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งยั่งยืน (กู้เอามาใส่คลังไว้ให้เต็ม) อีก ๒.๓๕ หมื่นล้าน ทั้งที่ตั๋วเงินคงคลังหดไปเพียง ๒ พัน ๖ ร้อยล้าน


คงจะเป็นเพราะคำเตือนของเวิร์ลด์แบ๊งค์ละมังว่า เศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในหมู่ประเทศอาเซียน “ต้องระมัดระวังความเสี่ยงเรื่องการขาดดุลการคลัง” เลยต้องกู้เข้ามาอุดช่องโหว่

หลังจากที่ธนาคารโลกคาดการไว้ตั้งแต่ ตุลา ๖๐ ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ปีนี้ (๖๑) ได้ ๓.๖ แต่ปีหน้า (๖๒) จะลดลงไปเหลือ ๓.๕ ซึ่งก็ยังเป็นความจริงแท้แน่เชียวไม่เสื่อมคลาย


ขณะที่สถานการณ์คอรัปชั่นยังบานตะไทไม่จืด มีเรื่องใหม่ๆ โผล่มาให้เห็นไม่ขาด เช่น จากข่าวของ ‘MGROnline’ :“ตะลึง! เขตกรุงเทพกลาง จ้างผู้รับเหมา ๑๐ ล้าน ๖ เดือนลอกท่อระบายน้ำ เสร็จแค่ ๑ ซอย จาก ๗๐๐ ซอย”
เพราะมันเป็นอย่างที่ @unclevid1 คอมเม้นต์ “อยู่มาสี่ปีเพื่อมาปราบโกง ไม่เคยวางระบบตรวจสอบ มีแต่สื่อเข้าไปขุดคุ้ยถึงรู้ว่า ตรงนั้นโกง ตรงนี้...ส่อทุจริต...แล้วจะอยู่ต่อเพื่ออะไร?

แม้แต่ชาวนาที่ คสช.อ้างนักอ้างหนาว่า ตรากตรำทำงบประมาณขาดดุลด้วยการกู้แหลกเอาไปหว่านให้ ตอนนี้ร้องจ๊าก “จะอดตายกันอยู่แล้ว ยิ่งช่วงนี้ใกล้เปิดเทอมโรงเรียน จะเอาเงินที่ไหนไปให้ค่าเทอม ค่าไปซื้อหนังสือลูก”

นั่นก็เป็นเสียงบ่นจากชาวนาพิจิตร ที่ราคาข้าวเปลือกหล่นเหลือตันละ ๓,๙๐๐ ถึง ๔,๕๐๐ บาทเท่านั้น นายสิน ทางาม ผู้ใหญ่บ้านไผ่รอบเล่าว่าตนเองขายข้าวเปลือกได้ตันละ ๔ พัน แต่ลูกบ้านได้แค่ ๓,๙๐๐ ถูกกดราคาต้องยอม “ไม่ขายก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน”


แต่ว่า ราคาข้าวสารในท้องตลาดไม่ยักถูกกดบ้าง ดังที่ อชิ-กัน @BFood1717 ถาม “ข้าวสารถุง ๕ กิโล ราคา ๒๐๐ บาท อยากทราบว่ารัฐบาลจะมีวิธีแก้ไขกลไกลทางการตลาดอย่างไร เพื่อให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาที่เหมาะสม กับราคาข้าวสารที่ขายตามท้องตลาด”

ถามไปก็ไล้ฟ์บอย พวกลิ่วล้อ คสช.ที่มีหน้าที่เรื่องเหล่านี้มัวแต่สาระวนเรื่องตั้งพรรคใหม่กันอยู่ ไม่รับรู้อะไรหรอก รมว.พาณิชย์ก็มัวแต่ฝันหวานรอบริทิชกลับมาลงทุนอีอีซีเมื่อเสร็จเรื่องเบร็กสิท

(ดูข่าวการสนทนาระหว่างนายเลียม ฟ็อกซ์ ของสหราชอาณาจักร กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ของไทย ที่ http://www.komchadluek.net/news/economic/319592?re=)

น่าจะรู้นะว่า เบร็กสิท’ ที่ลากถูลู่ถูกังมาหลายเดือนแล้วนี่ ถึงจะมีน้ำมีนวลบ้างตอนนี้ เสร็จแล้วอาจทำให้อังกฤษเฉาลงไปหนักกว่าเก่าอีกก็ได้

อียู’ นั่นสิที่ไทยควรจะพยายามคืนสัมพันธ์การค้าให้ได้ ข้อแม้ของเขาแค่กลับไปเป็นประชาธิปไตย มีรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งเท่านั้น พวกสลิ่มโลกสวยยังดึงดันขออยู่ใต้กะลากับพี่หมื่นต่อไป

ทั้งที่พวกนกหวีดเอง เดี๋ยวนี้อึดอัด ฮึดฮัดกับ คสช. กันขรม ดูได้จากการเดินขบวนของพนักงานทีโอทีและกสท. เมื่อ ๓๐ มีนา (ที่สื่อสายหลักพากันปิดปากสนิท) คัดค้านการแปรรูป ว่า “เป็นการเอื้อผลประโยชน์ต่อนักลงทุน เหมือนเป็นการขายสมบัติชาติ...

ด้วยการจัดตั้งเป็นบริษัทโครงข่ายบอร์ดแบรนด์แห่งชาติ (บริษัท NBN) และ บริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ต (NGDC)


มีการ “จัดแถวปล่อยรถจากแจ้งวัฒนะเย้ย กม.ห้ามชุมนุมเกิน ๕ คน มีการเดินเท้าจากหน้ากระทรวงการคลังถึงทำเนียบรัฐบาล” แถมประกาศกร้าวเสียด้วยว่า “ถ้าถูกจับ ไฟ-น้ำหยุด”
 
งานนี้ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ออกโรงสนับสนุนทันที แต่พวก คสช. ยังนิ่ง สงสัยจะกลัวปาก ‘E-Thing’

ยังไม่หมด พวก ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็ฟึดฟัดกับ คสช.ด้วยเหมือนกัน รสนา โตสิตระกูล นักปฏิรูปพลังงานไม่สำเร็จเพราะหลงประเด็น และตีผิดคน หันมาเล่นเรื่องค่างวดใบอนุญาตคลื่น ๔ จี

โวยว่า คสช. ใช้ ม.๔๔ ผ่อนผันให้บริษัทเอไอเอสและทรูจ่ายค่าดอกเพียง ๑.๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่กับคนจนติดหนี้นอกระบบ ที่ให้ไปกู้จากธนาคารออมสิน ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๐.๘๕ ต่อเดือน ซึ่งเท่ากับเกือบ ๑๘.๘๓ต่อปี

“คนจนที่ควรได้รับการช่วยเหลือ ก็ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยประมาณ ๑๙แล้วเหตุใดเราต้องช่วยเหลือคนรวยแบบเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้างเช่นนี้” รสนาว่า


นี่ละความชั่วร้าย เหลวแหลกของ คสช.เป็นอย่างนี้ สมแล้วที่พวกคนรุ่นใหม่ฟื้นฟูประชาธิปไตย รังสิมันต์ จ่านิว โบว์ณัฏฐา ทนายอานนท์ ฯลฯ เร่งเร้าให้ล้มเลิก คสช. และเลือกตั้งโดยเร็ว 

ดูแล้วไม่มีทางไหนดีกว่านี้ จึงต้องช่วยพวกเขาดันต่อไปให้ถึงที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น