วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประเทศน่าเที่ยวที่สุดในโลก

ประเทศน่าเที่ยวที่สุดในโลก

1. สาธารณรัฐสิงคโปร์ 

ปี 2015 นับเป็นปีที่สำคัญของประเทศสิงคโปร์ เพราะจะมีการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีหลังได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965  (พ.ศ. 2508) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาคารเก่าแก่ พื้นที่สีเขียว ศูนย์อาหารกลางแจ้ง (ฮ็อกเกอร์เซ็นเตอร์) และช็อปปิ้งมอลล์ คือสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้เดินทางไปเยือนสิงคโปร์  แต่ปัจจุบันสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งบันเทิงใหม่ๆ ในแถบมารีน่า เบย์ กำลังเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว ส่วนใครที่ชื่นชอบศิลปะห้ามพลาดชมผลงานต่างๆ ของศิลปินในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมทั้งศิลปินไทย) ที่ “เนชั่นแนล แกลเลอรี่ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปีหน้า
2. สาธารณรัฐนามิเบีย

นามิเบีย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังจะมีการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี หลังได้รับเอกราชจากแอฟริกาใต้เมื่อวันที่  21 มีนาคม 1990 (พ.ศ. 2533) ที่น่าสนใจก็คือ ประเทศนี้มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมและถือเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีการบรรจุบทบัญญัติเกี่ยวกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นประเทศแรกในแถบแอฟริกา และมอบอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องดูแล
3. สาธารณรัฐลิทัวเนีย
นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2015 เป็นต้นไป ลิทัวเนียจะเป็นสมาชิกใหม่ของอียู ทำให้การเดินทางไปท่องเที่ยวสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น ลิทัวเนีย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เก่าแก่ และแปลกตาให้เที่ยวชมหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งมรดกโลกอย่าง “โคโรเนียน สปิท” เนินทรายยาว 98 ก.ม. (กว้างตั้งแต่ 0.4 – 4 ก.ม.) ซึ่งคั่นกลางระหว่างโคโลเนียน ลากูน และชายฝั่งทะเลบอลติก ตลอดจน “เขตเมืองเก่าในวิลนีอุส” (เมืองหลวง) เป็นต้น
4. สาธารณรัฐนิการากัว

นิการากัว เป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโตอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเยือนประเทศนี้ก็คือ เมืองที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล, ชายหาดที่สวยงามและเป็นสวรรค์ของนักโต้คลื่น (ทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนทิศตะวันออกติดทะเลแคริเบียน)การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ, การท่องเที่ยวแนวผจญภัย, ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลาย, แหล่งบันเทิงยามค่ำคืน, กาแฟรสชาติเยี่ยม, อาหารอันโอชะ (ในเมืองมานากัว) ที่สำคัญค่าใช้จ่ายไม่แพงมากนัก ถึงกระนั้น ที่นี่ก็ยังมีโรงแรม 5 ดาวและสปาสุดหรูไว้คอยรองรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก จนได้ชื่อว่าเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในแบบหรูหรา
5. สาธารณรัฐไอร์แลนด์
แม้ค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูงแต่ไอร์แลนด์ก็เป็นดินแดนเปี่ยมเสน่ห์และเป็นประเทศเก่าแก่ (มีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เมื่อกว่า 8,000 ปีก่อนคริสตกาล)  นอกจากแหล่งมรดกโลก 3 แห่ง ปราสาทโบราณ และวิวทิวทัศน์ที่สวยตะลึงแล้ว ที่นี่ยังมีบ้านเก่าแก่ที่มุงหลังคาด้วยฟาง มีฝูงแกะตัวอ้วนเดินเพ่นพ่านบนถนน (และทุกหนทุกแห่ง) ในชนบท มีดนตรี การละเล่นเต้นรำ ตลอดจนวิสกี้ เบียร์ กาแฟ ฯลฯ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และที่ห้ามพลาดในปีหน้าก็คือ การเดินทางท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของประเทศไอร์แลนด์บนเส้นทาง “Wild Atlantic Way” อันเลื่องชื่อ
 
ขอบคุณข้อมูลจาก https://paow007.wordpress.com/2014/12/25/10-

10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้

10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้

ตั้งแต่เด็กผู้ใหญ่เคยสอนว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ อาจจะใช้ได้กับแต่ละบุคคล แต่เห็นทีว่าจะใช้ไม่ได้กับดารา คนดังระดับโลก ที่พวกเขาเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยแต่สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่!!! ขอบอกก่อนนะคะว่า ไม่ใช่ว่าการเรียนนั้นไม่สำคัญ บางครั้งอาจจะมีอุปสรรค เราก็ต้องใช้ความเพียร พยายาม อดทนด้วย ถึงแม้เราจะมีพรสวรรค์ทางด้านต่างๆแต่ถ้าไม่มีพรแสวงก็ไม่ประสบความสำเร็จนะครับ อยากให้เพื่อนๆดูเป็นตัวอย่างว่าคนดังเหล่านี้เขาพึ่งตนเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง ทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งเป็นความฝันของพวกเขา 10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้
1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น
2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel

เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง
3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell

ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC’s Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน
4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor

เขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ
5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft
ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 – 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก

 6.สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Apple
เรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์
7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์

หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวตาร (Avatar)
8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลก

กว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ เลดี้ กาก้าที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง เรดิโอ กา ก้า
9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก

เล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี
10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebook

ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก
*จะดีมั้ยถ้าประเทศไทย วัดคุณภาพคนและคุณภาพงาน จากตัวตนและผลงานของคนๆนั้นจริงๆ โดยไม่ดูที่ใบปริญญา?!??เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ครั้งหน้า teen.mthai จะนำเสนอ?คนดังในประเทศไทย ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้ อย่าลืมติดตามกันนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.samaphon.blogspot.com

ประวัติตะกร้อในประเทศไทย

ประวัติตะกร้อในประเทศไทย

ประวัติตะกร้อในประเทศไทย
ประวัติตะกร้อไทย
ใน สมัยโบราณนั้นประเทศไทยเรามีกฎหมายและวิธีการลงโทษผู้กระทำความผิด โดยการนำเอานักโทษใส่ลงไปในสิ่งกลมๆที่สานด้วยหวายให้ช้างเตะ แต่สิ่งที่ช่วยสนับสนุนประวัติของตะกร้อได้ดี คือ ในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาของรัชกาลที่ ในเรื่อง มีบางตอนที่กล่าวถึงการเล่นตะกร้อ และที่ระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเขียนเรื่องรามเกียรติ์ ก็มีภาพการเล่นตะกร้อแสดงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้
โดย ภูมิศาสตร์ของไทยเองก็ส่งเสริมสนับสนุนให้เราได้ทราบประวัติของตะกร้อ คือประเทศของเราอุดมไปด้วยไม้ไผ่ หวายคนไทยนิยมนำเอาหวายมาสานเป็นสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงการละเล่นพื้นบ้านด้วย อีกทั้งประเภทของกีฬาตะกร้อในประเทศไทยก็มีหลายประเภท เช่น ตะกร้อวง ตะกร้อลอดห่วง ตะกร้อชิงธงและการแสดงตะกร้อพลิกแพลงต่างๆ ซึ่งการเล่นตะกร้อของประเทศอื่นๆนั้นมีการเล่นไม่หลายแบบหลายวิธีเช่นของไทย เรา
การเล่นตะกร้อมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตามลำดับทั้งด้านรูปแบบและวัตถุดิบในการทำจากสมัยแรกเป็นผ้าหนังสัตว์หวายจนถึงประเภทสังเคราะห์ (พลาสติก)
 ความหมาย
คำว่าตะกร้อ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า ลูกกลมสานด้วยหวายเป็นตา สำหรับเตะ
วิวัฒนาการการเล่น
    การ เล่นตะกร้อได้มีวิวัฒนาการในการเล่นมาอย่างต่อเนื่อง ในสมัยแรกๆ ก็เป็นเพียงการช่วยกันเตะลูกไม่ให้ตกถึงพื้นต่อมาเมื่อเกิดความชำนาญและหลีก หนีความจำเจ ก็คงมีการเริ่มเล่นด้วยศีรษะ เข่า ศอก ไหล่ มีการจัดเพิ่มท่าให้ยากและสวยงามขึ้นตามลำดับ จากนั้นก็ตกลงวางกติกาการเล่นโดยเอื้ออำนวยต่อผู้เล่นเป็นส่วนรวม อาจแตกต่างไปตามสภาพภูมิประเทศของแต่ละพื้นที่ แต่คงมีความใกล้เคียงกันมากพอสมควร
เมื่อมีการวางกติกาและท่าทางในการเล่นอย่างลงตัวแล้วก็เริ่มมีการแข่งขันกันเกิดขึ้นในประเทศไทยตาม

ประวัติของการกีฬาตะกร้อตั้งแต่อดีตที่ได้บันทึกไว้ดังนี้
พ . ศ . 2472 กีฬาตะกร้อเริ่มมีการแข่งขันครั้งแรกภายในสมาคมกีฬาสยาม
พ . ศ . 2476 สมาคมกีฬาสยามประชุมจัดร่างกติกาในการแข่งขันกีฬาตะกร้อข้ามตาข่ายและเปิดให้มีการแข่งขันในประเภทประชาชนขึ้นเป็นครั้งแรก
พ . ศ . 2479 ทางการศึกษาได้มีการเผยแพร่จัดฝึกทักษะในโรงเรียนมัธยมชายและเปิดให้มีแข่งขันด้วย
พ . ศ . 2480 ได้ มีการประชุมจัดทำแก้ไขร่างกฎระเบียบให้สมบูรณ์ขึ้น โดยอยู่ในความควบคุมดูแลของ เจ้าพระยาจินดารักษ์ และกรมพลศึกษาก็ได้ออกประกาศรับรองอย่างเป็นทางการ
พ . ศ . 2502 มีการจัดการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ ขึ้นที่กรุงเทพฯ มีการเชิญนักตะกร้อชาวพม่ามาแสดงความสามารถในการเล่นตะกร้อพลิกแพลง
พ . ศ . 2504 กีฬาแหลมทองครั้งที่ ประเทศพม่าได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในการแข่งขัน นักตะกร้อของไทยก็ได้ไปร่วมแสดงโชว์การเตะตะกร้อแบบพลิกแพลงด้วย
พ . ศ . 2508 กีฬาแหลมทองครั้งที่ จัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย ได้มีการบรรจุการเตะตะกร้อ ประเภท เข้าไว้ในการแข่งขันด้วยก็คือ
– ตะกร้อวง – ตะกร้อข้ามตาข่าย – ตะกร้อลอดบ่วง
อีกทั้งมีการจัดประชุมวางแนวทางด้านกติกาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อสะดวกในการเล่นและการเข้าใจของผู้ชมในส่วนรวมอีกด้วย
พอเสร็จสิ้นกีฬาแหลมทองครั้งที่ 3 กีฬา ตะกร้อได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก บทบาทของประเทศมาเลเซียก็เริ่มมีมากขึ้น จากการได้เข้าร่วมในการประชุมตั้งกฎกติกากีฬาตะกร้อประเภทข้ามตาข่าย หรือที่เรียกว่า ” เซปักตะกร้อ ” และส่งผลให้กีฬาตะกร้อข้ามตาข่าย ได้รับการบรรจุเข้าในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ จนถึงปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูลจาก https://temfar.wordpress.com

อดอร์ฟ ฮิตเลอร์

อดอร์ฟ ฮิตเลอร์


ฮิตเลอร์เป็นชาวเยอรมันที่เกิดในออสเตรีย ในวัยเด็กฮิตเลอร์มักถูกบิดาอารมณ์ร้ายทุบตีอยู่เสมอ ฮิตเลอร์ไม่เรียน หนังสือและต้องการจะเป็นจิตรกรเพื่อเป็นการต่อต้านบิดาของตน เขาพยายามสมัครเข้าเรียนโรงเรียนศิลปะแต่ได้รับการปฏิเสธโดยโรงเรียนให้ความ เห็นอย่างเป็นทางการว่า ฮิตเลอร์ไม่มีแววเป็นนักวาดภาพอย่างยิ่ง ควรจะลองไปเป็นสถาปนิกมากกว่า ฮิตเลอร์เชื่อตามคำแนะนำนั้นและพยายามสอบเข้า โรงเรียนสอนสถาปัตย์แต่เนื่องจากพื้นฐานการศึกษาที่ไม่พอ ทำให้ฮิตเลอร์ไม่สามารถสอบเข้าได้ เขากลับไปสอบเข้าโรงเรียนวาดเขียนอีกครั้ง แต่ก็สอบไม่ได้อีก ในเวลานั้น แม่เขาเสียชีวิตพอดี ฮิตเลอร์หมดตัว กลายเป็นคนไร้บ้าน เขาเริ่มพัฒนาความคิดรังเกียจยิวขึ้นมาโดยได้รับอิทธิพลจากนักคิดหลายคน
ต่อมาฮิตเลอร์ได้รับบ้านเป็นมรดกจากพ่อจึงย้ายไปอยู่เยอรมัน และถือโอกาสหนีทหารที่ออสเตรียไปด้วยในตัว ที่เยอรมัน ฮิตเลอร์เริ่มมีความคิดนิยมชาติเยอรมันขึ้น เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฮิตเลอร์ก็สมัครเข้าเป็นทหารเยอรมันในตำแหน่งพลล่อกระสุนซึ่งเป็นหน้าที่ที่ อันตรายมาก วีรกรรมของเขาทำให้เขาได้รับเหรียญกล้าหาญมากมาย แต่ก็ไม่ได้เลื่อนยศเลย เนื่องจากผู้บังคับบัญชาของเขามองว่า เขาไม่มีสัญชาติเยอรมัน ครั้งหนึ่งพลทหารฮิตเลอร์เข้าไปหลบในหลุมหลบภัย มีกระสุนปืนใหญ่ของอังกฤษตกเข้าไปในหลุม ทำให้คนในหลุมตายเกือบทั้งหมด แต่เขาโชคดีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด (แต่เป็นโชคร้ายของชาวโลก) และทำให้เขามีรอยแผลเป็นที่ใต้ดวงตาไปตลอดชีวิต
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ฮิตเลอร์เข้าร่วมลัทธิชาตินิยมเยอรมัน ซึ่งเชื่อว่า ยิว คอมมิวนิสต์ และนักการเมือง เป็นต้นเหตุให้เยอรมันแพ้สงคราม แต่กลับร่วมอาหารค่ำกับชาวยิวอยู่เสมอเพื่อพยายามขายภาพเขียนของเขา ต่อมา เขาได้เข้าร่วมพรรคการเมืองเล็กๆ พรรคหนึ่งชื่อ DAP ในมิวนิค ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมที่ต่อต้านยิว คอมมิวนิสต์ และทุนนิยม ที่นี่เขาได้มีโอกาสแสดงพรสวรรค์ในการปราศรัยของเขาออกมาจนได้รับตำแหน่งที่ สำคัญในพรรค ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคนหนึ่งได้สอนให้ฮิตเลอร์รู้จักการแต่งตัวและวางมาดต่อ หน้าผู้ชน ต่อมาพรรคก็ได้รับความนิยมมากขึ้น และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น พรรคนาซี ฮิตเลอร์ลาออกจากราชการทหารแล้วหันมาเป็นสมาชิกพรรคเต็มตัว เขาได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวหลักในการปราศรัยให้กับพรรคในโอกาสสำคัญ ต่างๆ
ช่วงหนึ่งฮิตเลอร์ต้องย้ายไปอยู่เบอร์ลินเพื่อช่วยปราศรัยทำให้เขาห่าง จากการบริหารพรรคไปและทำให้คนกลุ่มใหม่เข้ามามีอำนาจในพรรคมากขึ้นแทนซึ่ง เป็นพวกที่ฮิตเลอร์มองว่าหยิ่งยโส ฮิตเลอร์กลับมามิวนิคเพื่อต่อรองด้วยการขอลาออกจากพรรค ทุกคนในพรรครู้ดีว่าถ้าขาดมือปราศรัยอย่างฮิตเลอร์ไป พรรคนี้ก็ไม่เหลืออะไรเลย ฮิตเลอร์ต่อรองว่าถ้าจะให้กลับมาจะต้องให้ตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับตน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจมากและร่อนใบปลิวโจมตีฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์ตอบโต้ด้วยการฟ้องหมิ่นประมาทและชนะคดี ทำให้เขาได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ฮิตเลอร์กลับสู่พรรคนาซีอีกครั้งในฐานะหัวหน้าพรรคด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย เขาได้ใจมากและคิดแผนจะทำรัฐประหาร โดยได้รับการหนุนหลังแบบลับๆ จากนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลด้วย เขาปลุกระดมมวลชนให้เดินขบวนเข้าไปยึดที่ทำการรัฐบาลซึ่งลอกเลียนวิธีการมา จากมุสโสลินี แต่การรัฐประหารครั้งนั้นล้มเหลว ฮิตเลอร์หนีไปและพยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ เขาถูกจับขึ้นศาล ในช่วงที่ต่อสู้คดีนั้น เขามีโอกาสได้ปราศรัยหลายครั้งว่าเขาถูกรังแกและทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงใน ระดับประเทศและเริ่มได้คะแนนสงสารจากประชาชนไปไม่น้อย ศาลตัดสินให้ฮิตเลอร์ ถูกจำคุก 5 ปี
เมื่อพ้นโทษ ฮิตเลอร์ถูกศาลสั่งห้ามปราศรัย แต่เขาก็ยังดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างอื่นต่อไป เขาสร้างความเป็นปึกแผ่นในพรรคขึ้นมาใหม่ด้วยการค่อยๆ กำจัดศัตรูออกไปทีละคน เขาชูนโยบายใหม่ให้คนเยอรมันหันมาเกลียดชังคนยิว แต่นโยบายนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะชาวเยอรมันฟังแล้วไม่ชอบและทำให้พรรคนาซีได้รับเลือกตั้งน้อยมาก
แต่แล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 1929 คนเยอรมันลำบากมาก ฮิตเลอร์เปลี่ยนไปชูนโยบายใหม่ให้คนเยอรมันลุกฮือขึ้นขัดขืนสนธิสัญญา แวร์ซายน์ที่บังคับให้เยอรมันจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้ประเทศที่ชนะสงคราม ซึ่งเป็นสัญญาที่ทำให้คนเยอรมันต้องมีชีวิตที่ยากลำบากมาก ครั้งนี้นโยบายใหม่ได้ผลอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความสามารถเฉพาะตัวที่หาตัวจับยากของฮิตเลอร์ในการจูงใจฝูงชน ทำให้ชาวเยอรมันเริ่มคล้อยตาม ฮิตเลอร์ใช้วิธีพูดให้คนเยอรมันคลั่งชาติด้วยการบอกว่าเยอรมันคือชาติที่ ยิ่งใหญ่ที่สุด และพยายามพูดเชื่อมโยงให้คนเยอรมันรังเกียจยิว และคอมมิวนิสต์ โดยกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของความยิ่งใหญ่ของชาติเยอรมัน ชาวเยอรมันเริ่มเกิดความรู้สึกชาตินิยมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และทำให้พรรคนาซีได้ที่นั่งในสภามากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงนั้น ความนิยมของพรรคอันดับหนึ่งเริ่มเสื่อมเพราะปัญหาเศรษฐกิจจนต้องจัดตั้ง รัฐบาลผสม แต่ก็ไม่อาจคุมพรรคร่วมรัฐบาลให้อยู่ในแถวได้ จนนายกรัฐมนตรีต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน คนเยอรมันเริ่มเบื่อหน่ายกับระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และเริ่มมองว่า รัฐบาลที่มีลักษณะเผด็จการอย่างนาซีน่าจะเหมาะกับประเทศมากกว่า พรรคนาซีจึงยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก จนกระทั้งได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นจากพรรคอันดับหกกลายเป็นพรรคอันดับ สอง พรรคการเมืองอันดับหนึ่งพยายามหยุดความสำเร็จของพรรคนาซีด้วยการฟ้องศาล ว่า พรรคนาซีมีที่มาที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ในช่วงนั้นฮิตเลอร์ปราศรัยตอบโต้หลาย ครั้งและได้ใจจาก ฝ่ายทหาร ชาวนา และชนชั้นกลาง ซึ่งกำลังลำบากจากวิกฤตเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ในการเลือกตั้งครั้งถัดมา พรรคนาซีได้เสียงมากอย่างถล่มทลาย จนพรรคอันดับหนึ่งรู้ดีว่า ไม่มีทางจัดตั้งรัฐบาลได้ถ้าพรรคนาซีไม่ร่วมรัฐบาลด้วย จึงเสนอให้ฮิตเลอร์เป็นรองนายกฯ แต่ฮิตเลอร์ยื่นคำขาดว่าขอเป็นนายกเท่านั้น รัฐบาลจึงไม่สามารถจัดตั้งได้สักที มีการย้ายขั้วกลับไปกลับมาระหว่างพรรคต่างๆ หลายครั้งจนในที่สุดพรรคอันดับหนึ่งก็ต้องยอมรับข้อเสนอของฮิตเลอร์โดยจัด ตั้งรัฐบาลผสมที่มีฮิตเลอร์เป็นนายกขึ้น
เมื่อฮิตเลอร์ได้เป็นนายกแล้ว ฮิตเลอร์ก็ต้องการจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้ จึงใช้อำนาจรัฐทุกวิถีทาง ในการกำจัดพรรคการเมืองอื่นๆ ฮิตเลอร์วางกติกาใหม่เพื่อให้พรรคการเมืองอื่นขาดคุณสมบัติไปเรื่อยๆ ฮิตเลอร์วางแผนเผารัฐสภาแล้วอ้างว่า พวกพรรคคอมมิวนิสต์เป็นคนทำ ประชาชนจึงสนับสนุนให้รัฐบาลเข้าปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้พรรคนาซี สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเองสำเร็จโดยมีพรรคชาตินิยมอื่นๆ เป็นพรรคร่วม สภาแต่งตั้งให้ฮิตเลอร์เป็นผู้นำเด็ดขาดของประเทศ หลังจากนั้น ฮิตเลอร์ก็ประกาศเพิกถอนสิทธิส่วนบุคคลที่รัฐให้ไว้แก่ชาวเยอรมันและประกาศ ให้ยุบพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดเหลือไว้แต่พรรคนาซีพรรคเดียวเพื่อให้ชาติเยอรมันเป็นหนึ่ง เดียว เมื่อฮิตเลอร์ครอบครองเบ็ดเสร็จในเยอรมันไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ฮิตเลอร์ก็เดินหน้าล้างสมองให้คนเยอรมันคลั่งชาติ ในที่สุดชาวเยอรมันก็สนับสนุนให้ฮิตเลอร์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวและโจมตี ยุโรปเพื่อความยิ่งใหญ่ของชาติเยอรมัน และกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด

suriya mardeegun

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

1. แมวเปอร์เซีย (Persian)
          ราชินี แมวจากแดนตะวันออกกลาง ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกีกับอิหร่านในปัจจุบัน แมวเปอร์เซียถือเป็นแมวต่างประเทศสายพันธุ์แรกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย สิ่งที่ทำให้แมวสายพันธุ์นี้ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่คนรักแมวก็เพราะว่า นอกจากจะมีหน้าตาน่าเอ็นดูแล้ว ขนปุกปุยของแมวเปอร์เซียยังมีสีสันที่หลากหลาย และนิสัยส่วนตัวก็น่ารักด้วย
         ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวเปอร์เซีย         แมว เปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผาก ชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา
          นอก จากหน้าตาที่น่ารักแล้ว ยังเป็นแมวที่มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีความร่าเริงซุกซน ปีนป่ายไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อหาของมากัดเล่น ช่างประจบประแจง และเป็นแมวที่มีไหวพริบมากทีเดียว
          การเลี้ยงดูแมวเปอร์เซีย          เมื่อ ตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาด โดยการแปรงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันการเกิดขนพันกัน ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค รวมทั้งพยาธิต่าง ๆ ที่จะเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย
          ส่วน ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนไปรวมตัวกันในช่องท้อง จะทำให้แมวเปอร์เซียมีอาการสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้
2. แมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์ (American Shorthair)
         แมว สายพันธุ์อเมริกาที่สืบเชื้อสายมาจากประเทศในแถบยุโรป และแพร่พันธุ์มายังอเมริกา เมื่อสมัยที่ชาวยุโรปเดินทางไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ โดยพวกเขาได้นำแมวอเมริกันชอร์ตแฮร์ ติดเรือไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้หนูทำลายข้าวของ และได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ในเวลาต่อมา จนกระทั่งกลายเป็นแมวพื้นเมืองขนสั้นของอเมริกาไปในที่สุด
         ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์         สำหรับ รูปร่างของแมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์ มีขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ โครงสร้างลำตัวโต มีกล้ามเนื้อแข็งแรง มองเห็นชัดเจน อกใหญ่ ขาใหญ่ ใบหูมีขอบเป็นทรงกลมมน ส่วนหัวมีลักษณะรูปไข่ ดวงตากลมโตเป็นสีเขียวมรกต มีลักษณะสีขน และรูปร่างมากกว่า 80 แบบ
         ส่วน อุปนิสัยของอเมริกัน ชอร์ตแฮร์ พบว่า เป็นแมวที่ช่างสงสัย นิสัยร่าเริง ชอบเล่น มีเสน่ห์ แต่จะฝึกค่อนข้างยาก ดังนั้นหากเป็นไปได้ เจ้าของควรจะคลุกคลีและอยู่กับแมวให้มาก ๆ
         การเลี้ยงดูแมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์         ปัญหา ของแมวพันธุ์อเมริกันขนสั้นส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อราและเป็นหวัดง่าย ถ้าหากเจ้าของให้การดูแลไม่ดีก็จะเลี้ยงลำบาก ฉะนั้นเจ้าของควรพาแมวไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเป็นประจำ ส่วนปัญหาเรื่องขนร่วงมีน้อยมาก โดยจะร่วงเฉพาะในช่วงเวลาผลัดขนปีละ ครั้งเท่านั้น
 3. แมวสก็อตติช โฟลด์ (Scottish Fold)
          Susie เป็นแมวพันธุ์สก็อตติช โฟลด์ ตัวแรกที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1961 ที่ประเทศสก็อตแลนด์ แต่ในตอนนั้นยังไม่มีใครทราบชื่อสายพันธุ์ที่แท้จริง เนื่องจากลักษณะของ Susie มีใบหูพับ และยังมีใบหน้าที่คล้ายกับนกฮูก ซึ่งหลังจากที่ Susie ให้กำเนิดลูกแมวน้อยหูพับ ตัว William Ross ชาย เลี้ยงแกะ ซึ่งเป็นผู้ค้นพบคนแรกก็ได้นำลูกแมวตัวเมียไปเลี้ยง หลังจากที่ลูกแมวตัวนั้นโตขึ้น จึงนำไปผสมพันธุ์กับ บริติช ชอร์ตแฮร์ จนกลายเป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์นี้ และได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องที่รับรองโดย The Governing Council of the Cat Fancy ของประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1966
          ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวสก็อตติช โฟลด์
          แมวสายพันธุ์นี้แบ่งออกเป็น แบบคือ แบบขนสั้นกับแบบขนยาว โดยทั้ง แบบ จะมีลักษณะตัวกลม หัวกลม มีช่วงคอสั้น ดวงตากลมใหญ่ และมีหูตั้งตรงขนาดกลาง ไปจนถึงหูพับขนาดเล็กที่มีมุมพับกว้าง ปลายหูส่วนใหญ่จะกลม หูของลูกแมวจะเริ่มพับในช่วง 2-3  อาทิตย์แรก จมูกสันโค้งกว้างรับกับดวงตา ซึ่งบางตัวมีปากโค้งได้รูปรับกับคางพอดี จึงเป็นที่มาของสมญานามว่า Smiling Cat หรือ แมวยิ้ม นั่นเอง
          แมว พันธุ์สก็อตติช โฟลด์ เป็นแมวที่ไม่ค่อยส่งเสียง และชอบทำกิจกรรมในระดับปานกลาง พวกมันชอบที่จะเล่น เฉพาะเวลาที่มีเจ้าของมาร่วมเล่นด้วย บางตัวอาจไม่ชอบนอนบนตัก โดยเลือกที่จะอยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าของแทน
         การเลี้ยงดูแมวสก็อตติช โฟลด์
         การดูแลแมวสก็อตติช โฟลด์ ค่อนข้างง่าย แค่หมั่นแปรงขน 1-2 ครั้ง ต่อสัปดาห์สำหรับแบบขนสั้น แต่อาจจะต้องเพิ่มการดูแลมากขึ้นหากเลือกที่จะเลี้ยงแบบขนยาว โดยเฉพาะบริเวณใบหูของแมว ควรหมั่นทำความสะอาดบ่อยครั้ง พอ ๆ กับการแปรงขน และโดยทั่วไป แมวพันธุ์นี้ส่วนใหญ่มีร่างกายที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่แล้ว จึงไม่มีเรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงนัก
4. แมววิเชียรมาศ (Siamese)
          แมวไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดีในชื่อ Siamese Cat หรือ แมวสยาม หนึ่งในต้นตระกูลของแมวไทยที่ถูกนำไปปรับปรุงจนเกิดแมวไทยอีกหลากหลายสาย พันธุ์ ซึ่งตามตำนานสมุดข่อยได้กล่าวไว้ว่า หากใครได้เลี้ยงแมววิเชียรมาศ จะได้เป็นขุนนาง เพราะถือว่าแมววิเชียรมาศเป็นแมวลาภ อีกทั้งในอดีตยังเป็นแมวที่เลี้ยงกันในวังเป็นส่วนใหญ่ด้วย
         ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมววิเชียรมาศ
         เนื่องจากแมววิเชียรมาศเป็นแมวที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้ม จุด อยู่บนตัว ได้แก่ ที่ปลายเท้าทั้งสี่ ปลายหูทั้งสอง ปลายหาง บนจมูก และที่อวัยวะเพศ ดังนั้นจึงถูกคนเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่า เป็นแมวเก้าแต้ม แต่ที่จริงแล้ว แมวเก้าแต้มเป็นชื่อของแมวไทยอีกชนิดหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
         ทั้ง นี้ ไม่ว่าจะนำแมววิเชียรมาศไปผสมกับแมวพันธุ์อะไรก็ตาม ก็จะได้สีแต้มตามแบบ แต่แตกต่างกันในเรื่องของรูปร่างและอุปนิสัย อีกทั้งเมื่ออายุมากขึ้น สีแต้มก็จะเข้มขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้อาจจะมีสีแต้มที่แปลกแยกออกไป เช่น แต้มสีเทา สีแดง และสีกลีบบัว
          ส่วน อุปนิสัยของแมววิเชียรมาศก็คล้ายคลึงกับแมวไทยทั่วไป คือ มีความฉลาด คล่องแคล่ว ปราดเปรียวเหมือนกับรูปร่าง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่ก็สุภาพเรียบร้อย แม้ว่าภายนอกของแมววิเชียรมาศจะดูรักสันโดษ แต่ความจริงแล้วกลับไม่ชอบอยู่ตามลำพัง ดังนั้นมันจึงเป็นแมวขี้อ้อน ประจบประแจงเก่ง
          การเลี้ยงดูแมววิเชียรมาศ
          ตอนกลาง วันควรให้แมวอยู่อย่างอิสระในบ้านหรือนอกบ้านก็ได้ ตอนกลางคืนควรขังรวมกันไว้ในกรง กรงแมวต้องมีขนาดใหญ่ การเลี้ยงแมวในบ้าน แมวจะชอบขับถ่ายในที่ที่มีกลิ่นเหม็นหรือเป็นจุดอับ หากต้องการให้แมวขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ควรเตรียมกระบะทรายไว้ในบ้านด้วย แต่ที่ต้องระวังคือแมวตัวผู้ที่โตแล้ว มักจะขับถ่ายไม่เลือกที่
5. แมวโคราช (Korat)
          แมวพันธุ์นี้มีชื่อเรียกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แมวมาเลศ แมวดอกเลา หรือแมวสีสวาด เป็นหนึ่งใน 17 แมวมงคลของไทย ที่ได้รับพระราชทานชื่อมาจาก สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ตามแหล่งกำเนิดของแมวพันธุ์นี้ ซึ่งพบใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ชื่อเสียงของแมวโคราชโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากชนะเลิศงานประกวดประจำปีที่สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1966
          ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวโคราช
          ลักษณะ ของแมวโคราชจะมีขนเรียบ โคนขนสีเทาขุ่น ๆ ส่วนปลายขนเป็นสีเงินประกายคล้ายหยดน้ำค้างบนใบบัว หรือผมหงอก และเป็นสีเช่นนี้ตลอดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง สำหรับใบหน้าหากมองดูจากด้านหน้าจะเห็นเป็นรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่และแบน หูตั้ง ปลายหูมน โคนหูใหญ่ สำหรับแมวตัวผู้บริเวณหน้าผากจะมีรอยหยักทำให้เห็นเป็นรูปหัวใจเด่นชัดมาก ขึ้น ผิวหนังที่บริเวณจมูกและริมฝีปาก จะเป็นสีเงินหรือม่วงอ่อน
          การเลี้ยงดูแมวโคราช
          โดยปกติแล้วแมวโคราชจะมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 10-15 ปี ซึ่งวิธีการดูแลเหมือนแมวไทยทั่วไป แต่ควรใส่ใจเรื่องการถ่ายพยาธิและการฉีดวัคซีนมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการฉีดวัคซีน ชนิดต่อปีให้ครบถ้วน ซึ่งประกอบไปด้วย วัคซีนป้องกันหัดแมว ลูคีเมีย และพิษสุนัขบ้า
6. แมวขาวมณี (Khao Manee)
         สำหรับ แมวขาวมณีไม่มีหลักฐานยืนยันที่มาอย่างชัดเจน รู้เพียงว่า เริ่มพบเห็นมากในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นแมวที่ติดมากับเรือสำเภาของพ่อค้าจีน ที่เลี้ยงไว้จับหนูบนเรือ แต่เนื่องจากสีขาวเป็นสีที่ดูสะอาดและเป็นสีมงคลสำหรับคนไทย ดังนั้นแมวขาวมณีจึงกลายเป็นแมวบ้านนับจากนั้นเป็นต้นมา และที่สำคัญแมวพันธุ์นี้ยังเป็นแมวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว หรือรัชกาลที่ ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษด้วย
          ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวขาวมณี
          เอกลักษณ์ของแมวขาวมณี นอกจากจะมีขนสีขาวปลอดทั่วทั้งตัวแล้ว นัยน์ตาทั้ง ข้างของแมวขาวมณียังแตกต่างไปจากแมวไทยพันธุ์อื่น โดยมีทั้งนัยน์ตาสีฟ้า สีเหลืองอำพัน และตา สี ลักษณะมาตรฐานของแมวขาวมณี หัวจะต้องกลมใหญ่คล้ายรูปหัวใจ จมูกสั้น หูตั้งใหญ่ โคนหางใหญ่ แต่มีปลายแหลมชี้ตรง และต้องเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว ส่วนเสน่ห์ของแมวขาวมณีนั้น นอกจากขนสีขาวเนียนสนิท มันยังเป็นแมวที่ช่างประจบประแจง ขี้อ้อน ชอบเข้ามาคลอเคลีย และจะคอยสังเกตเจ้าของตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม
          การเลี้ยงดูแมวขาวมณี
          ส่วน มากมักจะนิยมเลี้ยงแมวขาวมณีแบบเป็นคู่ เพื่อให้พวกมันพลัดกันเลียขนเพื่อทำความสะอาด แมวพันธุ์นี้เป็นแมวเชื่อง และเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของ จึงเหมาะกับการเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดีเลยทีเดียว
7. แมวบริติช ชอร์ตแฮร์ (British Shorthair)
          แมวท้องถิ่นสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดบนเกาะอังกฤษ ซึ่งเล่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกมันมาจากแมวที่ชาวโรมันเอามาเลี้ยงเมื่อ 2,000 ปี ก่อน และเป็นแมวที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศต้นกำเนิดและประเทศอื่น ๆ แถบยุโรปจนถึงยุคปัจจุบัน เนื่องจากมันเป็นแมวที่มีความเฉลียวฉลาด จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฝึกสัตว์ เพื่อใช้ในการโฆษณาทางโทรทัศน์หรือเข้าฉากในภาพยนตร์ของฮอลลีวูด
         ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวบริติช ชอร์ตแฮร์
         แมว บริติช ชอร์ตแฮร์ เป็นแมวที่มีลักษณะกะทัดรัด สมดุลดี แข็งแรง หน้าอกเต็มและกว้าง ขาสั้น อุ้งเท้ากลม หางหนาและกลม หัวกลมรับกับใบหูขนาดเล็ก คอสั้น แก้มยุ้ย คางหนา ดวงตากลมโต จมูกค่อนข้างสั้น ขนหนาและสั้น มีอายุเฉลี่ยประมาณ 15-20 ปี
         ส่วน อุปนิสัยของแมวพันธุ์นี้ค่อนข้างนิ่งสงบกว่าแมวพันธุ์อื่น ๆ เดาทางได้ง่าย เนื่องเป็นมิตรกับผู้คนรวมถึงสัตว์ชนิดอื่น ๆ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่ค่อยพบเห็นแมวสายพันธุ์นี้ส่งเสียงรบกวน แสดงอาการก้าวร้าว หรือทำลายสิ่งของให้เห็น
         การเลี้ยงดูแมวบริติช ชอร์ตแฮร์
         แมว บริติช ชอร์ตแฮร์เป็นแมวที่ดูแลง่าย แต่ควรเลี้ยงในบ้าน นอกจากนี้บริติช ชอร์ตแฮร์ อาจเป็นแมวที่มีพัฒนาการการเจริญเติบโตช้าอยู่สักหน่อย แต่ความสมบูรณ์และความสวยงามของมันจะอยู่คู่กับแมวไปตลอดเกือบชั่วอายุขัย เลยทีเดียว
 8. แมวเอ็กโซติก (Exotic)
          แมวหน้าบูด จมูกหัก แต่น่ารักไม่แพ้ใคร เพราะสืบเชื้อสายมาจากแมว สายพันธุ์ ระหว่างแมวเปอร์เซียกับแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ จนกลายมาเป็นแมวเอ็กโซติก หลากหลายรูปแบบ อาทิ  Exotic Blue Tabby, Exotic Red Tabby, Exotic Cream Tabby เป็นต้น
          ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวเอ็กโซติก
          ลักษณะ ทั่วไปของแมวเอ็กโซติกเหมือนกับแมวเปอร์เซียทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะหัวกลม กะโหลกใหญ่ ใบหูเล็กกลม จมูกหักเล็กน้อย ยกเว้นเส้นขนสั้น ๆ ที่หนานุ่มคล้ายกับกำมะหยี่ อันเป็นสัญลักษณ์ของแมวสายพันธุ์นี้
          ส่วน เรื่องอุปนิสัยก็แทบไม่มีแตกต่างจากแมวเปอร์เซียเลย เพราะแมวเอ็กโซติกเป็นแมวที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ไม่ค่อยหงุดหงิด และมีความอดทนสูง ดังนั้นคุณแทบจะไม่ได้ยินเสียงร้องของแมวพันธุ์นี้แน่นอน หากมันต้องการความสนใจขึ้นมา ก็จะทำแค่นั่งอยู่หน้าคุณ กระโดดมานั่งบนตัก หรือเอาจมูกชื้น ๆ ของมันมาแตะที่หน้าคุณเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบว่า แมวพันธุ์เอ็กโซติกบางตัวอาจจะชอบนั่งอยู่บนไหล่และกอดคุณเวลาคุณเล่นด้วย
          การเลี้ยงดูแมวเอ็กโซติก
          ใคร ที่อยากเลี้ยงแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ แต่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลขน แมวพันธุ์เอ็กโซติกก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมันเป็นแมวที่เหมาะกับการเลี้ยงไว้ในบ้าน ที่สำคัญขนอันสวยงามของแมวพันธุ์นี้ ยังต้องการการบำรุงรักษาน้อยกว่าแมวเปอร์เซียทั่ว ๆ ไป เพราะไม่ค่อยจับตัวเป็นก้อนหรือพันกันยุ่งเหยิงอีกด้วย
9. แมวเมนคูน (Main Coon)
          ถึงแม้แมวเมนคูนจะมีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าแมวปกติ แต่มันกลับเป็นพี่ใหญ่ใจดี จนได้รับสมญานามว่า Gentel Giant ชื่อของแมวสายพันธุ์นี้ มีที่มาจากรัฐเมน (Maine) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของมัน ส่วนคำว่า คูน (Coon) มาจากคำบอกเล่าของชาวพื้นเมืองที่กล่าวว่า แมวบ้านเผลอไปกุ๊กกิ๊กกับตัวแรคคูน (Raccoon) จนมีการจับ คำนี้มารวมกัน กลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า เมนคูน (Main Coon)
          ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวเมนคูน
          ลักษณะ เด่นของแมวพันธุ์เมนคูน คือ รูปร่างที่สมส่วน ดูสง่างาม และให้ความรู้สึกที่มั่นคงแข็งแรง หากเป็นแมวโตเต็มที่ ร่างกายของมันจะมีความยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหางประมาณ เมตร น้ำหนักตัวอยู่ที่ประมาณ 12-15 กิโลกรัม ถึงแมวเมนคูนจะมีโครงสร้างใหญ่ ใบหน้าเหมือนกับแมวป่า มีแผงคอคล้ายสิงโต แถมบริเวณปลายหูยังมีเส้นขนงอกออกมา แต่มันกลับมีนิสัยขี้อ้อน ขี้เล่น ร่าเริง ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยเจริญพันธุ์
          การเลี้ยงดูแมวเมนคูน
          อายุขัยของแมวพันธุ์อยู่ที่ราว ๆ 15 ปี เหมือนแมวทั่วไป แต่เนื่องจากร่างกายที่ค่อนข้างใหญ่โต การให้อาหารแบบแมวทั่วไปอาจไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต ดังนั้นเจ้าของควรเสริมด้วยเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้กับมัน
          ส่วน ขนของแมวเมนคูนค่อนข้างหวีง่าย เนื่องจากเป็นแมวกึ่งขนยาว จึงไม่มีปัญหาขนพันกันแบบแมวเปอร์เซีย เพียงแต่ควรจะอาบน้ำให้มันอย่างน้อยเดือนละ ครั้ง และหลังการอาบน้ำทุกครั้ง ควรจะเช็ดพร้อมกับเป่าขนให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันโรคเชื้อราบนผิวหนัง
 10. แมวเบงกอล (Bengal)
          แมว เบงกอลเป็นแมวที่มีลวดลายสวยงาม คล้ายลูกเสือดาวตัวน้อย ๆ คาดกันว่า แมวเบงกอลเกิดจาการผสมพันธุ์ระหว่างแมวดาวกับแมวบ้านสายพันธุ์อียิปต์เชีย นมัวร์ (Egyptian Mau) ซึ่งเป็นแมวอียิปต์โบราณ ที่มีโครงสร้างเป็นลายจุด ลักษณะคล้ายแมวป่า โดยถูกนำมาพัฒนาสายพันธุ์ ด้วยฝีมือของ Jean Mills หญิงสาวชาวอเมริกัน ที่หลงใหลคลั่งไคล้ในลวดลายของแมวป่า พร้อมกับตั้งชื่อของมันตามชื่อวิทยาศาสตร์ของแมวป่าที่เรียกกันว่า Felis Bengolensis
          ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวเบงกอล
          แมวเบงกอลเป็นแมวขนาดปานกลางถึงค่อนข้างใหญ่ หัวมีความยาวมากกว่าความกว้าง  เช่น เดียวกับรูปร่างที่มีลักษณะเพรียวยาว เห็นมัดกล้ามเนื้อชัดเจนคล้ายแมวป่า เมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นว่า ช่วงสะโพกมีความสูงกว่าหัวไหล่ ปลายหางชี้ลง ใบหูกลมสั้น ตารูปไข่ มีช่วงปากกับจมูกกลมกว่าแมวบ้าน และมีจุดเด่นอยู่ที่ลายขนคล้ายแมวป่า หรือที่เรียกกันว่า ลายหินอ่อน
          ถึง แม้แมวเบงกอลจะสืบสายพันธุ์มาจากแมวป่า แต่พวกมันกลับมีนิสัยน่ารักไม่ดุร้ายอย่างที่คิด แถมยังเป็นมิตรกับทุกคนเสียด้วย นอกจากนี้แมวเบงกอลยังเป็นแมวที่ซุกซน เพราะชอบวิ่งไล่สิ่งของต่าง ๆ รวมทั้งชอบปีนป่ายขึ้นที่สูงอยู่เป็นประจำ ที่สำคัญแมวพันธุ์นี้ชอบเล่นน้ำเอามาก ๆ ด้วย
          การเลี้ยงดูแมวเบงกอล
          การเลี้ยงดูแมวเบงกอลก็เหมือนกับการดูแลแมวทั่วไป แต่ถ้าอยากให้มันมีสุขภาพดีและมีขนที่สวยงาม ควรใส่ใจในเรื่องอาหารเป็นพิเศษ โดย ต้องเพิ่มเมนูเนื้อวัวสดจากอาหารที่กินเป็นประจำ ซึ่งเนื้อสดที่ให้ก็ต้องผ่านการเก็บรักษาด้วยการแช่แข็ง เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรากับแบคทีเรีย และห้ามให้เนื้อไก่หรือเนื้อหมูโดยเด็ดขาด
ขอบคุณข้อมูลจาก http://pet.kapook.com/view70394.html


ติดเชื้อรุนแรง...ทำไมต้องตัดขา?

ติดเชื้อรุนแรง...ทำไมต้องตัดขา?

เป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศรู้สึกสะเทือนใจต่อสิ่งที่ได้รับรู้ หลังจากโรงพยาบาลรามาธิบดีออกแถลงการณ์ว่า คณะแพทย์มีความจำเป็นต้องตัดข้อเท้าซ้ายพระเอกหนุ่ม "ปอ" ทฤษฎี สหวงษ์ โดยให้เหตุผลว่า ต้องการควบคุมการติดเชื้อที่รุนแรง
สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องยากเกินกว่าใครจะรับไหว แต่ขณะเดียวกันการล้มป่วยด้วยอาการไข้เลือดออกของ "ปอ" ได้สร้างคำถามให้เกิดขึ้นในใจใครหลายคนว่า
"ไข้เลือดมันส่งผลรุนแรงขนาดไหนจนถึงขนาดต้องตัดข้อเท้าทิ้งเพื่อรักษาชีวิตหรือ และอะไรเป็นปัจจัยทำให้เกิดภาวะรุนแรงจนส่งผลโดยตรงกับร่างกายของพระเอกคนดัง"
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว "นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์" รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ไข้เลือดออกไม่ได้มีผลโดยตรงที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่เพียงพอ แต่ผู้ป่วยไข้เลือดออกบางรายที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อก ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นได้ อาทิ อวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติ ความดันต่ำ ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะได้น้อย ไม่เพียงพอ เช่น หากเลือดไปเลี้ยงที่ไตน้อยจะทำให้เกิดภาวะไตวาย หากไปเลี้ยงสมองน้อยจะส่งผลให้สมองขาดเลือด ทำให้ผู้ป่วยหมดสติ และหากไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลาย เช่น แขน ขา ได้น้อย ก็จะทำให้เนื้อเยื่อตายทำให้เกิดการติดเชื้อที่บริเวณดังกล่าวได้ง่าย หากรุนแรงแพทย์ก็จำเป็นต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นออกเพื่อควบคุมการติดเชื้อไม่ให้แพร่กระจาย และป้องกันภาวะช็อกจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจจะทำให้เสียชีวิตได้
"ผู้ป่วยไข้เลือดออกมีโอกาสประสบภาวะแทรกซ้อนได้ทุกคนหากถึงขั้นช็อก ซึ่งสาเหตุของการช็อกเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย อาทิ เสียเลือดมาก ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือได้รับสารพิษ เป็นต้น การป้องกันจึงต้องดูที่สาเหตุแต่หากจะให้ดี เมื่อเจ็บป่วยเป็นเวลานานควรรีบพบแพทย์ทันที อย่าปล่อยให้ถึงขั้นมีอาการช็อก"
คำอธิบายดังกล่าวสอดคล้องกับ "แหล่งข่าวในวงการแพทย์" ที่อธิบายถึงอาการป่วยไข้เลือดออกของ "ปอ" และต้องตัดข้อเท้าซ้ายว่า อาการของปอช่วงที่มาโรงพยาบาลรามาธิบดีอยู่ในภาวะวิกฤติมาก จึงต้องใช้เครื่องช่วยพยุงหัวใจและปอดในการรักษา เพื่อให้มีโอกาสรอดชีวิต แม้แพทย์รักษากันอย่างสุดความสามารถด้วยการใช้เครื่องมือเครื่องช่วยพยุงหัวใจและปอด แต่บางครั้งไม่อาจให้การรักษาอวัยวะทุกส่วนในร่างกายครอบคลุมทั้งหมด เพราะปอมีอาการไตวาย อาการทางหัวใจ ปอด ระบบเลือดก็ต้องเน้นให้การรักษาอวัยวะหลักเหล่านี้ก่อน เพื่อให้มีโอกาสรอดชีวิต แต่อวัยวะอื่นๆ เช่น มือ เท้า หากกรณีความดันเลือดตกอาจจะทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเหล่านี้ได้น้อยลงและเกิดผลข้างเคียงตามมาภายหลัง
แหล่งข่าวรายเดิม อธิบายอีกว่า สาเหตุที่ต้องตัดข้อเท้าซ้ายคาดว่าเกิดจากผลข้างเคียงของอาการ ซึ่งอยู่ในภาวะวิกฤติตั้งแต่ช่วงแรก ส่วนโอกาสที่จะเกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากเครื่องช่วยพยุงหัวใจและปอดนั้น มีโอกาสไม่มาก และก่อนที่แพทย์จะใส่เครื่องเหล่านี้เข้าไปในร่างกายจะต้องมีการใส่ยาละลายลิ่มเลือดก่อน เพื่อช่วยให้เลือดสามารถไหลเวียนได้ในร่างกาย
"ส่วนผลข้างเคียงของอาการ ซึ่งอยู่ในภาวะวิกฤติตั้งแต่ช่วงแรก จะต้องเฝ้าระวังหลังจากนี้ก็มี เช่น ระบบสมอง ระบบเลือดไม่ให้ติดเชื้อ ซึ่งทีมแพทย์ที่ให้การรักษาก็ต้องดูแลเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด"
ขณะที่ในเฟซบุ๊กหลอดเลือดฟอกไต 360 องศา ได้โพสต์ข้อมูลของ "นพ.นันทพล พงศ์รัตนามาน" ศัลยแพทย์หลอดเลือด โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เกี่ยวกับการติดเชื้อที่ขา...ทำไมต้องตัดขา? ไม่ตัดไม่ได้หรือ? โดยมีเนื้อหาสรุปว่า ...ภาวะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในวงการแพทย์ครับ สามารถพบได้เรื่อยๆ เช่น ในผู้ป่วยที่เป็นแผลติดเชื้อเบาหวานรุนแรงต้องตัดขา ถ้าไม่ตัดอาจเสียชีวิต หรือคนไข้ในกลุ่มที่มีภาวะขาดเลือดรุนแรงที่ปลายเท้าเฉียบพลันจนมีปัญหาเนื้อตายและเน่าจนติดเชื้อ
ภาวะขาดเลือดรุนแรงพบในคนไข้กลุ่มไหน? 1.มีภาวะ Shock รุนแรงและยาวนาน 2.มีลิ่มเลือดจากหัวใจหลุดมาอุดเส้นเลือดปลายเท้า 3.ได้รับยากระตุ้นความดันนานๆ (เพื่อนำเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจ) 4.เส้นเลือดหดตัวรุนแรงจากยาจำพวก ergotamine (ยาแก้ไมเกรน) และยังมีภาวะอื่นๆ อีกหลายอย่างที่สามารถทำให้ขาขาดเลือดได้
ขาขาดเลือดทุกคนต้องติดเชื้อหรือไม่? ไม่จำเป็น แต่ถ้ามีภาวะติดเชื้อและติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วยอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที แล้วถ้าไม่ตัด ...ได้หรือไม่? ขึ้นอยู่กับความรุนแรง หากการติดเชื้อไม่เข้าสู่กระแสเลือด การให้ยาปฏิชีวนะแล้วรอดูอาจทำได้ แต่ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูง มีเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง จำเป็นต้องตัด เพราะหลักการการรักษาก็คือ "Safe life > Safe limb > Safe function" รักษาชีวิตก่อน...รักษาแขนขา...รักษาแขนขาก่อน...รักษาการใช้งาน
"สรุปในกรณีที่มีการติดเชื้อไม่รุนแรงไม่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย เราอาจตัดเพียงเล็กน้อยรอดูอาการก่อนได้ แต่ถ้ามีภาวะติดเชื้อรุนแรงอาจจำเป็นต้องตัดสูงขึ้นไปอีก เพื่อให้แน่ใจว่าภาวะติดเชื้อโดนกำจัดไปมากที่สุดในขณะที่ต้องเหลือส่วนขาให้ยาวที่สุดไปพร้อมกัน ตัดแล้วไม่ต้องตัดเพิ่มแล้วใช่ไหม? อันนี้ยังบอกไม่ได้ครับ ความมุ่งหวังของผู้รักษาคือไม่อยากตัดเพิ่มอยู่แล้ว แต่ก็คงต้องดูที่ผู้ป่วยเป็นหลัก ถ้ามีติดเชื้อเพิ่มเติมก็ต้องว่ากันไปตามอาการ"
เช่นเดียวกับ "เพจ นศพ.ลูกเป็ด" อธิบายกรณีการตัดขาผู้ป่วยเพื่อรักษาชีวิตในเชิงการแพทย์แบบฉบับการ์ตูนที่เข้าใจง่าย โดยได้อธิบายถึงสาเหตุและเหตุผลที่แพทย์จำเป็นต้องเลือกตัดส่วนน้อย เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วย นอกจากนี้เพจดังกล่าวยังแนะนำถึงนวัตกรรมสมัยใหม่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยที่โดนตัดขาให้สามารถใช้ชีวิตได้เช่นคนทั่วไป
มาถึงคำถามที่ว่า อาการป่วยด้วยโรคใดจะมีความเสี่ยง และส่งผลร้ายแรงจนถึงขนาดต้องตัดขาด
ในเรื่องนี้ นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยที่แพทย์จะพิจารณาในการตัดอวัยวะโดยเฉพาะเท้าและขาที่พบมากที่สุด คือ ผู้ที่ป่วยเป็น "โรคเบาหวาน" ความดันมาเป็นเวลานานๆ ร่วม 10 ปี เนื่องจากเส้นเลือดจะตีบ ทั้งนี้จากการที่ป่วยมานานเส้นเลือดแข็งและหนาขึ้นเรื่อยๆ จนตีบ แรงดันเลือดไม่พอ ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะได้ไม่เต็มที่ จึงเป็นเหตุให้เส้นเลือดเสีย เส้นประสาทเสียจนเท้าไม่มีความรู้สึก เมื่อเป็นแผลจะไม่รู้สึกเจ็บ เกิดแผลติดเชื้อ เนื้อเน่า เนื้อตาย แพทย์จำเป็นต้องพิจารณาตัดเท้า และขา
"อวัยวะที่มีเนื้อตายเก็บไว้ก็ไม่สามารถใช้งานอะไรได้อีก และจะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค ต้องตัดออก เพื่อไม่ให้ลามไปยังบริเวณอื่น หากตัดช้าจะยิ่งลาม หรือติดเชื้อเข้ากระแสเลือดเป็นอันตรายอย่างมาก ส่วนการป่วยเป็นไข้เลือดออกนั้น ไม่ได้ทำให้ต้องตัดอวัยวะ หากจำเป็นต้องตัดอาจจะเกิดจากภาวะแทรกซ้อน"
แม้คำว่า ตัดขา จะฟังดูร้ายแรง แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งว่า การรักษาดังกล่าวยังสามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ สิ่งนี้น่าจะทำให้ทุกคนมีกำลังใจสู้ต่อไปได้...
คมชัดลึก ( Kom Chad Luek)

10 สถิติ ที่สุดของสัตว์โลก

10 สถิติ ที่สุดของสัตว์โลก

© สนับสนุนโดย Nation Channel อาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ ของที่ราคาแพงที่สุดในโลก สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นที่สุดของโลกมนุษย์ที่มีอยู่จริง เว็บไซต์ oddee เผยการจัด 10 อันดับที่สุดของสัตว์โลก ที่มีอยู่จริง ซึ่งล้วนได้รับการยืนยันจากกินเนสเวิลด์เรคคอรด์แล้ว
© สนับสนุนโดย Nation Channel 1. แกะที่มีขนหนักที่สุดในโลก ขนแกะปริมาณเกือบ 40 กิโลกรัม ได้มาจากแกะที่ชื่อว่า Chris (ตั้งโดยคนที่ให้ความช่วยเหลือ) ได้รับการช่วยชีวิตไว้ เนื่องจากน้ำหนักของขนที่มากเกินทำใหม้มันเคลื่อนไหวได้ลำบาก
© สนับสนุนโดย Nation Channel 2.วัวที่เขายาวที่สุดในโลก เจ้าวัว Lazy J' มาจากตระกูล Bluegrass โดยเจ้าวัวตัวนี้มีความยาวของเขาที่แผ่ยาวออกไป ยาวรวมกัน ถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว
© สนับสนุนโดย Nation Channel 3.วัวที่สูงที่สุดในโลก Blosom เป็นวัวที่มีตัวสูงถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว และหนักถึง 2,000 ปอนด์ แต่ปัจจุบันเจ้าวัวตัวนี้ได้เสียชีวิตลงจากที่ได้ทำการบันทึกสถิติเพีง 1 ปี
© สนับสนุนโดย Nation Channel 4. สุนัขที่มีหูยาวที่สุดในโลก Harbor สุนัขวัย 8 ปี สายพันธุ์ Coonhound พบบริเวณเมือง Boulder รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ถูกบันทึกชื่อลงในกินเนสบุ๊ค ว่าเป็นสุนัขที่มีหูยาวที่สุดในโลก โดยหูซ้ายวัดความยาวได้ 12.25 นิ้ว และหูขวาวัดได้ 13.5 นิ้ว
© สนับสนุนโดย Nation Channel 5. สุนัขที่เล่นสเก็ตบอร์ดลอดอุโมงค์มนุษย์ได้ไกลที่สุดในโลก Bulldog จากอังกฤษที่มีชื่อว่า Otto ได้สร้างสถิติใหม่ลงกินเนสบุ๊ค ด้วยวัย 3 ปี โดยสามารถเล่นสเก็ตบอร์ดลอดอุโมงค์(ขา)มนุษย์ ได้ถึง 30 คน
© สนับสนุนโดย Nation Channel 6. แข่งขันเต่าที่เร็วที่สุดในโลก ขึ้นชื่อว่าการคลานของเต่า ก็ต้วมเตี้ยมอยู่แล้ว แต่นี่เป็นการแข่งความเร็ว ทางตอนเหนือของรัฐแคโรไลนา เจ้าเต่าตัวที่ได้รับชัยชนะไปนั้นมีชื่อว่า Bertie สามารถเคลื่อนที่ด้วยอัตรา 0.6 ไมล์ ต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าเร็วกว่าเต่าทั่วไปถึง 2 เท่า โดยใช้เวลาในการเดิน 100 เมตร ใช้เวลาเพียง 6 นาทีเท่านั้น
© สนับสนุนโดย Nation Channel 7. จับนกแก้วมาแข่งยัดลูกบาสลงห่วง เป็นผู้ฝึกสอนนกแก้ววัย 25 ปี เจ้าของสถิติกินเนสบุ๊ค ที่ว่านกแก้วสามารถจับลูกบาส(ขนาดจิ๋ว)ยัดลงห่วงได้ภายใน 1 นาที รวมทั้งเคยถูกบันทึกลงกินเนสบุ๊คในฐานะที่เป็น นกแก้วที่สามารถเปิดกระป๋องโซดาได้ภายใน 60 วินาทีอีกด้วย
© สนับสนุนโดย Nation Channel
8. งูที่ยาวที่สุดตั้งแต่เคยจับได้ งูหลามยักษ์ที่มีความยาว 7.67 เมตร มันอาศัยใน Full-moon Production ที่เมือง Kansas รัฐ Missouri มีอายุมากถึง 8 ปี และหนักถึง 350 ปอนด์ หรือหนักประมาณ 159 กิโลกรัม
 © สนับสนุนโดย Nation Channel
9. สุนัขที่ตาโตที่สุดในโลก Bruschi วัย 4 ปี พันธุ์ Boston Terrier สีขาว-ดำ อาศัยอยู่กับครอบครัว และเจ้าของอย่าง Victoria Reed ได้ถูกบันทึกลงกินเนสบุ๊คว่ามีดวงตาที่โตที่สุดในโลก ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 28 มิลลิเมตร
© สนับสนุนโดย Nation Channel
10. วัวที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ในปี 2014 วัววัย 6 ปีที่ชื่อ Manikyam ถูกยืนยันว่าเป็นวัวที่ตัวเล็กที่สุดในโลก และบันทึกลงสถิติกินเนสบุ๊ค เพราะเมื่อมันยืนแล้ว วัดความสูงได้เพียง 61.5 เซนติเมตรเท่านั้น ทุบสถิติเก่า 69.07 เซนติเมตรไป โดยเจ้าวัวตัวนี้อาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

25 คำคมจาก 'ไอน์สไตน์' ที่นำมาปรับใช้กับชีวิตได้ทุกยุคทุกสมัย

25 คำคมจาก 'ไอน์สไตน์' ที่นำมาปรับใช้กับชีวิตได้ทุกยุคทุกสมัย
25 คำคมจาก 'ไอน์สไตน์' ที่นำมาปรับใช้กับชีวิตได้ทุกยุคทุกสมัย
1) Nothing happens until something moves.
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ โดยปราศจากการเริ่มต้น


2) Any man who can drive safely while kissing a pretty girl is simply not giving the kiss the attention it deserves.
ชายใดที่สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยขณะที่จูบหญิงสาวไปด้วยนั้น แสดงว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับการจูบอย่างที่ควรจะเป็น


3) A person starts to live when he can live outside himself.
คนเราจะมีชีวิตอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อสามารถดำเนินชีวิตโดยหลุดพ้นจากตัวเองได้


4) Once we accept our limits, we go beyond them.
เมื่อเรายอมรับในข้อจำกัดของตัวเอง แสดงว่าเราได้ก้าวล่วงข้อจำกัดนั้นไปแล้ว


5) The secret to creativity is knowing how to hide your sources.
ความลับของการสร้างสรรค์ คือการรู้วิธีซ่อนที่มาของความคิดนั้นไว้อย่างแนบเนีย


6) You can't blame gravity for falling in love.
คุณไม่อาจโทษแรงดึงดูดของโลกได้ เมื่อคุณตกหลุมรักใครสักคน


7) Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results.
มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง


8) The world is not dangerous because of those who do harm but because of whose who look at it without doing anything.
โลกใบนี้ไม่ได้น่ากลัวเพราะคนที่ก่ออันตรายกับโลก แต่มันน่ากลัวเพราะคนที่มองดูมันโดยไม่คิดจะทำอะไรเลยต่างหาก

9) Anyone who has never made a mistake has never tried something new.
คนที่ไม่เคยทำผิดพลาดเลย คือคนที่ไม่เคยลองทำอะไรใหม่ ๆ


10) If you want to live a happy life, tie it to a goal, not to people or things.
ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่มีความสุข จงพันธนาการชีวิตด้วยจุดหมาย ไม่ใช่ผู้คนหรือสิ่งอื่นใด


11) Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world.
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะความรู้นั้นมีจำกัด แต่จินตนาการมีอยู่ทุกพื้นที่บนโลก


12) Everyone should be respected as an individual, but no one idolized.
คนทุกคนควรได้รับการเคารพในความเป็นตัวตนของเขา แต่ไม่มีใครควรได้รับการนับหน้าถือตามากกว่าคนอื่น


13) You can never solve a problem with the same kind of thinking that created the problem in the first place.
คุณไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยความคิดแบบเดิมๆ ที่เคยสร้างปัญหาให้กับคุณตั้งแต่ครั้งแรก


14) Try not to become a man of success but rather try to become a man of value.
จงอย่าพยายามเป็นคนแห่งความสำเร็จ แต่จงพยายามเป็นคนที่มีคุณค่าดีกว่า


15) Learn from yesterday, live for today, hope for tomorrow. The important thing is not to stop QUESTIONING.
จงเรียนรู้จากอดีต มีชีวิตเพื่อวันนี้ และมีความหวังเพื่อวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องอย่าหยุดตั้งคำถาม


16) Women marry men hoping they will change. Men marry women hoping they will not. So each is inevitably disappointed.
ผู้หญิง แต่งงานกับผู้ชาย โดยหวังว่าเขาจะเปลี่ยน ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิง โดยหวังว่าเธอจะไม่มีวันเปลี่ยน ผู้ชายและผู้หญิงจึงผิดหวังในตัวกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

17) Only a life lived for others is a life worth while.

ชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้น ที่มีคุณค่าต่อการมีชีวิต


18) In the middle of difficulty lies opportunity.
ใจกลางของอุปสรรคนั้น มีโอกาสซ่อนอยู่


19) The only source of knowledge is experience.

ประสบการณ์ คือแหล่งความรู้เพียงแหล่งเดียวเท่านั้น


20) Logic will get you from A to B. Imagination will take you everywhere.
ตรรกะจะพาคุณเดินทางจากจุด A ไปจุด B ได้ แต่จินตนาการจะพาคุณเดินทางไปได้ทุกที่


21) Put your hand on a hot stove for a minute and it seems like an hour. Sit with a pretty girl for an hour and it seems like a minute. That's relativity.
การวางมือไว้บนเตาร้อนเพียง 1 นาที ให้ความรู้สึกเหมือนเวลายาวนานกว่า 1 ชั่วโมง แต่การนั่งกับสาวสวย ๆ นาน 1 ชั่วโมง ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเพียง 1 นาที


22) Life is like riding a bicycle. To keep your balance you must keep moving.
ชีวิตเหมือนการปั่นจักรยาน คุณจะต้องปั่นมันอย่างต่อเนื่อง มันถึงจะทรงตัวได้


23) I speak to everyone in the same way, whether he is the garbage man or the president of the university.
ผมพูดคุยกับคนทุกคนเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเก็บขยะ หรืออธิการบดีมหาวิทยาลัยก็ตาม


24) You have to learn the rules of the game, and then you have to play better than anyone else.
คุณต้องเรียนรู้กฎของเกม จากนั้นก็ต้องลงเล่นให้ดีกว่าคนอื่น ๆ


25) Weakness of attitude becomes weakness of character.
ทัศนคติที่อ่อนแอ นำมาซึ่งนิสัยที่อ่อนแอ
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com
ข้อมูลจาก: www.facebook.com/wirodePAG