วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ยูโรเปียนแพร์ ผลไม้ดูแลหัวใจ


     ทุกวันนี้คนไทยเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดมาเป็นอันดับ ที่ 2 รองจากโรคมะเร็ง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง ทำให้เสี่ยง ต่อการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุด อีกทั้งยังเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนอย่างคอเลสเตอรอลสูง และโรคเบาหวานอีกด้วย และโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ก็มีปัจจัยส่งผลต่อการทำงานของหัวใจซึ่งเปรียบเสมือน บ้านของร่างกายโดยตรง การดูแล ‘หัวใจ’ ให้แข็งแรงอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย ก่อนอื่นเรามาเริ่มทำความรู้จักหัวใจของตนเองไปพร้อมๆกันค่ะ

สาเหตุที่ต้องดูแล ‘หัวใจ’ ให้แข็งแรง

จากสถิติคนไทยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็งเพราะสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมต่างๆ ดังนี้
  1. ไม่ชอบออกกำลังกาย
  2. สูบบุหรี่จัด
  3. ไม่ควบคุมน้ำหนัก
  4. กรรมพันธุ์ และความเครียด
  5. ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
ซึ่งเป็นพฤติกรรมหลักทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันที่ไม่จำเป็นผ่านหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดทำงานหนักและนำไปสู่อาการหลอดเลือดอักเสบจนไม่สามารถส่ง เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด เกิดอาการเนื้อหัวใจตาย และทำให้หัวใจตีบ หัวใจวายเฉียบพลันและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในที่สุด

แล้วหัวใจทำงานอย่างไร...
เมื่อไขมันอุดตัน?

อย่างที่ทราบกันดีว่า ‘หัวใจ’ เป็นอวัยวะสำคัญที่สูบฉีดเลือด ออกซิเจนและธาตุต่างๆไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายเพื่อให้ส่วนต่างๆ ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อไขมันอุดตันหลอดเลือดหัวใจอาจก่อให้ เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ดังนั้นหากมีลิ่มเลือด สิ่งอุดตันหรือการกระตุกของกล้ามเนื้อก็อาจขัดขวางการไหลของเลือด ทำให้หัวใจในส่วนที่ไม่ได้รับออกซิเจนถูกทำลายและเสี่ยงต่อการเสียชีวิต แต่ถ้าคุณไม่อยากเข้ารับการรักษา หรือเกิดอันตรายถึงชีวิตควรปลดล็อคอาการเหล่านี้ด้วยกุญแจสำคัญที่คุณเองก็ ทำได้ คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดอาการหลอดเลือดอุดตัน และอีกหนึ่งวิธีง่ายๆคือการเลือกตัวช่วยจากธรรมชาติที่มีสรรพคุณช่วยต้านโรค หัวใจอย่าง ‘ยูโรเปียนแพร์’…ผลไม้มหัศจรรย์ที่หัวใจของคุณต้องการ!

ทำความรู้จัก ‘ยูโรเปียนแพร์’

ยูโรเปียนแพร์ (European Pear) คือ ผลไม้เมืองหนาวมีถิ่นกำเนิดในยุโรป จากหลักฐานพบว่ามีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยกรีกโบราณและจักรวรรดิโรมัน

ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น มีใบรูปไข่ผิวใบค่อนข้างเรียบ กลีบดอกมีทั้งหมด 5 กลีบ ขนาดผลใกล้เคียงกับแอปเปิ้ล เปลือกบาง เมื่อผลสุกเนื้อนิ่ม ฉ่ำน้ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหวานหอม เห็นเป็นผลไม้สีสวยน่าทานแบบนี้ แต่ยูโรเปียนแพร์มีสารอาหารสำคัญที่ร่างกายควรได้รับหลายชนิด

สารอาหารสำคัญเสริมหัวใจให้แข็งแรง

ยูโรเปียนแพร์ เป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูงและอุดมด้วยสารอาหารสำคัญ 2 ชนิดที่ร่างกายต้องการ ได้แก่ไฟบอร์เพคติน และ วิตามินซี ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อหัวใจ ดังนี้

  • 1. ไฟเบอร์เพคติน ช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูงสามารถดักจับคอเลสเตอรอลที่ได้ จากกระบวนการย่อยสลายไขมันในทางเดินอาหารก่อนถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และยังขัดขวางการดูดซึมของไขมันไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือด
  • 2. วิตามิน C ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)และยับยั้งการทำงานของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีทำให้เส้นเลือดไม่อุดตันอีก ด้วยที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจโดยการไปช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
เสริมไฟเบอร์เพคติน และ วิตามิน C ให้ร่างกายเป็นประจำจะช่วยให้หัวใจแข็งแรงซึ่งพบได้ในผลไม้มหัศจรรย์อย่าง ‘ยูโรเปียนแพร์’

คุณประโยชน์หลากหลายรวมไว้ใน ‘ยูโรเปียนแพร์’

ยูโรเปียนแพร์ถือเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารสำคัญมากมายหลายชนิด การรับประทานยูโรเปียนแพร์ จึงมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้

  1. ช่วยต้านอนุมูลอิสระจากรังสียูวีและมลภาวะและสภาพแวดล้อมต่างๆที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยก่อนวัยนำไปสู่โรคผิวหนัง
  2. ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันและยับยั้งอัตราการเกิดคอเลสเตอรอล ลดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบในผู้ป่วยโรคหัวใจ
  3. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  4. เพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ
  5. ช่วยชะลอความแก่ ลดอาการอักเสบ และลดการทำลายเซลล์ 
ยูโรเปียนแพร์ จึงจัดเป็นผลไม้มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายและที่สำคัญมีประโยชน์ต่อหัวใจมาก ดังนั้นหากคุณอยากมี “หัวใจ” ที่แข็งแรง นอกจากต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว การรับประทาน “ยูโรเปียนแพร์” ก็เป็นอีกหนึ่งตัว ช่วยต่ออายุให้หัวใจได้แล้วค่ะ

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

"ทบทวนการเคลื่อนไหวของม๊อบ กปปส."

  เสาวลักษณ์ กัลยา
 
"ทบทวนการเคลื่อนไหวของม๊อบ กปปส."

1.ทบทวนการเคลื่อนไหวของ กปปส. เรามาดู...มาทบทวนกันอีกทีถึงการเคลื่อนไหวของกปปส.ที่ยาวนานและเสียเงินเสียทองไปมากโดยเฉพาะข้อเสนอที่สาคัญคือ”การปฏิวัติประชาชน”หรือ”สภาประชาชน”ซึ่งเป็นข้อเสนอที่มวลชนขานรับมากกมายนับเป็นการเคลื่อนมวลชนขนาดใหญ่ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกสาขาอาชีพ เข้าร่วม และผลสรุปสุดท้ายทหารก็ออกมาทำรัฐประหารเป็นไปตามผู้นำกปปส.ต้องการ แสดงว่าชนะ เมื่อชนะแล้วทำไมไม่ทาตามที่นำเสนอต่อมวลชนไว้ คือ”การปฏิวัติประชาชน” หรือ “สภาประชาชน” กลับทิ้งไปเสียไม่มีการพูดถึงเลย แม้ว่าในระยะหลังการเข้าไปจัดการต่างๆเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองซึ่งเป็นคนของกปปส.แทบทั้งสิ้นในสภาต่างๆของ คสช. ก็ไม่มีหลักการของสภาประชาชนที่เคยนำเสนอไว้แม้แต่น้อย พากันเงียบ มันเกิดอะไรขึ้นเพราะในขณะที่ชุมนุมผู้นำก็เห็นชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มวลชนต้องการ ตามความเห็นของข้าพเจ้า ที่ผู้นาเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาและประชาชนก็ขานรับแต่บรรดาผู้นำยังไม่ได้ไปศึกษาถึงหลักการต่างๆของการเกิด”สภาประชาชน” แต่เมื่อเขาไปศึกษาระดับหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าที่”ตัวเองเสนอไปนั้นเป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่แท้จริงถ้าทำเต็มรูปแล้วอำนาจก็จะเป็นของประชาชน เกิดกลัวขึ้นมาในหมู่ผู่นำว่าจะเป็นประชาธิปไตยจริงๆ หนีทิ้งกันหมด ไม่ยอมพูดถึงอีกเลย ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงนิทานจีนเรื่องหนึ่ง ชื่อว่า”เหลาเย่ผู้รักมังกร” มีว่า มีชายคนหนึ่งชื่อเหลาเย่ มีอาชีพเขียนรูปมังกรขายและใครๆก็รู้ว่านายเหลาเย่ผู้นี้รักมังกรมาก วันๆก็พรรณถึงแต่มังกรว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ นั่งเขียนรูปมังกรทั้งวัน บูชารูปมังกร(คนจีนับถือมังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเทพ) รู้ไปถึงเทพมังกรตัวจริงว่านายเหลาเย่รักมังกรมาก ก็ไปปรากฏตัวให้นายเหลเย่เห็น ปรากฏว่านายเหลาเย่เห็นมังกรตัวจริง วิ่งหนีเพราะกลัว ผมก็เลยเปรียบเทียบบรรดาผู้นาของกปปส.แทบจะทั้งหมดว่าเป็น”นายเหลาเย่ผู้รักมังกร” เพราะพอรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเสนอมันคือ”สภาปฏิวัติแห่งชาติ”เป็นเรื่องการปฏิวัติประชาธิปไตย เป็นเรื่องการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นประชาธิปไตย(Democratization) ของลัทธิประชาธิปไตยที่แท้จริง ทำเต็มรูปประเทศก็จะเป็นประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนจริงๆ ก็เลยกลัวว่าประเทศจะเป็นประชาธิปไตยตัดเงื่อนไขการกดขี่ขูดรีดของกลุ่มทุนผูกขาดไทยที่ตนรับใช้อยู่ก็เลยเกิดความกลัว ก็เลยละทิ้งกันหมด...เหมือเหลาเย่ผู้รักมังกร เจอของจริงกลับวิ่งหนี ...

Cr:ครูทองคา วิรัตน์ email:thongkrm_virut@yahoo.com

2.ต้นฉบับ'สภาปฏิวัติแห่งชาติ' ต้นฉบับ'สภาปฏิวัติแห่งชาติ' คอลัมน์ : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา “หนังสือพิมพ์คมชัดลึก จนถึงวันนี้ ยังไม่เห็น "กำนันสุเทพ" พูดให้ชัดเสียทีว่า "การปฏิวัติประชาชน" หรือ "สภาประชาชน" คืออะไรกันแน่ และสภาที่ว่านี้ จะลอยมาจากฟ้าหรืออย่างไร? รู้กันบ้างไหมว่า มีต้นตำรับ "ปฏิวัติสันติ" มาจากใคร? กำนันสุเทพ น่าจะให้คนใกล ้ชิดเข้าไปที่เพจ "สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ" ซึ่งดำเนินงานโดยสานุศิษย์ของ "ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร" อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี และอดีตกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)

3.ย้อนไปเมื่อ 28-29 เมษายน 2530 มีการประชุมผู้แทนประชาชนทั่วประเทศ ที่โรงแรมเอเชีย และโรงแรมรัตนโกสินทร์ เพื่อตั้ง "สภาปฏิวัติแห่งชาติ" ขึ้น เป็นการสนับสนุน "การปฏิวัติประชาธิปไตย" ของประเสริฐ ทรัพย์สุนทร 31 พฤษภาคม 2532 หลังจากมีคำสั่งสภาปฏิวัติแห่งชาติที่ 1/2532 เรื่องการโอนอำนาจจำกรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติและแถลงการณ์สภาปฏิวัติแห่งชำติ โดยให้รัฐบาลชาติชายหยุดการปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน และสมาชิกรัฐสภาก็หยุดทาหน้ำที่เช่นกัน ต่อมา รัฐบาลชาติชาย ได้ดำเนินคดี"ประเสริฐ" กับพวกรวม 14 คน ด้วยข้อหาทำลายควำมมั่นคงแห่งชาติซึ่ง "อาจารย์ประเสริฐ" แถลงว่า ถ้าเรื่องสภาปฏิวัติแห่งชาติเป็นความผิด เขาจะขอรับผิดแต่ผู้เดียว สู้คดีกันมายาวนาน...11 สิงหาคม 2537 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องคดีสภาปฏิวัติตามศาลชั้นต้น เป็นอันว่าคดีถึงที่สุด จำเลยทุกคนพ้นข้อหา สำหรับหลักคิดในการปฏิวัติสันติของอาจารย์ประเสริฐนั้น ต้องปฏิวัติความคิดให้เข้าใจว่า "ระบอบปัจจุบันนี้คือระบอบเผด็จการรัฐสภา ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย" และรุกทางการเมืองด้วยให้ชนะด้วย "ลัทธิประชาธิปไตย" ไม่ใช่ลัทธิรัฐธรรมนูญ แม้อาจารย์ประเสริฐจะเสียชีวิตไปแล ้ว บรรดาลูกศิษย์ก็เผยแพร่แนวคิดอุดมการณ์ต่อไป ด้วยความเชื่อมั่นใจว่า "นโยบายหลักและนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าของสภาปฏิวัติแห่งชาติ ซึ่งได้ผ่านกำรพิสูจน์จากศาลสถิตยุติธรรมมาแล ้วว่า เป็นนโยบายที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการเมื่อ พ.ศ.2536 ซึ่งแปรมาจากนโยบาย 66/2523" หน้าตาของ "สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติหรือสภาปฏิวัติแห่งชำติ หรือสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ" จะประกอบด้วย ผู้แทนเขตจากทุกอำเภอ (อำเภอละ 1 คน) ผู้แทนอาชีพจากทุกสาขาอาชีพ (อำเภอละ 1 คน) รวม 1 อำเภอมีผู้แทน 2 ประเภท 2 คน และมีผู้แทนทั่วไปที่อาจจะจัดอยู่ในผู้แทน 2 ประเภทนี้ นอกจากนี้ ต้องโอนเอา ส.ส.และ ส.ว. 700 คนในรัฐสภาปัจจุบันนี้ มาอยู่ในสภาประชาชนปฏิวัติฯ ด้วย ในฐานะผู้แทนชนชั้นสูง ส่วนผู้แทนชนชั้นกลางและชนชั้นล่างเอามาจากทุกชนชั้น ทุกเขต ทุกอาชีพ ทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกหมู่เหล่า อย่างกว้างขวางและทั่วถึงและปราศจากอคติโดยสิ้นเชิง สมาชิกสภาประชาชนปฏิวัติฯ ประมาณ 3,000-5,000 คน ไม่ใช่ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ แต่ทำหน้ำที่สร้างประชาธิปไตยในการปกครองแผ่นดิน

4.ที่สำคัญ ต้องมี "รัฐบาลเฉพาะกาล" ในระยะเปลี่ยนผ่านของประชาชน ให้รัฐบาลประจำการชนิดเก่าของระบอบเผด็จการสิ้นสุดลง อาจารย์ประเสริฐถึงแก่กรรมปลายปี 2537 "สมาน ศรีงาม" ก็เป็นผู้สืบทอด โดยยึดแนวทางดังกล่าวข้างต ต้นมาโดยตลอด "สมาน'" ยังยืนหยัดทำงานด้านทฤษฎีติดอำวุธทางปัญญาให้แก่ประชาชน ให้เข้าใจความหมายของคำว่า "ปฏิวัติสันติ" เพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ ที่ผ่านมา หลายคนอาจหยามหยันแนวคิดของสมาน ศรีงาม แต่ฟังจากปากของ "นักวิชาการ" ที่ปรึกษากำนันสุเทพ ล้วนแต่เสนอโมเดลการปฏิวัติประชาชน และสภาประชาชน ไม่แตกต่างไปจากความคิดของอาจารย์ประเสริฐ จะต่างกันก็ตรงที่คนพูดเรื่องสภาประชาชนบนเวทีกำนันสุเทพ สวมหัวโขนนักวิชาการ มีคำว่า ดอกเตอร์ นำหน้ำ กลับมีมวลชนจำนวนมากเป่านกหวีดขานรับเสียงดังอึงมี่ ผิดกับ "สมาน" พูดเรื่องปฏิวัติสันติหรือสภาประชาชนทางทีวีดาวเทียมช่องสุวรรณภูมิทุกค่ำคืน กลับมีคนมองว่า ตลก ไร้สาระ นี่แหละสังคมไทย

(จากหนังสือพิมพ์คมชัดลึกฉบับวันที่ 24-04-2558)
edit : thongkrm_virut@yahoo.com
-------------------------------
สภาประชาชนฯของแท้อยู่ที่นี่ คือ...

๑. ต้นกำเนิดที่มาของสภาประชาชนฯ...
๑.๑)มาจาก.."#สภากรรมการองคมนตรี" ของ ร.๗ ก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕
๑.๒)มาจาก.."#สภาปฏิวัติแห่งชาติ"..ของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๐ - ๒๕๓๗ จนถึงปัจจุบัน และพรรคแรงงานประชาธิปไตย
๑.๓)มาเป็น.."#สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ" ของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือพรรคการนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๗ ปัจจุบันสู่อนาคต

๒. มาจาก.."ทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย"(Democratic Dual Power) คือ การโอนอำนาจอย่างสันติ(Peaceful Tranformation of Power) ซึ่งมี ๓ ระดับคือ...
- โอนอำนาจทางหลักการ
- โอนอำนาจทางการเมือง
- โอนอำนาจทางกฎหมาย

๓. มาจากปรัชญา.."เอกภาพของด้านตรงข้าม"(Unity of the Opposite) ซึ่งอยู่ใน.."เอกภาพของความแตกต่างสมบูรณ์"(Unity of Abolute Diversity)คือ...

- เอกภาพ..คือ..สัจธรรมสัมบูรณ์(Abosolute Truth) คือ..ถูกต้องอย่างปราศจากเงื่อนไข
- ความขัดแย้ง..คือ..สัจธรรมสัมพัทธ์(Relative Truth) คือ..ถูกต้องอย่างประกอบด้วยเงื่อนไข

- เอกภาพ..คือ..ความไม่ขัดแย้ง
- สองด้านตรงข้ามกัน..คือ..ความขัดแย้ง

- เอกภาพ..คือ..อสังขตธรรม
- ความขัดแย้ง..คือ..สังขตธรรม

- เอกภาพ..คือ..สุญญตา(อนัตตา)อสังขตธรรมซึ่งเป็นผู้ถือดุลสูงสุด
- วัตถุอยู่ในความเคลื่อนไหว
- ความเคลื่อนไหวอยู่ในสุญญตา(ความว่าง)
- พื้นที่(Space)และกาลเวลา(Time)อยู่ในสุญญตา
- ความไม่ขัดแย้ง..ครอบงำ..ความขัดแย้ง
- สังขตธรรม..เกิดจาก..อสังขตธรรม
- ความมี..เกิดจาก..ความไม่มี
- ๑ ๒ ๓ ๔ ๕....เกิดจาก..ความไม่มี หรือสุญญตา
- ความขัดแย้ง..เกิดจาก..เอกภาพหรือความไม่ขัดแย้งหรือสุญญตา

๔. มาจาก..จุดยืน(Standpoint)ในระบบความคิดคือ...
- จุดยืนเห็นแก่ตัว..คือ..ปุถุชน..คือ..อัตตาธิปไตย
- จุดยืนเห็นแก่ส่วนรวม..คือ..กันยาณชน หรือประชาชน..คือ..โลกาธิปไตย
- จุดยืนสุญญตา..คือ..อริยบุคคล..คือ..ธรรมาธิปไตย

๕. มาจาก..อุดมการลัทธิประชาธิปไตยสมบูรณ์(Ideology) ที่ประกอบด้วย...
- ทฤษฎีทางโมกษธรรม นั่นคือ.."อริยสัจธรรม"(Noble Truth)
- ทฤษฎีทางปรัชญา..คือ..เอกภาพของด้านตรงข้ามในเอกภาพของความแตกต่าง สัจธรรม(Truth)
- ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์..คือ..อธิปไตยของปวงชนที่มีกรรมกรกับนายทุนชี้ขาด
- ทฤษฎีทางเศรษฐศาสต์..คือ..เศรษฐกิจเสรี รัฐวิสาหกิจ เศรษฐกิจพอเพียง

๖. มาจาก..อุดมคติสังคมประชาธิปไตย(Ideal) คือ...
..."สังคมประชาธิปไตยสมบูรณ์"(Noble Democratic Society)

๗. มาจากแนวทางประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ ร.๕ ร.๖ ร.๗ และนโยบาย ๖๖/๒๓ หรือการปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติ หรือการปฏิวัติสันติ(Peaceful Revolution) ตามหลักพุทธอหิงสาธรรม

๘. มาจากนโยบายสร้างประชาธิปไตย ทั้งนโยบายหลักและนโยบายเร่งด่วนฉะเพราะหน้า ทั้งด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม-วัฒนธรรม ด้านการทหาร ด้านการต่างประเทศ ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ ฯลฯ

๙. มีผู้แทนเขตพื้นที่(Constituency)จากทุกเขตและทุกอำเภอ ที่มาจากความเป็นชาติด้านดินแดนร่วมกัน

๑๐. มีผู้แทนอาชีพ(Walk of Life) มาจากทุกสาขาอาชีพ ที่มาจากความเป็นชาติด้านเศรษฐกิจร่วมกัน

๑๑. มีผู้แทนทั่วไป(General) ที่มาจาก...
- ผู้แทนการเมือง
- ผู้แทนภาษา
- ผู้แทนวัฒนธรรม
- ฯลฯ

๑๒. อำนาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereignty of the people) หรือ ระบอบประชาธิปไตย หรือมรรควิธีของการปกครองของประชาชน ซึ่งตรงข้ามกับมรรควิธีของการปกครองของคนส่วนน้อย หรืออำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย หรือระบอบเผด็จการ

๑๓. ผลประโยชน์และความผาสุกของปวงชนคนทั้งหมด

คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
พรรคการนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
สถาบันปฏิวัติสันติพุทธอหิงสาธรรมประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา ตามอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑
สมัชชากรรมกรแห่งชาติ
สภาชาวนาปฏิวัติสันติแห่งชาติ
สภาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งชาติ
ขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
โทร. ๐๘๙-๘๘๖-๐๘๖๘

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=465996460227647&set=a.147973522029944.1073741825.100004518901772&type=3&theater
รูปภาพ

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปฏิวัติสันติตอน ๒ (Peaceful Revolution 2) -(ต่อจากตอนที่แล้ว)

ปฏิวัติสันติตอน ๒ (Peaceful Revolution 2) -(ต่อจากตอนที่แล้ว)

๔. พรรคแรงงานประชาธิปไตย ต้องกระโดดเข้าช่วยการปฏิวัติของประชาธิปไตย เพราะต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ อันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดและจำเป็นที่สุดเพื่อแก้ไขความทรุดโทรมของประเทศ ชาติและความทุกข์ยากของประชาชน ร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วไปที่กำลังหนุนช่วยการปฏิวัติของ ประชาธิปไตยอย่างท่วมท้นล้นหลามอยู่ในขณะนี้ การช่วยการปฏิวัติของประชาธิปไตยให้ชนะจะต้องทำอย่างไรบ้าง ? ก่อนอื่นจะต้องทำสิ่งเหล่านี้ คือ
(๑) สนับสนุนนโยบาย ๖๖/๒๓ ให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจังและครบถ้วนเพราะนโยบาย ๖๖/๒๓ เป็นนโยบายประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ซึ่งมีความมุ่งหมายอันเป็นสารสำคัญที่จะทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และทำให้บุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ จึงไม่ใช่นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพราะนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นนโยบายเผด็จการ ๖๖/๒๓ เป็นนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ อันหมายถึงการเอาการปฏิวัติของประชาธิปไตยไปชนะการปฏิวัติของรคอมมิวนิสต์ นั่นเอง ฉะนั้น

๕. ขณะนี้โลกตกอยู่ในความจนมุม หาทางออกจากการที่จะถึงซึ่งความวินาศไม่ได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ชาติฉลาดเลิศแล้ว เพราะได้วิวัฒนาการมาถึงยุคนิวเคลียร์ ยุคอวกาศและยุคคอมพิวเตอร์ แต่ความฉลาดเลิศของมนุษย์ชาติวิปริตไป สมดังพระวชิรญาณวงศ์ภาษิตว่า วินาสกาเล วีปรีต พุทธิ ในกาลวินาศความฉลาดก็วิปริต เมื่อความฉลาดวิปริตก็เกิดความจนมุม หาทางออกไม่ได้ ประเทศไทย รักษาภาวะประเทศด้อยพัฒนา (Underdeveloped Country) มายาวนานจนถึงยุคคอมพิวเตอร์ หลายอย่างจึงทันสมัยเหมือนประเทศกำลังพัฒนา (Developing Country) และประเทศพัฒนา (Developed Country) บังเกิดภาพลวงตัวอันสวยงามให้นักวิชาการเป็นอันมากตะลึงงัน มองไม่เห็นความจนของประเทศอันเป็นเหตุแห่งความของประชาชน ถึงแม้จะยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ แต่ประเทศไทยก็ปฏิวัติแล้วเมือง พ.ศ. ๒๔๗๕ เดินไปในกรอบแห่งโครงสร้างการเมืองปัจจุบันนี้แหละ ดีเอง แต่ประชาชนทั่วไปเห็นว่าประเทศไทยต้องปฏิวัติ ขืนเดินไปในกรอบของโครงสร้างแบบนี้ ยิ่งเดินยิ่งพังเหตุนี้จึงพากันสนับสนุนข้อเสนอปฏิวัติของ พล.อ.ชวลิต กันอย่างท่วมท้นล้นหลาม และกระผมก็ได้ให้คำอธิบายเชิงวิชาการ สนับสนุนความเห็นที่ถูกต้องของประชาชนไว้ในข้อ (๓) แล้วว่า ทำไมประเทศไทยจึงต้องปฏิวัติ แต่การปฏิวัติของประเทศไทยมีลักษณะพิเศษ คือ เป็นการปฏิวัติสันติ (PEACEFUL REVOLUTION) ประเทศไทยจึงไม่เพียงแต่ต้องปฏิวัติเท่านั้น หากยังต้องปฏิวัติสันติอีกด้วย

ต่อไปนี้จึงขออธิบายว่า ทำไมประเทศไทยจึงต้องปฏิวัติสันติ ? เหตุที่ประชาชนต้องการปฏิวัติ ก็เพราะรู้สึกว่าบ้านเมืองจะไป ไม่ไหวแล้ว ชีวิตจะดำรงอยู่ไม่ได้แล้ว “ยุคพลตำรวจจบปริญญา รับแค่พันกว่า สมัครแล้ว ๖ หมื่นคน” (พาดหัวข่าว “ดาวสยาม” ๒๗ พ.ค. ๓๐) ฯลฯ คนไทยต้องการปฏิวัติเพราะต้องการจะแก้ไขประเทศไทย ต้องการจะแก้ไขชีวิตของคนไทย นี่เป็นธรรมดาของความต้องการปฏิบัติของประชาชนทุกประเทศที่ยังไม่ปฏิวัติหรือปฏิวัติยังไม่เสร็จ และการปฏิวัติก็เป็นเครื่องมือแก้ไขประเทศเทศและแก้ไขชีวิตของประชาชนได้จริง เหมือนในประเทศอื่นทั่วโลกที่ปฏิวัติกันมาแล้ว คนไทยเราหวังกันว่า เมื่อปฏิวัติแล้วประเทศไทยจะดีขึ้น ชีวิตของคนไทยดีขึ้น ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แต่ความสมหวังจากการปฏิวัติเช่นนี้จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ถ้าวันหนึ่งวันใดเกิดความผิดพลาดทางเทคโนโลยี่ในการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์โดยสมองกล มิใช่สมองคน ซึ่งเป็นความวิปริตอย่างหนึ่งของความฉลาดของมนุษยชาติ ที่เอาสมองคนไปขึ้นต่อสมองกล ซึ่งไว้ใจไม่ได้ว่ามันจะทรยศกดปุ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ โลกก็จะวินาศเป็นจุณมหาจุณ เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากลืมหันไปแล้วว่าเคยมีสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งแม้ว่าจะฆ่าฟันกันวินาศสันตะโรเพียงไร โลกก็ยังไม่วินาศเป็นจุณมหาจุณ แม้จะทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ก็วินาศเพียง ๒ เมือง เสร็จสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วนานๆ ก็รู้สึกว่าโลกสบายดี เพราะการเตรียมสงครามโลกครั้งต่อไปไม่น่ากลัวเหมือนเตรียมสงครามโลกครั้งก่อน ไม่มีการสร้างป้อมมายิโนต์ และสร้างกองทัพนาซีให้เห็นตำตา แต่สามารถเก็บอาวุธนิวเคลียร์ที่สะสมกันไว้กองโตเป็นภูเขาเลากาไม่ให้คนเห็น ทดลองระเบิดปรมาณูก็ทำใต้ดิน ไม่มีเครื่องจับก็ไม่รู้ แล้วยังมีองค์การสหประชาชาติและมีดุลแห่งอำนาจ ชาวโลกทั่วไปจึงไม่ห่วงว่าจะมีอันตรายจากโลก คนในประเทศพัฒนาและกำลังพัฒนาคิดแต่จะสร้างประเทศและสร้างชีวิตให้ดีขึ้น คนในประเทศด้วยพัฒนาก็คิดแต่จะปฏิวัติในประเทศของตน มีแต่ผู้บริหารประเทศที่เป็นเจ้าของภูเขาเลากาแห่งอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้น ที่หวาดกลัวอยู่ทุกเวลานาที ว่าความผิดพลาดทางเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นเมื่อไหล แต่ความหวาดกลัวนี้ก็ไม่มีทางออก ได้แต่พยายามรักษาดุลแห่งอำนาจด้วยต่างฝ่ายต่างเพิ่มจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ให้ทันกันเท่านั้น โดยถือเอาเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสรณะ ซึ่งเป็นความวิปริตเหลือหลายของความฉลาดของมนุษยชาติ ถ้าคนไทยได้รู้ความจริงของโลกอย่างนี้ จะทอดอาลัยตายอยากงอมืองอตีนไม่ปฏิวัติกระนั่นหรือ ? ยิ่งต้องปฏิวัติ

ตามเหตุผลที่จะได้กล่าวต่อไปนี้ การที่สังคมได้มีความเจริญอย่างสูง ดังที่เห็นกันอยู่ ก็เพราะมีการปฏิวัติ ถ้าอังกฤษไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๑๗ อเมริกาไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๑๘ ฝรั่งเศสไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๑๘ – ๑๙ ญี่ปุ่นไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๑๙ ประเทศเหล่านั้นก็จะไม่กลายเป็นประเทศพัฒนาและมหาอำนาจ ถ้ารัสเซียไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๒๐ ก็จะไม่กระโดดไปเป็นอภิมหาอำนาจทันเทียมสหรัฐ ถ้าจีนไม่ปฏิวัติเมื่อ ๔๐ ปีก่อน ก็จะเป็น “ยักษ์หลับแห่งเอเชีย” อยู่ต่อไป เหตุที่ได้กลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาเช่นเดียวกับอินเดียและหลายประเทศในเอเชีย ก็เพราะจีนและประเทศเหล่านั้นได้ทำการปฏิวัติภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่การปฏิวัติที่แล้วมา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติของประชาธิปไตยหรือการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ล้วนแต่เป็นการปฏิวัติรุนแรง (Violent Revolution) อังกฤษปฏิวัติด้วยสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพรัฐบาลกับกองทัพรัฐสภา และสำเร็จโทษพระเจ้าแผ่นดิน อเมริกาปฏิวัติด้วยสงครามประชาชาติและสงครามกลางเมือง ฝรั่งเศสปฏิวัติด้วยการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ ทารุณขาว (White Terror) ทารุณแดง (Red Terror) บั่นคอด้วยเครื่องกิลโยตีนแล้วกลางเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินี และสงครามนโปเลียนเพื่อขยายลัทธิประชาธิปไตยและลัทธิชาตินิยมไปทั่วยุโรป การปฏิวัติประชาธิปไตย นั้น ถือเอาการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นแบบฉบับ เรียกว่ามหาปฏิวัติฝรั่งเศส(Great French Revolution) ด้านหนึ่งก็คือแบบฉบับของการปฏิวัติรุนแรงนั่นเอง ซึ่งยากที่จะหาความรุนแรงของการปฏิวัติใดๆ ทั้งของประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์มาเปรียบเทียบได้ สงครามปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังด้วยกว่าสงครามนโปเลียน การสังหารพระเจ้าซาร์ในรัสเซีย ในการปฏิวัติที่ทำด้วยกัน (ทั้งๆ ที่ต่อสู้กัน) ระหว่างประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ ยังด้อยกว่าการบั่นเศียรด้วยเครื่องกิลโยตีนกลางเมือง
ถ้าจะมีเหนือกว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็เห็นจะได้แก่การปฏิวัติของเขมรแดง ภายใต้การนำของเอียงสารี ซึ่งฆ่าคนเขมรเทียบอัตราส่วนกันแล้ว มากกว่าการฆ่าคนฝรั่งเศสในมหาปฏิวัติ

อย่างไรก็ดี คนไทยถือว่าการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์รุนแรงกว่าการปฏิวัติของประชาธิปไตย คงจะดูจากด้านการทำลายชนชั้น เมื่อนายทุนทั้งชนชั้นถูกทำลาย จะโดยถูกฆ่าหรือโดยตัวคนยังอยู่แต่สูญสิ้นความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ย่อมเป็นความรุนแรงที่สุดอย่างแน่นอน ต่างกับการปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งแม้ว่าจะทารุณโหดร้ายสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ถึงกับทำลายชนชั้น ดูจากแง่นี้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์รุนแรงกว่าการปฏิวัติของประชาธิปไตย การปฏิวัติรุนแรงหมายถึงการปฏิวัติด้วยอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นในรูปสงคราม (War) ลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ (Armed Uprising) หรือรูปอื่นใด ทั้งของประชาธิปไตยและของคอมมิวนิสต์ทำอย่างเดียวกัน และคอมมิวนิสต์เอาอย่างความรุนแรงของประชาธิปไตยไปทำ เพราะลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดทีหลังลัทธิประชาธิปไตย แต่ถ้ากล่าวโดยส่วนรวม ในด้านปริมาณของการใช้อาวุธ การปฏิวัติของประชาธิปไตยรุนแรงกว่าการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ แต่กล่าวในด้านเป้าหมายของการใช้ความรุนแรงไปทำลาย คือ ชนชั้นทั้งหมดแล้ว การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์รุนแรงกว่าการปฏิวัติของประชาธิปไตย แม้ว่าการปฏิวัติในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา (หมายถึงการปฏิวัติทางการเมือง) ทั้งของคอมมิวนิสต์และของประชาธิปไตย จะมีแต่การปฏิวัติรุนแรงดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ในรูปแบบก็มีการปฏิวัติสันติ คือ การปฏิวัติที่ไม่ใช้อาวุธบ้างเหมือนกัน เช่น การปฏิวัติของญี่ปุ่นและของอินเดีย ซึ่งเป็นการปฏิวัติของประชาธิปไตย และการปฏิวัติสังคมนิยมของจีนก็เป็นการปฏิวัติสันติ เป็นต้น แต่การปฏิวัติสันติเหล่านั้นเป็นเพียงรูปแบบ หรือวิธีการ หรือยุทธวิธี มิใช่เนื้อแท้ หรือหลักการ หรือทฤษฎี

บางคนเห็นว่า การปฏิวัติด้วยอหิงสาของอินเดียเป็นทฤษฎี แต่ก็เป็นเพียงทฤษฎีของมหาตมะ คานธี ซึ่งกำหนดขึ้นโดยไม่มีความเป็นจริงทั่วไปเป็นรากฐาน เพียงแต่อาศัยสถานการณ์ของอินเดียเป็นรากฐานเท่านั้น จึงใช้ได้แต่เฉพาะกับอินเดียในช่วงนั้น ต่อมาอินเดียซึ่งเคยปฏิวัติด้วยอหิงสา ก็ต้องการอาวุธนิวเคลียร์เช่นเดียวกับประเทศอื่นที่ผ่านการปฏิวัติรุนแรง แท้จริง อหิงสาในภควัตคีตา ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มหาตมะ คานธี ยึดถือ แต่ต้องห้ามในพุทธศาสนานั้น มีความรุนแรงเป็นสาระสำคัญ รุนแรงภายในระบบสังคมนิยมเท่านั้น หากยังมีสงครามภายในระบบสังคมนิยมอีกด้วย คือสงครามระหว่างคอมมิวนิสต

ตรงกันข้ามกับอหิงสาในพุทธศาสนา ซึ่งมีสันติเป็นสาระสำคัญ ฉะนั้น โดยเนื้อแท้แล้ว การปฏิวัติของอินเดียยังคงอยู่ในขอบเขตของการปฏิวัติรุนแรง เป็นอันว่า กล่าวโดยเนื้อแท้ในโลกยังไม่เคยมีการปฏิวัติสันติ ก็เพราะโลกยังไม่เคยอำนวยเงื่อนไขให้ประเทศหนึ่งประเทศใดสามารถทำการปฏิวัติสันติถึงระดับทฤษฎีได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติของประชาธิปไตยหรือจะเป็นการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ก็ตาม การปฏิวัติสันติที่เคยมีมาบ้าง เป็นเพียงรูปแบบ วิธีการหรือยุทธวิธีเท่านั้น แต่การปฏิวัติรุนแรงหรือการปฏิวัติด้วยอาวุธนั้นเอง เป็นเครื่องสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อารยธรรมของโลกเป็นลำดับมา การปฏิวัติของอังกฤษในศตวรรษที่ ๑๗ ได้สร้างความไพบูลย์อย่างมหาศาลให้แก่ประเทศอังกฤษ มีผลให้ชาวอังกฤษส่วนใหญ่พ้นจากความยากจน การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ถือกันว่าเป็นแม่บทของระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น ฯลฯ ก็เช่นเดียวกัน ประเทศคอมมิวนิสต์ เช่น โซเวียต และจีน ที่เจริญรุ่งเรืองมาก็เพราะทำการปฏิวัติด้วยอาวุธเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ก็ตาม อาวุธเป็นสิ่งน่ากลัว แต่ความน่ากลัวนั่นเองที่ทำให้อาวุธเป็นเครื่องมืออันจำเป็นไม่เฉพาะแต่ของการปฏิวัติในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเท่านั้น หากยังเป็นเครื่องมืออันจำเป็นของการแก้ปัญหาการเมืองทั้งปวงตลอดมาอีกด้วย ถ้าคนไทยไม่ใช้อาวุธ จะรักษาบ้านเมืองมาได้อย่างไร ถ้าคนไทยไม่ใช้อาวุธจะขับไล่พม่าข้าศึกออกไปได้อย่างไร

ฉะนั้น การปฏิวัติรุนแรงในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จึงไม่มีข้อตำหนิแต่อย่างใดเลยในแง่ที่เป็นสิ่งหลีกไม่พ้น แต่คุณประโยชน์ของการปฏิวัติด้วยอาวุธมีความจำกัดตามปกติภาพของมัน กล่าวคือ การปฏิวัติรุนแรงได้สร้างความรุ่งเรืองอย่างน่าอัศจรรย์ให้แก่การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ดังเช่นความเจริญรุ่งเรืองในนสหรัฐ โซเวียต อังกฤษ ญี่ปุ่น ฯลฯ แต่ไม่สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ลักษณะนิสัยใจคน การเมือง เศรษฐกิจ-สังคม และวัฒนธรรมของประเทศเหล่านั้น ดีขึ้นมากมายจากการปฏิวัติรุนแรงด้วยอาวุธ แต่ลักษณะนิสัยใจคนจองประเทศเหล่านั้นไม่ได้ดีขึ้นเลยจากการปฏิวัติด้วยอาวุธ กลับมากไปด้วยความโลภและความโหดร้ายยิ่งขึ้น คนอังกฤษภายหลังการปฏิวัติได้ขยายลัทธิล่าอาณานิคมและสร้างลัทธิจักรพรรดินิยมขึ้นเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ เป็นอาณาจักรใหญ่โตขนาดพระอาทิตย์ไม่ตกดิน รวมถึงเข้ามาเฉือนดินแดนของไทยไปเฉยๆ เสียมากมาย แต่ที่ฮุบประเทศไทยไม่ได้ ก็เพราะพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง คนฝรั่งเศส คนอเมริกา คนญี่ปุ่น คนเยอรมัน ฯลฯ ก็มีพฤติกรรมทำนองเดียวกัน ซึ่งมีผลให้สงครามที่ก่อนยุคปฏิวัติในยุโรป มีแต่สงครามเฉพาะส่วนเท่านั้น แต่พอหลังยุคปฏิวัติเกิดมีสงครามโลก แต่ก่อนมีคนตั้งความหวังกันไว้มากว่า การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์จะเป็นเครื่องแก้ลักษณะนิสัยใจคนได้ แต่ความจริงก็ปรากฏว่า การปฏิวัติสงคมนิยมก็แก้ได้แต่เฉพาะการเมือง เศรษฐกิจ-สังคม และวัฒนธรรม แต่ไม่สามารถแก้ลักษณะนิสัยใจคน เช่นเดียวกับการปฏิวัติของประชาธิปไตยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ไม่เพียงแต่จะเกิดความแตกแยกขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในระบบสังคมนิยมเท่านั้น หากยังมีสงครามภายในระบบสังคมนิยมอีกด้วย คือสงครามระหว่างคอมมิวนิสต์ฝ่ายจีน กับคอมมิวนิสต์ฝ่ายโซเวียต ในประเทศกัมพูชาติดต่อกับบ้านเรานี่เอง การปฏิวัติของประชาธิปไตย ปฏิวัติแล้วเป็นอารยสังคม (Civil Society) นึกว่าจะมีสันติสุข กลับรบกันเองสะบั้นหั่นแหลก จนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒
การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ปฏิวัติแล้วเป็นสังคมนิยม (Socialist Society) นึกว่าจะมีสันติสุข สังคมนิยมยักษ์ใหญ่กลับฮึ่มๆ เข้าใส่กันจะรบกันให้ได้ และสังคมนิยมก็กำลังรบกันเอง คือคอมมิวนิสต์เฮงสัมรินกับคอมมิวนิสต์เขียวสัมพันธ์ ทำนองเดียวกับเสรีนิยมที่กำลังรบกันเอง คือ อิหร่าน กับอีรัก แต่สงครามอาณาบริเวณ (Regional War) ไม่สามารถใช้อาวุธยุทธศาสตร์ จึงไม่เป็นอันตรายต่อโลก เป็นอันตรายแต่เฉพาะอาณาบริเวณนั้นๆ เท่านั้น แต่ปัญหาอาวุธไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้ หากไปไกลถึงกองพะเนินเทินทึกแห่งอาวุธนิวเคลียร์ ที่แต่ละประเทศสะสมกันไว้รวมแล้วมีปริมาณพอที่จะเบิดโลกได้ ทั้งหมดนี้เป็นผลอันไม่อาจจะหลีกเลี่ยงของการปฏิวัติด้วยอาวุธในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ทั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตยและการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ หมายความว่า การปฏิวัติรุนแรง การปฏิวัติด้วยอาวุธ ทั้งของประชาธิปไตยและของคอมมิวนิสต์ แม้ว่าจะได้สร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองทางการเมือง เศรษฐกิจ-สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะคือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ อย่างมหัศจรรย์ไม่น่าเชื่อสักเพียงใดก็ตาม แต่การปฏิวัตินั้นก็ไม่สามารถแก้ไขลักษณะนิสัยใจมนุษย์ให้ดีขึ้นแต่อย่างใดเลย ทัศนคติต่อสงครามและอาวุธ ทั้งในอารยสังคมและในสังคมสังคมนิยม มิได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตแต่อย่างใดเลย โดยสาระสำคัญคือความคิดที่ว่า สงครามและอาวุธเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาของมนุษย์ เป็นพลังผลักดันความก้าวหน้าของสังคม แม้ว่าสงครามจะเป็นปีศาจร้าย แต่มนุษย์ก็จะขจัดสงครามได้ด้วยสงครามเท่านั้น การเตรียมสงครามและสะสมอาวุธเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของแต่ละประเทศ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล จึงต้องแสวงหาความชอบธรรมไม่แต่เพียงเพื่อการป้องกันตัวของแต่ละประเทศ หากยังเพื่อพัฒนาโลกตามอุดมคติของแต่ละลัทธิที่ประเทศตนยึดถืออีกด้วย สหรัฐและโซเวียตแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ อ้างว่ามิใช่เพื่อทำสงครามโลก แต่เพื่อพิทักษ์สันติภาพโลก ฮิตเล่อร์ก่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็อ้างว่าเพื่อสร้างโลกใหม่แห่งสันติสุข ญี่ปุ่น เข้าร่วมสงครามโลกเพื่อสร้างวงไพบูลย์ร่วมกัน หลายปีที่แล้วจีนประกาศคติพจน์กึกก้องอยู่ทุกวันว่า อำนาจรัฐออกจากปากกระบอกปืน ปฏิวัติด้วยความรุนแรง และดัดแปลงโลกด้วยสงคราม เหล่านี้คือตัวอย่างรูปธรรมของทัศนตคิต่อสงครามและอาวุธ อันเป็นผลของการปฏิวัติรุนแรงในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ สรุปเป็นคำเดียวก็คือ ยืนยันใช้อาวุธ ข้อสรุปนี้เป็นสัจจธรรมในอดีต แต่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะในอดีตไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ การใช้อาวุธจึงแก้ปัญหาได้ อำนาจรัฐออกจากปากกระบอกปืนได้ ปฏิวัติด้วยความรุนแรงได้ ดัดแปลงโลกด้วยสงครามได้ แต่ลูกระเบิดนิวเคลียร์ไม่สามารถผลิตอำนาจรัฐ ไม่สามารถปฏิวัติ และไม่สามารถดัดแปลงโลกด้วยสงคราม มีแต่จะระเบิดโลกให้เป็นจุณมหาจุณไปเท่านั้น

แต่ผู้นำระดับโลกบางคนมีความเห็นว่า สงครามนิวเคลียร์ไม่สามารถจะผลาญชีวิตให้หมดโลกได้ มนุษย์ที่เหลือจะพัฒนาโลกให้ก้าวหน้าไปกว่าเดิมจึงไม่มีเหตุผลที่จะหวาดกลัวต่อสงครามนิวเคลียร์ ความหวาดกลัวต่อสงครามนิวเคลียร์คือการมองมนุษยชาติในแง่ร้าย (Pressimitic) ความเห็นแบบนี้ของผู้นำระดับโลก เป็นสติวิปลาส เหนือกว่าความวิปริตค่อยยังชั่วที่ผู้นำประเภทนี้ตกกระป๋องไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่ประเภทความฉลาดวิปริต ที่กลัวสงครามนิวเคลียร์ แต่ก็แข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ไว้เป็นภูเขาเลากาโดยคนดูไม่เห็น ภายใต้การควบคุมของสมองกล ไม่ใช่สมองคน ซึ่งเป็นผลิตผลที่มีขึ้นตามปกติภาพของการปฏิวัติด้วยอาวุธ ทั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตยและการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ จึงเห็นได้ว่า ความวินาศของโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของสงครามนิวเคลียร์เท่านั้น ข้อสำคัญขึ้นอยู่กับกองพะเนินเทินทึกแห่งอาวุธนิวเคลียร์ ความเป็นไปได้ของการเกิดสงครามนิวเคลียร์โดยเจตนาคงจะลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะผู้นำระดับโลกในปัจจุบันมีความหวาดกลัวต่อสงครามนิวเคลียร์ แต่ความเป็นไปได้ของอุบัติเหตุจากความผิดผลาดทางเทคโนโลยีมิได้ลดลงเลย ปัญหาสำคัญที่สุดของโลกปัจจุบันจึงอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรกับกองพะเนินเทินทึกแห่งอาวุธนิวเคลียร์ นักวิทยาศาสตร์กลัวบ้านเมืองจะถล่มทะลาย เพราะมองเห็นกระแสพลังงานมหึมาที่ไหลวนเวียนอยู่ใต้ดินไม่รู้ว่ามันจะเกิดพลุ่งพล่านขึ้นมาเมื่อไหร่ นักดาราศาสตร์ไม่กล้ารับรองว่าดาวหางใหญ่ๆ จะไม่เกิดชนโลก นักโหราศาสตร์กลัวโลกจะแตกเพราะดาวนพเคราะห์ทุกดวงโคจรมาอยู่ในเส้นตรง แต่กองพะเนินเทินทึกแห่งอาวุธนิวเคลียร์น่ากลัวกว่านั้นหลายร้อยหลายพันเท่า และเป็นความน่ากลัวที่เป็นจริง ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน วิธีการลดอาวุธที่พยายามทำกันอยู่ ไร้ผลเช่นเดียวกับที่เคยทำกันมาแล้วเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะตั้งแต่คองเกรสแห่งเวียนนา และสันนิบาตชาติ จนถึงองค์การสหประชาชาติ เพราะเป็นวิธีการภายใต้สภาวการณ์เดิม ซึ่งสาระสำคัญก็คือว่า ถึงแม้สังคมทั้งของโลกเสรีนิยมและโลกสังคมนิยมจะดีขึ้นมากมายจากการปฏิวัติก็ตามที แต่ลักษณะนิสัยใจมนุษย์ไม่ได้ดีขึ้นเลยดังกล่าวมาแล้ว ทำให้ประเทศทั้งหลายไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ตั้งแต่อภิมหาอำนาจลงมาจนถึงอนุประเทศ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับภูเขาเลากาแห่งอาวุธนิวเคลียร์ สหรัฐไม่รู้จะทำอย่างไร โซเวียตไม่รู้จะทำอย่างไร จีนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ต่างเข้าตาจนจำนนจนมุมกันไปทั่วทั้งโลก แต่ประเทศไทยมีทางออกให้แก่โลก เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เพ้อฝัน ก็คือการปฏิวัติสันตินี่เอง ซึ่งจะมีขึ้นในประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลก ถ้าประเทศไทยซึ่งทำการปฏิวัติสันติสำไม่สำเร็จ ทำการปฏิวัติรุนแรง เหมือนอย่างการปฏิวัติของประเทศทั้งหลายทั่วโลกมาแล้ว ก็จะมีผลแต่เฉพาะการแก้ป้ญหาของประเทศไทย อย่างเดียวกับการปฏิวัติของประเทศเหล่านั้น แต่ถ้าประเทศไทยทำการปฏิวัติสันติภายใต้สถานการณ์โลกปัจจุบัน ก็ไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาของประเทศไทยให้ตกไปเท่านั้น ข้อสำคัญยังจะช่วยโลกให้พ้นจากการที่จะถึงซึ่งความวินาศได้ด้วย เพราะว่าการปฏิวัติสันติของประเทศไทย จะสามารถปลดปล่อยความฉลาดของมนุษยชาติจากพันธนาการแห่งความวิปริตได้ (ยังมีต่อ)

edit:ครูทองคำ วิรัตน์ email:thongkrm_virut@yahoo.com

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปฏิวัติสันติ ตอน ๑ Peaceful Revolution (1)

 ปฏิวัติสันติ ตอน ๑ Peaceful Revolution (1)


ทุกท่านที่ติดตามสถาการณ์ทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ จะสังเกตุเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนชั้นผู้ปกครอง กลุ่มประชาชน ต่างๆ ละทิ้งไม่ค่อยจะเสนอการต่อสู้แบบสันติกัน ซึ่งเป็น การละทิ้งหลักการที่สำคัญของชาติไทยที่กำหนดให้การต่อสู้ตามแนวทางสันติเท่า นั้น ตามลักษณะพิเศษของสังคมไทย ท่านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรท่านได้สรุปประเด็นนี้ไว้อย่างละเอียดและชัดเจน และได้สรุปคาดกาลไว้เลยล่วงหน้าว่า การสร้างประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนในประเทศไทย จะสำเร็จได้ก็แต่โดยวิธีการต่อสู้แบบสันติ เท่านั้น และก็จะเป็นประเทศแรกของโลก ซึ่งจะเป็นหลักเป็นแบบอย่างของการแก้ปัญหาต่างของประเทศต่างๆ และเป็นหลักสำคัญ เป็นหลักประกันต่อสันติภาพโลก
ข้อเขียน มี ทั้งหมด 3 ตอน เขียนเพื่อเสนอต่อประชาชน เมื่อปี 2530
ปฏิวัติสันติ ตอน ๑ Peaceful Revolution (1)
ปฏิวัติสันติ ตอน ๑
Peaceful Revolution (1)
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ขอนำเสนอเอกสารงานวิชาการชิ้นสำคัญเรื่อง “ การปฏิวัติสันติ” (Peaceful Revolution)ด้วยพุทธอหิงสาธรรม(ตอนที่ ๑)" อันเป็นความมุ่งหมายของขบวนฯในการทำงานให้บรรลุตามมรรควิธี ผลักดันให้ประเทศไทยได้นำโลกตามแนวทางที่ปราชญ์ราชบัณฑิตได้วางไว้ อันเป็นการสร้างประชาธิปไตยในชาติไปพร้อมกับการสร้างธรรมาธิปไตยในจิตใจไป พร้อมกัน ซึ่งนับว่าเป็นงานปฏิวัติอันสูงส่งที่สุดแห่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ เรียกได้ว่าเป็น “มนุษยปฏิวัติ” (Human Revolution) โดยประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมือง ที่จะนำโลกก้าวขึ้นสู่ยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่(Post Modern History) เป็นการพัฒนาการปฏิวัติขั้นสูงสุด ประเทศไทยนำโลก โดยการตัดเนื้อความมาจากการเขียนของอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรจากเอกสารของพรรคแรงงานประชาธิปไตย ดังปรากฎอยู่ตามเนื้อความดังต่อไปนี้
พรรคแรงงานประชาธิปไตย แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เรื่อง การเข้าร่วมการเลือกตั้งซ่อมในกรุงเทพมหานคร เขต ๓ ณ โรงแรมรอแยล ถนนราชดำเนิน ๑๕ พ.ค. ๒๕๓๐ การเข้าร่วมการเลือกตั้งซ่อมที่ขอนแก่น พรรคแรงงานประชาธิปไตยมีความมุ่งหมาย เพื่อจำแนกความแตกต่างระหว่างพรรคแรงงานฯ ซึ่งเป็นพรรคของประชาชน กับพรรคอื่น ซึ่งเป็นพรรคของประชาชนกับพรรคอื่นซึ่งเป็นพรรคของคนส่วนน้อย การเข้าร่วมการเลือกตั้งซ่อมในกรุงเทพมหานครครั้งนี้ พรรคแรงงานฯ มีความมุ่งหมาย เพื่ออธิบายเชิงวิชาการอย่างชัดเจน เรื่องการปฏิวัติ ข้อความตอนหนึ่งในนโยบายการเมืองของพรรคแรงงานฯ มีว่า "ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคนเรา ทุกสิ่งทุกอย่างในคนเราจะสำเร็จได้ด้วยความรู้ ดังพระพุทธภาษิตว่า ปัญญา นรานัง รัตตนัง ความรู้รอบเป็นดวงแก้วของนรชน แต่จะต้องรรู้ถูกถึงจะเกิดผลดี ถ้ารู้ผิดก็จะเกิดผลร้าย ดังพระพุทธภาษิตว่า สุวิชชาโน ภวัง โหติ ทุวิชชโน ปราภโว ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ ผู้รู้ชั่วเป็นผู้ฉิบหาย จะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ต้องมีความรู้เรื่องประชาธิปไตย และจะต้องรู้เรื่องประชาธิปไตยให้ถูกด้วย ถ้าไม่รู้ประชาธิปไตย หรือรู้ประชาธิปไตยผิดๆ ก็ไม่แต่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เท่านั้น หากจะพา
ประเทศชาติไปสู่ความล่มจมอีกด้วย เราได้เผยแพร่ประชาธิปไตยกันมาก แต่ก็ปรากฎว่า มีการเผยแพร่ประชาธิปไตยผิดๆ กันมากเหลือเหมือนกัน ความรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง หมายความถึงความรู้ในลัทธิประชาธิปไตยสากลนิยม แล้วนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของประเทศไทย กลายเป็นประชาธิปไตยไทย เหตุสำคัญที่สุดของความล้มเหลวของประชาธิปไตยในประเทศไทย ก็คือการขาดความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องประชาธิปไตยนั่นเอง พรรคแรงงานประชาธิปไตย ได้ค้นคว้าความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องประชาธิปไตย และจะเผยแพร่ประชาธิปไตยดังกล่าวแก่ประชาชน โดยเห็นว่า ถ้าประชาชนมีความรู้เรื่องประชาธิปไตยอย่างถูกต้องแล้ว ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยจะสำเร็จอย่างแน่นอน" นี่คือข้อความตอนหนึ่งในโยบายการเมืองของพรรคแรงงานประชาธิปไตย
วิชาปฏิวัติเป็นความรู้สำคัญแขนงหนึ่งในลัทธิประชาธิปไตย จะรู้ลัทธิประชาธิปไตย ต้องรู้วิชาปฏิวัติ ฉะนั้น จึงเป็นภารกิจพรรคแรงงานฯ ในการเผยแพร่ให้ความรู้ประชาธิปไตย ที่จะต้องเผยแพร่ความรู้ปฏิวัติ ตั้งแต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผบ.ทบ. ได้เสนอเรื่องการปฏิวัติเป็นต้นมา ได้มีการอธิบายการปฏิวัติเป็นมาก ทั้งโดย พล.อ.ชวลิต เอง และโดยบุคคลอื่น แต่ยังขาดความสมบูรณ์อย่างมาก ยงไม่สามารถแก้ความสับสนในความเข้าใจของผู้คน โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการบางส่วน พรรคแรงงานฯ เห็นความจำเป็นที่จะต้องอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่าง พล.อ.ชวลิต ไม่ใช่เป็นผู้นำทางการคนแรกที่เสนอเรื่องปฏิวัติ ผู้นำทางการคนแรกที่เสนอเรื่องปฏิวัติ คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งได้ตั้งคณะปฏิวัติ และเสนอว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่น นอกจากทำการปฏิวัติ (ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๔ ลว. ๒๑ ค.ค. ๐๑ เพื่อนำเอาหลักนิยมในระบอบประชาธิปไตยมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับความเป็นอยู่ ของของประชาชนชาวไทย (ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลง. ๒๒ ต.ค. ๐๑ ) และได้พยายามแยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ว่า การกระทำครั้งนี้เป็ฯการปฏิวัติ ไม่ใช่เพียงรัฐประหาร อย่างที่เคยทำกันมาในครั้งก่อนๆ
แต่การปฏิวัติของ จอมพลสฤษดิ์ล้มเหลว และกลายเป็นเพียงรัฐประหารเหมือนครั้งก่อนๆ ไป ก็เพราะจอมพลสฤษดิ์เสนอการปฏิวัติและทำการปฏิวัติ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีสถานการณ์ปฏิวัติ และไม่ได้แยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารให้เด็ดขาด ประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์ปฏิวัติเมื่อภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๙ พล.อ.ชวลิต เสนอเรื่องปฏิวัติขึ้นมาในท่ามกลางสถานการณ์ปฏิวัติ จึงได้รับการขานรับจากประชาชนอย่างท้วมท้นล้นหลาม นอกจากเสนอเรื่องปฏิวัติในสถานการณ์ปฏิวัติแล้ว พอ.อ.ชวชิต ยังแยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารอย่างเด็ดขาดอีกด้วย โดยไม่ยอมทำรัฐประหารแม้จะมีโอกาส และยืนยันว่า จะทำการปฏิวัติเท่านั้น ต่างกับ จอมพลสฤษดิ์ และคณะราษฎร ซึ่งแม้ว่าจะแยกการปฏิวัติออกากรัฐประหาร แต่ก็ทำทั้ง ๒ อย่างควบกัน และพล.อ.ชวลิตยังเสนอการปฏิวัติสันติอีกด้วย ฉะนั้น ข้อเสนอปฏิวัติของ พอ.อ.ชวลิต ซึ่งประกอบด้วย (๑) เสนอเรื่องปฏิวัติในสถานการณ์ปฏิวัติ ๒/แยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารอย่างเด็ดขาด ๓/เสนอการปฏิวัติสันติ จึงเหนือกว่าข้อเสนอปฏิวัติของบุคคลอื่นที่แล้วมา จึงได้รับ
ความสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลาม และเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่การปฏิวัติของประเทศไทย โดยที่การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีขึ้นในสถานการณ์ปฏิวัติ ภายใต้ข้อเสนอปฏิวัติของ พล.อ.ชวลิต ที่มีประโยชน์ใหญ่หลวงแก่การปฏิวัติของประเทศไทย และพรรคแรงงานฯ ซึ่งสนับสนุนการปฏิวัติตามข้อเสนอของ พอ.อ.ชวลิต ได้ถูกมองอย่างไม่ถูกต้องจากหลายๆ ฝ่ายเกี่ยวกับปัญหาการปฏิวัติ
ฉะนั้น พรรคแรงงาน" จึงถือเอาภารกิจในการอธิบายเชิงวิชาการเรื่องการปฏิวัติ เป็นเนื้อหาสำคัญของการรณรงค์เลือกตั้งครั้งนี้ ดังต่อไปนี้
๑. การอธิบายความหมายทั่วไปของการปฏิวัติ ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นนั้น ยังไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มเติมว่าเป็นการเปลี่ยน ลักษณะด้วย จึงจะเป็นการปฏิวัติ ถ้าเพียงแต่เปลี่ยนรูป แม้ว่าจะเปลี่ยนให้ดีขึ้น ก็ไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นการปฏิรูปเท่านั้น อย่างเช่นการเปลี่ยนคนตามคติของพุทธศาสนา การเปลี่ยนคนพาลเป็นบัณฑิตเป็นการเปลี่ยนลักษณะเป็นการปฏิวัติ การเปลี่ยนพาลมากเป็นพาลน้อยเป็นการเปลี่ยนรูป เป็นการปฏิรูป การเปลี่ยนปุถุชนเป็นพระอริยบุคคลเป็นการเปลี่ยนลักษณะ เป็นการปฏิวัติ การเปลี่ยนพระอริยบุคคลระดับต่ำเป็นอริยบุคคลระดับสูงคือ เปลี่ยนพระโสดาบันเป็นพระสกิทาคามี เปลี่ยนพระสกิทาคามีเป็นพระอนาคามี เปลี่ยนพระอนาคามีเป็นพระอรหันต์ เป็นการปลี่ยนรูป เป็นการปฏิรูป เป็นต้น ฉะนั้น ความหมายทั่วไปของการปฏิวัติ ที่ว่าเปลี่ยนให้ดีขึ้น หมายถึงการเปลี่ยนลักษณะ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนรูป กล่าวโดยทั่วไป การปฏิวัติมีในทุกสิ่ง ทั้งด้านธรรมชาติ ด้านสังคม และด้านจิตใจ แต่ถ้าจะเข้าใจการปฏิวัติให้สมบูรณ์และเพื่อผลทางปฏิวัติ จะต้องเน้นการศึกษาการปฏิวัติอย่างเป็นรูป ซึ่งจะได้ยกมาอธิบายเป็นเรื่องๆ รายๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม
๒.รูปธรรมของการปฏิวัติ ที่พล.อ.ชวลิตเสนอนั้น ก่อนอื่นหมายถึงการปฏิวัติทางการเมืองเป็นสำคัญ ไม่ใช่การปฏิวัติทางธรรม ทางศาสนา ทางจิตใจ หรือทางอื่นๆ ปัญหาแรกที่จะต้องทำความเข้าใจในการปฏิวัติทางการเมืองคือ ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มีการปฏิวัติทางการเมือง ๒ ชนิด คือ การปฏิวัติประชาธิปไตย และการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ หลายคนไม่เข้าหรือแกล้งไม่เข้าใจว่า การปฏิวัติมี ๒ ชนิด แต่เที่ยวโฆษนาว่า การปฏิวัติมีแต่ของคอมนิสต์ คอมมิวนิสต์เท่านั้นปฏิวัติ พวกอื่นไม่ปฏิวัติ ปฏิวัติคือคอมมิวนิสต์ คนไหนคิดหรือทำการปฏิวัติ คนนั้นเป็นคอมมิวนิสต์หรือสนับสนุนคอมมิวนิส การปฏิวัติเป็นของประชาธิปไตยมาก่อน ลัทธิประชาธิปไตยในยุโรปทำการปฏิวัติกันครึกครื้นตั้งแต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่เกิด การปฏวัติของประชาธิปไตยในอังกฤษเกิดก่อนคาลมากซ์เกิด ๒๕๖ ปี มหาปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดก่อนคาลมากซ์เกิด ๒๙ ปี พวกคอมิวนิสต์เอาอย่างการปฏิวัติของพวกประชาธิปไตยไปทำ โดยเปลี่ยนเนื้อหาให้เป็นคอมมิวนิสต์
ในตอนกลางของมหาปฏิวัติฝรั่งเศส(Great French Revolution) คือปี ๑๘๔๘ เกิดลัทธคอมมิวนิสต์ขึ้น ทำให้การปฏิวัติซึ่งเดิมที่มีแต่ของประชาธิปไตยอย่างเดียว เกิดมีของคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาการปฏิวัติในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ก็มี ๒ อย่างคู่กันมาในทุกประเทศที่ยังไม่ปฏิวัติหรือปฏิวัติยังไม่เสร็จ คือ การปฏิวัติของประชาธิปไตย กับ การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ แต่ไม่ได้คู่กันมาเฉยๆ หากต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย และการต่อสู้ระหว่างการปฏิวัติ ๒ อย่างนี้ กลายเป็นเครื่องตัดสินว่า ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยหรือจะเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าการปฏิวัติของประชาธิปไตยชนะ ประเทศก็เป็นประชาธิปไตย ถ้าการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ ประเทศก็เป็นคอมมิวนิสต์ สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเดิมมหาปฏิวัติของประชาธิปไตยขึ้นในปี ๑๗๘๙ พอถึงตอนกลางของการปฏิวัติคือ ปี ๑๘๔๘ ก็เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างการปฏิวัติของประชาธิปไตยกับการปฏิวัติของ คอมมิวนิสต์ขึ้นถึงขั้นสูงสุดในสงครามกลางเมืองของฝรั่งเศส ปี ๑๘๗๑ ระหว่างรัฐบาลปารีของคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลแวร์ซายลส์ของเสรีนิยม รัฐบาลแวซายลส์ การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์จึงพ่ายแพ้ อาศัยประสบการณ์ในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์มา ๒๐ กว่าปี เมื่อชนะคอมมิวนิสต์ในสงครามกลางเมืองแล้ว พวกเสรีนิยมจึงทำการปฏิวัติของประชาธิปไตยให้เสร็จสิ้น ประเทศฝรั่งจึงเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่นั้นมา
ในรัสเซีย สถานการณ์ตรงกันข้ามกับฝรั่งเศส การต่อสู้ระหว่างการปฏิวัติของประชาธิปไตยกับปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ เริ่มดุเดือดตั้งแต่ ป. ๑๙๐๕ และจบลงในปี ๑๙๑๗ ด้วยชัยชนะของคอมมิวนิสต์ การปฏิวัติของประชาธิปไตยแพ้ยับเยิน รัสเซียจึงกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศแรกในโลก การปฏิวัติในประเทศอื่นๆ ต่อมา เช่น ในอินเดีย ในเมเลเซีย ในสิงคโปร์ ในอินโดนีเซีย ฯลฯ การปฏิวัติของประชาธิปไตยชนะต่อการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ประเทศเหล่านั้นจึงเป็นประชาธิปไตย ส่วนในยุโรปตะวันออก ในจีน ในอินโดจีน ฯลฯ การปฏิวัติของประชาธิปไตยพ่ายแพ้แก่การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ประเทศเหล่านั้นจึงเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยก็มีการปฏิวัติ ๒ อย่าง เช่นเดียวกัน ปัญหาในบ้านเราจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า จะปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติแต่อยู่ที่ว่าจะให้การปฏิวัติของประชาธิปไตยขนะ หรือจะให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับว่า พวกเราคนไทยต้องการจะให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย หรือต้องการจะให้ประเทศไทยเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ก็จงจัดการให้การปฏิวัติประชาธิปไตยชนะ ถ้าต้องการให้ประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ ก็จงจัดการให้กากรปฏิวัติรคอมมิวนิสต์ชนะ
ไม่ต้องสงสัยเลย คนไทยส่วนข้างมากที่สุดต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย จึงต้องการให้การปฏิวัติของประขาธิปไตยชนะต่อการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ หลักฐานสำคัญดูได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า พอ พล.อ.ชวลิต เสนอการปฏิวัติของประชาธิปไตยขึ้นมา ประชาชนทั่วประเ...ทศก็ให้ความนสนับสนุนอย่างท่วมทันล้นหลาม ต่างกับการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) เสนอและดำเนินการมานานแล้ว ถึงกับทำสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ แต่ก็ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนในวงแคบๆ เท่านั้น เปรียบกันไม่ได้เลยกับการปฎิวัติของประชาธิปไตย ซึ่งเสนอโดย พล.อ.ชวลิต ถึงกระนั้น ประเทศไทยก็ยังมีอันตรายของการเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะมีคนไทยจำนวนหนึ่ง ทั้งๆ ที่พูดว่าต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย แต่กลับไปจัดการเพื่อให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ
จะเห็นได้ว่า พอ พล.อ.ชวลิต เสนอการปฏิวัติของประชาธิปไตยขึ้น คอมมิวนิสต์ก็จะระดมกำลังกันต่อต้านขัดขวางอย่างอุตหลุดด้วยมาตรการร้อยแปด เช่น ระดมนักศึกษาที่เดินตามเขาให้เคลื่อนไหวต่อต้าน และ พคท. ออกเอกสารใต้ดินต่อต้านโดยตรง โดยเฉพาะพยายามโฆษณาว่า พล.อ.ชวลิต เป็นนักปฏิวัติจอมปลอม แต่ลำพัง พคท. ไม่สามารถจะขัดขวางกิจกรรมปฏิวัติของ พล.อ.ชวลิตได้ แต่พลังการเมืองมหาศาลที่ขานรับความต้องการของ พคท. โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ในการต่อต้านกิจกรรมปฏิวัติของประชาธิ ปไตยที่เสนอโดย พล.อ.ชวลิต ที่เห็นๆ กันอยู่ต่างหาก จะสามารถสนองความต้องการของ พคท. ในการหยุดยั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตยได้ ด้วยวิธีการร้อยแปดเช่นกัน แต่ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาที่สุด คือ กล่าวหาการปฏิวัติของประชาธิปไตย ซึ่งเสนอโดย พล.อ.ชวลิต หรือโดยใครก็ตามว่า เป็นคอมมิวนิสต์ การหยุดยั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตย ก็คือการช่วยให้คอมมิวนิสต์ชนะนั่นเอง ไม่มีวิธีใดจะช่วยให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ ดีไปกว่าการยับยั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตย มีตัวอย่างมาแล้วในหลายประเทศ ฉะนั้น ปัญหาที่จะต้องสนใจเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ก็คือ ปัญหาการกระทำของคนจำนวนหนึ่งที่ระดมกำลังกันขัดขวางยั้บยั้งการปฏิวัติของ ประชาธิปไตย เพื่อให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ ทั้งๆ ที่ตนเองต้องการให้ประเทศเราเป็นประชาธิปไตย นั่นเอง
๓. ทำไมประเทศไทยต้องปฏิวัติ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่๒ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ และฉบับที่ ๔ วันเดียวกันซึ่งเขียนโดยหลวงวิจิตรวาทการ นักประวัติศาสตร์คนสำคัญ เขียนได้ถูกต้องว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่น นอกจา...กทำการปฏิวัติ นักวิชาการและนักการเมืองเป็นอันมาก พยายามค้นหาวิธีการต่างๆ มาแกปัญหาของประเทศไทย เพื่อหลีกเลี่ยงวิธีการปฏิวัติ พวกเขาคิดว่าจะแก้ปัญหาของประเทศไทยได้โดยไม่ต้องทำการปฏิวัติ พยายามกันมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ยังแก้ปัญหาไม่ตก ก็ปัญหาพื้นฐานของประเทศไทย คือปัญหาการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย เป็นการเปลี่ยนลักษณะของระบอบการปกครอง การเปลี่ยนลักษณะก็คือการปฏิวัติ ดังนี้แล้ว ถ้าไม่ปฏิวัติจะมีระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาได้อย่างเล่า พูดกันง่ายๆ การทำให้เป็นระบอบประชาธิปไตยก็คือการปฏิวัตินั่นเอง ฉะนั้น การเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยไม่ทำการปฏิวัติจึงไม่มีในโลก
เหตุนี้หลวงวิจิตรวาทการจึงเขียนไว้ว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นใด นอกจากทำการปฏิวัติ และหลวงวิจิตรวาทการ เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "มนุษยปฏิวัติ" ว่า "ปฏิวัติหมายถึงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องเป็นไปตามปกติภาพของโลกเป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งจำเป็นต้องทำ ถ้าไม่ทำก็จะเกิดผลร้ายเสียหายแก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม" ความจำเป็นที่จะต้องปฏิวัติในแต่ละประเทศ มีเวลาแตกต่างกัน เพราะพัฒนาการของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ความจำเป็นในยุโรปมีขึ้นตั้งแต่เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน ถ้าในช่วงนั้นยุโรปไม่ทำการปฏิวัติก็จะย่อยยับดับสูญ ครั้นเมื่อปฏิวัติเสร็จก็กลายเป็นอารยประเทศรุ่งเรืองเป็นลำดับมา ความจำเป็นของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีก่อน จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับมา และเป็นการปฏิวัติจริงจังเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาล่วงเลยมา ๕๐ กว่าปียังปฏิวัติไม่เสร็จ กลายเป็นการปฏิวัติครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งตรงกับคำของปราชญ์ฝรั่งงเศสชื่อ ชาโต บริยังค์ ตามที่หลวงวิจิตรวาทการยกมาว่า " (ทำการปฏิวัติเพียงครึ่งเดียว เท่ากับขุดหลุมฝังศพตัวเอง" คณะราษฎรฝังศพตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังกำลังจะขุดหลุมฝังศพประเทศชาติเสียอีกด้วย ตัวอย่างชัดเจนของการขุดหลุมฝังศพตัวเองด้วยการปฏิวัติครึ่งเดียวคือ การปฏิวัติของพรรคก๊กมินตั๋งหรือพรรคชาตินิยมในประเทศจีน ซึ่งเกิดขี้นเมื่อปี ๑๙๑๑ มาถึงปี ๑๘๑๗ ในท่ามกลางการปฏิวัติอันดุเดือด ดพ.ซุนยัตเซ็นผู้นำการปฏิวัติภึงแก่กรรม และให้พินัยกรรมเป็นปัจฉิมพจน์ไว้ว่า "เก๊อะมิ่ง ซ่างเว่ย เฉินกง ถ่งจื้อย่งซูหนู่ลิ - การปฏิวัติยังไม่เสร็จ สหายทั้งหลายจงพยายามต่อไป" พินัยกรรมนี้ ซุนยัตเซ็นให้แก่พรรคก๊กมินตั๋งซึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติของประชาธิปไตย เพื่อให้การปฏิวั ติของประชาธิปไตยชนะการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ในขณะนี้การต่อสู้ระหว่างการปฏิวัติของประชาธิปไตยกับการปฏิวัติของ คอมมิวนิสต์ อยู่ในรูปของความร่วมมือระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน(พคจ.)
แต่นายพลเจียงไคเช็ค ทายาทของซุนยัตเซ็น ไม่ปฏิบัติพินัยกรรม กลับยกเลิกการปฏิวัติของประชาธิปไตยเสีย เปลี่ยนพรรคก๊กมินตั๋งจากพรรคปฏิวัติเป็นพรรคปฏิกิริยาเผด็จการ ทำลายนักปฏิวัติของพรรคก๊กมินตั๋งจนเหลือไม่กี่คน ด้วยข้ออ้างต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่ยิ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์ พคจ.ก็ยิ่งโต จนกลายเป็นว่า การปฏิวัติของจีนซึ่งโค่นระบอบเก่าลงได้ด้วยการปฏิวัติของประชาธิปไตยแท้ๆ กลับเหลือแต่การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์อย่างเดียว เมื่อการปฏิวัติของประชาธิปไตยพ่ายแพ้แก่การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ประเทศจีนก็เป็นคอมมิวนิสต์เท่านั้นเอง ตามสูตรที่ว่า ประชาธิปไตยชนะคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์ชนะเผด็จการ การปฏิวัติของประเทศไทยก็เช่นเดียวกับการปฏิวัติของประเทศอื่นๆ ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ คือ เริ่มต้นด้วยการปฏิวัติของประชาธิปไตย ซึ่งกระทำการอย่างจริงจังเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎรด้วยความร่วมมือของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ครั้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๘๕ ก็เกิดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ทำการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ต่อสู้กับการปฏิวัติของประชาธิปไตย การปฏวัติของคอมมิวนิสต์โตขึ้นเรื่อยๆ การปฏิวัติของประชาธิปไตยเล็กลงเรื่อยๆ เพราะคณะราษฎรและพรรคต่างๆ ที่สืบทอดยกเลิกการปฏิวัติ และทำลายนักปฏิวัติของประชาธิปไตยในกระบวนยการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเมื่อ พคท. ทำสงครามปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ขึ้นได้ การปฏิวัติของประชาธิปไตยก็ตกอยู่ในความเสียเปรียบอย่างที่สุด จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๓ กองทัพบกใช้นโยบาย ๖๖/๒๓ เอาชนะสงครามปฏิวัติของ
คอมมิวนิสต์ ซึ่งหมายถึงกองทัพบกเข้านำการปฏิวัติของประชาธิปไตย
จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๓ กองทัพบกใช้นโยบาย ๖๖/๒๓ เอาชนะสงครามปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ซึ่งหมายถึงกองทัพบกเข้านำการปฏิวัติของประชาธิปไตย เอาชนะการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ครั้งสำคัญนั่นเอง แต่การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของ พคท. ก็ยังมีกำลังใหญ่โตด้วยความช่วยเหลือของพลังมหาศาลที่ต่อต้านการปฏิวัติของ ประชาธิปไตย ทำให้การปฏิวัติ ๒ อย่างตั้งประชิดกันอยู่ และยังไม่แน่ว่าใครจะชนะ ครั้นบังเกิดสถานการณ์ปฏิวัติเมื่อภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปคราวที่แล้ว ผบ.ทบ. ได้เสนอการปฏิวัติของประชาธิปไตยขึ้นอย่างถูกจังหวัด ทำให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ถอยกรูดต่อหน้าความใหญ่โตของการปฏิวัติของ ประชาธิปไตยจนดูคล้ายกับว่า การปฏิวัติของประชาธิปไตยจะชนะต่อการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์อยู่รอมมะร่อ ก็พอดีพลังการเมืองมหาศาลระดมกันเข้าช่วยการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ด้วยการขัดขวางต่อต้านการปฏิวัติของประชาธิปไตยที่เสนอโดย ผบ.ทบ. ดังกล่าวแล้ว จึงทำให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ยืนเผชิญหน้าการปฏิวัติของประชาธิปไตยได้ ต่อไป ซึ่งภายใต้สถานการณ์ปฏิวัติที่มีกระแสสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ นับว่าล่อแหลมอย่างยิ่งว่าใครจะชนะใคร ระหว่างการปฏิวัติของประชาธิปไตยกับการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ นี่คือเงื่อนไขให้เกิดความจำเป็นแก่การปฏิวัติทั้งของประชาธิปไตยและของ คอมมิวนิสต์ ที่จะต้องช่วงชิงทำการปฏิวัติ ใครเก่งกว่าก็เป็นผู้ชนะ หลายคนคงแปลกใจว่า ทำไมจู่ๆ ผบ.ทบ. จึงเสนอการปฏิวัติขึ้นมา พิจารณาตามหลักวิชาการแล้ว เป็นเรื่องที่เป็นไปตามปกติภาพของสถานการณ์ปฏิวัติ ปัญหาจึงมีแต่เพียงว่า ในสถานการณ์อันล่อแหลมเช่นนี้ พวกเราคนไทยจะช่วยการปฏิวัติของประชาธิปไตยให้ชนะ หรือจะช่วยให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ให้ชนะ ?
(ยังมีต่อ)
edit : thongkrm_virut@yahoo.com