วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปฏิวัติสันติตอน ๒ (Peaceful Revolution 2) -(ต่อจากตอนที่แล้ว)

ปฏิวัติสันติตอน ๒ (Peaceful Revolution 2) -(ต่อจากตอนที่แล้ว)

๔. พรรคแรงงานประชาธิปไตย ต้องกระโดดเข้าช่วยการปฏิวัติของประชาธิปไตย เพราะต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ อันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดและจำเป็นที่สุดเพื่อแก้ไขความทรุดโทรมของประเทศ ชาติและความทุกข์ยากของประชาชน ร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วไปที่กำลังหนุนช่วยการปฏิวัติของ ประชาธิปไตยอย่างท่วมท้นล้นหลามอยู่ในขณะนี้ การช่วยการปฏิวัติของประชาธิปไตยให้ชนะจะต้องทำอย่างไรบ้าง ? ก่อนอื่นจะต้องทำสิ่งเหล่านี้ คือ
(๑) สนับสนุนนโยบาย ๖๖/๒๓ ให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจังและครบถ้วนเพราะนโยบาย ๖๖/๒๓ เป็นนโยบายประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ซึ่งมีความมุ่งหมายอันเป็นสารสำคัญที่จะทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และทำให้บุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ จึงไม่ใช่นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพราะนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นนโยบายเผด็จการ ๖๖/๒๓ เป็นนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ อันหมายถึงการเอาการปฏิวัติของประชาธิปไตยไปชนะการปฏิวัติของรคอมมิวนิสต์ นั่นเอง ฉะนั้น

๕. ขณะนี้โลกตกอยู่ในความจนมุม หาทางออกจากการที่จะถึงซึ่งความวินาศไม่ได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ชาติฉลาดเลิศแล้ว เพราะได้วิวัฒนาการมาถึงยุคนิวเคลียร์ ยุคอวกาศและยุคคอมพิวเตอร์ แต่ความฉลาดเลิศของมนุษย์ชาติวิปริตไป สมดังพระวชิรญาณวงศ์ภาษิตว่า วินาสกาเล วีปรีต พุทธิ ในกาลวินาศความฉลาดก็วิปริต เมื่อความฉลาดวิปริตก็เกิดความจนมุม หาทางออกไม่ได้ ประเทศไทย รักษาภาวะประเทศด้อยพัฒนา (Underdeveloped Country) มายาวนานจนถึงยุคคอมพิวเตอร์ หลายอย่างจึงทันสมัยเหมือนประเทศกำลังพัฒนา (Developing Country) และประเทศพัฒนา (Developed Country) บังเกิดภาพลวงตัวอันสวยงามให้นักวิชาการเป็นอันมากตะลึงงัน มองไม่เห็นความจนของประเทศอันเป็นเหตุแห่งความของประชาชน ถึงแม้จะยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ แต่ประเทศไทยก็ปฏิวัติแล้วเมือง พ.ศ. ๒๔๗๕ เดินไปในกรอบแห่งโครงสร้างการเมืองปัจจุบันนี้แหละ ดีเอง แต่ประชาชนทั่วไปเห็นว่าประเทศไทยต้องปฏิวัติ ขืนเดินไปในกรอบของโครงสร้างแบบนี้ ยิ่งเดินยิ่งพังเหตุนี้จึงพากันสนับสนุนข้อเสนอปฏิวัติของ พล.อ.ชวลิต กันอย่างท่วมท้นล้นหลาม และกระผมก็ได้ให้คำอธิบายเชิงวิชาการ สนับสนุนความเห็นที่ถูกต้องของประชาชนไว้ในข้อ (๓) แล้วว่า ทำไมประเทศไทยจึงต้องปฏิวัติ แต่การปฏิวัติของประเทศไทยมีลักษณะพิเศษ คือ เป็นการปฏิวัติสันติ (PEACEFUL REVOLUTION) ประเทศไทยจึงไม่เพียงแต่ต้องปฏิวัติเท่านั้น หากยังต้องปฏิวัติสันติอีกด้วย

ต่อไปนี้จึงขออธิบายว่า ทำไมประเทศไทยจึงต้องปฏิวัติสันติ ? เหตุที่ประชาชนต้องการปฏิวัติ ก็เพราะรู้สึกว่าบ้านเมืองจะไป ไม่ไหวแล้ว ชีวิตจะดำรงอยู่ไม่ได้แล้ว “ยุคพลตำรวจจบปริญญา รับแค่พันกว่า สมัครแล้ว ๖ หมื่นคน” (พาดหัวข่าว “ดาวสยาม” ๒๗ พ.ค. ๓๐) ฯลฯ คนไทยต้องการปฏิวัติเพราะต้องการจะแก้ไขประเทศไทย ต้องการจะแก้ไขชีวิตของคนไทย นี่เป็นธรรมดาของความต้องการปฏิบัติของประชาชนทุกประเทศที่ยังไม่ปฏิวัติหรือปฏิวัติยังไม่เสร็จ และการปฏิวัติก็เป็นเครื่องมือแก้ไขประเทศเทศและแก้ไขชีวิตของประชาชนได้จริง เหมือนในประเทศอื่นทั่วโลกที่ปฏิวัติกันมาแล้ว คนไทยเราหวังกันว่า เมื่อปฏิวัติแล้วประเทศไทยจะดีขึ้น ชีวิตของคนไทยดีขึ้น ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แต่ความสมหวังจากการปฏิวัติเช่นนี้จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ถ้าวันหนึ่งวันใดเกิดความผิดพลาดทางเทคโนโลยี่ในการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์โดยสมองกล มิใช่สมองคน ซึ่งเป็นความวิปริตอย่างหนึ่งของความฉลาดของมนุษยชาติ ที่เอาสมองคนไปขึ้นต่อสมองกล ซึ่งไว้ใจไม่ได้ว่ามันจะทรยศกดปุ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ โลกก็จะวินาศเป็นจุณมหาจุณ เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากลืมหันไปแล้วว่าเคยมีสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งแม้ว่าจะฆ่าฟันกันวินาศสันตะโรเพียงไร โลกก็ยังไม่วินาศเป็นจุณมหาจุณ แม้จะทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ก็วินาศเพียง ๒ เมือง เสร็จสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วนานๆ ก็รู้สึกว่าโลกสบายดี เพราะการเตรียมสงครามโลกครั้งต่อไปไม่น่ากลัวเหมือนเตรียมสงครามโลกครั้งก่อน ไม่มีการสร้างป้อมมายิโนต์ และสร้างกองทัพนาซีให้เห็นตำตา แต่สามารถเก็บอาวุธนิวเคลียร์ที่สะสมกันไว้กองโตเป็นภูเขาเลากาไม่ให้คนเห็น ทดลองระเบิดปรมาณูก็ทำใต้ดิน ไม่มีเครื่องจับก็ไม่รู้ แล้วยังมีองค์การสหประชาชาติและมีดุลแห่งอำนาจ ชาวโลกทั่วไปจึงไม่ห่วงว่าจะมีอันตรายจากโลก คนในประเทศพัฒนาและกำลังพัฒนาคิดแต่จะสร้างประเทศและสร้างชีวิตให้ดีขึ้น คนในประเทศด้วยพัฒนาก็คิดแต่จะปฏิวัติในประเทศของตน มีแต่ผู้บริหารประเทศที่เป็นเจ้าของภูเขาเลากาแห่งอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้น ที่หวาดกลัวอยู่ทุกเวลานาที ว่าความผิดพลาดทางเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นเมื่อไหล แต่ความหวาดกลัวนี้ก็ไม่มีทางออก ได้แต่พยายามรักษาดุลแห่งอำนาจด้วยต่างฝ่ายต่างเพิ่มจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ให้ทันกันเท่านั้น โดยถือเอาเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสรณะ ซึ่งเป็นความวิปริตเหลือหลายของความฉลาดของมนุษยชาติ ถ้าคนไทยได้รู้ความจริงของโลกอย่างนี้ จะทอดอาลัยตายอยากงอมืองอตีนไม่ปฏิวัติกระนั่นหรือ ? ยิ่งต้องปฏิวัติ

ตามเหตุผลที่จะได้กล่าวต่อไปนี้ การที่สังคมได้มีความเจริญอย่างสูง ดังที่เห็นกันอยู่ ก็เพราะมีการปฏิวัติ ถ้าอังกฤษไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๑๗ อเมริกาไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๑๘ ฝรั่งเศสไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๑๘ – ๑๙ ญี่ปุ่นไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๑๙ ประเทศเหล่านั้นก็จะไม่กลายเป็นประเทศพัฒนาและมหาอำนาจ ถ้ารัสเซียไม่ปฏิวัติในศตวรรษที่ ๒๐ ก็จะไม่กระโดดไปเป็นอภิมหาอำนาจทันเทียมสหรัฐ ถ้าจีนไม่ปฏิวัติเมื่อ ๔๐ ปีก่อน ก็จะเป็น “ยักษ์หลับแห่งเอเชีย” อยู่ต่อไป เหตุที่ได้กลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาเช่นเดียวกับอินเดียและหลายประเทศในเอเชีย ก็เพราะจีนและประเทศเหล่านั้นได้ทำการปฏิวัติภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่การปฏิวัติที่แล้วมา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติของประชาธิปไตยหรือการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ล้วนแต่เป็นการปฏิวัติรุนแรง (Violent Revolution) อังกฤษปฏิวัติด้วยสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพรัฐบาลกับกองทัพรัฐสภา และสำเร็จโทษพระเจ้าแผ่นดิน อเมริกาปฏิวัติด้วยสงครามประชาชาติและสงครามกลางเมือง ฝรั่งเศสปฏิวัติด้วยการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ ทารุณขาว (White Terror) ทารุณแดง (Red Terror) บั่นคอด้วยเครื่องกิลโยตีนแล้วกลางเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินี และสงครามนโปเลียนเพื่อขยายลัทธิประชาธิปไตยและลัทธิชาตินิยมไปทั่วยุโรป การปฏิวัติประชาธิปไตย นั้น ถือเอาการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นแบบฉบับ เรียกว่ามหาปฏิวัติฝรั่งเศส(Great French Revolution) ด้านหนึ่งก็คือแบบฉบับของการปฏิวัติรุนแรงนั่นเอง ซึ่งยากที่จะหาความรุนแรงของการปฏิวัติใดๆ ทั้งของประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์มาเปรียบเทียบได้ สงครามปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังด้วยกว่าสงครามนโปเลียน การสังหารพระเจ้าซาร์ในรัสเซีย ในการปฏิวัติที่ทำด้วยกัน (ทั้งๆ ที่ต่อสู้กัน) ระหว่างประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ ยังด้อยกว่าการบั่นเศียรด้วยเครื่องกิลโยตีนกลางเมือง
ถ้าจะมีเหนือกว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็เห็นจะได้แก่การปฏิวัติของเขมรแดง ภายใต้การนำของเอียงสารี ซึ่งฆ่าคนเขมรเทียบอัตราส่วนกันแล้ว มากกว่าการฆ่าคนฝรั่งเศสในมหาปฏิวัติ

อย่างไรก็ดี คนไทยถือว่าการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์รุนแรงกว่าการปฏิวัติของประชาธิปไตย คงจะดูจากด้านการทำลายชนชั้น เมื่อนายทุนทั้งชนชั้นถูกทำลาย จะโดยถูกฆ่าหรือโดยตัวคนยังอยู่แต่สูญสิ้นความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ย่อมเป็นความรุนแรงที่สุดอย่างแน่นอน ต่างกับการปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งแม้ว่าจะทารุณโหดร้ายสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ถึงกับทำลายชนชั้น ดูจากแง่นี้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์รุนแรงกว่าการปฏิวัติของประชาธิปไตย การปฏิวัติรุนแรงหมายถึงการปฏิวัติด้วยอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นในรูปสงคราม (War) ลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ (Armed Uprising) หรือรูปอื่นใด ทั้งของประชาธิปไตยและของคอมมิวนิสต์ทำอย่างเดียวกัน และคอมมิวนิสต์เอาอย่างความรุนแรงของประชาธิปไตยไปทำ เพราะลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดทีหลังลัทธิประชาธิปไตย แต่ถ้ากล่าวโดยส่วนรวม ในด้านปริมาณของการใช้อาวุธ การปฏิวัติของประชาธิปไตยรุนแรงกว่าการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ แต่กล่าวในด้านเป้าหมายของการใช้ความรุนแรงไปทำลาย คือ ชนชั้นทั้งหมดแล้ว การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์รุนแรงกว่าการปฏิวัติของประชาธิปไตย แม้ว่าการปฏิวัติในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา (หมายถึงการปฏิวัติทางการเมือง) ทั้งของคอมมิวนิสต์และของประชาธิปไตย จะมีแต่การปฏิวัติรุนแรงดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ในรูปแบบก็มีการปฏิวัติสันติ คือ การปฏิวัติที่ไม่ใช้อาวุธบ้างเหมือนกัน เช่น การปฏิวัติของญี่ปุ่นและของอินเดีย ซึ่งเป็นการปฏิวัติของประชาธิปไตย และการปฏิวัติสังคมนิยมของจีนก็เป็นการปฏิวัติสันติ เป็นต้น แต่การปฏิวัติสันติเหล่านั้นเป็นเพียงรูปแบบ หรือวิธีการ หรือยุทธวิธี มิใช่เนื้อแท้ หรือหลักการ หรือทฤษฎี

บางคนเห็นว่า การปฏิวัติด้วยอหิงสาของอินเดียเป็นทฤษฎี แต่ก็เป็นเพียงทฤษฎีของมหาตมะ คานธี ซึ่งกำหนดขึ้นโดยไม่มีความเป็นจริงทั่วไปเป็นรากฐาน เพียงแต่อาศัยสถานการณ์ของอินเดียเป็นรากฐานเท่านั้น จึงใช้ได้แต่เฉพาะกับอินเดียในช่วงนั้น ต่อมาอินเดียซึ่งเคยปฏิวัติด้วยอหิงสา ก็ต้องการอาวุธนิวเคลียร์เช่นเดียวกับประเทศอื่นที่ผ่านการปฏิวัติรุนแรง แท้จริง อหิงสาในภควัตคีตา ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มหาตมะ คานธี ยึดถือ แต่ต้องห้ามในพุทธศาสนานั้น มีความรุนแรงเป็นสาระสำคัญ รุนแรงภายในระบบสังคมนิยมเท่านั้น หากยังมีสงครามภายในระบบสังคมนิยมอีกด้วย คือสงครามระหว่างคอมมิวนิสต

ตรงกันข้ามกับอหิงสาในพุทธศาสนา ซึ่งมีสันติเป็นสาระสำคัญ ฉะนั้น โดยเนื้อแท้แล้ว การปฏิวัติของอินเดียยังคงอยู่ในขอบเขตของการปฏิวัติรุนแรง เป็นอันว่า กล่าวโดยเนื้อแท้ในโลกยังไม่เคยมีการปฏิวัติสันติ ก็เพราะโลกยังไม่เคยอำนวยเงื่อนไขให้ประเทศหนึ่งประเทศใดสามารถทำการปฏิวัติสันติถึงระดับทฤษฎีได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติของประชาธิปไตยหรือจะเป็นการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ก็ตาม การปฏิวัติสันติที่เคยมีมาบ้าง เป็นเพียงรูปแบบ วิธีการหรือยุทธวิธีเท่านั้น แต่การปฏิวัติรุนแรงหรือการปฏิวัติด้วยอาวุธนั้นเอง เป็นเครื่องสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อารยธรรมของโลกเป็นลำดับมา การปฏิวัติของอังกฤษในศตวรรษที่ ๑๗ ได้สร้างความไพบูลย์อย่างมหาศาลให้แก่ประเทศอังกฤษ มีผลให้ชาวอังกฤษส่วนใหญ่พ้นจากความยากจน การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ถือกันว่าเป็นแม่บทของระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น ฯลฯ ก็เช่นเดียวกัน ประเทศคอมมิวนิสต์ เช่น โซเวียต และจีน ที่เจริญรุ่งเรืองมาก็เพราะทำการปฏิวัติด้วยอาวุธเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ก็ตาม อาวุธเป็นสิ่งน่ากลัว แต่ความน่ากลัวนั่นเองที่ทำให้อาวุธเป็นเครื่องมืออันจำเป็นไม่เฉพาะแต่ของการปฏิวัติในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเท่านั้น หากยังเป็นเครื่องมืออันจำเป็นของการแก้ปัญหาการเมืองทั้งปวงตลอดมาอีกด้วย ถ้าคนไทยไม่ใช้อาวุธ จะรักษาบ้านเมืองมาได้อย่างไร ถ้าคนไทยไม่ใช้อาวุธจะขับไล่พม่าข้าศึกออกไปได้อย่างไร

ฉะนั้น การปฏิวัติรุนแรงในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จึงไม่มีข้อตำหนิแต่อย่างใดเลยในแง่ที่เป็นสิ่งหลีกไม่พ้น แต่คุณประโยชน์ของการปฏิวัติด้วยอาวุธมีความจำกัดตามปกติภาพของมัน กล่าวคือ การปฏิวัติรุนแรงได้สร้างความรุ่งเรืองอย่างน่าอัศจรรย์ให้แก่การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ดังเช่นความเจริญรุ่งเรืองในนสหรัฐ โซเวียต อังกฤษ ญี่ปุ่น ฯลฯ แต่ไม่สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ลักษณะนิสัยใจคน การเมือง เศรษฐกิจ-สังคม และวัฒนธรรมของประเทศเหล่านั้น ดีขึ้นมากมายจากการปฏิวัติรุนแรงด้วยอาวุธ แต่ลักษณะนิสัยใจคนจองประเทศเหล่านั้นไม่ได้ดีขึ้นเลยจากการปฏิวัติด้วยอาวุธ กลับมากไปด้วยความโลภและความโหดร้ายยิ่งขึ้น คนอังกฤษภายหลังการปฏิวัติได้ขยายลัทธิล่าอาณานิคมและสร้างลัทธิจักรพรรดินิยมขึ้นเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ เป็นอาณาจักรใหญ่โตขนาดพระอาทิตย์ไม่ตกดิน รวมถึงเข้ามาเฉือนดินแดนของไทยไปเฉยๆ เสียมากมาย แต่ที่ฮุบประเทศไทยไม่ได้ ก็เพราะพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง คนฝรั่งเศส คนอเมริกา คนญี่ปุ่น คนเยอรมัน ฯลฯ ก็มีพฤติกรรมทำนองเดียวกัน ซึ่งมีผลให้สงครามที่ก่อนยุคปฏิวัติในยุโรป มีแต่สงครามเฉพาะส่วนเท่านั้น แต่พอหลังยุคปฏิวัติเกิดมีสงครามโลก แต่ก่อนมีคนตั้งความหวังกันไว้มากว่า การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์จะเป็นเครื่องแก้ลักษณะนิสัยใจคนได้ แต่ความจริงก็ปรากฏว่า การปฏิวัติสงคมนิยมก็แก้ได้แต่เฉพาะการเมือง เศรษฐกิจ-สังคม และวัฒนธรรม แต่ไม่สามารถแก้ลักษณะนิสัยใจคน เช่นเดียวกับการปฏิวัติของประชาธิปไตยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ไม่เพียงแต่จะเกิดความแตกแยกขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในระบบสังคมนิยมเท่านั้น หากยังมีสงครามภายในระบบสังคมนิยมอีกด้วย คือสงครามระหว่างคอมมิวนิสต์ฝ่ายจีน กับคอมมิวนิสต์ฝ่ายโซเวียต ในประเทศกัมพูชาติดต่อกับบ้านเรานี่เอง การปฏิวัติของประชาธิปไตย ปฏิวัติแล้วเป็นอารยสังคม (Civil Society) นึกว่าจะมีสันติสุข กลับรบกันเองสะบั้นหั่นแหลก จนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒
การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ปฏิวัติแล้วเป็นสังคมนิยม (Socialist Society) นึกว่าจะมีสันติสุข สังคมนิยมยักษ์ใหญ่กลับฮึ่มๆ เข้าใส่กันจะรบกันให้ได้ และสังคมนิยมก็กำลังรบกันเอง คือคอมมิวนิสต์เฮงสัมรินกับคอมมิวนิสต์เขียวสัมพันธ์ ทำนองเดียวกับเสรีนิยมที่กำลังรบกันเอง คือ อิหร่าน กับอีรัก แต่สงครามอาณาบริเวณ (Regional War) ไม่สามารถใช้อาวุธยุทธศาสตร์ จึงไม่เป็นอันตรายต่อโลก เป็นอันตรายแต่เฉพาะอาณาบริเวณนั้นๆ เท่านั้น แต่ปัญหาอาวุธไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้ หากไปไกลถึงกองพะเนินเทินทึกแห่งอาวุธนิวเคลียร์ ที่แต่ละประเทศสะสมกันไว้รวมแล้วมีปริมาณพอที่จะเบิดโลกได้ ทั้งหมดนี้เป็นผลอันไม่อาจจะหลีกเลี่ยงของการปฏิวัติด้วยอาวุธในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ทั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตยและการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ หมายความว่า การปฏิวัติรุนแรง การปฏิวัติด้วยอาวุธ ทั้งของประชาธิปไตยและของคอมมิวนิสต์ แม้ว่าจะได้สร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองทางการเมือง เศรษฐกิจ-สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะคือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ อย่างมหัศจรรย์ไม่น่าเชื่อสักเพียงใดก็ตาม แต่การปฏิวัตินั้นก็ไม่สามารถแก้ไขลักษณะนิสัยใจมนุษย์ให้ดีขึ้นแต่อย่างใดเลย ทัศนคติต่อสงครามและอาวุธ ทั้งในอารยสังคมและในสังคมสังคมนิยม มิได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตแต่อย่างใดเลย โดยสาระสำคัญคือความคิดที่ว่า สงครามและอาวุธเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาของมนุษย์ เป็นพลังผลักดันความก้าวหน้าของสังคม แม้ว่าสงครามจะเป็นปีศาจร้าย แต่มนุษย์ก็จะขจัดสงครามได้ด้วยสงครามเท่านั้น การเตรียมสงครามและสะสมอาวุธเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของแต่ละประเทศ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล จึงต้องแสวงหาความชอบธรรมไม่แต่เพียงเพื่อการป้องกันตัวของแต่ละประเทศ หากยังเพื่อพัฒนาโลกตามอุดมคติของแต่ละลัทธิที่ประเทศตนยึดถืออีกด้วย สหรัฐและโซเวียตแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ อ้างว่ามิใช่เพื่อทำสงครามโลก แต่เพื่อพิทักษ์สันติภาพโลก ฮิตเล่อร์ก่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็อ้างว่าเพื่อสร้างโลกใหม่แห่งสันติสุข ญี่ปุ่น เข้าร่วมสงครามโลกเพื่อสร้างวงไพบูลย์ร่วมกัน หลายปีที่แล้วจีนประกาศคติพจน์กึกก้องอยู่ทุกวันว่า อำนาจรัฐออกจากปากกระบอกปืน ปฏิวัติด้วยความรุนแรง และดัดแปลงโลกด้วยสงคราม เหล่านี้คือตัวอย่างรูปธรรมของทัศนตคิต่อสงครามและอาวุธ อันเป็นผลของการปฏิวัติรุนแรงในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ สรุปเป็นคำเดียวก็คือ ยืนยันใช้อาวุธ ข้อสรุปนี้เป็นสัจจธรรมในอดีต แต่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะในอดีตไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ การใช้อาวุธจึงแก้ปัญหาได้ อำนาจรัฐออกจากปากกระบอกปืนได้ ปฏิวัติด้วยความรุนแรงได้ ดัดแปลงโลกด้วยสงครามได้ แต่ลูกระเบิดนิวเคลียร์ไม่สามารถผลิตอำนาจรัฐ ไม่สามารถปฏิวัติ และไม่สามารถดัดแปลงโลกด้วยสงคราม มีแต่จะระเบิดโลกให้เป็นจุณมหาจุณไปเท่านั้น

แต่ผู้นำระดับโลกบางคนมีความเห็นว่า สงครามนิวเคลียร์ไม่สามารถจะผลาญชีวิตให้หมดโลกได้ มนุษย์ที่เหลือจะพัฒนาโลกให้ก้าวหน้าไปกว่าเดิมจึงไม่มีเหตุผลที่จะหวาดกลัวต่อสงครามนิวเคลียร์ ความหวาดกลัวต่อสงครามนิวเคลียร์คือการมองมนุษยชาติในแง่ร้าย (Pressimitic) ความเห็นแบบนี้ของผู้นำระดับโลก เป็นสติวิปลาส เหนือกว่าความวิปริตค่อยยังชั่วที่ผู้นำประเภทนี้ตกกระป๋องไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่ประเภทความฉลาดวิปริต ที่กลัวสงครามนิวเคลียร์ แต่ก็แข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ไว้เป็นภูเขาเลากาโดยคนดูไม่เห็น ภายใต้การควบคุมของสมองกล ไม่ใช่สมองคน ซึ่งเป็นผลิตผลที่มีขึ้นตามปกติภาพของการปฏิวัติด้วยอาวุธ ทั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตยและการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ จึงเห็นได้ว่า ความวินาศของโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของสงครามนิวเคลียร์เท่านั้น ข้อสำคัญขึ้นอยู่กับกองพะเนินเทินทึกแห่งอาวุธนิวเคลียร์ ความเป็นไปได้ของการเกิดสงครามนิวเคลียร์โดยเจตนาคงจะลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะผู้นำระดับโลกในปัจจุบันมีความหวาดกลัวต่อสงครามนิวเคลียร์ แต่ความเป็นไปได้ของอุบัติเหตุจากความผิดผลาดทางเทคโนโลยีมิได้ลดลงเลย ปัญหาสำคัญที่สุดของโลกปัจจุบันจึงอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรกับกองพะเนินเทินทึกแห่งอาวุธนิวเคลียร์ นักวิทยาศาสตร์กลัวบ้านเมืองจะถล่มทะลาย เพราะมองเห็นกระแสพลังงานมหึมาที่ไหลวนเวียนอยู่ใต้ดินไม่รู้ว่ามันจะเกิดพลุ่งพล่านขึ้นมาเมื่อไหร่ นักดาราศาสตร์ไม่กล้ารับรองว่าดาวหางใหญ่ๆ จะไม่เกิดชนโลก นักโหราศาสตร์กลัวโลกจะแตกเพราะดาวนพเคราะห์ทุกดวงโคจรมาอยู่ในเส้นตรง แต่กองพะเนินเทินทึกแห่งอาวุธนิวเคลียร์น่ากลัวกว่านั้นหลายร้อยหลายพันเท่า และเป็นความน่ากลัวที่เป็นจริง ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน วิธีการลดอาวุธที่พยายามทำกันอยู่ ไร้ผลเช่นเดียวกับที่เคยทำกันมาแล้วเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะตั้งแต่คองเกรสแห่งเวียนนา และสันนิบาตชาติ จนถึงองค์การสหประชาชาติ เพราะเป็นวิธีการภายใต้สภาวการณ์เดิม ซึ่งสาระสำคัญก็คือว่า ถึงแม้สังคมทั้งของโลกเสรีนิยมและโลกสังคมนิยมจะดีขึ้นมากมายจากการปฏิวัติก็ตามที แต่ลักษณะนิสัยใจมนุษย์ไม่ได้ดีขึ้นเลยดังกล่าวมาแล้ว ทำให้ประเทศทั้งหลายไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ตั้งแต่อภิมหาอำนาจลงมาจนถึงอนุประเทศ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับภูเขาเลากาแห่งอาวุธนิวเคลียร์ สหรัฐไม่รู้จะทำอย่างไร โซเวียตไม่รู้จะทำอย่างไร จีนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ต่างเข้าตาจนจำนนจนมุมกันไปทั่วทั้งโลก แต่ประเทศไทยมีทางออกให้แก่โลก เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เพ้อฝัน ก็คือการปฏิวัติสันตินี่เอง ซึ่งจะมีขึ้นในประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลก ถ้าประเทศไทยซึ่งทำการปฏิวัติสันติสำไม่สำเร็จ ทำการปฏิวัติรุนแรง เหมือนอย่างการปฏิวัติของประเทศทั้งหลายทั่วโลกมาแล้ว ก็จะมีผลแต่เฉพาะการแก้ป้ญหาของประเทศไทย อย่างเดียวกับการปฏิวัติของประเทศเหล่านั้น แต่ถ้าประเทศไทยทำการปฏิวัติสันติภายใต้สถานการณ์โลกปัจจุบัน ก็ไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาของประเทศไทยให้ตกไปเท่านั้น ข้อสำคัญยังจะช่วยโลกให้พ้นจากการที่จะถึงซึ่งความวินาศได้ด้วย เพราะว่าการปฏิวัติสันติของประเทศไทย จะสามารถปลดปล่อยความฉลาดของมนุษยชาติจากพันธนาการแห่งความวิปริตได้ (ยังมีต่อ)

edit:ครูทองคำ วิรัตน์ email:thongkrm_virut@yahoo.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น