วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปฏิวัติสันติ ตอน ๑ Peaceful Revolution (1)

 ปฏิวัติสันติ ตอน ๑ Peaceful Revolution (1)


ทุกท่านที่ติดตามสถาการณ์ทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ จะสังเกตุเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนชั้นผู้ปกครอง กลุ่มประชาชน ต่างๆ ละทิ้งไม่ค่อยจะเสนอการต่อสู้แบบสันติกัน ซึ่งเป็น การละทิ้งหลักการที่สำคัญของชาติไทยที่กำหนดให้การต่อสู้ตามแนวทางสันติเท่า นั้น ตามลักษณะพิเศษของสังคมไทย ท่านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรท่านได้สรุปประเด็นนี้ไว้อย่างละเอียดและชัดเจน และได้สรุปคาดกาลไว้เลยล่วงหน้าว่า การสร้างประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนในประเทศไทย จะสำเร็จได้ก็แต่โดยวิธีการต่อสู้แบบสันติ เท่านั้น และก็จะเป็นประเทศแรกของโลก ซึ่งจะเป็นหลักเป็นแบบอย่างของการแก้ปัญหาต่างของประเทศต่างๆ และเป็นหลักสำคัญ เป็นหลักประกันต่อสันติภาพโลก
ข้อเขียน มี ทั้งหมด 3 ตอน เขียนเพื่อเสนอต่อประชาชน เมื่อปี 2530
ปฏิวัติสันติ ตอน ๑ Peaceful Revolution (1)
ปฏิวัติสันติ ตอน ๑
Peaceful Revolution (1)
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ขอนำเสนอเอกสารงานวิชาการชิ้นสำคัญเรื่อง “ การปฏิวัติสันติ” (Peaceful Revolution)ด้วยพุทธอหิงสาธรรม(ตอนที่ ๑)" อันเป็นความมุ่งหมายของขบวนฯในการทำงานให้บรรลุตามมรรควิธี ผลักดันให้ประเทศไทยได้นำโลกตามแนวทางที่ปราชญ์ราชบัณฑิตได้วางไว้ อันเป็นการสร้างประชาธิปไตยในชาติไปพร้อมกับการสร้างธรรมาธิปไตยในจิตใจไป พร้อมกัน ซึ่งนับว่าเป็นงานปฏิวัติอันสูงส่งที่สุดแห่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ เรียกได้ว่าเป็น “มนุษยปฏิวัติ” (Human Revolution) โดยประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมือง ที่จะนำโลกก้าวขึ้นสู่ยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่(Post Modern History) เป็นการพัฒนาการปฏิวัติขั้นสูงสุด ประเทศไทยนำโลก โดยการตัดเนื้อความมาจากการเขียนของอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรจากเอกสารของพรรคแรงงานประชาธิปไตย ดังปรากฎอยู่ตามเนื้อความดังต่อไปนี้
พรรคแรงงานประชาธิปไตย แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เรื่อง การเข้าร่วมการเลือกตั้งซ่อมในกรุงเทพมหานคร เขต ๓ ณ โรงแรมรอแยล ถนนราชดำเนิน ๑๕ พ.ค. ๒๕๓๐ การเข้าร่วมการเลือกตั้งซ่อมที่ขอนแก่น พรรคแรงงานประชาธิปไตยมีความมุ่งหมาย เพื่อจำแนกความแตกต่างระหว่างพรรคแรงงานฯ ซึ่งเป็นพรรคของประชาชน กับพรรคอื่น ซึ่งเป็นพรรคของประชาชนกับพรรคอื่นซึ่งเป็นพรรคของคนส่วนน้อย การเข้าร่วมการเลือกตั้งซ่อมในกรุงเทพมหานครครั้งนี้ พรรคแรงงานฯ มีความมุ่งหมาย เพื่ออธิบายเชิงวิชาการอย่างชัดเจน เรื่องการปฏิวัติ ข้อความตอนหนึ่งในนโยบายการเมืองของพรรคแรงงานฯ มีว่า "ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคนเรา ทุกสิ่งทุกอย่างในคนเราจะสำเร็จได้ด้วยความรู้ ดังพระพุทธภาษิตว่า ปัญญา นรานัง รัตตนัง ความรู้รอบเป็นดวงแก้วของนรชน แต่จะต้องรรู้ถูกถึงจะเกิดผลดี ถ้ารู้ผิดก็จะเกิดผลร้าย ดังพระพุทธภาษิตว่า สุวิชชาโน ภวัง โหติ ทุวิชชโน ปราภโว ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ ผู้รู้ชั่วเป็นผู้ฉิบหาย จะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ต้องมีความรู้เรื่องประชาธิปไตย และจะต้องรู้เรื่องประชาธิปไตยให้ถูกด้วย ถ้าไม่รู้ประชาธิปไตย หรือรู้ประชาธิปไตยผิดๆ ก็ไม่แต่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เท่านั้น หากจะพา
ประเทศชาติไปสู่ความล่มจมอีกด้วย เราได้เผยแพร่ประชาธิปไตยกันมาก แต่ก็ปรากฎว่า มีการเผยแพร่ประชาธิปไตยผิดๆ กันมากเหลือเหมือนกัน ความรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง หมายความถึงความรู้ในลัทธิประชาธิปไตยสากลนิยม แล้วนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของประเทศไทย กลายเป็นประชาธิปไตยไทย เหตุสำคัญที่สุดของความล้มเหลวของประชาธิปไตยในประเทศไทย ก็คือการขาดความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องประชาธิปไตยนั่นเอง พรรคแรงงานประชาธิปไตย ได้ค้นคว้าความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องประชาธิปไตย และจะเผยแพร่ประชาธิปไตยดังกล่าวแก่ประชาชน โดยเห็นว่า ถ้าประชาชนมีความรู้เรื่องประชาธิปไตยอย่างถูกต้องแล้ว ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยจะสำเร็จอย่างแน่นอน" นี่คือข้อความตอนหนึ่งในโยบายการเมืองของพรรคแรงงานประชาธิปไตย
วิชาปฏิวัติเป็นความรู้สำคัญแขนงหนึ่งในลัทธิประชาธิปไตย จะรู้ลัทธิประชาธิปไตย ต้องรู้วิชาปฏิวัติ ฉะนั้น จึงเป็นภารกิจพรรคแรงงานฯ ในการเผยแพร่ให้ความรู้ประชาธิปไตย ที่จะต้องเผยแพร่ความรู้ปฏิวัติ ตั้งแต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผบ.ทบ. ได้เสนอเรื่องการปฏิวัติเป็นต้นมา ได้มีการอธิบายการปฏิวัติเป็นมาก ทั้งโดย พล.อ.ชวลิต เอง และโดยบุคคลอื่น แต่ยังขาดความสมบูรณ์อย่างมาก ยงไม่สามารถแก้ความสับสนในความเข้าใจของผู้คน โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการบางส่วน พรรคแรงงานฯ เห็นความจำเป็นที่จะต้องอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่าง พล.อ.ชวลิต ไม่ใช่เป็นผู้นำทางการคนแรกที่เสนอเรื่องปฏิวัติ ผู้นำทางการคนแรกที่เสนอเรื่องปฏิวัติ คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งได้ตั้งคณะปฏิวัติ และเสนอว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่น นอกจากทำการปฏิวัติ (ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๔ ลว. ๒๑ ค.ค. ๐๑ เพื่อนำเอาหลักนิยมในระบอบประชาธิปไตยมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับความเป็นอยู่ ของของประชาชนชาวไทย (ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลง. ๒๒ ต.ค. ๐๑ ) และได้พยายามแยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ว่า การกระทำครั้งนี้เป็ฯการปฏิวัติ ไม่ใช่เพียงรัฐประหาร อย่างที่เคยทำกันมาในครั้งก่อนๆ
แต่การปฏิวัติของ จอมพลสฤษดิ์ล้มเหลว และกลายเป็นเพียงรัฐประหารเหมือนครั้งก่อนๆ ไป ก็เพราะจอมพลสฤษดิ์เสนอการปฏิวัติและทำการปฏิวัติ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีสถานการณ์ปฏิวัติ และไม่ได้แยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารให้เด็ดขาด ประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์ปฏิวัติเมื่อภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๙ พล.อ.ชวลิต เสนอเรื่องปฏิวัติขึ้นมาในท่ามกลางสถานการณ์ปฏิวัติ จึงได้รับการขานรับจากประชาชนอย่างท้วมท้นล้นหลาม นอกจากเสนอเรื่องปฏิวัติในสถานการณ์ปฏิวัติแล้ว พอ.อ.ชวชิต ยังแยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารอย่างเด็ดขาดอีกด้วย โดยไม่ยอมทำรัฐประหารแม้จะมีโอกาส และยืนยันว่า จะทำการปฏิวัติเท่านั้น ต่างกับ จอมพลสฤษดิ์ และคณะราษฎร ซึ่งแม้ว่าจะแยกการปฏิวัติออกากรัฐประหาร แต่ก็ทำทั้ง ๒ อย่างควบกัน และพล.อ.ชวลิตยังเสนอการปฏิวัติสันติอีกด้วย ฉะนั้น ข้อเสนอปฏิวัติของ พอ.อ.ชวลิต ซึ่งประกอบด้วย (๑) เสนอเรื่องปฏิวัติในสถานการณ์ปฏิวัติ ๒/แยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารอย่างเด็ดขาด ๓/เสนอการปฏิวัติสันติ จึงเหนือกว่าข้อเสนอปฏิวัติของบุคคลอื่นที่แล้วมา จึงได้รับ
ความสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลาม และเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่การปฏิวัติของประเทศไทย โดยที่การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีขึ้นในสถานการณ์ปฏิวัติ ภายใต้ข้อเสนอปฏิวัติของ พล.อ.ชวลิต ที่มีประโยชน์ใหญ่หลวงแก่การปฏิวัติของประเทศไทย และพรรคแรงงานฯ ซึ่งสนับสนุนการปฏิวัติตามข้อเสนอของ พอ.อ.ชวลิต ได้ถูกมองอย่างไม่ถูกต้องจากหลายๆ ฝ่ายเกี่ยวกับปัญหาการปฏิวัติ
ฉะนั้น พรรคแรงงาน" จึงถือเอาภารกิจในการอธิบายเชิงวิชาการเรื่องการปฏิวัติ เป็นเนื้อหาสำคัญของการรณรงค์เลือกตั้งครั้งนี้ ดังต่อไปนี้
๑. การอธิบายความหมายทั่วไปของการปฏิวัติ ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นนั้น ยังไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มเติมว่าเป็นการเปลี่ยน ลักษณะด้วย จึงจะเป็นการปฏิวัติ ถ้าเพียงแต่เปลี่ยนรูป แม้ว่าจะเปลี่ยนให้ดีขึ้น ก็ไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นการปฏิรูปเท่านั้น อย่างเช่นการเปลี่ยนคนตามคติของพุทธศาสนา การเปลี่ยนคนพาลเป็นบัณฑิตเป็นการเปลี่ยนลักษณะเป็นการปฏิวัติ การเปลี่ยนพาลมากเป็นพาลน้อยเป็นการเปลี่ยนรูป เป็นการปฏิรูป การเปลี่ยนปุถุชนเป็นพระอริยบุคคลเป็นการเปลี่ยนลักษณะ เป็นการปฏิวัติ การเปลี่ยนพระอริยบุคคลระดับต่ำเป็นอริยบุคคลระดับสูงคือ เปลี่ยนพระโสดาบันเป็นพระสกิทาคามี เปลี่ยนพระสกิทาคามีเป็นพระอนาคามี เปลี่ยนพระอนาคามีเป็นพระอรหันต์ เป็นการปลี่ยนรูป เป็นการปฏิรูป เป็นต้น ฉะนั้น ความหมายทั่วไปของการปฏิวัติ ที่ว่าเปลี่ยนให้ดีขึ้น หมายถึงการเปลี่ยนลักษณะ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนรูป กล่าวโดยทั่วไป การปฏิวัติมีในทุกสิ่ง ทั้งด้านธรรมชาติ ด้านสังคม และด้านจิตใจ แต่ถ้าจะเข้าใจการปฏิวัติให้สมบูรณ์และเพื่อผลทางปฏิวัติ จะต้องเน้นการศึกษาการปฏิวัติอย่างเป็นรูป ซึ่งจะได้ยกมาอธิบายเป็นเรื่องๆ รายๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม
๒.รูปธรรมของการปฏิวัติ ที่พล.อ.ชวลิตเสนอนั้น ก่อนอื่นหมายถึงการปฏิวัติทางการเมืองเป็นสำคัญ ไม่ใช่การปฏิวัติทางธรรม ทางศาสนา ทางจิตใจ หรือทางอื่นๆ ปัญหาแรกที่จะต้องทำความเข้าใจในการปฏิวัติทางการเมืองคือ ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มีการปฏิวัติทางการเมือง ๒ ชนิด คือ การปฏิวัติประชาธิปไตย และการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ หลายคนไม่เข้าหรือแกล้งไม่เข้าใจว่า การปฏิวัติมี ๒ ชนิด แต่เที่ยวโฆษนาว่า การปฏิวัติมีแต่ของคอมนิสต์ คอมมิวนิสต์เท่านั้นปฏิวัติ พวกอื่นไม่ปฏิวัติ ปฏิวัติคือคอมมิวนิสต์ คนไหนคิดหรือทำการปฏิวัติ คนนั้นเป็นคอมมิวนิสต์หรือสนับสนุนคอมมิวนิส การปฏิวัติเป็นของประชาธิปไตยมาก่อน ลัทธิประชาธิปไตยในยุโรปทำการปฏิวัติกันครึกครื้นตั้งแต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่เกิด การปฏวัติของประชาธิปไตยในอังกฤษเกิดก่อนคาลมากซ์เกิด ๒๕๖ ปี มหาปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดก่อนคาลมากซ์เกิด ๒๙ ปี พวกคอมิวนิสต์เอาอย่างการปฏิวัติของพวกประชาธิปไตยไปทำ โดยเปลี่ยนเนื้อหาให้เป็นคอมมิวนิสต์
ในตอนกลางของมหาปฏิวัติฝรั่งเศส(Great French Revolution) คือปี ๑๘๔๘ เกิดลัทธคอมมิวนิสต์ขึ้น ทำให้การปฏิวัติซึ่งเดิมที่มีแต่ของประชาธิปไตยอย่างเดียว เกิดมีของคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาการปฏิวัติในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ก็มี ๒ อย่างคู่กันมาในทุกประเทศที่ยังไม่ปฏิวัติหรือปฏิวัติยังไม่เสร็จ คือ การปฏิวัติของประชาธิปไตย กับ การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ แต่ไม่ได้คู่กันมาเฉยๆ หากต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย และการต่อสู้ระหว่างการปฏิวัติ ๒ อย่างนี้ กลายเป็นเครื่องตัดสินว่า ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยหรือจะเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าการปฏิวัติของประชาธิปไตยชนะ ประเทศก็เป็นประชาธิปไตย ถ้าการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ ประเทศก็เป็นคอมมิวนิสต์ สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเดิมมหาปฏิวัติของประชาธิปไตยขึ้นในปี ๑๗๘๙ พอถึงตอนกลางของการปฏิวัติคือ ปี ๑๘๔๘ ก็เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างการปฏิวัติของประชาธิปไตยกับการปฏิวัติของ คอมมิวนิสต์ขึ้นถึงขั้นสูงสุดในสงครามกลางเมืองของฝรั่งเศส ปี ๑๘๗๑ ระหว่างรัฐบาลปารีของคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลแวร์ซายลส์ของเสรีนิยม รัฐบาลแวซายลส์ การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์จึงพ่ายแพ้ อาศัยประสบการณ์ในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์มา ๒๐ กว่าปี เมื่อชนะคอมมิวนิสต์ในสงครามกลางเมืองแล้ว พวกเสรีนิยมจึงทำการปฏิวัติของประชาธิปไตยให้เสร็จสิ้น ประเทศฝรั่งจึงเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่นั้นมา
ในรัสเซีย สถานการณ์ตรงกันข้ามกับฝรั่งเศส การต่อสู้ระหว่างการปฏิวัติของประชาธิปไตยกับปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ เริ่มดุเดือดตั้งแต่ ป. ๑๙๐๕ และจบลงในปี ๑๙๑๗ ด้วยชัยชนะของคอมมิวนิสต์ การปฏิวัติของประชาธิปไตยแพ้ยับเยิน รัสเซียจึงกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศแรกในโลก การปฏิวัติในประเทศอื่นๆ ต่อมา เช่น ในอินเดีย ในเมเลเซีย ในสิงคโปร์ ในอินโดนีเซีย ฯลฯ การปฏิวัติของประชาธิปไตยชนะต่อการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ประเทศเหล่านั้นจึงเป็นประชาธิปไตย ส่วนในยุโรปตะวันออก ในจีน ในอินโดจีน ฯลฯ การปฏิวัติของประชาธิปไตยพ่ายแพ้แก่การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ประเทศเหล่านั้นจึงเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยก็มีการปฏิวัติ ๒ อย่าง เช่นเดียวกัน ปัญหาในบ้านเราจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า จะปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติแต่อยู่ที่ว่าจะให้การปฏิวัติของประชาธิปไตยขนะ หรือจะให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับว่า พวกเราคนไทยต้องการจะให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย หรือต้องการจะให้ประเทศไทยเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ก็จงจัดการให้การปฏิวัติประชาธิปไตยชนะ ถ้าต้องการให้ประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ ก็จงจัดการให้กากรปฏิวัติรคอมมิวนิสต์ชนะ
ไม่ต้องสงสัยเลย คนไทยส่วนข้างมากที่สุดต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย จึงต้องการให้การปฏิวัติของประขาธิปไตยชนะต่อการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ หลักฐานสำคัญดูได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า พอ พล.อ.ชวลิต เสนอการปฏิวัติของประชาธิปไตยขึ้นมา ประชาชนทั่วประเ...ทศก็ให้ความนสนับสนุนอย่างท่วมทันล้นหลาม ต่างกับการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) เสนอและดำเนินการมานานแล้ว ถึงกับทำสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ แต่ก็ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนในวงแคบๆ เท่านั้น เปรียบกันไม่ได้เลยกับการปฎิวัติของประชาธิปไตย ซึ่งเสนอโดย พล.อ.ชวลิต ถึงกระนั้น ประเทศไทยก็ยังมีอันตรายของการเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะมีคนไทยจำนวนหนึ่ง ทั้งๆ ที่พูดว่าต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย แต่กลับไปจัดการเพื่อให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ
จะเห็นได้ว่า พอ พล.อ.ชวลิต เสนอการปฏิวัติของประชาธิปไตยขึ้น คอมมิวนิสต์ก็จะระดมกำลังกันต่อต้านขัดขวางอย่างอุตหลุดด้วยมาตรการร้อยแปด เช่น ระดมนักศึกษาที่เดินตามเขาให้เคลื่อนไหวต่อต้าน และ พคท. ออกเอกสารใต้ดินต่อต้านโดยตรง โดยเฉพาะพยายามโฆษณาว่า พล.อ.ชวลิต เป็นนักปฏิวัติจอมปลอม แต่ลำพัง พคท. ไม่สามารถจะขัดขวางกิจกรรมปฏิวัติของ พล.อ.ชวลิตได้ แต่พลังการเมืองมหาศาลที่ขานรับความต้องการของ พคท. โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ในการต่อต้านกิจกรรมปฏิวัติของประชาธิ ปไตยที่เสนอโดย พล.อ.ชวลิต ที่เห็นๆ กันอยู่ต่างหาก จะสามารถสนองความต้องการของ พคท. ในการหยุดยั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตยได้ ด้วยวิธีการร้อยแปดเช่นกัน แต่ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาที่สุด คือ กล่าวหาการปฏิวัติของประชาธิปไตย ซึ่งเสนอโดย พล.อ.ชวลิต หรือโดยใครก็ตามว่า เป็นคอมมิวนิสต์ การหยุดยั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตย ก็คือการช่วยให้คอมมิวนิสต์ชนะนั่นเอง ไม่มีวิธีใดจะช่วยให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ ดีไปกว่าการยับยั้งการปฏิวัติของประชาธิปไตย มีตัวอย่างมาแล้วในหลายประเทศ ฉะนั้น ปัญหาที่จะต้องสนใจเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ก็คือ ปัญหาการกระทำของคนจำนวนหนึ่งที่ระดมกำลังกันขัดขวางยั้บยั้งการปฏิวัติของ ประชาธิปไตย เพื่อให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ชนะ ทั้งๆ ที่ตนเองต้องการให้ประเทศเราเป็นประชาธิปไตย นั่นเอง
๓. ทำไมประเทศไทยต้องปฏิวัติ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่๒ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ และฉบับที่ ๔ วันเดียวกันซึ่งเขียนโดยหลวงวิจิตรวาทการ นักประวัติศาสตร์คนสำคัญ เขียนได้ถูกต้องว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่น นอกจา...กทำการปฏิวัติ นักวิชาการและนักการเมืองเป็นอันมาก พยายามค้นหาวิธีการต่างๆ มาแกปัญหาของประเทศไทย เพื่อหลีกเลี่ยงวิธีการปฏิวัติ พวกเขาคิดว่าจะแก้ปัญหาของประเทศไทยได้โดยไม่ต้องทำการปฏิวัติ พยายามกันมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ยังแก้ปัญหาไม่ตก ก็ปัญหาพื้นฐานของประเทศไทย คือปัญหาการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย เป็นการเปลี่ยนลักษณะของระบอบการปกครอง การเปลี่ยนลักษณะก็คือการปฏิวัติ ดังนี้แล้ว ถ้าไม่ปฏิวัติจะมีระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาได้อย่างเล่า พูดกันง่ายๆ การทำให้เป็นระบอบประชาธิปไตยก็คือการปฏิวัตินั่นเอง ฉะนั้น การเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยไม่ทำการปฏิวัติจึงไม่มีในโลก
เหตุนี้หลวงวิจิตรวาทการจึงเขียนไว้ว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นใด นอกจากทำการปฏิวัติ และหลวงวิจิตรวาทการ เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "มนุษยปฏิวัติ" ว่า "ปฏิวัติหมายถึงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องเป็นไปตามปกติภาพของโลกเป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งจำเป็นต้องทำ ถ้าไม่ทำก็จะเกิดผลร้ายเสียหายแก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม" ความจำเป็นที่จะต้องปฏิวัติในแต่ละประเทศ มีเวลาแตกต่างกัน เพราะพัฒนาการของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ความจำเป็นในยุโรปมีขึ้นตั้งแต่เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน ถ้าในช่วงนั้นยุโรปไม่ทำการปฏิวัติก็จะย่อยยับดับสูญ ครั้นเมื่อปฏิวัติเสร็จก็กลายเป็นอารยประเทศรุ่งเรืองเป็นลำดับมา ความจำเป็นของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีก่อน จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับมา และเป็นการปฏิวัติจริงจังเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาล่วงเลยมา ๕๐ กว่าปียังปฏิวัติไม่เสร็จ กลายเป็นการปฏิวัติครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งตรงกับคำของปราชญ์ฝรั่งงเศสชื่อ ชาโต บริยังค์ ตามที่หลวงวิจิตรวาทการยกมาว่า " (ทำการปฏิวัติเพียงครึ่งเดียว เท่ากับขุดหลุมฝังศพตัวเอง" คณะราษฎรฝังศพตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังกำลังจะขุดหลุมฝังศพประเทศชาติเสียอีกด้วย ตัวอย่างชัดเจนของการขุดหลุมฝังศพตัวเองด้วยการปฏิวัติครึ่งเดียวคือ การปฏิวัติของพรรคก๊กมินตั๋งหรือพรรคชาตินิยมในประเทศจีน ซึ่งเกิดขี้นเมื่อปี ๑๙๑๑ มาถึงปี ๑๘๑๗ ในท่ามกลางการปฏิวัติอันดุเดือด ดพ.ซุนยัตเซ็นผู้นำการปฏิวัติภึงแก่กรรม และให้พินัยกรรมเป็นปัจฉิมพจน์ไว้ว่า "เก๊อะมิ่ง ซ่างเว่ย เฉินกง ถ่งจื้อย่งซูหนู่ลิ - การปฏิวัติยังไม่เสร็จ สหายทั้งหลายจงพยายามต่อไป" พินัยกรรมนี้ ซุนยัตเซ็นให้แก่พรรคก๊กมินตั๋งซึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติของประชาธิปไตย เพื่อให้การปฏิวั ติของประชาธิปไตยชนะการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ในขณะนี้การต่อสู้ระหว่างการปฏิวัติของประชาธิปไตยกับการปฏิวัติของ คอมมิวนิสต์ อยู่ในรูปของความร่วมมือระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน(พคจ.)
แต่นายพลเจียงไคเช็ค ทายาทของซุนยัตเซ็น ไม่ปฏิบัติพินัยกรรม กลับยกเลิกการปฏิวัติของประชาธิปไตยเสีย เปลี่ยนพรรคก๊กมินตั๋งจากพรรคปฏิวัติเป็นพรรคปฏิกิริยาเผด็จการ ทำลายนักปฏิวัติของพรรคก๊กมินตั๋งจนเหลือไม่กี่คน ด้วยข้ออ้างต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่ยิ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์ พคจ.ก็ยิ่งโต จนกลายเป็นว่า การปฏิวัติของจีนซึ่งโค่นระบอบเก่าลงได้ด้วยการปฏิวัติของประชาธิปไตยแท้ๆ กลับเหลือแต่การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์อย่างเดียว เมื่อการปฏิวัติของประชาธิปไตยพ่ายแพ้แก่การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ประเทศจีนก็เป็นคอมมิวนิสต์เท่านั้นเอง ตามสูตรที่ว่า ประชาธิปไตยชนะคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์ชนะเผด็จการ การปฏิวัติของประเทศไทยก็เช่นเดียวกับการปฏิวัติของประเทศอื่นๆ ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ คือ เริ่มต้นด้วยการปฏิวัติของประชาธิปไตย ซึ่งกระทำการอย่างจริงจังเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎรด้วยความร่วมมือของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ครั้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๘๕ ก็เกิดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ทำการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ต่อสู้กับการปฏิวัติของประชาธิปไตย การปฏวัติของคอมมิวนิสต์โตขึ้นเรื่อยๆ การปฏิวัติของประชาธิปไตยเล็กลงเรื่อยๆ เพราะคณะราษฎรและพรรคต่างๆ ที่สืบทอดยกเลิกการปฏิวัติ และทำลายนักปฏิวัติของประชาธิปไตยในกระบวนยการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเมื่อ พคท. ทำสงครามปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ขึ้นได้ การปฏิวัติของประชาธิปไตยก็ตกอยู่ในความเสียเปรียบอย่างที่สุด จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๓ กองทัพบกใช้นโยบาย ๖๖/๒๓ เอาชนะสงครามปฏิวัติของ
คอมมิวนิสต์ ซึ่งหมายถึงกองทัพบกเข้านำการปฏิวัติของประชาธิปไตย
จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๓ กองทัพบกใช้นโยบาย ๖๖/๒๓ เอาชนะสงครามปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ซึ่งหมายถึงกองทัพบกเข้านำการปฏิวัติของประชาธิปไตย เอาชนะการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ครั้งสำคัญนั่นเอง แต่การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของ พคท. ก็ยังมีกำลังใหญ่โตด้วยความช่วยเหลือของพลังมหาศาลที่ต่อต้านการปฏิวัติของ ประชาธิปไตย ทำให้การปฏิวัติ ๒ อย่างตั้งประชิดกันอยู่ และยังไม่แน่ว่าใครจะชนะ ครั้นบังเกิดสถานการณ์ปฏิวัติเมื่อภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปคราวที่แล้ว ผบ.ทบ. ได้เสนอการปฏิวัติของประชาธิปไตยขึ้นอย่างถูกจังหวัด ทำให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ถอยกรูดต่อหน้าความใหญ่โตของการปฏิวัติของ ประชาธิปไตยจนดูคล้ายกับว่า การปฏิวัติของประชาธิปไตยจะชนะต่อการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์อยู่รอมมะร่อ ก็พอดีพลังการเมืองมหาศาลระดมกันเข้าช่วยการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ ด้วยการขัดขวางต่อต้านการปฏิวัติของประชาธิปไตยที่เสนอโดย ผบ.ทบ. ดังกล่าวแล้ว จึงทำให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ยืนเผชิญหน้าการปฏิวัติของประชาธิปไตยได้ ต่อไป ซึ่งภายใต้สถานการณ์ปฏิวัติที่มีกระแสสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ นับว่าล่อแหลมอย่างยิ่งว่าใครจะชนะใคร ระหว่างการปฏิวัติของประชาธิปไตยกับการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ นี่คือเงื่อนไขให้เกิดความจำเป็นแก่การปฏิวัติทั้งของประชาธิปไตยและของ คอมมิวนิสต์ ที่จะต้องช่วงชิงทำการปฏิวัติ ใครเก่งกว่าก็เป็นผู้ชนะ หลายคนคงแปลกใจว่า ทำไมจู่ๆ ผบ.ทบ. จึงเสนอการปฏิวัติขึ้นมา พิจารณาตามหลักวิชาการแล้ว เป็นเรื่องที่เป็นไปตามปกติภาพของสถานการณ์ปฏิวัติ ปัญหาจึงมีแต่เพียงว่า ในสถานการณ์อันล่อแหลมเช่นนี้ พวกเราคนไทยจะช่วยการปฏิวัติของประชาธิปไตยให้ชนะ หรือจะช่วยให้การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ให้ชนะ ?
(ยังมีต่อ)
edit : thongkrm_virut@yahoo.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น