วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

นี่คือภาพพื้นที่ชุ่มน้ำในกระบี่ที่งดงามนัก หากไม่มีเรือลำเลียงถ่านหิน…ผ่าน ภาพนี้ จะอยู่คู่กระบี่ชั่วนิจนิรันดร์ !

นี่คือภาพพื้นที่ชุ่มน้ำในกระบี่ที่งดงามนัก หากไม่มีเรือลำเลียงถ่านหิน…ผ่าน ภาพนี้ จะอยู่คู่กระบี่ชั่วนิจนิรันดร์ !


8

ผมเห็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) จ้างหนังสือพิมพ์รายวัน ทยอยนำภาพ ชาวกระบี่จำนวนหนึ่งออกมาแสดงความชื่นชมการมีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ฟังขัดกับวิสัยของชาวบ้านที่จะพูด อาทิ
“อยู่ใกล้โรงไฟฟ้ากระบี่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ต้นไม้ใบไม้ไม่เคยเหี่ยวเฉา พอทราบว่าจะมีโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินมา ทั้งครอบครัวผมสนับสนุนเต็มที่..”
หรือ “ไม่เคยกลัว เพราะเกิดและเติบโตในตำบลปกาสับ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโรงฟ้ากระบี่อยู่เดิมที่ผลิตจากน้ำมันเตา ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาอะไร” และอีกบางคำเช่น
“ไม่กลัวถ่านหิน แต่กลับไฟฟ้าดับและไฟฟ้าไม่พอใช้” หรือ “หากมีโรงไฟฟ้าจะสร้างความเจริญให้ชุมชน เกิดการจ้างงาน การพัฒนาอาชีพ การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจให้ดีขึ้น”
ผมได้ดูแคลนคนที่ออกมาพูดตามที่ปรากฏในภาพนะครับ แต่ในฐานะที่เคยทำสื่อโฆษณามาก่อน ผมทราบดีกว่าบางทีก็ต้องเรียบเรียงบทพูดให้ฟังรื่นดูและดูดี
เมื่อเห็นเช่นนั้น ผมก็รู้ด้วยสัญญาตญาณของการทำข่าวมา 40 ปีว่า กฟผ.ได้ “วางระเบิดเวลา” แห่งความขัดแย้งของคนไทย โดยเฉพาะคนในจังหวัดกระบี่ขึ้นมาอีกหลังจากระงับไปเมื่อปี 2558
ผมโพสต์ภาพนั้น และบรรยายความเห็นไว้ในสื่อออนไลน์ที่ผมเล่นไม่ว่าจะเป็นทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊ก ความว่า…
9
ขอพยากรณ์ว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินของ กฟผ.จะกลายเป็น “ชนวน” ให้ชาวกระบี่แตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ส่วนจะบานปลายแค่ไหน อยู่ที่ว่ามีใคร “หนุนหลัง”มากกว่า ! ( 9 ก.พ.2560)
และแล้วกลางเดือนกุมภา “เครือข่ายปกป้องอันดามัน” ก็กรีฑาทัพเข้ามายังเมืองหลวง เพื่อต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ จริง อย่างที่ผมคาดการณ์เอาไว้
แต่ก็นับว่าเป็นความโชคดีของสังคมไทย ที่ยังไม่ทันที่สถานการณ์ดังกล่าวจะบานปลายขยายผลตามที่มีคนกลุ่มหนึ่งต้องการ
ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายออกไป รัฐบาลก็มอบหมายให้ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เข้ามาถอดชนวนระเบิดด้วยการพูดจาทำความเข้าใจกับแกนนำเครือข่ายปกป้องอันดามันจนสามารถตกลงกันได้
สายวันที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ เมื่อ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินมาพร้อมกับ  5 แกนนำผู้ชุมนุม
ไปยังกลุ่มผู้ชุมนุม ประมาณ 100 คน ปักหลักอยู่ที่ทำเนียบ บริเวณลานรูปปั้นกรมหลวงชุมพรฯ ข้างโรงเรียนพาณิชย์พระนคร เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังขึ้นพร้อมกับร้อยยิ้มและน้ำตาของบางคน
10
พล.ท.อภิรัชต์ ได้กล่าวต่อหน้าผู้ชุมนุมที่รออยู่ ว่า “รัฐบาลมีหน้าที่หาแหล่งพลังงาน ส่วนแหล่งพลังงานจะสร้างได้หรือไม่ได้นั้น อยู่ที่ประชาชน
เมื่อมีการทบทวนและเริ่มต้นทำ EHIA ใหม่ ยืนยันว่า แหล่งพลังงานในประเทศต้องเกิด แต่จะเกิดหรือเป็นแหล่งพลังงานใด  เป็นเรื่องที่ต้องไปหารือ และหาข้อยุติต่อไป”
คำกล่าวอย่างมีเหตุผลของ พล.ท.อภิรัชต์ เป็นที่ยอมรับของบรรดาแกนนำเครือข่ายปกป้องอันดามัน ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมต่างก็พอใจ จึงพากันสลายการชุมนุมและเดินทางกลับภูมิลำเนาในวันนั้น
จากคำกล่าวของ พล.ท.อภิรัชต์ ทำให้ผมนึกข้อพิพาทที่คาราคาซังอยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือ การพิจารณาของเลขาธิการ ส.ป.ก.ว่าเอกชนที่เช่าที่ดินซึ่งเกษตรกรถือครองในขณะนี้ จะต้องยกเลิกหรือ ?
แต่เท่าที่พิจารณาท่าทีของเลขาธิการ ส.ป.ก.ซึ่งขอยึดเวลาพิจารณาสัญญาไปอีก 45 วันแล้ว น่าจะได้ต่อสัญญาต่อไปอีก ส่วนจะด้วยเหตุผลใด เลขาธิการ ส.ป.ก.คงหามาจนได้
หากเป็นเช่นนั้นจริงรัฐบาลก็น่าจจะให้เอกชนเข้าไปลงทุนสร้างกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมที่มีอย่างเหลือเฟือในภาคใต้ แทนการสร้างโรงไฟฟ้าจากถ่านหินหรืออย่างอื่นเสียเลยเป็นไงครับ
ผมจำได้ว่า ตอนที่เดินทางไปร่วมสังเกตการณ์การอบรมผู้นำแห่งยุคเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของ มูลนิธิบุคคลพอเพียงนี้น เท่ผมเคยเห็นริมทะเลในจังหวัดภาคใต้ก็มีให้เห็นหลายแห่งแล้ว
11
มีความเป็นไปได้ไหมครับที่รัฐบาลจะเชิญชวนให้ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนทำ กังหันลม เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดภาคใต้เพื่อผลิตกระแสไฟป้อนจังหวัดต่าง ๆ
เพราะนอกจากกังหันลมจะไม่สร้างมลภาวะให้กับท้องถิ่นแล้ว กังหันลมยังจะกลายเป็นจุดดึงดูนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปชมเหมือนที่กำลัง(จะ)ได้รับความนิยมในภาคอีสาน
หากสามารถทำได้ ผมเข้าใจว่านี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับรัฐบาลและพี่น้องในจังหวัดภาคใต้ เพราะนั่นคือ การยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างไรเล่าครับ !

ขอขอบคุณข้อมูล :  ข่าวสด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น