วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อาณาจักรหริภุญชัย

อาณาจักรหริภุญชัย
(ข้อมูล : จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
(ภาพ : จากหลากหลายเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต)




อาณาจักรหริภุญชัย เป็นอาณาจักรมอญ ที่ตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน ตำนานจามเทวีวงศ์โบราณได้บันทึกไว้ว่า ฤๅษีวาสุเทพเป็นผู้สร้างเมืองหริภุญชัยขึ้นในปี พ.ศ. 1310 แล้วทูลเชิญพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากอาณาจักรละโว้ ขึ้นมาครองเมืองหริภุญชัย

ในครั้งนั้นพระนางจามเทวีได้นำพระภิกษุ นักปราชญ์ และช่างศิลปะต่าง ๆ จากละโว้ขึ้นไปด้วยเป็นจำนวนมากราวหมื่นคน พระนางได้ทำนุบำรุงและก่อสร้างบ้านเมือง ทำให้เมืองหริภุญชัย (ลำพูน) นั้นเป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ต่อมาพระนางได้สร้างเขลางค์นคร (ลำปาง) ขึ้นอีกเมืองหนึ่งให้เป็นเมืองสำคัญ

สมัยนั้นปรากฏมีการใช้ภาษามอญโบราณในศิลาจารึกของหริภุญชัย มีหนังสือหมานซูของจีนสมัยราชวงศ์ถัง กล่าวถึงนครหริภุญชัยไว้ว่าเป็น “อาณาจักรของสมเด็จพระราชินีนาถ” (หนี่ว์ หวัง กว๋อ )

ต่อมา พ.ศ. 1824 พญามังรายมหาราชผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนา ได้ยกกองทัพเข้ายึดเอาเมืองหริภุญชัยจากพญายีบาได้ ต่อจากนั้นอาณาจักรหริภุญชัยจึงสิ้นสุดลงหลังจากรุ่งเรืองมา 618 ปี มีพระมหากษัตริย์ครองเมือง 49 พระองค์

ปัจจุบัน โบราณสถานสำคัญของอาณาจักรหริภุญชัยคือพระธาตุหริภุญไชย ที่จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นบริเวณที่สันนิษฐานว่าเป็นราชธานีในสมัยนั้น และยังมีเมืองโบราณเวียงมโน ตำบลหนองตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โบราณสถานที่เวียงเกาะ บ้านสองแคว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และเวียงท่ากาน ที่ตำบลบ้านกลาง ต.สันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ บางหมู่บ้านของจังหวัดลำพูนนั้นพบว่า ยังมีคนพูดภาษามอญโบราณและอนุรักษ์วัฒนธรรมอาณาจักรมอญโบราณอยู่




.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................


อาณาจักรหริภุญชัย
(ที่มา:จากเว็บไซต์)

อาณาจักรหริภุญชัย (ประมาณ พ.ศ. 1206-1835) ตำนานจามเทวีโบราณได้บันทึกไว้ว่า ฤๅษีวาสุเทพ เป็นผู้สร้างเมืองหริภุญชัยขึ้นในปี พ.ศ. 1204 แล้วต่อมาได้อัญเชิญพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ขอมจากเมืองละโว้ขึ้นไปครองเมืองหริภุญชัย ในครั้งนั้นพระนางจามเทวี ได้นำพระสงฆ์ นักปราชญ์ และช่างศิลปะต่าง ๆ ขึ้นไปด้วยเป็นจำนวนมาก ราวหมื่นคน
พระนางได้ทำนุบำรุงและก่อสร้างบ้านเมือง ทำให้ เมืองหริภุญชัย (ลำพูน) นั้นเป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ต่อมาพระนางได้สร้างเขลางค์นคร (ลำปาง) ขึ้นอีกเมืองหนึ่งให้เป็นเมืองสำคัญ สมัยนั้นปรากฏมีการใช้ภาษามอญโบราณในศิลาจารึกของหริภุญชัย มีหนังสือหมานซูของจีนสมัยราชวงศ์ถัง กล่าวถึงนครหริภุญไชยไว้ว่า เป็น“อาณาจักรกษัตริย์หญิง นู หวาง โก่ว”

ต่อมา พ.ศ. 1824 พระเจ้าเม็งรายมหาราช กษัตริย์ผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนา ได้ยกกองทัพเข้ายึดเอาเมืองหริภุญชัยจากพระยายีบาได้ใน ต่อจากนั้นอาณาจักรหริภุญชัยจึงสิ้นสุดลงหลังจากรุ่งเรืองมา 618 ปี มีกษัตริย์ครองเมือง 49 พระองค์

ปัจจุบันโบราณสถานสำคัญของอาณาจักรหริภุญชัยนั้นก็คือ พระธาตุหริภุญไชย ที่จังหวัดลำพูน และยังมีเมืองโบราณเวียงมโน ตำบลหนองตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โบราณสถานที่เวียงเกาะ บ้านสองแคว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และเวียงท่ากาน ที่ตำบลบ้านกลาง ต.สันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ บางหมู่บ้านของจังหวัดลำพูนนั้นพบว่า ยังมีคนพูดภาษามอญโบราณและอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญโบราณอยู่
อาณาจักรหริภุญไชย คืออาณาจักรที่แตกหน่อออกมาจากอาณาจักรทวาราวดี แห่งเมืองละโว้ และคงมีคนเชื้อชาติต่างๆอาศัยอยู่ เพราะคำว่า จาม ซึ่งเป็นชื่อของพระนางจามเทวีนั้น น่าจะมีความหมายว่า พระนางเป็นคนเชื้อชาติ จามที่อยู่ในละโว้ในสมัยทวาราวดี
ส่วนคำว่าเทวี มีความหมายว่า พระนางที่เป็นหม้ายซึ่งพระสวามีถึง แก่กรรมไปแล้ว เนื่องจากพระสวามีของพระนางคือเจ้าราม หรือกษัตริย์แห่งเมืองราม ได้ถึงแก่กรรม ก่อนพระนางจะขึ้นมาลำพูน (ตามตำนานเมืองเหนือที่กล่าวถึงการสร้างเมืองหริภุญไชย)

ดังนั้นพระนาง จามเทวีจึงน่าจะเป็นคนเชื้อชาติจามที่อยู่ในดินแดนทวาราวดีทางตอนใต้ของ ลำพูน ซึ่งก็คือเมืองละโว้ มีบางตำนานกล่าวว่า พระนางเป็นธิดาของกษัตริย์เมืองละโว้ เมื่อพระนางสร้างเมืองหริภุญไชย ศิลปะ ที่ปรากฎจึงมักเป็นศิลปะ ของทวาราวดี
พระนางจามเทวีจากเมืองละโว้ (ทวาราวดี) ขึ้นมาครองเมืองลำพูนเป็นคนแรกเมื่อประมาณปีพศ.1311 - 1318 (768- 775) ตามคำเชิญของฤษีวาสุเทพและฤษีสุกันตะ
ขณะที่เสด็จขึ้นมานั้น พระนางทรงพระครรภ์ได้ 3 เดือน และได้สร้างเมืองต่างๆ ตามรายทางไว้มากมาย เมื่อคลอดโอรสออกมาแล้ว ปรากฎว่าเป็นโอรสแฝด องค์พี่ชื่อ เจ้ามหันตยศ องค์น้องชื่อ เจ้าอนันตยศ ซึ่งพระนางก็ได้มอบเมืองลำพูน ให้องค์พี่ และสร้างเมืองลำปางให้องค์น้อง
ลำพูนมีสงครามกับลพบุรี (ในสมัยอยู่ใต้อิทธิพลของเขมร)ในครั้งแรกประมาณปีพศ.1550-1560 (1007 - 1017) เป็นช่วงเวลา ที่เขมรเข้ามามีอิทธิพลเหนือลพบุรี จึงสันนิษฐานว่า กษัตริย์ลพบุรีที่ กล่าวถึงในตำนานนั้น น่าจะเป็นกษัตริย์หรือแม่ทัพเขมรมากกว่า การที่ชาวลำพูนต้องรบกับลพบุรีนั้น ก็คงจะเป็นการเข้าไปช่วยละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันรบกับเขมรนั่นเอง
และเมื่อทัพจากลพบุรี (ซึ่งมีนายทัพเป็นเขมร) ยกขึ้นมาตีลำพูนก็ไม่เคยตีได้ อาจเป็นเพราะว่าทหารเมืองลำพูนและทหารเมืองลพบุรีเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน แต่ผู้ที่คุมทัพลพบุรีคือเขมร ดังนั้นคงจะเกิดการบังคับให้พวก ลพบุรีขึ้นมารบกับลำพูนโดยไม่เต็มใจ เขมรจึงไม่เคยรบชนะหริภุญไชยได้เลยตลอดประวัติศาสตร์
ในตำนานเมืองเหนือยังกล่าวไว้ด้วยว่า ในการยกทัพมาตีเมืองลำพูน 2 ครั้งหลัง ทหารเมืองลพบุรีเกิดหลงทาง หาทางเข้าเมืองลำพูนไม่ถูกทั้ง 2 ครั้ง ทัพลพบุรีจึงต้องยกกลับ อาจเป็นได้ว่าทหารลพบุรีคงจะแกล้งนำทางให้หลง ทำให้ไม่สามารถเข้าตีลำพูนได้
ปีพศ. 1590 (1047) เกิดอหิวาห์ระบาดขึ้นในเมืองลำพูน ทำ ให้ประชาชนต้องหนีเข้าไปในพม่า และอา ศัยอยู่ที่เมืองหงสาวดีถึง 6 ปี ซึ่งขณะนั้นหงสาวดียังเป็นเมืองของพวกมอญอยู่(มอญและทวาราวดีมีความ ใกล้ชิดกันทางเชื้อชาติ) ชาวลำพูนจึงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองหงสาวดี เพราะชาวเมืองลำพูนและหงสาวดีต่างก็เป็นคนที่เกือบจะมีเชื้อชาติเดียวกัน และพูดภาษาเดียวกัน จนเมื่อสถานการณ์ โรคระบาดดีขึ้นแล้ว ชาวลำพูนจึงได้กลับมายังบ้านเมืองของตน
เมื่อกลับมาแล้ว คงจะเกิดความคิดถึงชาวเมืองหงสาวดีที่ได้เคยไปอาศัยพักพิง จึงพากันนำอาหารใส่ภาชนะแล้วลอยไปในแม่น้ำ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสายน้ำที่ไหลไปถึงเมืองหงสาวดี และสันนิษฐานว่าการลอยภาชนะใส่อาหารลงในแม่น้ำนั้นคงเป็น ต้นกำเนิดของประเพณีลอยกระทงที่มีสืบทอดกัน มาจนถึงทุกวันนี้
ราวปีพศ.1700-1835(1157-1292) เป็นช่วงเวลาก่อนที่พระยาเม็งรายจะสถาปนาอาณาจักรล้านนา และเป็นยุคทองของ หริภุญไชย ในสมัยพระเจ้าอาทิตยราชได้สร้างพระธาตุหริภุญไชยขึ้นเป็นครั้งแรก สูง 6 ม. สามารถมองเห็นพระธาตุที่บรรจุอยู่ภายในได้ สมัยพระยาสวาธิสิทธิได้สร้างเสริมขึ้นไปจนสูง 12 เมตร พร้อมทั้งสร้างวัดมหาวันและบูรณะวัดมหาพล

มีบันทึกว่า มีพระสงฆ์จากลังกาเดินทางมาหริ ภุญไชยในสมัยนี้ ปีพศ.1835 พระยาเม็งรายยกกองทัพเข้ามาโจมตีหริภุญไชยและยึดเมืองได้ในอีก 4 ปีต่อมา อาณาจักรหริภุญไชยที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ราวปีพศ. 1311 (768) ก็ต้องสูญเสียอำนาจให้กับ พระยาเม็งราย รวมเวลา เป็นอาณาจักร 528 ปี








เมืองบริวารของแคว้นหริภุญชัย
ที่มา http://heritage.mod.go.th/nation/oldcity/lamphun3.htm
            เวียงหริภุญชัย  เป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในแอ่งที่ราบเชียงใหม่ - ลำพูน มีกลุ่มเมืองที่กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงตอนบน ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน กับบริเวณลุ่มแม่น้ำวัง ในเขตอำเภอเมือง ฯ และอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง

            เวียงเขลางค์นคร  มีบทบาททางการเมืองคู่กับเวียงหริภุญชัยมาตลอดยุคสมัยของแคว้นหริภุญชัย เป็นเมืองที่โอรสองค์เล็กของพระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์เมืองหริภุญชัย ไปครองหลังจากที่สร้างเสร็จ
การแต่งตั้งผู้ครองเมืองนี้จะเป็นผู้ที่มีความสำคัญรองลงมาจากเมืองหริภุญ ชัยเสมอตั้งแต่เจ้าอนันตยศ ในสมัยแรกจนถึงพญาเบิกในสมัยพญาญีบา แต่ก็มีอยู่หลายสมัยที่ผู้ปกครองเมืองเขลางค์นครยกทัพไปตีเมืองหริภุญชัย

            เวียงท่ากาน  ตั้งอยู่ที่บ้านท่ากาน ตำบลบ้านกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ผังเวียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด กว้าง ๔๙๐ เมตร ยาว ๗๔๐ เมตร ด้านตะวันตกติดกับแม่น้ำขาน ด้านตะวันออกติดกับแม่น้ำปิง มีร่องรอยการชักน้ำจากแม่น้ำปิงเข้ามาในคูเมือง กำแพงเมืองมีสองชั้น โดยมีคูเมืองคั่นกลาง ศูนย์กลางเวียงท่ากานเป็นวัดเช่นเดียวกับเวียงหริภุญชัย และเวียงเกาะในวัฒนธรรมหริภุญชัย

            วัดกลางเวียงท่ากานเป็นขนาดใหญ่  มีเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมอยู่กลางเมือง มีความเก่าแก่อยู่ประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ร่วมสมัยกับหริภุญชัย พบร่องรอยวัฒนธรรมหริภุญชัย เช่น พระพุทธรูปประดับซุ้ม พระพิมพ์ดินเผา พระแผง และพบโบราณวัตถุในวัฒนธรรมล้านนา

จากโบราณสถาน และโบราณวัตถุส่วนใหญ่ แสดงว่าเวียงท่ากานมีการดำรงสืบเนื่องจากยุคหริภุญชัยจนถึงยุคอาณาจักรล้าน นา มีร่องรอยซากวัดอยู่หนาแน่น จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้มีการกล่าวถึง สมัยราชวงศ์มังรายได้จัดตั้งเป็นพันนาท่ากาน มีหมื่นท่ากานกินพันนาในฐานะของประมุขของเวียงท่ากาน และมีบทบาทสูงทางการเมืองเมื่อราชวงศ์มังรายสิ้นอำนาจลง

            เวียงมะโน  ตั้งอยู่ในเขตตำบลหนองตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเมืองโบราณสมัยหริภุญชัย ตั้งอยู่เหนือสุดห่างจากเวียงหริภุญชัยไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ แปดกิโลเมตร หลักฐานจากตัวอักษรที่พบในจารึกแม่หินบด ที่พบในเวียงมะโน ขนาดกว้าง ๒๑ เซนติเมตร สูง ๓๗ เซนติเมตร หนา ๓ เซนติเมตร จารึกเป็นอักษรมอญโบราณ เป็นภาษามอญ และภาษาพม่าโบราณ แสดงว่ามีความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญ และพม่า

            ผังเวียงมะโน  เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ ๗๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๙๐๐ เมตร พบร่องรอยคูน้ำและคันดินเหลืออยู่บ้าง ด้านตะวันออกติดกับลำน้ำปิงเก่าซึ่งตื้นเขินแล้ว ในเวียงมะโนมีวัดกลางเวียง เช่นเดียวกับเวียงในยุคหริภุญชัยแต่มีขนาดเล็กกว่า และมีจำนวนไม่หนาแน่นเท่าเวียงท่ากาน

            การพบเครื่องปั้นดินเผาประเภทหม้อบรรจุอัฐิ ลายขูดขีดศิลปะหริภุญชัย เป็นเศษภาชนะแตกกระจัดกระจายอยู่ภายในเวียงเต็มไปหมด และมีความหนาแน่นบริเวณด้านทิศตะวันออกที่ติดกับลำน้ำ ส่วนศิลปะสมัยล้านนาประเภทเครื่องปั้นดินเผาก็พบเช่นกัน แสดงว่าเวียงมะโนมีความสืบเนื่องจากยุคหริภุญชัยถึงยุคล้านนา

            เวียงเถาะ ตั้งอยู่ที่บ้านสองแคว ตำบลสองแคว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ผังเวียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวเวียงอยู่ติดกับแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก ใกล้กับบริเวณที่แม่น้ำขานไหลมาบรรจบแม่น้ำปิง ตัวเวียงยาวขนานไปตามลำน้ำปิงในแนวทิศเหนือ-ใต้ ลักษณะเดียวกับเวียงหริภุญชัย จากการสำรวจพบว่าแม่น้ำปิงกัดเซาะจนตัวเวียงหายไปครึ่งเมือง ยังคงเห็นร่องรอยแนวแม่น้ำเดิมอยู่อย่างชัดเจน แต่ปัจจุบันแม่น้ำปิงได้เปลี่ยนเส้นทางไปไกลจากเวียงเถาะแล้ว

            รอยคันดินด้านตะวันตกพบเศษเครื่องปั้นดินเผาลายขูดขีดศิลปะหริภุญชัยอยู่ บ้างเล็กน้อย หลักฐานสำคัญของเวียงเถาะคือ พระประธานวัดสองแคว ศิลปะหริภุญชัยประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นพระพุทธรูปศิลาเดิมประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ ด้านหลังวิหารที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปศิลาพบจารึกอักษรมอญโบราณ

            เวียงหอด  เวียงหอดหรือเวียงฮอด ตั้งอยู่ในเขตตำบลหางดง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเมืองโบราณสมัยหริภุญชัยที่อยู่ใต้สุด ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างยาวด้านละประมาณ ๔๐๐ เมตร ด้านตะวันออกอยู่ใกล้แม่น้ำปิง สภาพคันดินคูน้ำถูกทำลายไปมาก ภาพในเวียงไม่ปรากฏวัดร้าง เหลืออยู่แต่บนผิวดิน ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย เป็นเศษเครื่องปั้นดินเผา ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับที่พบในเขตเมืองโบราณสมัยหริภุญชัย

            เวียงหอด  เป็นชุมชนสมัยหริภุญชัยที่มีความสัมพันธ์กับเมืองต่าง ๆ ตามแนวแม่น้ำปิง บริเวณที่เป็นชุมชนจะอยู่บริเวณวัดเจดีย์สูง ซึ่งมีกลุ่มวัดร้างอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งสองชุมชนคือตัวเวียงหอด และบริเวณวัดเจดีย์สูง รวมกันเป็นชุมชนเมืองหอด ในสมัยโบราณชุมชนหอดเป็นปากประตูสู่เมืองหริภุญชัย และดินแดนล้านนา เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมสู่พม่า อยุธยา และเมืองทางใต้
สมัยผนวกเข้ากับอาณาจักรล้านนา

            เมื่อพญามังรายตีเมืองลำพูนได้ในประมาณ ปี พ.ศ.๑๘๓๕ ได้ให้ขุนฟ้าครองเมืองหริภุญชัย ส่วนพญามังรายไปสร้างเวียงกุมกาม เมื่อปี พ.ศ.๑๘๓๗ และไปสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๑๘๓๙ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา โดยการผนวกแคว้นหริภุญชัย และแคว้นโยนกเข้าด้วยกัน

            ในขณะที่พญามังรายครองเมืองเชียงใหม่ พญาเบิกโอรสพญาญีบา เจ้าเมืองเขลางค์นครได้ยกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ ได้ยกทัพมาล้อมเวียงกุมกามไว้ แต่ขุนครามโอรสพญาเม็งรายเจ้าเมืองเชียงรายยกกำลังมาช่วยไว้ได้ ตีกองทัพเมืองเขลางค์นครแตกกลับไป พญาเบิกถูกจับได้ที่ตำบลแม่ตาน (ขุนตาน) และถูกปลงพระชนม์ ณ ที่นั้น

พญาญีบาอพยพหนีไปพึ่งพระยาพิษณุโลกที่เมืองสองแคว ขุนครามยึดเมืองเขลางค์นครได้แล้ว แต่งตั้งให้ขุนเสนาครองเมืองเขลางค์นคร เป็นการขยายอาณาเขตของพญาเม็งรายไปในดินแดนลุ่มแม่น้ำวัง

            สำหรับเมืองลำพูน ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเชียงใหม่มาก ได้ให้ขุนนางไปปกครองเช่น ขุนฟ้าในสมัยพญามังราย หมื่นละพูนในสมัยพระนางจิรประภา และแสนลำพูนไชยในสมัยพระไชยเชษฐา แต่ในบางรัชกาลก็ดูแลเมืองลำพูนเอง


.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................


ชุมชนโบราณในเขตเมืองลำพูนในยุคล้านนา
ที่มา http://heritage.mod.go.th/nation/oldcity/lamphun3.htm

            เวียงลี้  ตั้งอยู่บนเนินเขาในเขตตำบลลี้ อำเภอลี้ ตัวเวียงยังมีร่องรอยคูเมืองปรากฏอยู่ ส่วนแนวกำแพงเมืองเห็นไม่ชัดเจนนัก ตัวเวียงหันหน้าออกสู่ที่ราบทุ่งหลวงลี้ อันเป็นบริเวณที่ห้วยแม่แวน และห้วยแม่แต๊ะกับแม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบกัน

            ตามตำนานพื้นเมืองที่เล่าต่อกันมาถึงการตั้งเมืองนี้ว่า มีพระนางจามรี นำผู้คนหนีภัยโรคระบาดจากเมืองหลวงพระบาง หรืออีกสำนวนหนึ่งว่า จากเมืองตอนเหนือของเมืองเชียงใหม่ เมื่อมาถึงเนินเขาลูกหนึ่ง เห็นว่าเป็นชัยภูมิดีจึงได้สร้างเวียงขึ้น และได้มีเจ้าเมืองปกครองต่อมาอีกสามองค์จนถึงสมัยเจ้านิ้วงามได้ถูกข้าศึก จากสุโขทัยมาตีเมืองได้ และกวาดต้อนผู้คนไปเมืองสุโขทัย

            เวียงหนองล่อง  ตั้งอยู่ในเขตตำบลวังผาง กิ่งอำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน ตัวเวียงตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำลี้นัก ผังเวียงเป็นรูปสี่เหลี่ยม ยังปรากฏร่องรอยของคูเวียงและคันดินบางส่วน

            จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้กล่าวถึงพญาจ่าบ้าน เจ้าเมืองเชียงใหม่ที่ได้ขับไล่อิทธิพลพม่าออกไปจากเชียงใหม่ จากการช่วยเหลือของพระเจ้ากรุงธนบุรี และพญากาวิละ ในปี พ.ศ.๒๓๑๗ ฝ่ายพม่าได้ยกกำลังมาตีเมืองเชียงใหม่คืน พญาจ่าบ้านจึงนำผู้คนมาตั้งมั่นที่เวียงหนองล่อง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๐

            เวียงสะแกง  ตั้งอยู่ในเขตตำบลหนองล่อง กิ่งอำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน ตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่แม่น้ำลี้ไหลมาบรรจบแม่น้ำปิง เป็นสถานที่ตั้งมั่น เพื่อต่อสู้กับพม่าของพญาจ่าบ้าน เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๒ ต่อมาพญากาวิละ ได้รวบรวมผู้คนเพื่อตีเมืองเชียงใหม่คืนจากพม่า ได้รวบรวมผู้คนของพญาจ่าบ้านที่เวียงสะแกงได้ ๗๐๐ คน แล้วไปตั้งมั่นที่เวียงป่าซางต่อไป

            เวียงหวาย  ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านโฮ่ง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน อยู่ทางทิศตะวันตกของวัดพระเจ้าสะเลียมหวาน มีพระพุทธรูปพระเจ้าสะเลียมหวาน เป็นพระพุทธรูปไม้สะเดาหวาน(สะเลียมหวาน) ปางอุ้มบาตร สูง ๒.๔๐ เมตร ประดิษฐานอยู่

            ตามตำนานพระเจ้าสะเลียมหวาน แสดงว่ามีเจ้าเมืองปกครองสืบต่อกันมา ยังปรากฏศาลเจ้าเมืองพญาจันทร์ตั้งอยู่
            เวียงหวาย  กลายเป็นเมืองร้างไปพร้อมกับอาณาจักรล้านนา

            เวียงป่าซาง  ตั้งอยู่ในเขตตำบลป่าซาง อำเภอป่าซาง ในครั้งที่พระเจ้ากาวิละแห่งเมืองลำปางรวบรวมผู้คนเพื่อฟื่นฟูเมือง เชียงใหม่  เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๓๒๕ เป็นต้นมา โดยนำกำลังพล ๓๐๐ คน จากเมืองลำปางมาสมทบกับกำลังของพญาจ่าบ้านที่เวียงสะแกง  ได้มาตั้งมั่นอยู่ที่เวียงป่าซางเป็นฐานในการเข้าไปฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ใน ปี พ.ศ.๒๓๓๙

            เวียงป่าซาง  ตั้งอยู่บนสองฝั่งของแม่น้ำทา ตัวเวียงยาวประมาณ ๑,๐๐๐ เมตร มีป้อมปราการแข็งแรง มีร่องรอยของป้อมปราการที่เหลืออยู่สี่ป้อม ภายในเวียงมีวัดอยู่สองแห่ง


.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................



สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ที่มา http://heritage.mod.go.th/nation/oldcity/lamphun3.htm


            เมื่อพระเจ้ากาวิละได้เข้าไปตั้งมั่นที่เมืองเชียงใหม่ได้แล้วใน ปี พ.ศ.๒๓๓๙ ในระยะแรกก็ได้ไปเกลี้ยกล่อมผู้คนจากเมืองเล็กเมืองน้อย แถบแม่น้ำสาละวินมาไว้ที่เวียงป่าซาง พระเจ้ากาวิละได้ไปเกลี้ยกล่อมเจ้าฟ้าเมืองยอง เมืองฝาง เมืองเชียงราย และเมืองสาด ให้ต่อต้านพม่า เจ้าเมืองยองยอมทิ้งเมืองพาผู้คนมาอยู่ที่เวียงป่าซาง

            ในปี พ.ศ.๒๓๔๕ เจ้ากาวิละเริ่มตีเมืองเชียงตุง และเมืองสาดได้ และตีเมืองเชียงแสนได้ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๗ โดยกองกำลังผสมจาก เชียงใหม่ กรุงเทพ ฯ ลำปาง เวียงจันทน์ และเมืองน่าน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๔๘ กองทัพเชียงใหม่ได้ยกขึ้นไปกวาดต้อนผู้คนตามเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของ เมืองเชียงแสนคือ เมืองยอง เมืองยู้ เมืองหลวย เมืองเชียงตุง เมืองเชียงขาง  เมืองวะ เมืองลอง เมืองกาย เมืองขัน เมืองหุน เมืองงาด เมืองงึม เมืองเสี้ยว สิบสองปันนา เชียงรุ่ง ฯลฯ
           การปฏิบัติการดังกล่าว เป็นการกวาดต้อนผู้คนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ล้านนา ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในเขตเมืองเชียงใหม่ และลำพูนของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมา หากเป็นช่างฝีมือ และไพร่ชั้นดีจะกำหนดให้อยู่ในเมือง เช่น เขินที่หายยา อพยพมาจากเชียงตุง เชี่ยวชาญการทำเครื่องเขินมาอยู่เชียงใหม่ระหว่างกำแพงเมืองชั้นนอก และชั้นในทิศใต้

ยวนบ้านฮ่อมเชี่ยวชาญการทำดอกไม้กระดาษ กลุ่มไต หรือไตใหญ่ เชี่ยวชาญด้านการค้า ส่วนไพร่ที่ไร้ฝีมือจะให้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่นอกเมืองเช่นเขินที่สันทราย ยองที่ลำพูน

            ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาจะยกมาเป็นกลุ่มเมือง เมื่อมาตั้งถิ่นฐานใหม่ได้ตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อบ้านเมืองเดิมที่ถูกกวาด ต้อนมา เช่น บ้านเมืองลวง บ้านเมืองแสน เมืองวะ เมืองสาด เมืองยู้ เมืองหลวย เมืองพยาก เป็นต้น บางแห่งแต่งตั้งตามทำเลใหม่ เช่นบ้านช่างกระดาษ สันป่าตอง บ้านป่าลาน บ้านสันกลาง เป็นต้น

            เมืองลำพูนได้รับการจัดตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังจากที่คนยอง ที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ลำพูนใน ปี พ.ศ.๒๓๔๘ มีพระยาบุรีรัตน์ (คำฝั้น) อนุชาพระเจ้ากาวิละมาครองเมืองเป็นคนแรก มีเจ้าบุญมาน้องคนสุดท้ายของตระกูลเจ้าเจ็ดตน เป็นพระยาอุปราช เมืองลำพูนมีความสำคัญรองลงมาจากเมืองเชียงใหม่ และเมืองลำปางตามลำดับ คาดว่าคนเมืองยองถูกกวาดต้อนมาอยู่ที่ลำพูน ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน

            การแบ่งไพร่พลยอง ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองลำพูน ให้พระยามหยังคบุรีเจ้าเมืองยอง และน้องอีกสามคน ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำกวง ตรงข้ามกับเมืองลำพูน ที่บ้านเวียงยอง ให้ผู้คนที่อพยพจากเมืองยู้ เมืองหลวย ไปตั้งถิ่นฐานอยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ชุมชนเหล่านี้ทอผ้าให้กับเจ้าเมืองลำพูน

            นอกจากนั้นการตั้งถิ่นฐานของชาวยองจะขยายตัวไปตามแนวลำน้ำ หมู่บ้านหลักในขณะนั้นในเขตลุ่มแม่น้ำกวง มีบ้านเวียงยอง บ้านยู้ บ้านหลวย บ้านตอง บ้านหลิ่วห้า (ศรีบุญยืน) บ้านปิงห่าง (หนองหมู) ตามลุ่มแม่สาร มี บ้านป่าขาม บ้านสันป่าสัก บ้านสัมคะยอม ในเขตลุ่มแม่น้ำปิง มี บ้านริมปิง บ้านประตูป่า บ้านหลุก บ้านบัว บ้านบาน ในเขตลุ่มน้ำแม่ทา มี บ้านป่าซาง บ้านสบทา บ้านฉางข้าวน้อย บ้านแซม บ้านสะปุ๋ง บ้านหวาย อีกส่วนหนึ่งได้ขยายตัวจากที่ราบป่าซางเข้าสู่เขตอำเภอบ้านโฮ่ง และอำเภอลี้ ในลุ่มแม่น้ำลี้

            มีชาวไตเขินจากเชียงตุง มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านสันดอนรอม นอกเขตกำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่บ้านแป้น ตำบลบ้านแป้น และก่อนการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวยอง ได้มีการกวาดต้อนชาวไตใหญ่จากเมืองปุ เมืองปั่น เมืองสาด เมืองนาย เมืองขวาด เมืองแหน และกลุ่มคนที่เรียกว่า ยางค้างหัวตาด ยาวหัวด่าน มาไว้ที่เวียงป่าซาง

            ภายหลังที่ตั้งเป็นเมืองลำพูน เมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๘ ในฐานะเป็นหัวเมืองประเทศราชขึ้นกับราชอาณาจักรสยามแล้ว ในปี พ.ศ.๒๓๕๑ พระเจ้ากาวิละได้เกณฑ์กำลังพลชาวเมืองลำพูน ประมาณ ๑,๐๐๐ คนรวมกับกำลังจากเชียงใหม่ และลำปาง เข้าตีเมืองยาง ที่ถูกพม่ายึดไว้แต่ไม่สำเร็จ จึงเทครัวอพยพชาวเมืองยองลงมาอยู่ที่เชียงแสน

           พระยาอุปราช (บุญมา)  แห่งเมืองลำพูน ผู้เป็นอนุชาองค์เล็กของตระกูลเชื้อเจ็ดตน ได้รับแต่งตั้งจากกรุงเทพ ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองลำพูนองค์ที่สอง ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๗๐ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาอุปราช (น้อย อินทร) เป็นพระยาลำพูนองค์ที่สาม ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๗๐ - ๒๓๘๑ เมืองลำพูนได้ขยายตัวไปผู้คนไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มน้ำต่าง ๆ อย่างมีความมั่นคง เมื่อปี

พ.ศ.๒๓๗๒ ดร.ริชาร์ดสัน ข้าราชการชาวอังกฤษได้เข้ามาสำรวจเส้นทาง และสภาพการค้าในเขตเมืองเชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน ได้บันทึกไว้ว่า ประชากรของเมืองลำพูนมีอยู่ประมาณ ๑๔,๐๐๐ คน

            ในปี พ.ศ.๒๓๘๑ พระยาลำปางไชยวงศ์ เจ้าเมืองลำปางได้ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้แต่งตั้งพระยาอุปราช (น้อย อินทร) เจ้าเมืองลำพูนไปเป็นเจ้าเมืองลำปาง และโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาอุปราช (คำตัน) เป็นเจ้าเมืองลำพูน (องค์ที่สี่)

คนมอญและคนพม่าในบังคับอังกฤษเริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจทำไม้ ในป่าปลายแขนแขวงเมืองตาก เมืองเชียงใหม่ และเมืองลำพูน

            พระยาอุปราช (คำตัน) เป็นเจ้าเมืองลำพูนถึง ปี พ.ศ.๒๓๘๔ ก็พิราลัย พระยาบุรีรัตน์ (เจ้าน้อยธรรมลังกา) บุตรเจ้าบุญมาได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองลำพูน (องค์ที่ห้า)ถึงปี พ.ศ.๒๓๘๖ ก็พิราลัย เจ้าหนานไชยลังกาได้รับโปรดเกล้า ฯ เป็นเจ้าเมืองลำพูน (องค์ที่หก) ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับขนานนามเป็นเจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคุณหริภุญชัย เป็นเจ้านครลำพูนถึง ปี พ.ศ.๒๔๑๔ จึงให้ยกเลิกตำแหน่งพระยาหัวเมืองแก้ว เปลี่ยนเป็นตำแหน่งเจ้าบุรีรัตน์


.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................


ยุคปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
ที่มา http://heritage.mod.go.th/nation/oldcity/lamphun3.htm

            เจ้าราชวงศ์ดาวเรืองรักษาการเจ้าเมืองลำพูน ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๑๔ - ๒๔๑๘ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าดาราดิเรกไพโรจน์ เจ้านครลำพูนไชย
หลังจากที่มีการทำสนธิสัญญาเชียงใหม่ (ฉบับที่ ๑) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๖ ลงนามที่กัลกัดตาแล้ว ทางกรุงเทพ ฯ ได้ส่งพระนรินทร์ราชเสนี (พุ่ม ศรีไชยยันต์) ปลัดบัญชีกรมพระกลาโหมไปเป็นข้าหลวงสามหัวเมือง ประจำอยู่ที่เชียงใหม่ เพื่อควบคุมดูแลให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ ลำปาง และลำพูนปฏิบัติตามสนธิสัญญาเชียงใหม่ ทำหน้าที่ประสานงาน ระหว่าง กรุงเทพ ฯ กับล้านนา แต่การปฏิบัติงานยังไม่ได้ผล จึงได้มีการแก้ไข และทำสนธิสัญญาเชียงใหม่ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๔๒๖ กำหนดให้คนในบังคับอังกฤษต้องขึ้นศาลต่างประเทศทั้งคดีแพ่ง และอาญา

            ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๒๗ ได้ยกเลิกฐานะหัวเมืองประเทศราชแล้วจัดการปกครองโดยรวมหัวเมืองใกล้เคียงกัน จัดเป็นหน่วยการปกครองที่เรียกว่า มณฑล ดินแดนล้านนาจึงเป็นมณฑลพายัพ กระทรวงมหาดไทยส่งข้าหลวงเทศาภิบาลมาปกครอง ส่วนแต่ละเมืองก็ส่งข้าหลวงประจำเมืองมาปกครอง และส่งนายแขวงมาปกครองแขวงหรืออำเภอ ส่วนตำบลและหมู่บ้านให้คนในท้องถิ่นปกครอง

            พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลือกสรรข้าหลวงที่มีความสามารถ และเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับนับถือ และยำเกรงของเจ้าผู้ครองนคร ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นพิชิตปรีชากร มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงพิเศษ มีการแต่งตั้งเสนาหกตำแหน่งคือ กรมมหาดไทย กรมทหาร กรมครัว กรมยุติธรรม กรมวัง และกรมนา เข้าไปแทนตำแหน่งเจ้าขันห้า (เจ้าเมือง เจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ เจ้าบุรีรัตน์ และราชบุตร) และเค้าสนามหลวง(ขุนนางชั้นสูง ๓๒ คน)

            ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ เจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ พิราลัย เกิดปัญหาแย่งชิงอำนาจในหมู่เจ้านายและบุตรหลาน ข้าหลวงพิเศษมณฑลลาวเฉียงได้มอบให้เจ้านายเมืองลำพูน ปรึกษาหารือกันในการจัดการปกครองเมืองลำพูนเสียใหม่

            เมื่อสิ้นสมัยเจ้าเหมพินธุไพจิตร (คำหยาด) เจ้าผู้ครองนครลำพูน ลำดับที่ ๘ (พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๔๓๘) ทางกรุงเทพ ฯ
มีนโยบายที่จะปฏิรูปการปกครองเมืองลำพูนก่อนเมืองเชียงใหม่ และลำปาง เพราะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็ได้รับการต่อต้านจากเจ้านายและบุตรหลาน

            การปฏิรูปการปกครองอย่างจริงจัง มีขึ้นในสมัยเจ้าอินทยศโชติ (เจ้าน้อยหมวก) เจ้าเมืองลำพูน ลำดับที่ ๙ (พ.ศ.๒๔๓๘ - ๒๔๕๔) ในปี พ.ศ.๒๔๔๓ ได้จัดราชการเมืองลำพูนใหม่โดยการบริหารราชการระดับเมืองเป็นหน้าที่ของคณะ กรรมการบริหาร ที่เรียกว่า เค้าสนามหลวง เจ้าผู้ครองนคร ข้าหลวงประจำนคร และข้าหลวงผู้ช่วย แบ่งเขตการปกครองเมืองลำพูนออกเป็นสองแขวง คือ แขวงในเมือง นอกเมืองลำพูน และแขวงเมืองลี้ มีนายแขวง (นายอำเภอ) ที่ส่วนกลางแต่งตั้งมาปกครอง ในแต่ละแขวง แบ่งออกเป็นแคว้น มีแคว่น (กำนัน) ปกครอง แขวงลำพูนแบ่งออกเป็น ๒๘ แคว้น แขวงเมืองลี้ แบ่งออกเป็น ๕ แคว้น จำนวนประชากรในปี พ.ศ.๒๔๔๕ จากรายงานมี ประมาณ ๑๑๐,๐๐๐ คน แขวงลำพูนมีประมาณ ๙๒,๐๐๐ คน

            ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ดำเนินนโยบายยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองโดยเด็ดขาด นับตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๖๙ เป็นต้นไป หากเจ้าเมืองใดว่างลงจะไม่โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งขึ้นอีก เจ้าเมืองลำพูนองค์สุดท้ายคือ นายพลตรี เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ (พ.ศ.๒๔๕๔ - ๒๔๘๖) ส่วนเจ้าเมืองที่มีชีวิตอยู่ก็ได้เงินเดือนไปจนกว่าจะถึงแก่กรรม


.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................


ลำดับเจ้าผู้ครองนครลำพูน

ที่มา http://heritage.mod.go.th/nation/oldcity/lamphun3.htm

            ๑.  เจ้าคำฝั้น (พ.ศ.๒๓๔๘ - ๒๓๕๙) เป็นอนุชาของพระเจ้ากาวิละ บุตรลำดับที่ แปดของเจ้าชายแก้วแห่งเมืองลำปาง เป็นแม่ทัพคนหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ในการขับไล่อิทธิพลพม่าออกไปจากล้านนา ที่เมืองเชียงแสน
            ๒.  เจ้าบุญมา (พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๗๐) เป็นอนุชาพระเจ้ากาวิละ บุตรลำดับที่สิบของเจ้าชายแก้วแห่งเมืองลำปาง
            ๓.  เจ้าน้อยอินทร (พ.ศ.๒๓๗๐ - ๒๓๘๑) เป็นบุตรเจ้าคำสม เจ้าเมืองลำปางองค์แรก และในปี พ.ศ.๒๓๘๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองลำปาง
            ๔.  เจ้าน้อยคำตัน (พ.ศ.๒๓๘๑ - ๒๓๘๔) เป็นบุตรเจ้าบุญมา เจ้าเมืองลำพูนองค์ที่สอง
            ๕.  เจ้าน้อยธรรมลังกา (พ.ศ.๒๓๘๔ - ๒๓๘๖) เป็นบุตรเจ้าบุญมา น้องเจ้าน้อยคำตัน
            ๖.  เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคุณหริภุญชัย - เจ้าหนานไชยลังกา (พ.ศ.๒๓๘๖ - ๒๔๑๔) เป็นบุตรคนที่สี่ของเจ้าคำฝั้น เจ้าเมืองลำพูนองค์ที่หนึ่ง
            ๗.  เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ (พ.ศ.๒๔๑๔ - ๒๔๓๑) เป็นบุตรลำดับที่ หกของเจ้าไชยลังกา ฯ ในช่วงนี้ทางกรุงเทพ ฯ ไม่ได้แต่งตั้งเจ้าเมืองลำพูนเป็นเวลาสี่ปี (พ.ศ.๒๔๑๔ - ๒๔๑๘) ในครั้งสงครามเชียงตุง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๕ ได้เป็นแม่ทัพคนหนึ่งของกองทัพเมืองลำพูน
            ๘.  เจ้าเหมพันธุ์ไพจิตร เจ้าคำหยาด(พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๔๓๘) เป็นบุตรเจ้าไชยลังกา ฯ
            ๙.  เจ้าอินทยงยศ - เจ้าน้อยหมวก (พ.ศ.๒๔๓๘ - ๒๔๕๔) เป็นบุตรเจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล
            ๑๐.  นายพลตรีเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ (พ.ศ.๒๔๕๔ - ๒๔๘๖) เป็นบุตรเจ้าอินทยงยศ ทางกรุงเทพ ฯ ให้มีการยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร ในฐานะหัวเมืองประเทศราช เป็นเจ้าผู้ครองลำพูนองค์สุดท้าย




ชุมชนชาวมอญที่บ้านหนองดู่ จ.ลำพูน
ภาพ/เรื่อง จากเว็บไซต์ http://muslimchiangmai.net (เป็นการถ่ายทำรายการพันแสงรุ้ง)



 


บ้านหนองดู่ ชุมชนมอญกลุ่มสุดท้ายในลำพูน

ชุมชนคนมอญแห่งเมืองหริภุญชัยกลุ่มสุดท้ายที่ยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่ วัดเกาะกลางแห่งนี้น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการสืบค้นอดีต แม้ว่าคนมอญส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตให้เข้ายุค สังคมในปัจจุบันไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยสายเลือดของคนมอญที่ฝังรากอยู่ในมโนสำนึกแล้ว

ทุก ๆ ปีชาวบ้านเกาะกลางจะจัดงานเทศกาลฟ้อนผีเม็งซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดียวที่ยังถูก ถ่ายทอดมาจนถึงลูกหลานเป็นการสานต่อวัฒนธรรมของพวกเขาไว้ไม่ให้สูญสลาย

มีหลักฐานเอกสารยืนยันว่า คนมอญมาจากเมืองตะแลงคนาซึ่งอยู่ในแถบอินเดียตอนใต้ ก่อนจะอพยพย้ายมาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีที่เมืองหงสาวดีแล้วตั้งเป็น อาณาจักรขึ้นเรียกว่า “อาณาจักรพยู” ตอนหลังถูกพม่าเข้ารุกรานและได้อพยพหนีเข้ามาอยู่ในสยาม โดยเข้ามาตั้งรกรากครั้งแรกที่บริเวณจังหวัดนครปฐม ต่อมาได้กระจายออกไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศ

นอกจากนี้ยังมีการขุดพบหลักฐานที่นครปฐมเป็นเหรียญเงินซึ่งปรากฏอักษรมอญไว้ ว่า “เย ธฺมมา ศรีทวารวติ” ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับชื่อของเมืองทวารวดี ทำให้ทราบว่ากลุ่มคนมอญเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนในสมัยทวารวดีเมื่อ ก่อนศตวรรษที่ 15

สำหรับกลุ่มคนมอญที่เข้ามาอยู่ในหริภุญชัย สันนิษฐานว่าเข้ามาเมื่อราวศตวรรษที่ 16 ปัจจุบันยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเกาะกลาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ซึ่งน่าจะเป็นคนมอญกลุ่มสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่

ชุมชนมอญบ้านหนองดู่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง ในเขตอ.ป่าซาง จ.ลำพูน เป็นชุมชนมอญอีกแห่งหนึ่งที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงสำเนียงเสียงภาษามอญ แม้ว่าชุมชนบ้านหนองดู่จะเป็นชุมชนมอญขนาดเล็ก แต่ก็รักษาขนบประเพณีมอญเอาไว้เป็นอย่างดี
  
 ความเชื่อของชาวมอญที่นี่ พวกเขาเชื่อว่าอพยพมาจากเมืองมอญ ในประเทศพม่าโดยตรง อย่างไรก็ตามนักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานว่า ชาวมอญบ้านหนองดู่สืบเชื้อสายมาจากชาวมอญในสมัยหริภุญชัย พร้อม ๆ กับการกำเนิดของพระนางจามเทวี

ตามตำนานโยนกนคร กล่าวว่า “พระนางจามเทวีทรงสมภพเมื่อเวลาจวนจะค่ำ วันพฤหัสบดี เดือน 5 ปีมะโรง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ปีพ.ศ.1176 โดยประสูติที่บ้านหนองดู่ (นครบุรพนคร) เป็นชาวเมงคบุตร ดังนั้นชาวมอญที่นี่จึงนับถือพระนางจามเทวีเป็นสมือนบรรพบุรุษ และทุกปีจะมีพิธีบวงสรวงวิญญาณเจ้าแม่จามเทวี อันเป็นประเพณีที่ชาวมอญยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ซึ่งจะทำพิธีภายในเดือน 4 ของมอญ (ปอน=4) เดือน 5 ของล้านนา หรือราวเดือนกุมภาพันธ์

เอกลักษณ์ของชาวมอญบ้านหนองดู่ที่ยังคงสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันก็คือ การแต่งกายและภาษา คนมอญ นิยมเรียกตนเองว่า “เมง” การแต่งกายของคนเมงคือ ผู้ชาจะใส่โสร่ง มีผ้าขาวม้าคาดบ่า สวมเสื้อคอมน ผู้หญิงจะใส่ชุดลูกไม้สีชมพู หากแต่ปัจจุบันการแต่งกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือ ใส่โสร่ง การแต่งกายแบบมอญจะมีในโอกาสพิเศษเท่านั้น เช่น งานวันบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวี วันเปิงสังกรา (วันสงกรานต์) วันลอยหะมด (วันลอยกระทง) และวันฟ้อนผีเท่านั้น
  
ส่วนภาษาของชาวมอญก็ยังคงมีการสื่อสาร โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ ทว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ได้ให้ความสนใจในการพูด – เขียนภาษามอญมากยิ่งขึ้น

 ในรายงานวิชาการเรื่องการขุดแต่งเจดีย์ประธานวัดเกาะกลาง โดยวิวรรณ แสงจันทร์ นักโบราณคดีอิสระ กล่าวถึงวัดเกาะกลางว่าเดิมเป็นวัดร้างตั้งอยู่กลางทุ่งนาในเขตบ้านบ่อคาว ต.บ้านเรือน อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

วัดนี้มีเรื่องเล่าเชิงมุขปาฐะสืบต่อันมาว่า เป็นวัดที่สร้างโดยเศรษฐีอินตา เชื้อสายมอญซึ่งเป็นบิดาของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย ต่อมาถูกทิ้งร้างโดยไม่ทราบสาเหตุ

วัดเกาะกลางในอดีตเคยเป็นวัดของคนมอญสร้างขึ้นอยู่กลางน้ำ รอบ ๆ วัดเป็นหนองน้ำกว้างใหญ่  จนกระทั่งปี พ.ศ.2517 พระมหาสงวน ปัญญา วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ พระมหาดวงจันทร์ เขียวพันธ์ วัดพระศรีมหาธาตุกรุงเทพฯและพระอุดม บุญช่วย จากวัดหนองดู่ลำพูน ได้เข้ามาบูรณะปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดเกาะกลางซึ่งเป็นวัดร้างและมีโบราณสถาน อยู่เป็นจำนวนมาก
  
ปัจจุบันวัดเกาะกลางเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เมื่อเดินทางเข้ามาในวัดจะพบกับโบราณสถานที่สำคัญซึ่งเป็นเจดีย์ประธานทรง ล้านนาที่มีลวดลายปูนปั้นค่อนข้างชัดเจนมาก ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆัง สร้างขึ้นบนฐานเขียงสี่เหลี่ยม

องค์เรือนธาตุแต่ละด้านมีซุ้มจรนำยื่นออกมาจนมีลักษณะเป็นมุข ที่เสากรอบมุขและหลังคาประดับด้วยลวดลายปูนปั้นรูปพรรณพฤกษา จากลวดลายปูนปั้นของเจดีย์องค์นี้เรียกได้ว่า น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่จะสามารถสืบค้นอายุของเจดีย์ได้

ลวดลายพรรณพฤกษาและลายเมฆไหลที่พบประดับกรอบซุ้มจรนำด้านเหนือของเจดีย์ ประธานวัดเกาะกลางนั้น เป็นงานประติมากรรมฝีมือช่างสกุลล้านนาที่มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการรับ เอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์มาจากสุโขทัย ดังนั้นนักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่าประติมากรรมปูนปั้นที่ประดับองค์เจดีย์ ประธาน เป็นประติมากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 20 หรือหลังสิ้นแผ่นดินพระเจ้าติโลกราช
  
นอกจากนี้รอบ ๆ วัดเกาะกลางยังปรากฏเจดีย์ต่าง ๆ และโบราณสถานอีกกว่า 7 แห่ง โดยเฉพาะเจดีย์หมายท่าที่อยู่ปากทางเข้าวัด เจดีย์หมายท่านี้น่าจะหมายถึงท่าน้ำบ้านหนองดู่

ที่ด้านหน้าวัดยังมีเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมมีเสาแกนกลางเพื่อรับน้ำหนักซึ่งไม่ เคยปรากฏรูปแบบที่ใดมาก่อนตั้งอยู่บนเนินดิน ในวัดยังมีซุ้มประตู ฐานอุโบสถและรากหรือฐานกำแพงวัดตลอดจนสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ เป็นเศษอิฐจมอยู่ใต้ดินเป็นจำนวนมาก

กลุ่มโบราณสถานภายในวัดเกาะกลางที่พบ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มโบราณสถานที่อยู่ภายในบริเวณวัดและกลุ่มโบราณสถานที่อยู่รอบ ๆ วัด รูปแบบของโบราณสถานที่ปรากฏอยู่ในวัดเกาะกลาง เป็นศิลปกรรมล้านนาคือตัวเจดีย์เป็นทรงมณฑปแบบล้านนา ข้างล่างเป็นฐานจตุรมุข ข้างบนเป็นทรงระฆังคว่ำ ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแต่ยังไม่ได้เข้ามาบูรณะซ่อม แซม

ชุมชนคนมอญแห่งเมืองหริภุญไชยกลุ่มสุดท้ายที่ยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่ วัดเกาะกลางแห่งนี้น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการสืบค้นอดีต แม้ว่าคนมอญส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตให้เข้ายุค สังคมในปัจจุบันไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยสายเลือดของคนมอญที่ฝังรากอยู่ในมโนสำนึก

ทุก ๆ ปีชาวบ้านเกาะกลางจะจัดงานเทศกาลฟ้อนผีเม็งซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดียวที่ยังถูก ถ่ายทอดมาจนถึงลูกหลานเป็นการสานต่อวัฒนธรรมของพวกเขาไว้ไม่ให้สูญสลาย








วิหารวัดพระธาตุหริภญชัย ปี พ.ศ ๒๔๕๖ ถูกลมพายุพัดจนวิหารพังทลาย
ที่มา : http://www.udon108.com/



ในปี พ.ศ ๒๔๕๖ ได้เกิดลมพายุขนาดใหญ่ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ลมหลวง พัดเอาพระวิหารที่ยิ่งใหญ่อลังการล่ม พังทะลายลงไป
ความเก่าแก่ของพระวิหารที่มีอายุการสร้างหลายร้อยปี ไม่อาจต้านทานความโหดร้ายรุนแรงของ ลมหลวงนี้ได้
ชาวบ้าน ชาวเมือง ทั่วทุกหัวระแหงในหัวเมืองล้านนา ต่างเศร้าโศกเสียใจกับ เหตุวาตะภัยครั้งนี้
สังเกตุในภาพ มีพระพุทธรูป องค์ใหญ่เศียรขาดไป ๑ องค์ เพราะถูกตัวอาคารพังทับลงมา



ภาพนี้ถ่ายใน พ.ศ ๒๔๕๖ ข้าหลวงสยาม โดยการนำของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ได้มาตรวจดูสภาพความเสียหายของพระวิหารหลวง
และภายหลังมีการบูรณะ เป็นการเปลี่ยนแปลง ผสมผสานของศิลปะสยามภาคกลางและล้านนา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น