วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

ระบบการเมืองและการปกครองสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และแนวความคิดเกี่ยวกับระบบพ่อขุนอุปถัมภ์ แบบเผด็จการ

ระบบการเมืองและการปกครองสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และแนวความคิดเกี่ยวกับระบบพ่อขุนอุปถัมภ์ แบบเผด็จการ


ระบบการเมืองและการปกครองสมัยจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  
 และแนวความคิดเกี่ยวกับระบบพ่อขุนอุปถัมภ์ แบบเผด็จการ
สภาพการณ์ทางการเมืองไทย ก่อน พ.. 2500
                ภายหลังการเปลี่ยนแปลง 2475 อำนาจทางการเมืองได้เปลี่ยนจากฝ่ายเจ้าไปสู่คนกลุ่มใหม่ ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการทหารและพลเรือน ซึ่งเรียกตนเองว่า "คณะราษฎร์" เป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบบประชาธิปไตยตามแบบตะวันตก
                ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในทางการเมืองในระยะนั้นได้แก่ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม และจอมพล ป. พิบูลสงคราม  ซึ่งในระยะแรกได้มีความสัมพันธ์และความร่วมมือกันเป็นอย่างดีในการโค่นล้ม "ระบบเก่า"  แต่ภายหลังได้เกิดความขัดแย้งในแนวความคิดในประเด็นสำคัญ ฝ่าย หลวงประดิษฐ์มนูธรรมนั้นเชื่อมั่นอยู่ในแนวความคิดที่ว่า การปกครองต้องตั้งอยู่บนรากฐานแห่งกฎหมาย ส่วนจอมพล ป. พิบูลสงครามมีความเลื่อมใสในขบวนการฟาสซิสต์แบบเยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น ความแตกแยกอันนี้เริ่มชัดเจนและรุนแรงขึ้น ในตอนปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยอมให้ญี่ปุ่นใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในขณะที่หลวงประดิษฐ์ฯ หันไปร่วมมือกับฝ่ายพันธมิตร
                อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามอำนาจของกลุ่มทหารบกถูกตัดลงจากข้อเรียกร้องของ
รัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศส และกลุ่มพลเรือนผู้มีหน้าที่ในการบริหารประเทศภายหลังสงคราม
ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้มีการปลดทหารออกเป็นจำนวนมาก ปัญหาการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ได้เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การรัฐประหารโดยคณะทหารเมื่อปี 2490 และอีก 4 ปี หลังจากนั้น กลุ่มรัฐประหาร 2490 ก็สามารถทำลายอิทธิพลของกลุ่มพลเรือน ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกเสรีไทยและบรรดานายทหารในกองทัพเรือบางส่วนที่สนับสนุนหลวงประดิษฐ์ฯ
                ในงานของทักษ์ เฉลิมเตียรณ  ชี้ว่า ผู้นำในกลุ่มรัฐประหาร 2490 นี้แตกต่างไปจากผู้นำ 2475 ในแง่ที่ว่า พวกเขาเหล่านั้นส่วนมากเป็นนายทหารบกและเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ ดังนั้นความรู้ความเขัาใจต่อระบบการเมืองของผู้นำกลุ่มนี้  จึงเกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ประสบการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความเชื่อมั่นหรือซึมซาบต่อระบอบประชาธิปไตยตามแบบตะวันตกเช่นเดียวกับผู้นำรุ่น 2475 เคยเป็น ทักษ์ได้ชี้ให้เห็นต่อไปอีกว่า จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสังเคราะห์อุดมการณ์ทางการเมืองแบบ "พ่อขุน" ของจอมพลสฤษดิ์ในเวลาต่อมา ดังนั้นเมื่อถึงสมัยจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ความหมายของประชาธิปไตยจึงถูกจำกัดลงเหลือเพียง  "ประชาธิปไตยแบบไทย" เท่านั้น
                การรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ซึ่งเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 2 ของจอมพลสฤษดิ์ แต่นับเป็นการรัฐประหารครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะการรัฐประหารครั้งนี้มีผลทำให้การเมืองการปกครองไทยต้องเข้าสู่รูปแบบของเผด็จการอำนาจนิยม (authoritarianism) เป็นเวลานานถึง 15 ปี และทำให้ทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารบก มีบทบาทอย่างสูงต่อการเมืองการปกครองไทยในระยะเวลาต่อมา
สาเหตุของการรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501
                สาเหตุสำคัญที่ทำให้จอมพลสฤษดิ์เข้าทำรัฐประหารในครั้งนี้ พอจะสรุปได้ 4 ประการ
หลัก ๆ ด้วยกันคือ
1.             ความไม่พอใจต่อระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยตะวันตก  โดยอ้างว่าไม่
เหมาะสมกับประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากข้อความที่ว่า
"ในเวลาทำรัฐประหารในวันที่ 16 กันยายน 2500 นั้น มิได้มีการแก้ไขรูปแบบการปกครองบ้านเมืองใหม่ คงปล่อยให้ดำเนินการตามแบบเดิม กล่าวคือ ยังคงมีรัฐสภา มีพรรคการเมือง ให้เสถียรภาพหนังสือพิมพ์ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเต็มที่และกว้างขวาง มีสหพันธ์และสหบาลกรรมกรที่ชอบหยุดงานและสไตรค์เมื่อไม่พอใจนายจ้าง เหล่านี้เป็นต้นที่ร้ายที่สุดก็คือ ผู้แทนราษฎรทั้งหลายพยายามแก่งแย่งชิงกันเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการการเมือง โดยขู่รัฐบาลว่า ถ้าไม่แต่งตั้งแล้วก็จะถอนตัวออกจากการสนับสนุนรัฐบาล พากันไปตั้งพรรคฝ่ายค้านขึ้นใหม่ ในที่สุดมีความเห็นพ้องกันว่า จะต้องใช้วิธีปฏิวัติหรือผ่าตัดขนาดใหญ่ จึงจะสามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติขณะนั้นได้.."
2.             ฐานะการคลังของรัฐบาล  อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐบาลชุด พล..ถนอม กิตติ
ขจร ต้องเผเชิญกับวิกฤตการณ์ทางด้านการคลัง กล่าวคือ งบประมาณประจำปี 2500  ขาดดุลอยู่ถึงกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ได้พูดถึงประเด็นนี้ว่า
                "…สมัยก่อนหน้าที่จะมีการปฏิวัติ ชาติที่รักของเราต้องตกอยู่ในสภาวะที่คับขันเพียงใด
ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศต้องทรุดลงไปอย่างหนักยิ่ง รัฐบาลต้องตกเป็นลูกหนี้ธนาคารแห่งชาติ ถึง 1,507 ล้านบาทเศษ"
                ทางออกของรัฐบาลก็คือ การขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาเพื่อสนับสนุนโครงการด้านเศรษฐกิจทั้งหมดใน พ.. 2501 - 2502 เป็นเงิน 58.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
3.             ภัยคอมมิวนิสต์ จอมพลสฤษดิ์มองว่า ภัยจากคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อความมั่นคง
ของชาติ และอาจเป็นไปได้ที่ว่า การอ้างการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปราบปรามนักการเมืองตลอดจนปัญญาชนที่เป็นฝ่ายตรงข้าม โดยจอมพลสฤษดิ์ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า
"…ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น คอมมิวนิสต์ได้โหมปฏิบัติการอย่างกว้างขวางเพื่อแทรกซึมเข้าไปในวงการต่าง ๆ เพื่อล้มล้างสถาบันอันศักสิทธิ์ของชาติเราคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างน่าห่วงใยและผู้แทนราษฎรหลายคนได้ยอมขายตนเป็นเครื่องมือของลัทธินี้อย่างเปิดเผย…"
                ในขณะเดียวกันนั้น สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศได้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยรัสเซียและฝ่ายโลกเสรีนิยมที่นำโดยอเมริกา มีการทำสงครามเย็นกันอย่างกว้างขวางทั่วไป
.4. สภาพการณ์โดยทั่วไปของสังคมไทย เช่น การอพยพเข้าสู่เมืองหลวงของชาว
ชนบทจากภาคอีสานอันเนื่องมาจากภาวะฝนแล้งอย่างหนัก โดยที่รัฐบาลก่อน คือ จอมพล ป. ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ผู้ที่อพยพเข้าสู่เมืองได้มีส่วนทำให้เกิดปัญหาสังคม เช่น ปัญหายาเสพติด  อาชญากรรม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายจากชนบทส่วนมากเข้าเมืองและประกอบอาชีพถีบสามล้อ  ซึ่งจอมพลสฤษดิ์มองว่าทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อภาวะเศรษฐกิจ  เนื่องจากไม่ทำให้เกิดผลผลิตและสร้างความเสื่อมโทรม ไม่เป็นระเบียบ โดยกล่าวว่า
"…ปัญหาใหญ่อยู่ที่ว่า  ชายฉกรรจ์ชาวหัวเมืองในชนบทของเราเป็นจำนวนหมื่นจะละทิ้งงานผลิต คือ เกษตรกรรม มาทำงานที่ไม่ผลิต เช่น การขับขี่สามล้อนั้น เป็นการเสื่อมเสียทางเศรษฐกิจปรากฏแก่กระทรวงมหาดไทยว่า ผู้ประกอบอาชีพทางถีบสามล้อนั้นลงท้ายกลายเป็นคนติดฝิ่นไปเป็นจำนวนไม่น้อย…"
                เมื่อจอมพลสฤษดิ์ขึ้นสู่อำนาจแล้ว ก็ให้ยกเลิกอาชีพสามล้อ และให้ผู้ประกอบอาชีพนี้กลับคืนสู่ภูมิลำเนาเดิมหรือจัดสรรที่ดินทำกินให้ในรูปของนิคมประชาสงเคราะห์
                ภายหลังการทำรัฐประหารแล้วจอมพลสฤษดิ์ ก็ขึ้นสู่อำนาจสูงสุดในนามของหัวหน้าคณะปฏิวัติและนายกรัฐมนตรี และได้อาศัยอำนาจเด็ดขาดตามมาตรา 17 จัดการกับปัญหาต่าง ๆ ตลอดจนทำการกวาดล้างผู้ที่จอมพลสฤษดิ์เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือเป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง  ตลอดจนปัญญาชน นักคิด นักเขียน เป็นจำนวนมาก  กล่าวกันว่า ภายใต้แนวความคิดเรื่องความเด็ดขาดต่อผู้กระทำความผิดนี้ ได้กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความสะพรึงกลัวแก่ประชาชนทั่วไป และในหลายกรณีได้มีผู้ซึ่งกลายเป็นเหยื่อทางการเมือง หรือนัยหนึ่งแพะรับบาป ไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากจะเป็นบรรดาคนจีน
อุดมการณ์ทางการเมืองพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ
                ดังได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่าจอมพลสฤษดิ์นั้นเป็นบุคคลที่เป็นผลผลิตภายใน คือไม่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ ดังนั้นแนวความคิดประชาธิปไตยและลัทธิเสรีนิยมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกปลูกฝังอยู่ในจิตใจของจอมพลสฤษดิ์เท่ากับผู้นำรุ่นก่อน ประกอบกับอาชีพทหารและวิถีชีวิตของทหารนั้นเน้นหนักไปในทางการใช้อำนาจมาแก้ไขปัญความขัดแข้งทางการเมือง ความล้มเหลวของคณะผู้ก่อการ 2475 ในที่สุดนำไปสู่ข้อสรุปขั้นต้นในจิตใจของจอมพลสฤษดิ์ว่า  การเมืองไทยจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการเมืองไทย และความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมแบบไทย  มิใช่แบบตะวันตก  ดังคำพูดออกอากาศของโฆษกวิทยุสองศูนย์ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2508 ว่า
"คณะปฏิวัติ มีความมุ่งหมายที่จะทำประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย มีความมุ่งหมายที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทยให้เป็นผลสำเร็จ  และเห็นว่าจะบรรลุผลตามความมุ่งหมายนี้ได้จะต้องแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตเสีย จึงทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ยกเลิกระบอบประชาธิปไตยที่นำมาจากต่างประเทศทั้งดุ้นเสีย และเสนอว่าจะสร้างระบอบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับลักษณะพิเศษและสภาวการณ์ของไทย จะสร้างประชาธิปไตยของไทย  ประชาธิปไตยแบบไทย"
และในเอกสารอีกแหล่งแสดงความเห็นไว้ว่า
                "หลักการประชาธิปไตยที่ได้สถาปนาขึ้นหลัง พ.. 2475 เป็นสิ่งที่ได้หยิบยืมมาจาก
ประเทศตะวันตก โดยเฉพาะประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส  และถึงแม้ว่าในกาลต่อมาจะได้มีการปรับปรุง  แต่ก็ได้ทำไปภายในขอบเขตของประชาธิปไตยแบบตะวันตก ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายจึงจะถือไม่ได้ว่าเป็นการทำปฏิวัติ"
และในทำนองเดียวกันนี้ โฆษกของคณะปฏิวัติได้พูดออกอากาศในรายการวิทยุสองศูนย์ ในทำนองเปรียบเทียบว่า
"ขอให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยเป็นเสมือนกัลปพฤกษ์ที่หยั่งรากลึกจากแผ่นดินไทย งอกงามเติบใหญ่ในแสงแดดและแรงฝน ออกผลเป็นกล้วยน้ำว้า มะม่วง เงาะ มังคุด และทุเรียน มากกว่าที่จะเป็นแอปเปิ้ล องุ่น อินทผลัม บ้วย หรือเกาลัด…"
รูปแบบของการปกครอง "ประชาธิปไตยแบบไทย" นี้  เป็นผลสะท้อนจากแนวความคิดและความเข้าใจของจอมพลสฤษดิ์ต่อสิ่งที่คิดว่าเป็นระบบการเมืองที่ถูกต้อง และเนื่องจากจอมพลสฤษดิ์ เป็นผู้หนึ่งที่เลื่อมใสในประวัติศาสตร์มาก ซึ่งในทัศนะของทักษ์ เฉลิมเตียรณ มองว่า หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้มีส่วนอยู่มาก และงานเขียนต่าง ๆ ของหลวงวิจิตรฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเรื่องของการแสวงหารูปแบบของการปกครองในสมัยโบราณ ที่อาจนำมาใช้ได้กับการพัฒนาประเทศ  ความคิดดังกล่าวผนวกเข้ากับภูมิหลังทางการศึกษาภายในประเทศและ ประสบการณ์ทางการเมืองในฐานะนายทหารผู้คร่ำหวอดอยู่กับการใช้กำลังทำให้พอ สรุปถึงความเข้าใจทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ต่อรูปแบบของสังคมการเมืองไทย ว่าประกอบขึ้นด้วยรัฐ/รัฐบาล ข้าราชการ และประชาชน
ในทัศนะของจอมพลสฤษดิ์  ประชาธิปไตยแบบไทยควรที่จะเป็นไปในรูปที่รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ  และมองว่าระบบพรรคการเมืองนั้นไม่เหมาะสมกับสังคมไทย  ดังนั้นพรรคการเมือง และ/หรือการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงจึงมิใช่สิ่งที่มีความจำเป็นต่อระบบการเมืองไทย ดังความเห็นที่ว่า
"แม้ว่ารัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรจะมีข้อความสั้น ๆ น้อยมาตรา ก็ยังมีบท
บัญญัติให้เอาแบบทั่วไปของระบอบรัฐธรรมนูญ คือประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยมาใช้ความเป็นไปในรัฐสภาของเราที่มีอยู่ในเวลานี้ ผิดกับในยามที่ใช้รัฐธรรมนูญปกติแต่เพียงว่า ไม่มีผู้แทนที่หาเสียงเลือกตั้งโดยตรงมาจากราษฎร แต่ข้าพเจ้ากล้ารับรองว่า ในกระบวนการรักษาผลประโยชน์ของราษฎร ความหวังดีต่อราษฎร และเจตนาที่จะสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาตินั้น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในเวลานี้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าสมาชิกสภาในสมัยใด ๆ เราทำงานกันด้วยความสุจริตใจ ด้วยวิชาความรู้ ด้วยดุลพินิจอันเที่ยงธรรม ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลบีบบังคับ ไม่ต้องห่วงใยในการที่จะแสดงตนเป็นวีรบุรุษ เพื่อประโยชน์แก่การเลือกตั้งคราวหน้า"
                จอมพลสฤษดิ์ยังได้พูดถึงความไร้สมรรถภาพ ความไม่มีวินัยของนักการเมืองและนักหนังสือพิมพ์ว่ามีพื้นฐานอยู่บนผลประโยชน์ของตัวเองโดยใช้วิธีการและเล่ห์กลที่สกปรกและการขยายตัว จนไม่สามารถที่จะพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง มีแต่จะนำไปสู่ความวุ่นวาย  ไร้เสถียรภาพทางการเมือง โดยสรุปก็คือ ระบบการเลือกตั้งและระบบพรรคการเมืองนั้นไม่เหมาะสมกับประเทศไทย เพราะจะทำให้เกิดการแตกแยกความสามัคคีและนำไปสู่ความวุ่นวายไร้ระเบียบ และทางออกของปัญหานี้ก็คือ ควรต้องให้อำนาจกับรัฐบาลมากขึ้น  กล่าวคือ รัฐบาลเป็นสถาบันที่จะกำหนดว่า อะไรคือเจตนารมณ์ของชาวไทยทั้งประเทศโดยมีเป้าหมายที่สำคัญอยู่ที่ความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมือง
                จอมพลสฤษดิ์เชื่อว่า การปกครองเป็นเรื่องของกษัตริย์ ของเจ้านายผู้มีบุญวาสนา ขอเพียงแต่ให้ผู้นำนั้นมีความเที่ยงธรรมและสุจริตใจตั้งอยู่ในศีลธรรม (เช่นเดียวกับหลักธรรมในการปกครองแบบโบราณสำหรับกษัตริย์ คือ ทศพิธราชธรรม)
                แนวความคิดเหล่านี้  ในทางปฏิบัติแล้วจอมพลสฤษดิ์เชื่อว่า ผู้นำคือนายกรัฐมนตรี ต้องมีอำนาจที่เด็ดขาด โดยอำนาจนั้นตั้งอยู่บนหลักของความเป็นธรรม ซึ่งในสังคมไทยคือ หน้าที่ของพ่อที่ต้องปกครองบุตรให้ได้รับความสุข ในขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจเด็ดขาดหากบุตรคนใดไม่เคารพเชื่อฟัง  อย่างไรก็ตาม การลงโทษนั้นก็เพื่อทำให้บุตรเป็นคนดีต่อไป
                การให้เหตุผลในการวางหลักการปกครองแบบไทยเช่นนี้ คือการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองที่มีพื้นฐานอยู่บนประวัติศาสตร์และจารีตประเพณีดั้งเดิมของสังคมไทย ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ เชื่อมั่นว่าเป็นการประยุกต์แนวความคิดประชาธิปไตยเข้ากับจารีตและวัฒนธรรม ไทย และ "พ่อ" ของคนไทยทุกคน  หรือนัยหนึ่งพ่อของครอบครัวที่ใหญ่ที่สุด คือชาติ ก็คือ พ่อขุน ผู้ปกครองด้วยความเป็นธรรมและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาในขณะเดียวกันเป็นผู้ใช้อำนาจเด็ดขาดต่อผู้อยู่ใต้ปกครองได้  แนวความคิดนี้สะท้อนออกมาชัดเจนมากในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าที่ประชุมกำนัน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2503 ดังนี้
"กำนันเป็นบุคคลสำคัญมากในสายการปกครอง เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับราษฎร เป็น
สายสัมพันธ์ระหว่างราษฎรกับรัฐบาล ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาด้วยความนิยมนับถือของราษฎรจริง ๆ เป็นผู้ที่รักษาระบบการปกครองเก่าและของใหม่ให้ประสานกัน  เพราะว่าประเพณีการปกครองของไทยแต่โบราณมาได้ถือระบอบพ่อปกครองลูก  เราเรียกพระมหากษัตริย์ว่าพ่อขุน หมายความว่า เป็นพ่อที่สูงสุด ต่อมาก็มี พ่อเมือง คือผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อไปถึง พ่อบ้าน คือกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในที่สุดก็ถึงพ่อเรือน คือหัวหน้าครอบครัว
แม้ในสมัยนี้ จะได้มีระบบการปกครองเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น ไม่เรียกว่าพ่อเหมือน
แต่ก่อน แต่ข้าพเจ้ายังยึดมั่นนับถือคติและประเพณีโบราณของไทยเราในเรื่องพ่อปกครองลูกเสมอ ข้าพเจ้าเคยพูดบ่อย ๆ ว่า ชาติเป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ ผู้ปกครองไม่ใช่อื่นไกล คือหัวหน้าครอบครัวใหญ่นั่นเอง ต้องถือว่าราษฎรทุกคนเป็นลูกเป็นหลาน ต้องมีความอารีไมตรีจิต เอาใจใส่ในทุกข์สุขของราษฎร เท่ากับบุตรหลานในครอบครัวของตนเอง ข้าพเจ้าเองพยายามไปถึงที่นั่น ดูแลอำนวยการบำบัดทุกข์ภัยด้วยตนเอง ข้าพเจ้าพยายามเข้าถึงราษฎรและเอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของราษฎร เหมือนหนึ่งว่าเป็นครอบครัวของข้าพเจ้าเองเสมอ…"
คำกล่าวนี้ได้เป็นสิ่งที่แสดงแนวความคิดทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์อย่างชัดเจน หัวใจสำคัญของการปกครองบ้านเมืองขึ้นอยู่กับตัวผู้ปกครองหรือพ่อขุนซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของที่อยู่ใต้ปกครอง ข้าราชการและประชาชนมีหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายและรับเอาสิ่งที่เป็นความ "อุปถัมภ์ " จากฝ่ายรัฐบาล
ภายใต้กระบวนการนี้ องค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ระบบราชการหรือข้าราชการ ซึ่งมีหน้าที่เป็นแทนและปฏิบัติตามคำบัญชาของผู้ปกครอง และต้องยอมรับการชี้แนวทางการปฏิบัติจากรัฐบาล โดยเฉพาะตัวผู้นำ ดังนั้น โดยนัยแห่งการปกครองแบบนี้ ข้าราชการจึงมิได้มีความหมายในแง่ของการเป็นผู้รับใช้หรือบริการประชาชน หากแต่มีความหมายไปในทำนองเป็นข้ารัฐบาลหรือผู้รับใช้รัฐบาลมากกว่า ดังนั้นในทางปฏิบัติจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดภายใต้ระบบการเมืองแบบนี้ก็คือ รัฐ/รัฐบาล และข้าราชการ ส่วนประชาชนนั้น ไม่มีบทบาททางการเมือง หรือมีบทบาททางการเมืองอย่างจำกัด ภายใต้การควบคุมและยินยอมจากรัฐเท่านั้น
ในฐานะพ่อขุน  จอมพลสฤษดิ์ได้พยายามสร้างกิจกรรมขึ้นรองรับกับแนวความคิดในเรื่องการเป็นพ่อบ้านหรือผู้ปกครองหลายประการด้วยกัน เช่น ในแง่ของการช่วยเหลือประชาชน การรักษาความสงบเรียบร้อย การส่งเสริมสุขภาพและศีลธรรม การเยี่ยมเยียนราษฎร และการออกคำสั่ง
จอมพลสฤษดิ์ในฐานะพ่อขุนช่วยเหลือประชาชน
เพื่อเป็นการแสดงถึงความมีเมตตากรุณาต่อประชาชนผู้เปรียบเสมือน "ลูก ๆ "  ในทันทีที่มีการปฏิวัติเพียงไม่กี่วัน คณะปฏิวัติได้มีคำสั่งให้ลดค่ากระแสไฟฟ้าและออกพระราชกฤษฎีกาให้แต่ละครอบครัวได้รับน้ำฟรีเดือนละ  30 ปีบ ตลอดจนลดค่าโทรศัพท์ ค่ารถไฟ และค่าเล่าเรียน เป็นต้น
สิ่งที่สนใจอีกประการหนึ่ง จอมพลสฤษดิ์ได้ส่งให้กองทัพเรือทำการจัดหามะพร้าวราคาถูกและนำมาขายให้ประชาชนในราคาต้นทุน
การกระทำในลักษณะนี้ ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อพ่อขุนคนใหม่  ทำให้การยอมรับในหมู่ประชาชนได้ขยายกว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็ว
จอมพลสฤษดิ์ในฐานะพ่อขุนรักษาความสงบเรียบร้อย
จอมพลสฤษดิ์มีความเชื่อว่า การจะนำประเทศไปสู่สภาวะความทันสมัยและเจริญนั้น ต้องเริ่มต้นที่การมีสภาวะจิตใจที่ดี ดังนั้นหลังการรัฐประหาร 2501  จึงได้มีคำสั่งให้จัดการกับอันธพาลอย่างเฉียบขาดเพื่อส่งเสริมความผาสุกของประชาชน เนื่องจากมองว่าอันธพาลเป็นการบ่อนทำลายสังคมประชาชนทั่วไป
ในทัศนะของจอมพลสฤษดิ์  ความสงบเรียบร้อยรวมถึงการปฏิเสธวัฒนธรรมตะวันตก เช่น เพลงร็อก การเต้นทวิสต์ ซึ่งได้รับความนิยมในสมัยนั้น กวดขันเกี่ยวกับแหล่งอบายมุขและสถานเริงรมย์ต่าง ๆ โสเภณีก็อยู่ในข่ายนี้ด้วย โดยในทัศนะของจอมพลสฤษดิ์มองว่าเป็นผู้ส่งเสริมอาชญากรรมจึงออกกฎหมายห้ามการค้าประเวณีและให้ยกเลิกอาชีพสามล้อในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นต้น
สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือ การจัดการเกี่ยวกับเรื่องเพลิงไหม้อย่างเฉียบขาด ด้วยการยิงเป้าผู้ที่ต้องสงสัยหรือจับได้ว่าเป็นผู้วางเพลิง ณ บริเวณเกิดเหตุนั้นเอง ซึ่งได้สร้างความเกรงกลัวให้กับประชาชนทั่วไป เมื่อปรากฏว่ามีเพลิงไหม้ ณ ที่ใด จอมพลสฤษดิ์มักจะไปอำนวยการดับเพลิงด้วยตนเองเสมอ  การกระทำเช่นนี้ได้สร้างความเชื่อถือแก่ประชาชนทั่วไปต่อจอมพลสฤษดิ์ยิ่งขึ้น
จอมพลสฤษดิ์ในฐานะพ่อขุนส่งเสริมสุขภาพและศีลธรรม
ได้แก่การกวดขันและปราบปรามการค้ายาเสพติด อันได้แก่ฝิ่นและเฮโรอีน โดยได้ออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 37 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2502 เป็นต้นไป  ให้ถือว่าการเสพฝิ่นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และโรงยาฝิ่นก็ถูกปิดอย่างถาวร ในขณะเดียวกัน ได้จัดตั้งศูนย์บำบัดรักษาเพื่อช่วยให้เลิกติดยาเสพติด
จอมพลสฤษดิ์ ในฐานะพ่อขุนเยี่ยมเยียนครอบครัว
ในการเน้นความสามัคคีและการสร้างเสถียรภาพทางการเมืองนั้นจอมพลสฤษดิ์ได้พยายามออกเดินทางไปเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุขของประชาชนในภาคต่าง ๆ และได้มีการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ  ซึ่งพูดถึงแผนพัฒนาส่วนภูมิภาคด้วย จอมพลสฤษดิ์เองร่วมเป็นกรรมการพัฒนาภาคอีสาน การไปตรวจราชการตามภาคต่าง ๆ นั้น จอมพลสฤษดิ์ได้ให้ความสนใจกับปัญหาในชีวิตประจำวันของประชาชนโดยการเดินทางด้วยรถยนต์และไปตั้งแคมป์พักกลางทาง ทุก ๆ แห่งที่ผ่านไปจะให้ความสนใจกับสภาพตลาดของแต่ละชุมชนและจากการนี้จอมพลสฤษดิ์ได้สรุปถึงปัญหาของประชาชนในเวลานั่นว่า ขึ้นอยู่กับน้ำและถนน
อนึ่ง ในเวลานั้นจอมพลสฤษดิ์ตระหนักดีว่า ภาคอีสานและภาคใต้กำลังเป็นส่วนที่มีปัญหาทางการเมืองมากที่สุด โดยเฉพาะภาคอีสานปรากฏมีขบวนการต่อต้านอำนาจทางการเมืองของกรุงเทพฯ อยู่เสมอ  ในขณะที่ในภาคใต้มีเรื่องราวเกี่ยวกับความไม่สงบเรียบร้อยบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในบริเวณ 4 จังหวัดภาคใต้
การ กระทำดังกล่าวนี้เพื่อเป็นเครื่องแสดงว่า ตนห่วงใยประชาชนในทุกภาคและต้องการที่จะเห็นสภาพความเป็นอยู่ตามที่เป็นจริง ด้วยตาของตนเองจอมพลสฤษดิ์เป็นผู้นำคนแรกที่ออกตรวจราชการโดยทางบกบ่อยครั้ง ที่สุด
จอมพลสฤษดิ์ในฐานะพ่อขุนใช้อำนาจเด็ดขาด
ยาโนะวิเคราะห์การปกครองแบบเผด็จการว่ามีลักษณะเด่น ๆ 3 ประการ คือ ประการแรก มีคำกล่าวแบบไทยเกี่ยวกับแนวความคิดเรื่องภาระของคนชั้นสูง  นักการเมืองทุกคนล้วนแล้วแต่มีลักษณะพิเศษตามแบบบิดากับบุตรทั้งสิ้น ประการที่สอง ด้านเสียของการปกครองแบบบิดากับบุตรคือ  เสรีภาพในการใช้อำนาจการปกครองโดยคำสั่งมีความสมบูรณ์แบบมากจนกระทั่งสามารถขจัดข้อผูกมัดทั้งปวงให้ออกไปพ้นจากการใช้อำนาจเด็ดขาด ประการที่สาม คือการกำจัดส่วนที่มิใช่เป็นไทยหรือพวกนอกรีตที่เข้ากับผู้ปกครองไม่ได้อย่างเฉียบขาด
ในสมัยจอมพลสฤษดิ์  การใช้อำนาจแบบเด็ดขาดเพื่อจำกัด "พวกนอกรีตนอกรอย"  เป็นสิ่งที่พบเห็นได้อยู่เสมอ เช่น การลงโทษประหารชีวิตชาวจีนผู้ลอบวางเพลิง และกำจัดผู้กระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ คำประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 12 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2501  ได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สอบสวนยิ่งขึ้นในอันที่จะกักขังผู้ต้องหาไว้ตลอดระยะเวลาสอบสวน ยิ่งกว่านั้นคำประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 15 ยังได้กำหนดไว้ว่า คดีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ จำต้องโอนไปขึ้นศาลทหารตามกฎอัยการศึก
ในสมัยนี้ ปัญญาชน นักศึกษา และนักหนังสือพิมพ์  ตลอดจนนักการเมืองจำนวนมากมายที่วิพากษ์วิจารณ์จอมพลสฤษดิ์ตลอดจนวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์และสังคมไทย ได้ถูกปราบปรามอย่างรุนแรงตัวอย่างในจำนวนนี้ได้แก่ กรณีของ จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นต้น
โดยสรุปก็คือ ในอีกด้านหนึ่งของระบบพ่อขุน นอกเหนือจากที่มีการดูแลทุกข์สุขของราษฎรแล้วก็ยังมีลักษณะของเผด็จการอยู่ด้วย  ซึ่งลักษณะอันนี้ได้สร้างพลังกดดันให้แก่สังคมไทยอย่างมหาศาล และในที่สุดก็ปะทุขึ้นมา  เมื่อวันที่ 14  ตุลาคม  2516
การควบคุมระบบราชการ
ในเรื่องของการบริหารจอมพลสฤษดิ์ได้ดำเนินการปรับปรุงอำนาจของนายกรัฐมนตรี จากการเป็น fist minister มาเป็น chief executive และได้รวมศูนย์อำนาจให้เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 57  ซึ่งเป็นฉบับสุดท้าย ได้เน้นถึงการให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรี ในการปรับปรุงสำนักงานนายกรัฐมนตรีได้ตามที่เห็นสมควร โดยเพิ่มหน่วยงานจาก 12 หน่วยงานเป็น 24 หน่วยงาน ในปี 2506
นอกจากนั้น จอมพลสฤษดิ์ยังรวมศูนย์อำนาจทางด้านการใช้กำลังไว้แต่เพียงผู้เดียว โดยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก อธิบดีกรมตำรวจ และหลังจากที่ได้ตั้งกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติขึ้น ก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนี้อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
ตามแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐ/รัฐบาล ข้าราชการ ประชาชน ดังได้กล่าวไปแล้วนั้น ในความเป็นจริงปรากฏว่า กลุ่มทหารนั้นมักจะได้ดำรงตำแหน่งผู้นำระดับสูง แต่จอมพลสฤษดิ์ก็ตระหนักดีว่า ในเวลาเดียวกันก็ไม่อาจละเลยความสำคัญของข้าราชการพลเรือนได้ เพราะหากปราศจากการสนับสนุนของข้าราชการรัฐบาลก็ยากที่จะดำเนินการตามนโยบายที่ได้วางไว้  แต่เนื่องจากระบบการทำงานของข้าราชการไทยมีลักษณะเป็นแบบระบบอุปถัมภ์   สมาชิกในคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่เป็นเพียงตัวแทนผลประโยชน์ของข้าราชการในแต่ละกระทรวงที่ตนสังกัดอยู่ ทำให้มีลักษณะของความแตกแยกสูง  การไม่ยอมประสานงานระหว่างหน่วยราชการเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ข้าราชการมองตัวเองเป็นเพียงผู้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลโดยไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างกระตือรือร้นเท่าที่ควร
จอม พลสฤษดิ์จึงพยายามที่จะให้มีการสร้างความสัมพันธ์อันดีซึ่งกันและกันระหว่าง ข้าราขการระดับสูงโดยอาศัยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเป็นเครื่องมือ การเข้าไปศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติ และบ่งถึงความสำคัญของหน่วยงานของตน โดยสรุปแล้ว วปอ. สามารถที่จะสร้างความเป็นปึกแผ่นและความร่วมมือระหว่างข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะพลเรือนและทหาร ได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าจอมพลสฤษดิ์จะสามารถสร้างบารมีและสถาปนารูปแบบการเป็นผู้นำแบบพ่อขุนซึ่งเป็นเสมือนพ่อบ้าน ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไปได้ก็จริงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันจอมพลสฤษดิ์ ก็ตระหนักดีว่าสถาบันที่มีความสำคัญยิ่งต่อระบบการเมืองการปกครองไทยอีกสถาบันหนึ่งคือ สถาบันกษัตริย์ จากบทเรียนในอดีตซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์กับจอมพล ป. ทำให้หลายฝ่ายหยิบยกขึ้นมาเป็นจุดโจมตีรัฐบาล ในขณะเดียวกัน ทำให้ความเลื่อมใสของประชาชนต่อรัฐบาลลดลง
กลุ่มที่ทำการล้มอำนาจของจอมพล ป. ในปี 2500  มองว่า การที่จะแสวงหาความชอบธรรมในระยะยาวอันหนึ่ง คือ การพึ่งพาการยอมรับของสถาบันกษัตริย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันนี้ จะเป็นการส่งเสริมฐานะและอำนาจของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้นำ พ.. 2500 ซึ่งไม่ได้มีบทบาทในการล้มอำนาจฝ่ายเจ้าในปี 2475  จึงสามารถหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มต่อต้านเจ้า  อนึ่งแนวความคิดเรื่องสถาบันกษัตริย์เป็นแนวความคิดที่สอดคล้องกับระบบการเมืองแบบไทยและระบบพ่อขุนเป็นอย่างดี ดังนั้นบทบาทหน้าที่และเกียรติของสถาบันกษัตริย์จึงได้รับการส่งเสริมมากกว่ารัฐบาลก่อน ๆ เช่น การสนับสนุนให้พระมหากษัตริย์และพระราชินีเสด็จไปเยี่ยมประเทศต่าง ๆ  ส่วน ด้านการปกครองภายในประเทศนั้น ก็พยายามส่งเสริมให้องค์พระมหากษัตริย์มีโอกาสแสดงพระราชดำรัสต่อประชาชน พาดพิงถึงนโยบายต่าง ๆ เช่นแผนพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลพยายามสร้างสถาบันกษัตริย์ให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีความเป็น ปึกแผ่นของคนในชาติ
การปรับปรุงประเทศไปสู่ภาวะทันสมัย
และผลกระทบต่อสังคมไทยในเวลาต่อมา
                การไปตรวจราชการตามต่างจังหวัดหลายครั้ง หลัง พ.. 2501  ทำให้จอมพลสฤษดิ์เชื่อมั่นว่า ความต้องการของประชาชนในชนบทนั้นมีอยู่ 2 ประการหลัก ๆ ด้วยกันคือ น้ำกับถนน ด้วยปัจจัยสำคัญทั้งสองประการนี้จอมพลสฤษดิ์เชื่อว่าจะนำไปสู่การพัฒนาและความกินดีอยู่ดีของประชาชน จอมพลสฤษดิ์ได้อธิบายถึงความสำคัญของน้ำดังนี้
"เรื่องน้ำเป็นปัญหาสำคัญมาก ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นจังหวัดใดที่มีน้ำบริบูรณ์ ประชาชนใน
จังหวัดนั้นหน้าตาผ่องใส ผิวพรรณสะอาดสะอ้านสดชื่น พืชพันธุ์ธัญญาหารในการเพาะปลูกก็ได้ผลดี ทำให้การเศรษฐกิจของจังหวัดนั้นรุ่งเรืองและสดใสตามไปด้วย…"
การปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์  โดยให้
สภาพัฒนาฯ ทำการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก พ.. 2504 - 2508 อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากผลการวิจัยและข้อเสนอแนะของธนาคารโลกที่ได้ทำขึ้นในนามรัฐบาลไทย โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้
1.             วัตถุประสงค์เบื้องแรกของแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติก็คือ การยกมาตรฐานการ
ครองชีพของประชาชนไทย ข้อความย่อ ๆ นี้ ดูเป็นการแนะนำเกี่ยวกับเป้าหมายทางวัตถุเท่านั้น โดยมิได้คำนึงถึงค่านิยมทางด้านสุนทรีย์  วัฒนธรรม  และสังคม  แต่ในขณะเดียวกันความสุขสบายก็มีวัตถุประสงค์อยู่ในตัวแล้วและที่สำคัญยิ่งกว่านี้คือ ยังเป็นหนทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายอย่างอื่นอีกขั้นหนึ่งที่ทำให้พลเมืองทุกคนได้มีชีวิตที่ผาสุกกว่า  สร้างสรรค์กว่า และสมบูรณ์กว่า ดังนั้น "การยกมาตรฐานการครองชีพ"  จึงจำต้องอธิบายในแง่ที่กว้างเช่นนี้
2.             การให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย จำเป็นต้องเพิ่มรายได้ของสินค้าและบริการต่อ
หัวทั้งหมด และรายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้ก็จะต้องกระจายออกไปโดยทั่วถึง  เพื่อว่าพลเมืองทุกคนไม่เฉพาะเพียงแต่บางคนเท่านั้นจะพึงได้ผลประโยชน์จากการนี้
3.             เชื่อกันว่า ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนใหญ่จะได้มาจากความพยายามด้วยตนเองของ
พลเมืองแต่ละคนโดยมีรัฐบาลช่วยเกื้อหนุนมากกว่าจากการที่รัฐบาลจะเข้าไปเป็นผู้ผลิตเองโดยตรง  ดังนั้นประการสำคัญของโครงการพัฒนาเพื่อสาธารณชนจึงเป็นการส่งเสริม ให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจขึ้นในภาคเอกชนและสิ่งอุดหนุนของรัฐบาล ก็มุ่งไปสู่โครงการทั้งในภาคเศรษฐกิจและประเภทกิจกรรมและที่ไม่ใช่กสิกรรม เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต่างก็มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันนี้  อีกสามปีถัดไป การก่อสร้างด้านชลประทาน การสร้างและปรับปรุงถนนหนทาง และการคมนาคมอื่น ๆ  โครงการพลังงานไฟฟ้าที่ไม่แพง  และโครงการอื่น ๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางวัตถุ ซึ่งต่างก็ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลของรัฐบาล การขยายและการวิจัยทางด้านเกษตร การฝึกอบรมทางเทคนิค อาชีวศึกษา และโครงการอื่น ๆ  ที่จะขยายความรู้ทางด้านเทคนิค ซึ่งรัฐบาลจะต้องร่วมลงทุนอย่างมหาศาลด้วยเหมือนกัน การใช้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้และเพื่อโครงการของรัฐบาลด้านอื่น ๆ ก็จะเอื้ออำนวยให้เกิดหนทางและโอกาสในการผลิตที่เพิ่มขึ้น  และช่วยให้ภาคเอกชนได้ขยายกิจการโดยอาศัยความคิดริเริ่มของตนเอง นอกจากนี้ รัฐบาลยังช่วยด้านบริการสังคมอีกด้วย
                อาจกล่าวได้ว่า ยุคนี้เป็นยุคแห่งการพัฒนาไปสู่ภาวะแห่งความทันสมัยโดยได้มีการพยายามปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจไทยอย่างขนานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานอันได้แก่ น้ำ ถนน ไฟฟ้า ฯลฯ ตลอดจนมีการขยายตัวของการศึกษาขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้คำขวัญที่ว่า "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี  มีงานทำ บำรุงความสะอาด"
                อนึ่ง ยุคนี้เป็นยุคของการสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติโดยให้สิทธิพิเศษหลายประการ  โดยในปี 2503  รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนโดยเน้นการให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนจากต่างประเทศ เช่น ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ลดภาษีส่งออก  ให้นำกำไรออกนอกประเทศ สินค้าใดที่นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาผลิตในประเทศแล้ว รัฐบาลจะตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้านั้น ๆ และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ภายใต้ระบอบเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์  การประท้วงและการเรียกร้องของกรรมกร ตลอดจนการชุมนุมทางการเมืองใด ๆ  เป็นสิ่งที่ถูกห้ามอย่างเด็ดขาด  จากปัจจัยต่าง ๆ  เหล่านี้ได้ดึงดูดให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย  ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยขยายตัวไปอย่างมาก  โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและการเงิน
                อย่างไรก็ตาม  แนวความคิดเรื่องการ พัฒนาเศรษฐกิจนี้ก็ได้ถูกโจมตีว่า  ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและสร้างปัญหาเศรษฐกิจสังคมให้แก่สังคมไทยมากมาย เช่น งานของ ศจ.เสน่ห์ จามริก  ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ได้นำไปสู่การกระจุกตัวของกลุ่มธุรกิจผูกขาด ในขณะเดียวกันได้ทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรมลงอย่างย่อยยับ
                สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการศึกษาถึงเรื่องการสร้างความทันสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ก็คือ อิทธิพลของสหรัฐอเมริกา  ซึ่งภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา  ได้มีความสัมพันธ์กับไทยอย่างใกล้ชิด สำหรับจอมพลสฤษดิ์  ความสัมพันธ์นี้แนบแน่นขึ้นเมื่อสหรัฐได้สนับสนุนการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์  เมื่อ 20 ตุลาคม 2501  และกระบวนการการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาฯ นั้น  จำต้องอาศัยงบประมาณและบุคลากรทางเทคนิคจำนวนมหาศาล  ทำให้จอมพลสฤษดิ์จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือและแหล่งเงินกู้ ซึ่งในกรณีนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหลักที่ให้ความช่วยเหลือทั้งด้านเงินทุนและบุคลากร จอมพลสฤษดิ์จึงต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สอดคล้องกับสหรัฐอเมริกา  คือการต่อต้านอิทธิพลของฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์  ซึ่งในที่สุดนำไปสู่แถลงการณ์ร่วมรัสค์ - ถนัด  ซึ่งสรุปว่า ความมั่นคงของประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ  และสหรัฐอเมริกาพร้อมที่จะต่อต้านการรุกรานบ่อนทำลายของคอมมิวนิสต์ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อประเทศไทย อันรวมถึงการช่วยเหลือไทยต่อต้านการก่อการร้ายภายในประเทศด้วย
                การดำเนินนโยบายผูกพันกับสหรัฐอย่างใกล้ชิด  เพื่อมุ่งรับการสนับสนุนทางการทหารและเศรษฐกิจนั้นทำให้นโยบายการ พัฒนาประเทศจำต้องเกี่ยวพันกับเรื่องของความมั่นคงของประเทศและสถานการณ์ทาง การเมืองระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ซึ่งในทางปฏิบัติเป้าหมายของการพัฒนาประเทศถูกกำหนดให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความมั่นคง เช่น การสร้างถนน โดยเฉพาะถนนมิตรภาพ ซึ่งมีความยาว 450 ไมล์ จากกรุงเทพฯ - หนองคาย เป็นต้น  ซึ่งมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ทางการทหารเป็นสำคัญ และในที่สุดการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงนี้ ได้นำมาซึ่งความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจในภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการ  และได้ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปอย่างมากมายจากการนี้
สรุป
                ถึงแม้หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมจะได้มีการเปิดโปงข่าวการโกงกิน การมีภรรยาน้อยจำนวนมากมาย และการแย่งชิงมรดกจำนวนสองพันแปดร้อยล้านบาทก็ตาม  แต่ความคิดทางการเมืองและระบบการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก  ใน ยุคที่ จอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมา และแม้ในปัจจุบันก็ยังมีคนเลื่อมใสในระบบการเมืองแบบพ่อขุนผู้มีความเด็ดขาด ในการแก้ไขปัญหาอยู่อีกมาก
                ผล ของการปฏิรูปเพื่อนำประเทศไปสู่ภาวะแห่งความทันสมัยได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยน แปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมากมายในช่วงเวลาหลังจากนั้น แต่ผลที่ตามมาก็คือ ระบบพ่อขุนของจอมพลสฤษดิ์ซึ่งมุ่งที่จะใช้อำนาจแบบเผด็จการโดยมิได้สนใจที่ จะแก้ไขปัญหาการขัดแย้งทางการเมือง และในขณะเดียวกันมิได้สนใจที่จะสร้างสถาบันทางการเมืองขึ้นมารองรับกับการ เปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในขณะที่ผลของการปฏิรูปได้กระตุ้นให้ประชาชนเกิดความคาดหวังและความต้องการ ที่จะเรียกร้องสิทธิของตน
                การเข้าไปพัวพันอย่างลึกซึ้งต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและการยอมให้ประเทศไทยเป็นเสมือน "เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดยักษ์" เพื่อ ทำสงครามเวียดนาม ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจอย่างมากมาย ในขณะเดียวกันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างขนานใหญ่สิ่งหนึ่งที่ ปฏิเสธไม่ได้ก็คือการเข้ามาของทหารอเมริกันได้นำไปสู่การขยายตัวของธุรกิจใน ภาคบริการ บาร์ ไนต์คลับ อาบอบนวด ซุปเปอร์มาเก็ต โรงภาพยนตร์ ฯลฯ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดทั้งในกรุงเทพฯ และตามเมืองใหญ่ ๆ ทั่วไป โดยเฉพาะเมืองที่เป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกัน
                สาเหตุดังกล่าวทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายทางสังคมครั้งใหญ่ในสังคมไทย เศรษฐีใหม่จำนวนมากเกิดขึ้นจากการทำธุรกิจกับอเมริกัน ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นโสเภณี เมียเช่า อาวุธ ยาเสพติด สินค้าหนีภาษี และอื่น ๆ  จุดนี้เป็นจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งที่มาเสริมการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากการนำประเทศไปสู่ภาวะแห่งความทันสมัย ให้มีความเข้มข้นของการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
                ผล ของการพัฒนาและการเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจนี้ได้ผลักดันให้ออกจากการทำการผลิตใน ภาคการเกษตรไปสู่การทำอาชีพอื่นนอกภาคการเกษตร และคนกลุ่มนี้ได้สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยและมีบทบาทในการเข้าร่วมในกระบวน ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะต่อมาร่วมกับกลุ่มนิสิตนักศึกษา 
อีกแง่หนึ่ง อิทธิพลตะวันตก รวมทั้งการขยายตัวของระบบการศึกษา ได้ทำให้เกิดการไหลบ่าของอุดมการณ์ประชาธิปไตยตลอดจนลัทธิการเมืองอื่น ๆ ในหมู่ปัญญาชน ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมและระบบการเมืองที่ดำรงอยู่
                จอมพลถนอม ทายาททางการเมืองผู้รับเอามรดกของการปกครองเแบบสฤษดิ์แต่ไม่มีความเด็ดขาดและฐานอำนาจที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับที่จอมพลสฤษดิ์เคยมี จึงเป็นผู้แบกรับกับปัญหาของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างเต็มที่ จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยแต่อย่างใดต่อการถูกโค่นล้มอำนาจโดยมวลชนเมื่อวันที่ 14  ตุลาคม  2516  เพียงสิบปีภายหลังการอสัญกรรมของจอมพลสฤษดิ์  ซึ่งนับเป็นสิ่งสะท้อนได้เป็นอย่างถึงความผิดพลาดของระบบการเมืองที่ ปราศจากความยืดหยุ่นและเป็นเผด็จการแบบพ่อขุนโดยละเลยการสร้างสถาบันทางการ เมือง ในขณะที่สังคมไม่ใช่เป็นสิ่งที่หยุดนิ่งหากแต่ตรงกันข้ามมีความเปลี่ยน แปลงอยู่ตลอดเวลาในขณะที่การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เกิดขึ้นในสังคมไทยเปรียบ เสมือนคลื่นยักษ์ได้โหมกระหน่ำซัดเข้าทำลายกำแพงเก่า ๆ ที่ปราศจากการก่อสร้างตามหลักวิชา มิหนำซ้ำปราศจากการเอาใจใส่ซ่อมแซมดูแลอย่างเพียงพอ
                ข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดจากความคิดทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์  ซึ่งสืบต่อโดยจอมพลถนอม  กิตติขจรนั้นก็คือ  ในแง่หนึ่งจอมพลสฤษดิ์ไม่ใช่ผู้ซึ่งได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ  ดังนั้นจึงแตกต่างจากลุ่มคณะราษฎร์ โดยเฉพาะ จอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์มองตัวเองในแง่ผู้นำ ซึ่งมีลักษณะพ่อขุน กล่าวคือ เป็นเสมือนบิดาปกครองครอบครัว โดยมีความเมตตาและเอื้ออาทร แต่ขณะเดียวกันก็ใช้ความเด็ดขาดในการปราบปราม "ความชั่วร้าย" ของสังคมซึ่งสอดคล้องกับความคิดเรื่องเผด็จการผู้อารี (bonevolent dictatorship)  โดยนัยหนึ่งเป็นการเอาลักษณะผู้นำของสุโขทัย คือแบบพ่อลูก มาผสมกับผู้นำของอยุธยาคืออำนาจเด็ดขาด เข้าลักษณะใช้ทั้งพระคุณและพระเดช
                ระบบการเมืองและลักษณะผู้นำของจอมพลสฤษดิ์ก็คือ ระบบผู้นำแบบจารีตนิยมโบราณ เน้นที่ความเด็ดขาดและอำนาจ  ขณะเดียวกันก็มีความตั้งใจทำประโยชน์ให้เกิดแก่ประชาชนโดยตรง เช่น การมีนโยบายลดค่าอุปโภคบริโภค การปราบฝิ่น การปราบอันธพาล และการปราบคอมมิวนิสต์ เป็นต้น พร้อมกันนั้นก็ใช้นักวิชาการ และการเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา เป็นไปได้ว่าจอมพลสฤษดิ์พยายามเลียนแบบพระพุทธเจ้าหลวง แต่เน้นต่างกัน ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเน้นการสร้างรัฐชาติการรวมศูนย์อำนาจ การปฏิรูปในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความทันสมัยนั้น  จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์เน้นที่การพัฒนาเศรษฐกิจและการบริหารราชการแบบสมัยนิยม จะสังเกตเห็นว่า นักวิชาการที่มีบทบาทมากในสมัยจอมพลสฤษดิ์  คือ นักเศรษฐศาสตร์และนักบริหารรัฐกิจ รวมทั้งนักเทคนิคทั้งหลาย เช่น นักสถิติ เป็นต้น  มีการตั้งหน่วยงานใหม่ ๆ ขึ้น เช่น กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ สภาวิจัยแห่งชาติ สำนักงานสถิติแห่งชาติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จุดเน้นอยู่ที่การพัฒนาการศึกษา มีการขยายมหาวิทยาลัยออกต่างจังหวัดทุกภาค จุดเน้นอยู่ที่การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลโดยไม่ตั้ง ประเด็นสงสัยในระบบการเมืองการปกครองว่ามีความถูกต้องชอบธรรมเพียงใด  กล่าวอีกนัยหนึ่งจอมพลสฤษดิ์ใช้วิธีการแช่เย็นการเมือง โดยถือว่าเป็นเรื่องวุ่นวายยุ่งยาก แต่เน้นการบริหารและการพัฒนาคือ มีรัฐบาลและระบบราชการทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนก็เพียงพอแล้ว
                แต่ปัญหาที่จอมพลสฤษด์มิได้คาดการณ์ไว้ก็คือ การสืบทอดอำนาจระบบผู้นำเด็ดขาดแบบพ่อขุนอุปถัมภ์หรือพ่อขุนนั้น เน้นที่ตัวบุคคล กิจกรรม และนโยบาย อยู่ที่คน ๆ เดียวหรือกลุ่มเดียว เมื่อบุคคลนั้นหมดอำนาจลง ก็จะเกิดปัญหาเรื่องการสืบทอดอำนาจรวมทั้งการสืบทอดนโยบาย ซึ่งก็โชคดีที่หลังจากการอสัญกรรมของจอมพลสฤษดิ์แล้ว ปัญหาการสืบทอดอำนาจไม่เป็นประเด็นวิกฤต อย่างไรก็ตาม จุดที่จอมพลสฤษดิ์มิได้คาดการณ์จุดที่สองก็คือ การเสียดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และการพัฒนาการเมืองในระบบเปิดแบบมีส่วนร่วม ทั้งนี้เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการเมือง  ซึ่งยากที่ระบบการเมืองแบบปิดแบบจารีตนิยมจะรับไว้ได้ ผลสุดท้ายก็เกิดแรงผลักดันต่อระบบการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจนเกิดเหตุการณ์ 14  ตุลาคม  2516  ซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไป
                ระบบจอมพลสฤษดิ์ยังมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การกระจุกตัวทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ในทางเศรษฐกิจได้กล่าวมาแล้วว่า ทำให้เกิดกลุ่มผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดทางเศรษฐกิจขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดการร่วมวงศ์ไพบูลย์ระหว่างข้าราชการและพ่อค้า ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ในส่วนของการเมืองนั้นระบบเผด็จการเยี่ยงพ่อขุนของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำไปสู่การกระจุกตัวของกลุ่มการเมืองและกลุ่มอำนาจ ซึ่งทำให้กลุ่มอื่นเจาะตัวเข้ามาได้ยาก ซึ่งเมื่อประสานกับผลประโยชน์กับกลุ่มเศรษฐกิจแล้ว ทำให้เกิดการกระจุกตัวและผูกขาดทั้งอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจขึ้น ทำให้เกิดแรงผลักดันที่จะล้มล้างกลุ่มการเมืองเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่งได้แก่กลุ่มผู้สืบทอดอำนาจหลังจากอสัญกรรมของจอมพลสฤษดิ์
                ระบบการเมืองแบบจอมพลสฤษดิ์ซึ่งได้สืบทอดโดยจอมพลถนอม กิตติขจรนั้น เป็นระบบตรงข้ามกับระบบประชาธิปไตยหรือเป็นขั้วต้าน (anti - thesis) ของระบบการเมืองแบบเปิด เป็นระบบที่เป็นการแบ่งแยกระหว่างผู้ปกครองและประชาชน เน้นการปกครองบริหารแทนการต่อรองและการใช้เสียงข้างมากตัดสินนโยบายในระบบประชาธิปไตย เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่าการสร้างจิตสำนึกทางการเมือง การมีส่วนร่วมและสถาบันทางการเมือง เน้นการกระทำและรูปธรรมมากกว่านามธรรม
                แม้จอมพลสฤษดิ์จะมีความตั้งใจดีและประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำแบบพ่อขุน แต่จอมพลสฤษดิ์ก็ได้ขุดหลุมสำหรับระบบดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว  นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นนโยบายที่บ่อนทำลายความสถาพรของระบบจอมพลสฤษดิ์ตั้งแต่ต้น การเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่ออาศัยเป็นฐานของความชอบธรรมทางการเมืองกลับกลายเป็นเหตุให้เกิดประเด็นสงสัยในความชอบธรรมทางการเมืองขึ้น ซึ่งจะกล่าวในบทต่อไป
                แต่ จอมพลสฤษดิ์ได้ทิ้งมรดกสำคัญทางการเมืองไว้ กล่าวคือ เป็นการเปิดทางเลือกของลักษณะผู้นำในสังคมไทย ความเด็ดขาดของจอมพลสฤษดิ์และการปฏิบัติการอย่างรวดเร็วเป็นที่นิยมของคน บางกลุ่มซึ่งอาจสอดคล้องกับวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยซึ่งมีแนวโน้มในแง่การ ใช้ความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาหรือการขจัดฝ่ายตรงกันข้าม ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นเป็นบางครั้งว่า ปัญหาต่างๆ ในสังคมที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่ อาจจะแก้ไขได้โดยวิธีการแบบเดียวกับที่จอมพลสฤษดิ์เคยทำมาแล้ว ซึ่งวิธีการดังกล่าวย่อมตรงกันข้ามกับกระบวนการของระบบประชาธิปไตย ซึ่งเน้นการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลและกระบวนการต่อรองออมชอมอันยืดยาว ข้อที่น่าสังเกตคือ ผู้นำซึ่งมีบุคลิกแบบจอมพลสฤษดิ์ ยังไม่เคยปรากฏซ้ำสอง แม้จะมีผู้พยายามเลียนแบบ และในสภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งทวีความซับซ้อนขึ้นนี้ ยังมีข้อสงสัยเป็นอย่างมากว่า จะใช้ระบบผู้นำเด็ดขาดในลักษณะ "ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่ผู้เดียว"  ได้หรือไม่ สภาวะแวดล้อมทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ซับซ้อนและใหญ่โตเกินกว่าความสามารถของคน ๆ เดียวที่จะรวมอำนาจไว้ในมือ และสภาวะดังกล่าวนี้ก็เป็นผลมาจากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาของ "พ่อขุน" เอง

 ลิขิต ธีรเวคิน, การเมืองการปกครองไทย, กรุงเทพ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2541.
___________, วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย, กรุงเทพ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
                       2544.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น