วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

ลัทธิล่าอาณานิคม

ลัทธิล่าอาณานิคม

ลัทธิล่าอาณานิคม


          การล่าอาณานิคมเป็นปฏิบัติการที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลของรัฐที่มีอำนาจ เช่น ฟีนีเซียมีอาณานิคมอยู่ที่ทางตอนเหนือของแอฟริกาในพื้นที่ที่เป็นประเทศตูนีเซียในปัจจุบัน บรรดานครรัฐต่างๆของกรืกมีอาณานิคมในแถบคาบสมุทรอิตาลี จักรวรรดิโรมันมีโดยรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งใน ยุโรป แอฟริกา เอเชียไมเนอร์ ในยุคโบราณนั้นแรงจูงใจในการแสวงหาอาณานิคมนั้น สว่นใหญ่แล้วประกอบไปด้วยองค์ประกอบ2-3ประการด้วยกันคือ ความต้องการแสดงอำนาจและแสนยานุภาพ ความต้องการดินแดนเพื่อรองรับการขยายตัวของ ประชากร และความต้องการจุดแวะพักหรือศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้าในการค้าขาย แต่เมื่อความเจริญรุ่งเรืองของยุคโบราณได้เสื่อมสลายลงในสมัยจักรวรรดิโรมัน และโลกกตะวันตกได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคกลาง จากการเข้ามายึดครองของพวกอารยชนที่ป่าเถื่อน การล่าอาณานิคมก็พลอยชงักงันลงพร้อมไปกับความเจริญรุ่งเรืองของยุคโบราณด้วย
          การล่าอาณานิคมเริ่มมีบทบาทขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีการตื่นตัว ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการและการพัฒนาทางด้านการค้าภายหลังสงครามครูเสดในคริสต์ ศตวรรษที่ 15-18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการแสวงหาเส้นทางการค้าใหม่กับทางตะวันออกซึ่งทำ ให้มีการค้นพบโลกใหม่หรือทวีปอเมริกาขึ้นการเพิ่มปริมาณการค้าอย่างมากมาย และการปฏิรูปศาสนาทำให้แรงจูงใจในการล่าอาณานิคมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคย มีมาในสมัยยุคโบราณโดยเน้นไปที่การแสวงหาจุดแวะพักสินค้าหรือสถานีทางการค้า มากขึ้นและในขณะเดียวกันก็มีแรงจูงใจใหม่เสริมขึ้นมาอีกประการหนึ่งคือความ ต้องการเผยแพร่ศาสนาในรูปของคณะผู้สอนศาสนาหรือมิชชชันนารี (missionaries) ไม่ ว่าจะเป็นจากนิกายดั้งเดิมหรือโรมันคาทอลิกหรือนิกายใหม่คือนิกาย โปรเตสแตนท์ ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ได้มีปรากฎการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆตามมาอย่าง มากมายรวมทั้งแรงจูงใจและรูปแบบของการล่าอาณานิคมอีกด้วย ปรากฎการณ์ที่ว่านี้ก็คือการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั่นเอง การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้สินค้าได้รับการผลิตในปริมาณที่มากขึ้นและภายใน เวลาที่รวดเร็วขึ้นซึ่งทำให้เกิดความต้องการวัตถุดิบเพื่อนำมาป้อนในกระบวน การผลิตในปริมาณที่มากขึ้นและความต้องการแหล่งที่จะเป็นตลาดเพื่อระบาย สินค้าต่างๆเหล่านั้นตามมาด้วย นอกจากนี้แล้วการคิดค้นทฤษฎีและหลักการใหม่ๆในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยังเป็นแรงดลใจอีกทางหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการล่าอาณานิคมในช่วงคริสต์ ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
          จากแรงจูงใจที่มีองค์ประกอบปัจจัยเพิ่มเติมเข้ามาหลายด้านครอบคลุม รวมทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ทำให้การล่าอาณานิคมในช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีลักษณะที่บ่งบอกถึง ความต้องการในการขยายอำนาจของชาติมหาอำนาจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเมื่อมีลักษณะเป็นเช่นนี้การแข่งขันเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ระหว่างชาตมหา อำนาจจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ดังนั้นการล่าอาณานิคมในช่วงหลัง นี้บางครั้งจึงมีการเรียกขานกันว่าลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) หรือความนิยมในการสร้างจักรวรรดิของชาติมหาอำนาจซึ่งก็มีลักษณะและรูปแบบที่มากมายหลากหลายมากยิ่งขึ้น และจาการแข่งขันช่วงชิงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์นี้บางครั้งก็ลงเอยด้วยความขัดแย้ง การแสวงหาพันธมิตร การแบ่งค่าย การสร้างดุลแห่งอำนาจ การเสี่ยงต่อภาวะของสงครามใหญ่ระหว่างนานาชาติหากมีความเพลี่ยงพล้ำในดุลแห่งอำนาจ
การล่าอาณานิคมในแอฟริกา
          เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1885 จากประเทศเยอรมนีโดยการนำของบิสมาร์คได้จัดให้มีการประชุมในกรุงเบอร์ลินว่าด้วยข้อตกลงเกี่ยวกับการเข้าครอบครองดินแดนในทวีปแอฟริกา
          ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ มีทรัพยากรจำนวนมหาศาล อันเป็นที่ต้องการของชาวยุโรป นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญเชื่อมต่อกับโลกใหม่และทวีปเอเชีย จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีเพียงไม่กี่อาณาจักรในแอฟริกาที่มีระบบการปกครองที่มั่นคง อาณาจักรเหล่านี้ได้แก่ กานา มาลี แต่ก็มีความเจริญเทียบได้กับยุโรปในยุคกลางเท่านั้น เมื่อพวกอาหรับรุกรานมาจากทางตอนเหนือ อาณาจักรเหล่านี้ก็ถูกทำลายไปสิ้น ในเวลานั้นชาวยุโรปยังไม่เคยเข้าไปสำรวจถึงใจกลางทวีป จนกระทั่งในช่วง 30 ปีสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีความพยายามจะเผยแผ่ศาสนาไปในหมู่ชาวแอฟริกา โดยพวกมิชชันนารี ทำให้มีการสำรวจดินแดนใจกลางทวีปขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจติดตามไปด้วย พวกนี้ได้นำเอาเรื่องราวการค้นพบแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์มาเผยแพร่ ทำให้นักลงทุนโดยการสนับสนุนของรัฐบาลเริ่มเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าก็เกิดการแย่งชิงกรรมสิทธิ์หรือการเข้าครอบครอง
        ใน ค.ศ. 1885 เยอรมนีโดยการนำของบิสมาร์คได้จัดให้มีการประชุมในกรุงเบอร์ลินว่าด้วยข้อตกลงเกี่ยวกับการเข้าครอบครองดินแดนในทวีปแอฟริกา ที่ประชุมตกลงกันว่าชาติใดที่มีดินแดนอยู่ตามชายฝั่งสามารถยึดครองพื้นที่ที่ลึกเข้าไปได้ โดยการส่งคนไปปกครองดูแลและประกาศการเข้ายึดครองอย่างเป็นทางการ
         นับตั้งแต่นั้นมาดินแดนในทวีปแอฟริกาก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ โดยการเข้าครอบครองของอังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และเยอรมนี ส่วนโปรตุเกสนั้นยังคงรักษาสถานีการค้าของตนไว้ได้ที่อังโกลาและโมซัมบิก
          การเข้ายึดครองแอฟริกาของชาวยุโรปในครั้งนั้นมีข้ออ้าง 3 ประการ คือ
1.             เพื่อเปิดประตูการค้าให้กว้างขวางตลอดทั่วภาคพื้นทวีป
2.             เพื่อปลดปล่อยชนเผ่าต่างๆให้เป็นอิสระจากพวกนักค้าทาสชาวอาหรับ
3.             เพื่อเผยแผ่คริสต์ศาสนาไปยังดินแดนที่ชาวยุโรปเรียกว่ากาฬทวีป ( Dark Continent )
       หลังจากนั้นเพียง 30 ปี ของการเข้าแย่งชิงผลประโยชน์แอฟริกาทั้งทวีป ยกเว้นไลบีเรียกับเอธิโอเปีย ก็ตกเป็นอาณานิคมของชาวยุโรปจนหมดสิ้น

ผลของการล่าอาณานิคมในแอฟริกา
                  การกำหนดเขตแดนของแอฟริกาโดยชาวยุโรป กระทำไปโดยไม่คำนึงถึงภาษาและเผ่าพันธุ์ของประชากรในพื้นที่นั้นๆ จะเห็นได้จากอาณาเขตของหลายประเทศที่ปรากฏในแผนที่จะมีการลากเป็นเส้นตรง ด้วยเหตุนี้ภายหลังที่ชาติเหล่านี้ได้เอกราชจึงเกิดปัญหาความเป็นเอกภาพภายในชาติมาจนถึงทุกวันนี้
         การเข้าครอบครองของชาติตะวันตกได้ทำให้เกิดความทุกข์ยากแก่ชาวแอฟริกาทั้งมวล เดิมทีชาวพื้นเมืองดำรงชีพด้วยการทำไร่ เลี้ยงสัตว์ตามแบบดั้งเดิมที่เคยทำกันมา ชาวแอฟริกามีภาษาเขียนไม่มากนัก แต่มีงานทางด้านศิลปะ คือ รูปปั้นสำริด การแกะสลักไม้และงาช้าง มีภาพวาดตามแบบพื้นเมืองจำนวนมาก ชาวพื้นเมืองไม่เคยรู้เรื่องของวิทยาการสมัยใหม่ ไม่รู้จักระบบการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไม่รู้จักระบบการปกครอง กฎหมายและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ชาวยุโรปได้เข้าเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวพื้นเมือง ด้วยการบังคับแรงงานชาวพื้นเมืองให้สร้างถนน ขุดเหมืองแร่ ขุดดิน ด้วยเวลาการทำงานที่ยาวนานกว่าปกติมีการนำเอาพืชใหม่ๆมาปลูก เช่น ยางพารา โกโก้ แทนที่พื้นดินที่เคยใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ ล่าสัตว์ และที่อยู่อาศัยของชาวพื้นเมือง มีการกวาดต้อนเผ่าชนทั้งเผ่าไปอยู่ในบริเวณที่กำหนดไว้ แยกผู้ชายออกจากครอบครัวแล้วส่งไปทำงานยังที่ห่างไกล ถ้าใครขัดขืนก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เช่น ตัดมือ ยิงเป้า เป็นต้น
          หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศส่วนใหญ่ในแอฟริกาได้เอกราชกลับคืนมาแต่ประเทศที่เกิดใหม่เหล่านี้เกดขึ้นตามแบบฉบับของชาวตะวันตก คือ มีเมืองเป็นศูนย์กลางของความทันสมัย อิทธิพลทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษาแผนใหม่ ทำให้วิถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
การล่าอาณานิคมในเอเชีย
อังกฤษในอินเดีย
                    อังกฤษก่อตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (The British East India Company) ขึ้นในปี พ.ศ. 2143 แม้ว่าจะเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงกับฝรั่งเศสและดัทช์ ซึ่งมีผลประโยชน์อยู่ในอินเดียขณะนั้น แต่บริษัทก็สามารถเติบโตและขยายอำนาจเข้าครอบงำดินแดนทั้งหมดของอนุทวีปได้ในศตวรรษต่อมา เมื่ออังกฤษเข้าครองเบงกอลได้ หลังมีชัยชนะในยุทธการเพลสเซย์ (Battle of Plassey) ในปี พ.ศ. 2300  บริษัทบริติชเอเชียตะวันออกเติบโตขึ้นในช่วงจังหวะที่พระราชอำนาจของราชวงศ์โมก์ฮัลหรือราชวงศ์โมกุล (Mughal) ตกต่ำเสื่อมถอย เนื่องจากการคอรัปชั่น กดขี่ราษฎร และการก่อกบฏ จนในที่สุดก็ถึงกาลล่มสลายลงในรัชสมัยของกษัตริย์โอรังเซบ (Aurangzab) ซึ่งปกครองอินเดียในช่วงปี ค.ศ. 16581707
ฝรั่งเศสในอินโดจีน
          บทบาทของฝรั่งเศสในอาณานิคมเอเชียนั้นแตกต่างจากอังกฤษ เพราะฝรั่งเศสได้สูญเสียอำนาจจักรวรรดินิยมของตนให้แก่อังกฤษไป ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ดังนั้นจึงมีพื้นฐานสำหรับการขยายดินแดนเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง ในแง่ของภูมิศาสตร์และการพาณิชย์น้อยกว่าอังกฤษ ในช่วงหลังจากทศวรรษ 1850 ลัทธิจักรวรรดินิยมของฝรั่งถูกกระตุ้นโดยความต้องการด้านชาตินิยมเพื่อแข่ง ขันกับคู่ปรับคืออังกฤษ และได้รับการสนับสนุนทางปัญญา โดยแนวคิดเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่เหนือกว่าชาติอื่นของวัฒนธรรมฝรั่งเศส และขบวนการพิเศษของ "mission civilisatrice" หรือ ขบวนการหล่อหลอมชนพื้นเมืองให้มีความอารยะโดยผ่านการซึมซับรับเอาวัฒนธรรม ของชาติฝรั่งเศสเข้าไปอย่างกลมกลืนแทบไม่รู้สึกตัว ดังนั้น ข้ออ้างโดยตรงของฝรั่งเศสในการขยายอิทธิพลเข้าสู่อินโดจีนก็คือการปกป้องคณะ มิชชั่นนารีฝรั่งเศสที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาในพื้นที่ดังกล่าว ควบคู่กันไปกับความปรารถนาที่จะค้นหาเส้นทางเข้าสู่ทางภาคใต้ของจีน โดยผ่านพื้นที่ทางภาคเหนือของเวียดนามซึ่งเรียกว่า ดินแดนตั๋งเกี๋ย (Tonkin)
ฝรั่งเศสได้เข้าไปลงหลักปักฐานผลประโยชน์ของตนทั้งทางด้านศาสนาและทางด้านการค้าในอินโดจีนตั้งแต่ในศตวรรษที่ 17 แต่ความพยายามที่จะประสานผลประโยชน์ทั้งสองด้านเข้าด้วยกันเพื่อสถาปนาเขตอิทธิพลของฝรั่งเศสขึ้นนั้นไม่สามารถเป็นไปได้ เนื่องจากจะต้องเผชิญหน้ากับอังกฤษที่กำลังแข็งแกร่งเฟื่องฟู แผ่อำนาจไล่ล่าอาณานิคมอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ขณะที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายปราชัยอยู่ในยุโรปในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ต่อมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 กลุ่มเคร่งศาสนาได้กลับฟื้นคืนสู่อำนาจอีกครั้งในฝรั่งเศสอันเป็นช่วงที่เรียกกันว่า "จักรวรรดิที่ 2" (the Second Empire) สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ทำให้ความสนใจต่อผลประโยชน์ของฝรั่งเศสในตะวันออกไกลมีกระแสเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อเกิดกระแสต่อต้านศาสนาคริสต์ขึ้นในดินแดนตะวันออกไกล เช่น การจับกุม กลั่นแกล้งและสังหารชาวคริสต์ ฯลฯ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงกลายเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ฝรั่งเศสก้าวเข้าแทรกแซงฝ่าย บริหารของชนถ้องถิ่น ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1856 จีนสั่งประหารชีวิตมิชชันนารีฝรั่งเศสที่ไปเผยแพร่ศาสนาอยู่ในดินแดนทางใต้ ของจีน และในปี ค.ศ. 1857 จักรพรรดิเวียดนามซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาวิกฤติในประเทศ ได้พยายามทำลายอิทธิพลของต่างชาติในเวียดนามโดยการสั่งประหารชีวิตบิชอปชาว สเปนแห่งตังเกี๋ย (Tonkin) ฝรั่งเศสซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์นโปเลียนที่ 3 ตัดสินใจว่า ถ้าฝรั่งเศสไม่เข้าไปช่วย ศาสนาคาทอลิกจะถูกจำกัดให้สูญหายไปจากดินแดนตะวันออกไกล พระองค์จึงร่วมมือกับอังกฤษทำสงครามกับจีน เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ไปจนถึงปี ค.ศ. 1860 พร้อมกับทำสงครามยึดเวียดนามด้วย และในปี ค.ศ. 1860 ฝรั่งเศสก็เข้ายึดครองไซง่อนไว้ได้
ตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-เวียดนาม (Franco-Vietnamese Treaty) ซึ่งทำขึ้นในปี ค.ศ. 1862 นั้น จักรพรรดิเวียดนามไม่เพียงยินยอมยกดินแดน 3 จังหวัดในโคชิน ไชน่า (Cochin China) ดินแดนทางภาคใต้ให้แก่ฝรั่งเศสโดยสิ้นเชิงเท่านั้น แต่ยังให้การรับรองสิทธิพิเศษทั่วแผ่นดินเวียดนามทั้งทางด้านการค้าและการเผยแพร่ศาสนาให้แก่ฝรั่งเศส พร้อมทั้งยอมรับการเป็นรัฐในอารักขา (protectorates) หรือการมีฝรั่งเศสเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเวียดนามอีกด้วย จากนั้นอย่างช้า ๆ อำนาจของฝรั่งเศสก็แผ่ขยายออกไปในอินโดจีน ด้วยการสำรวจหาดินแดนใหม่ การแต่งตั้งขึ้นเป็นรัฐภายใต้อารักขาของฝรั่งเศส และการใช้กำลังเข้ายึดครองมาเป็นอาณานิคมของตนดื้อ ๆ การบุกเข้ายึดครองฮานอยในปี ค.ศ. 1882 นำไปสู่การทำสงครามโดยตรงกับจีน (ค.ศ. 1883-1885) และการมีชัยชนะในการศึกของฝรั่งเศสในสงครามครั้งนี้ ก็เป็นยืนยันถึงการมีอิทธิพลครอบงำเหนือดินแดนในภูมิภาคนี้ของฝรั่งเศส ฝรั่งเศสปกครองดินแดนโคจินไชน่าในฐานะดินแดนอาณานิคมโดยตรงของฝรั่งเศส ส่วนอันนัม (Annam, พื้นที่ตอนกลางเวียดนาม) ตังเกี๋ย และกัมพูชา ตกเป็นดินแดนภายใต้อารักขาของฝรั่งเศส โดยมีระดับการควบคุมแตกต่างกันไป และในไม่ช้าก็สามารถยึดลาวเข้าเป็นรัฐใต้อารักขาของตนได้เพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่ง
เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ฝรั่งเศสได้สร้างจักรวรรดิขึ้นในอินโดจีน ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าประเทศแม่ในยุโรปเกือบ 50% ผู้สำเร็จราชการเมืองขึ้นของฝรั่งเศสในฮานอยปกครองโคจินไช่น่าโดยตรง ขณะที่ควบคุมภูมิภาคอื่น ๆ ด้วยระบบผู้แทนผู้สำเร็จราชการที่อยู่ประจำรัฐอารักขา (system of residents) นั่นคือ ในทางทฤษฎีแล้ว ฝรั่งเศสจะปล่อยให้ผู้ปกครองท้องถิ่น ที่ปกครองดินแดนเหล่านี้มาก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ทำหน้าที่ปกครองดินแดนต่อไป พร้อมทั้งยังคงให้ใช้โครงสร้างการบริหารราชการแบบเดิม ทั้งใน อันนัม ตั่งเกี๋ย กัมพูชา และ ลาว. แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้สำเร็จราชการเมืองขึ้นของฝรั่งเศส จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านการเงินและการบริหารปกครองดินแดนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถาบันต่าง ๆ ของชนพื้นเมืองจะอยู่รอดต่อไปได้ เพื่อทำให้การปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศสเป็นที่ยอมรับได้มากขึ้น แต่สถาบันต่าง ๆ เหล่านั้นก็มีสภาพเสมือนหุ่นเชิด หรือตรายางเท่านั้น เนื่องจากไร้อิสรภาพในการดำเนินการใด ๆ ได้อย่างเป็นเสรี. ผู้ปกครองอาณานิคมฝรั่งเศส พยายามดูดกลืนชนชั้นสูงในท้องถิ่น ให้ยอมรับความยิ่งใหญ่เหนือกว่าของอารยธรรมฝรั่งเศส. ในขณะที่ฝรั่งเศสพัฒนาระบบข้าราชการพลเรือนให้ดีขึ้น และสร้างเสถียรภาพทางด้านการค้านั้น มาตรฐานการดำรงชีวิตของชนพื้นเมืองก็ตกต่ำลง. โครงสร้างสังคมในช่วงก่อนยุคอาณานิคมเสื่อมโทรมลง อินโดจีนซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่า 18 ล้านคนในปี ค.ศ. 1914 มีความสำคัญต่อฝรั่งเศส เนื่องจากเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญที่ฝรั่งเศสต้องการ คือ ดีบุก พริกไทย ถ่านหิน ฝ้าย และข้าว อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า การมีอาณานิคมนั้น โดยแท้จริงแล้ว สามารถสร้างผลกำไรที่คุ้มค่าทางด้านการค้าพาณิชย์ให้แก่ฝรั่งเศสได้จริงหรือไม่
เอเชียกลางและตะวันตก
อังกฤษ จีนและรัสเซีย คือคู่แข่งสำคัญในเวทีเอเชียกลางและเอเชียตะวันตก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 รัสเซียเข้าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียกลาง ซึ่งนำไปสู่วิกฤตการณ์ในอัฟกานิสถานช่วงสั้นๆกับอังกฤษในปี ค.ศ. 1885 ในเปอร์เซีย(ปัจจุบันคืออิหร่าน) ทั้ง 2 ชาติได้ก่อตั้งธนาคารขึ้นหลายแห่งเพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของตนในภูมิภาคนี้ อังกฤษนั้นคืบหน้าไปถึงขั้นเข้ารุกรานธิเบต ซึ่งเป็นดินแดนภายใต้อาณัติของจีนในปี 1904 แต่ก็ถอนตัวออกไปเมื่อพบว่าอิทธิพลของรัสเซียเหนือดินแดนดังกล่าวไม่มีความสำคัญและหลังจากพ่ายแพ้ให้แก่กองทัพจีนใหม่
ตามข้อตกลงในปี 1907 (ดู Entente) รัสเซียยุติการอ้างสิทธิอาณานิคมเหนือปากีสถาน ส่วนอำนาจความเป็นเจ้าเหนืออธิปไตยธิเบตของจีนได้รับการยอมรับจากทั้งรัสเซียและอังกฤษ เนื่องจากการควบคุมตามปกติโดยรัฐจีนที่อ่อนแอนั้นเป็นที่ยอมรับกันได้มากกว่าการยึดครองโดยมหาอำนาจรายใดรายหนึ่ง ส่วนเปอร์เซียนั้นถูกแบ่งออกเป็นเขตอิทธิพลของรัสเซียและอังกฤษ โดยมีเขตเป็นกลางหรือโซนเสรี (neutral/free or common zone) กั้นกลาง ต่อมาอังกฤษยังสมยอมให้รัสเซียเปิดปฏิบัติการปราบปรามรัฐบาลชาตินิยมเปอร์เซียในปี 1911 ด้วย หลังจากเกิดการปฏิวัติขึ้นในรัสเซีย รัสเซียก็ได้ยุติการอ้างสิทธิเหนือดินแดนภายใต้เขตอิทธิพลของตน แม้ว่าการเข้ามีส่วนร่วมในจักรวรรดินิยมจะยังคงมีอยู่เคียงข้างกันไปกับอังกฤษจนกระทั่งถึงทศวรรษ 1940
ในตะวันออกกลาง บริษัทของเยอรมันได้ก่อสร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิ้ลไปยังนครแบกแดกและอ่าวเปอร์เซีย เยอรมันต้องการเข้าควบคุมเศรษฐกิจในภูมิภาคแห่งนี้ไว่ก่อน และจากนั้นก็เคลื่อนเข้าสู่อิหร่านและอินเดีย แต่ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากอังกฤษ รัสเซีย และฝรั่งเศส ซึ่งได้แผ่อำนาจเข้าครอบครองและแบ่งสรรปันส่วนพื้นที่ระหว่างกันเองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
โปรตุเกส
          โปรตุเกส (The Portuguese) โปรตุเกสซึ่งมีฐานกำลังอยู่ที่กัว (Goa) และเมลากา (Mellaka) ได้สร้าง จักรวรรดินาวีขึ้นในมหาสมุทรอินเดียเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ และก่อตั้งสร้างกำลังขึ้นที่มาเก๊าทางตอนใต้ของจีนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ แก่การค้าในจีนและญี่ปุ่นของตน โปรตุเกสไม่ได้เร่งขยายอาณานิคมในเอเชียอย่างจริงจังในเบื้องต้นเนื่องจาก จักรวรรดิโปรตุเกสขยายขอบเขตมากจนตึงมือแล้ว อันเป็นผลจากขีดจำกัดทางด้านค่าใช้จ่ายของอาณานิคมและนาวีเทคโนโลยีร่วมสมัย (ทั้งสองปัจจัยนี้ทำงานคู่ขนานกันไปทำให้การค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ อาณานิคมต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล) ผลประโยชน์ของโปรตุเกสที่มีอยู่ในเอเชียจึงเพียงพอสำหรับการสนับสนุนทางการ เงินแก่การขยายอาณานิคมและยึดที่มั่นไว้ต่อไปในเขตพื้นที่ซึ่งพิจารณาแล้ว ว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างมากในภูมิภาคที่ตั้งอยู่ใกล้ประเทศแม่ มากกว่าคืออัฟริกาและบราซิล และดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้วข้างต้น ว่า โปรตุเกสนั้นมีความสัมพันธ์ทางการค้าแนบแน่นมากกับญี่ปุ่น จนมีการบันทึกไว้ว่าโปรตุเกสคือชาติตะวันตกที่เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นเป็น ชาติแรก การสัมพันธ์ติดต่อทางค้าขายเหล่านี้ทำให้มีการนำเอาศาสนาคริสเตียนและอาวุธ ปืนเข้าไปเผยแพร่ในญี่ปุ่นด้วย
              ความยิ่งใหญ่ในฐานะ เป็นมหาอำนาจทางทะเลของโปรตุเกสต้องสูญเสียให้แก่ดัทช์ไปในศตวรรษที่ 17 และนำมาซึ่งความท้าทายที่สำคัญยิ่งต่อโปรตุเกส แต่อย่างไรก็ตาม โปรตุเกสก็ยังคงยึดครองมาเก๊าซึ่งถูกประกาศว่าเป็นดินแดนใต้อาณานิคมของโปรตุเกสภายหลังจีนแพ้สงครามฝิ่น และจัดตั้งอาณานิคมแห่งใหม่ขึ้นบนเกาะติมอร์ จนกระทั่งหลังกลางศตวรรษที่ 20 โปรตุเกสจึงสูญเสียอาณานิคมในเอเชียของตนไป โดยกัว (Goa) ถูกรุกรานโดยอินเดียในปีค.ศ. 1962 และโปรตุเกสทอดทิ้งติมอร์ไปในปี 1975 ก่อนที่ดินแดนแห่งนี้จะถูกอินโดนีเซียบุกเข้ายึดครองและผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ส่วนมาเก๊านั้นโปรตุเกสส่งมอบคืนให้แก่จีนเมื่อสนธิสัญญาการเช่าหมดอายุลงในปี 1999
ดัทช์ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก
          บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (The Dutch East India Company) ก่อตั้งสำนักงานใหญ่ขึ้นที่เมืองปัตตาเวีย (ปัจจุบันคือจาการ์ตา) ในหมู่เกาะชวา เพื่อควบคุมการค้าเครื่องเทศในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 บริษัทได้เข้ายึดไต้หวัน (ซึ่งในเวลานั้นจีนยังไม่ได้อ้างสิทธิว่าเป็นดินแดนของตน) เป็นดินแดนอาณานิคมของดัทช์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การค้าขายกับจีนและญี่ปุ่น ภายหลังเกิดสงครามนโปเลียน (The Napoleonic Wars) ดัทช์ก็มุ่งความสนใจในการประกอบกิจการพาณิชย์ของตนไปอยู่ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ (อินโดนีเซีย) มาจนตลอดศตวรรษที่ 19 และสูญเสียส่วนใหญ่ของอาณานิคมแห่งนี้ของตนให้แก่ญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตาม เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้แก่กองกำลังพันธมิตรในปี 1945 โปรตุเกสก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพื่อประกาศเอกราชของอินโดนีเซียต่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น