วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

การตั้งถิ่นฐานและการเจริญเติบโตของชุมชน “เมืองดงละคร”

การตั้งถิ่นฐานและการเจริญเติบโตของชุมชน “เมืองดงละคร”

การตั้งถิ่นฐานและการเจริญเติบโตของชุมชน “เมืองดงละคร”

นายสุธี ไชยจำเริญ ภาควิชาประวัติศาสตร์
                  คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

          “ดงละคร”หรือ “ดงละคอน” เป็นชื่อของตำบลหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ซึ่งไม่ใช่ชื่อดั้งเดิมของเมืองโบราณแห่งนี้ แต่เป็นชื่อซึ่งตั้งขึ้นจากราษฎรในถิ่นนี้ที่มีหลักฐานจากคำบอกเล่าว่าได้เข้ามาอยู่เมื่อราว 120 ปีมาแล้ว เมืองโบราณแห่งนี้นอกจากจะเรียกดงละครแล้ว ยังมีชื่อเรียกว่าเมืองลับแล สันคู ซึ่งชื่อเหล่านี้ล้วนปรากฏเป็นตำนานเรื่องเล่าของชาวบ้านที่เล่าสืบต่อกันมา[1]
          ซึ่ง ประวัติและหลักฐานที่จะบ่งบอกถึงการตั้งเมืองและความเจริญของเมืองไม่ได้ เด่นชัดไม่สามารถจะกำหนดไปได้แน่นอน  แต่ดงละครก็เหมือนกับเมืองโบราณอื่นๆ ที่ขาดหลักฐานต่างๆ ที่จะกำหนดถึงอายุการตั้งเมืองได้ ดังนั้นเมืองเหล่านี้จะต้องมีเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองที่เล่าสืบต่อกันมา จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นตำนานของเมืองนั่นเอง
          โดยที่ชื่อเมืองโบราณดงละครนั้นสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “ดงนคร” หมายถึง ที่ป่ารกร้างที่เคยเป็นเมืองมาก่อน มีร่องรอยสิ่งก่อสร้างคูน้ำคันดินที่ผู้ปกครองโบราณทำไว้เพื่อป้องกันข้าศึกเพื่อให้เด็กอาศัยในเมืองอย่างปลอดภัย ต่อมามีศึกใหญ่ ผู้คนจึงอพยพทิ้งเมืองไปทิ้งข้าวของเครื่องใช้และลูกปัดจำนวนมากไว้นั่นเอง[2]

(แผนผังเมืองดงละคร อ้างอิงจากสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา)

นอกจากนี้ยังมีหนังสือชุมนุมพระบรมราชาธิบาย เอกสารที่มีการกล่างถึงเมืองดงละคร ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เล่า ไว้ว่า “ในสมัยที่เขมร (ขอมโบราณ) ยังครอบครอง ดินแดนส่วนด้านทิศตะวันออกของประเทศไทยอยู่นั้นกษัตริย์ได้ครอบครองราชย์ สมบัติ ทรงพอพระทัยในการมีสนมเป็นผู้ชาย พวกอำมาตย์เสนาบดีจึงได้แสวงหาชายรูปงามในเมืองเขมรมาถวายอยู่งานตาม อัธยาศัยถือว่าเป็นความชอบในราชการอย่างหนึ่งของพวกอำมาตย์เสนาบดีจึงช่วย กันหาความชอบที่จะแสวงหาชายรูปงามเข้าไปถวายจนกระทั่งชายรูปงามในเขมรหมดตัว มีอำมาตย์ผู้หนึ่งเสาะหาชายรูปงามในประเทศไทยไปถวายพระองค์ทรงโปรดปรานมาก แต่ชายรูปงามผู้นั้นไม่ต้องการเข้าไปอยู่ในพระราชวัง (นครขอม) พระนางเธอจึงทรงเจรจากับไทย ขอสร้างเมืองขึ้นในดินแดนไทย ฝ่ายไทยก็ยินยอม พระนางจึงโบรดให้สร้างเมืองขึ้นที่ ดงละคร [3]


                 (แผนที่เมืองดงละคร อ้างอิงจากสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา)

แต่ กระนั้นชาวบ้านหรือคนในท้องถิ่นก็มีการอธิบายถึงเมืองดงละครในรูปแบบตำนาน หรือนิทานพื้นบ้านที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวบ้านดงละครเล่าและเชื่อสืบต่อกันมาคือ เรื่องผีละครเมืองลับแล ไว้ว่า  “เมื่อถึงวันดีคืนดี ซึ่งมักจะเป็นวันเพ็ญ 14 – 15 ค่ำ จะมีเสียงพิณพาทย์ลาดตะโพนแว่วมาตามสายลม บ้างก็ว่ามีเสียงมาจากทางตะวันออก แต่คนที่อยู่ทางตะวันออกก็ว่ามาจากทางใต้ คนที่อยู่ทางใต้ก็ว่ามาจากทางเหนือ เป็นเสียดังนี้ จับไม่ได้ว่ามาจากทางไหนตามเสียงไปก็หาย เล่าลือกันอีกว่าผีในดงชอบละคร ถ้าใคร มาร้องละครภายในบริเวณดงนี้จะเป็นไข้ตาย ผีจะเอาไปอยู่ด้วย หากมีคนจะร้องละครแล้วมีคนห้ามผีจะเอาคนห้ามไปแทน จึงทำให้ไม่มีใครกล้ามาร้องละครเลย”กลายมาเป็นที่มาของดงละคร
ชุมชนโบราณดงละครมีพัฒนาการมาจากชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ช่วงปลายซึ่งมีพัฒนาการสังคมค่อนข้างสูง ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณใกล้เคียงคือบ้านนา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ได้อพยพเคลื่อนย้ายมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เมืองดงละคร แล้วค่อยๆ พัฒนาขึ้นเป็นชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13[4] ซึ่งการเคลื่อนย้ายนี้อาจมีสาเหตุมาจากการเกษตรที่มีเฉพาะตามริมคลองบ้านนา ไม่สามารถผลิตอาหารได้เพียงพอ จึงต้องย้ายไปยังพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำนครนายกที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ดี[5]  คือ บริเวณเมืองโบราณดงละคร ซึ่งห่างจากเมืองนครนายกปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร เนื่องจากมีองค์ประกอบสำคัญในการตั้งถิ่นฐาน กล่าวคือพื้นที่รอบดงละครเป็นที่ลุ่มเหมาะสมกับการเกษตรกรรม ตลอดจนมีเส้นทางสามารถติดต่อกับชุนชนต่างถิ่น
          ดงละคร เป็นเมืองโบราณที่มีพื้นที่ไม่กว้างขวางมากนัก เคยเป็นเมืองหนึ่งในอาณาจักรทวารวดี ผังของเมืองเป็นรูปไข่หรือเกือบกลม การเลือกทำเลที่ตั้งบนเนินดินบริเวณชายฝั่งทะเลเดิม
จากการขุดค้นทางโบราณคดีในเขตเมืองดงละคร พบเศษภาชนะดินเผา ประเภทหม้อมีสี เศษภาชนะดินเผา ซึ่งกำหนดอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 – 16 ทำให้เห็นความเจริญเติบโตของชุมชนแห่งนี้ ซึ่งมีการอยู่อาศัยสืบเนื่องมาจนถึงสมัยลพบุรี สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชุมชนโบราณที่เมืองดงละครที่เคยมีการอยู่อาศัยหนาแน่นพอสมควร[6]
ใน เมืองโบราณดงละครได้พบเศษภาชนะดินเผาและตะคันดินเผาหลายชิ้นมีร่องรอยเขม่า ไฟแสดงว่ามีการถูกใช้งาน อันเป็นหลักฐานว่ามีการอยู่อาศัยของคนสมัยโบราณอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามได้พบเมล็ดข้าวสารที่ถูกเผาจนเป็นถ่านซึ่งอย่างน้อยก็แสดงให้ เห็นชัดเจนว่าข้าวเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของคนสมัยโบราณที่ดงละคร [7] รวมทั้งนิเวศน์วัตถุประเภทเมล็ดพืชเผาไฟต่างๆ ที่ประกอบอาชีพทำเกษตรกรรมของชาวเมืองดงละคร อีกทั้งยังพบว่ามีการหลอมโลหะใช้เป็นเครื่องมือเกษตรอีกด้วย
ทั้งนี้สันนิษฐานว่าภายในเมืองน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นปกครองประชาชนโดยทั่วไปจะกระจายอยู่รอบเมือง และบริเวณรอบเนินเดินอันเป็นที่ลุ่ม โดยมีคันดิน 2 ชั้น ซึ่งต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก ปัจจุบันเหลือเพียงชั้นเดียว และคูน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเมืองอันเป็นศูนย์กลางการปกครอง จากการสำรวจพบว่าเดิมทางน้ำที่เข้ามาหล่อเลี้ยงคูเมือง น่าจะเชื่อมกับลำน้ำเก่าทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นส่วนของคลองโพธิ์ แต่ปัจจุบันตื้นเขินไปหมดแล้ว[8] แสดงให้เห็นถึงขนาดของชุมชนที่ค่อนข้างใหญ่ นอกจากนี้พัฒนาการทางเทคนิควิทยา และสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนย่อมผลักดันให้เกิดการทำงานเฉพาะด้านขึ้น ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ก่อให้เกิดการปกครองโดยผู้นำ ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสิน ผู้ชี้นำ และผู้รักษากติกาของสังคม
จากการพบโบราณวัตถุ การสำรวจและการขุดค้นทางโบราณคดี ขี้ว่าเมืองดงละครนี้เป็นเมืองโบราณขนาดกลาง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเมืองใหญ่ๆ เช่น เมืองศรีมโหสถ เมืองพระรถ เมืองอื่นๆแถบลุ่มแม่น้ำบางปะกง จากลักษณะของเมืองที่อยู่ใกล้แนวชายฝั่งทะเลเดิม แม้ว่าจะไม่อยู่ชิดติดทะเล แต่อาจจะมีช่องทางติดต่อกับทะเลได้โดยสะดวก[9] จึงทำให้เมืองดงละครเป็นชุมชนท่า ที่มีความเจริญเติบโตของชุมชนขึ้นตามลำดับ ถึงแม้ว่าจะมีพัฒนาการที่น้อยกว่า แต่อาจมีความสำคัญในฐานะที่เป็นตัวกลางระหว่างเมืองศรีมโหสถ กับชุมชนเมืองอื่นๆทางทิศตะวันตก และทิศเหนือของเมืองดงละคร อีกทั้งยังรับวัฒนธรรมแบบทวาราวดีในภาคกลางของไทยและวัฒนธรรมขอมจากอีสานตอนใต้ หรือจากฝั่งตะวันออก ปราจีนบุรี จันทบุรี มาใช้ในชุมชนตามความเหมาะสมของสถานการณ์
หลักฐานที่พบ จึงสามารถอธิบายได้ว่าเมืองดงละครสามารถเติบโตตั้งขึ้นเป็นชุมชนที่เป็นเมืองท่าสำคัญในระหว่างสมัยประวัติศาสตร์ ในการติดต่อกับ อินเดีย จีน และ เปอร์เซีย ที่มีการแลกเปลี่ยนวัตถุกัน และการทำเครื่องประดับเองในกลุ่มดงละคร ซึ่งดงละครมิได้โดดเดี่ยวแต่มีการติดต่อทั้งภายในและภายนอก [10] ทำให้มีชุมชนแห่งนี้มีการเจริญเติบโตขึ้นเป็นเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่ง
การที่เมืองดงละครก้าวขึ้นมามีความเจริญได้นั้นพิจารณาจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งของเมืองที่อยู่ลึกเข้าไป และตั้งอยู่กึ่งกลางของ 2 ลุ่มน้ำคือ ลุ่มน้ำบางปะกง และลุ่มน้ำเจ้าพระยา ส่งผลให้ดงละครเป็นแหล่งที่รับอารยธรรมจากเมืองต่างๆ อีกทั้งยังเป็นจุดแวะพักทางการค้าของบริเวณภูมิภาคตะวันออก เพราะเมื่อพ่อค้าเดินทางจากอ่าวไทยเข้าสู่ศรีมโหสถ ที่เป็นเมืองท่าชายฝั่งแล้ว ก็จะเดินทางไปยังดงละคร เพราะ จะเป็นจุดแวะพักทางการค้าตลอดจนหาเสบียงอาหาร จึงทำให้เมืองดงละครเจริญเติบโต เป็นแหล่งที่มีผู้คนเข้ามาทำการค้าเศรษฐกิจที่เป็นแหล่งที่ตั้งที่เชื่อมโยงระหว่างภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ซึ่งจะต้องเดินทางผ่านดงละครทั้งสิ้น ประการต่อมาที่ทำให้ดงละครมีความเจริญเติบโตของชุมชนได้นั้นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญคือ แร่ควอทซ์ ที่สามารถนำมาทำเครื่องประดับ และยังมีพื้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะปลูกธัญพืช ที่จะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงคนในชุมชนแห่งนี้ และคนต่างถิ่นที่เดินทางมาแวะพัก ทำให้มีความเจริญของเมือง เพราะดินบริเวณนี้เกิดจากการทับถมของตะกอนลำนำดังนั้นจึงบริบูรณ์ด้วยแร่ธาตุที่น้ำได้พัดพา ประการต่อมาดงละครใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างเมืองอื่นๆ เช่น ดีบุก เหล็ก ทองคำ ฯลฯ โดยใช้แร่ควอทซ์ เป็นแลกเปลี่ยนกับสินค้าจากเมืองอื่นๆ ทำให้เมืองดงละครมีบทบาททางด้านเศรษฐกิจที่ทำให้เมืองสามารถเลี้ยงตนเองอยู่ได้ไม่เฉพาะแต่การทำเกษตรอย่างเดียว[11]
ดัง นั้นจากตำนานคำบอกเล่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีจึงสามารถยืนยันได้ถึงการตั้งถิ่นฐาน เป็นลักษณะของชุมชนที่สำคัญและมีการเจริญเติบโตในฐานะเมืองท่าอีกแห่งหนึ่ง ในภูมิภาคตะวันออกที่สามารถเชื่อมต่อไปยังชุมชนอื่นๆ ทั้งภาคกลาง และภาคอีสาน ซึ่งดงละครเองมีการขยายตัวของเมืองโดยที่การสันนิษฐานว่ามีการแบ่งการอยู่ อาศัยชองผู้ปกครอง และผู้อยู่ใต้การปกครอง มีแหล่งทรัพยากรที่สำคัญที่การเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนเพื่อเลี้ยงประชาชนในดง ละครอีกด้วย

[1] กองโบราณคดี.(2536). รายงานการขุดค้นและขุดแต่งเมืองดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก. กรุงเทพฯ :กองโบราณคดี. หน้า 13.
[2] คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. (2544). วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดนครนายก. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. หน้า 23 – 24.
[3] ชัยยุทธ มณีรัตน์ .(2530). การศึกษารูปแบบลูกปัดแก้วจากแหล่งโบราณคดี ดงละคร ตำบลดงละคร อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก . สารนิพนธ์ศิลปศาสตร์บัณฑิต. ภาควิชาโบราณคดี. คณะโบราณคดี. มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 16.
[4] เย็นจิต สุขวาสนะ.(2540). ดงละครกับความสำคัญของโบราณคดีฝั่งตะวันออก. วารสารประวัติศาสตร์. หน้า 101.
[5] กองประวัติศาสตร์ส่วนการศึกษาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า. (2539) ประวัติศาสตร์เมืองนครนายก. กรุงเทพ : เมืองโบราณ. หน้า 28.
[6] กองโบราณคดี.(2536). รายงานการขุดค้นและขุดแต่งเมืองดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก. กรุงเทพฯ :กองโบราณคดี. หน้า 23 – 33.
[7] แหล่งเดียวกัน หน้า 18.
[8] ภารดี มหาขันธ์. (2555). การตั้งถิ่นฐานและพัฒนาการของภาคตะวันออกยุคต้น (ยุคก่อนประวัติศาสตร์ รัตนโกสินทร์ตอนต้น). ชลบุรี : สาขาไทยศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. หน้า 144.
[9] กองโบราณคดี. (2536). รายงานการขุดค้นและขุดแต่งเมืองดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก. กรุงเทพฯ :กองโบราณคดี. หน้า18
[10] จารึก  วิไลแก้ว. (2538). แหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นทางเดินทัพและเส้นทางติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สระบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. หน้า 106.
[11] มุทิตา ณรงค์ชัย. (2538). บทบาททางเศรษฐกิจของเมืองโบราณดงละครในฐานะกลุ่มเมืองชายฝั่งทะเลภูมิภาคตะวันออก. วิทยานิพนธ์ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต. สาขาโบราณคดีประวัติศาสตร์. คณะโบราณคดี. มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 66 – 67.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น