วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

สังคม- เศรษฐกิจของอยุธยาตอนต้น

สังคม- เศรษฐกิจของอยุธยาตอนต้น

สังคม- เศรษฐกิจของอยุธยาตอนต้น
ลักษณะทางภูมิศาสตร์
แกนกลางของอาณาจักรอยุธยาในสมัยนี้ครอบคลุมพื้นที่ของพระนครศรีอยุธยาและลพบุรี (และต่อมาหลังราชกาลพระนครินทราธิราชแล้วจึงรวมสุพรรณบุรีไว้ด้วย) มีขนาดไม่กว้างใหญ่นักแต่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก พืชสำคัญที่เพราะปลูกในบริเวณนี้คือข้าว และได้เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่ผลิตข้าวได้เกินความต้องการจนสามารถขายแก่บริเวณใกล้เคียง (หลักฐานของจีนซึ่งเบาริงอ้างถึงกล่าวว่าเสียงซึ่งน่าจะเป็นสุพรรณบุรีมีความอุดมสมบูรณ์น้อยกว่าโล-โพคือละโว้ จึงต้องได้ข้าวปลาอาหารมาจากละโว้) นอกจากนี้ชินกาลมาลีปกรณ์ยังกล่าวถึงการที่พระเจ้ารามาธิบดีทำกลเป็นพ่อค้าข้าวนำข้าวไปขายที่ชัยนาทซึ่งน่าจะเป็นพิษณุโลกอีกด้วย แสดงถึงการส่งสินค้าข้าวจากแถบอยุธยา-ละโว้ขึ้นไปขายยังอาณาจักรสุโขทัยว่าคงทำเป็นปกติ  ในบริเวณดังกล่าวมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มซึ่งรับการตกตะกอนของแม่น้ำของแม่น้ำถึง ๔ สาย (เรียกในทางภูมิศาสตร์ว่าเขตที่รายน้ำท่วมถึงเหนือเขตเดลตา) ในขณะเดียวกันก็มีฝนตกชุกพอสมควรสามารถทำการเพราะปลูกข้าวได้โดยไม่ต้องอาศัยการชลประทานขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นในบริเวณนี้ แม้ว่าเคยมีอาณาจักรเกิดขึ้นทับถมในบริเวณนี้มาแต่โบราณกาล
ใน ช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๐ มีพัฒนาการทางการเกษตรที่สำคัญเกิดขึ้นในบริเวณดังกล่าวคือการเปลี่ยนการ ปลูกข้าวจากประเภทข้าวไร่มาสู่ข้าวนา แม้การปลูกข้าวนาได้มีร่องรอยให้เห็นว่าได้ทำกันก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลาย ศตวรรษแล้ว แต่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้เองที่ข้าวนาจะครอบงำการปลูกข้าวอย่างอื่น อย่างเด่นชัด และมีจุดศูนย์กลางที่สำคัญในอาณาบริเวณที่จะเป็นแกนกลางของอาณาจักรอยุธยา ตอนต้นนี้เอง แม้ว่าช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงการปลูกข้าวจะเกิดขึ้นพร้อมกันกับที่ชน เผ่าไทยเริ่มมีบทบาทอย่างเด่นชัดในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ แต่ก็เป็นการปลอดภัยกว่าที่จะไม่ผูกพันความเปลี่ยนแปลงการปลูกข้าวนี้เขากับ การอพยพเข้ามาของชนชาติใหม่ ทั้งนี้เนื่องจากระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงยาวนานส่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลง นี้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ มากกว่าจะนำเอาเทคโนโลยีใหม่โดยกลุ่มชนชาติใหม่เข้ามาในอาณาบริเวณอย่างรวด เร็ว นอกจากนี้เรามักจะพบเสมอว่าความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้มักไม่ค่อยผูกพันกับกลุ่มชนชาติ แต่เป็นพัฒนาการที่ข้ามเส้นเขตแดนของชนชาติอยู่เสมอ
ในบริเวณที่ราบใต้กรุงศรีอยุธยาลงไป พื้นที่เปลี่ยนจากที่ราบน้ำท่วมถึงมาสู่ลักษณะของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ปริมาณของน้ำที่หลากจากทางเหนือในหน้าน้ำมีมากขนาดที่กำลังผู้คนและเทคโนโลยีในสมัยนั่นไม่สามารถที่จะควบคุมได้ เหตุฉะนั้นความพยายามของมนุษย์จึงไม่มุ่งไปสู่การชลประทานเพื่อควบคุมน้ำ แต่มุ่งไปสู่การคัดเลือกพันธ์ข้าวที่สามารถหนีน้ำได้รวดเร็ว การใช้พันธ์ข้าวเบาสำหรับพื้นที่แถบพระนครศรีอยุธยานับเป็นความสำเร็จที่ชาญฉลาดของกสิกรโบราณของบริเวณนี้ และทำให้ศูนย์อำนาจทางการเมืองซึ่งเกิดขึ้นมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคงได้ อย่างไรก็ตามการที่กสิกรไม่ต้องพึ่งพาการชลประทานขนาดใหญ่ที่รัฐเป็นผู้จัดก็จะมีผลให้การควบคุมของรัฐเหนือ ประชาชนเป็นไปอย่างรัดกุมไม่ได้ ต้องกระจายอำนาจควบคุมผู้คนและแรงงานหนีออกไปในหมู่ มูลนาย อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ส่วนสำคัญของพวก มูลนาย ก็คือผู้นำท้องถิ่น การรวมอำนาจเข้าศูนย์กลางของรัฐบาลอยุธยาจึงมีขอบเขตจำกัดเพราะต้องประนี ประนอมผลประโยชน์และอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางและผู้นำท้องถิ่นนี้ตลอดไป
ใน อีกด้านหนึ่งเมื่อการควบคุมแรงงานประชาชนของรัฐบาลมีขีดจำกัดดังกล่าวนี้ ก็เป็นความจำเป็นของรัฐบาลอยุธยาด้วยที่จะต้องทดแทนหรือเสริมพลังทาง เศรษฐกิจของตนด้วยการค้าต่างประเทศ มีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่าการค้าต่างประเทศเป็นแหล่งที่มาของราบได้สำคัญ ของอยุธยานับตั้งแต่เริ่มต้นอาณาจักรนี้ใน พ.ศ. ๑๘๙๔ แล้วและกษัตริย์อยุธยาได้วางมาตรการหาผลประโยชน์จากการค้าต่างประเทศด้วย ทรัพยากรวัตถุและทรัพยากรคนเท่าที่พระองค์ควบคุมได้อย่างมาก แฮรี เจ. เบนดา ได้เคยเสนอรูปแบบของ รัฐโบราณของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ที่น่าสนใจ โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า ความขัดแย้งกันของรัฐที่มีฐานอำนาจอยู่บนการเกษตรกรรมและรัฐที่มีฐานอำนาจ อยู่บนการค้าระหว่างประเทศ รูปแบบนี้มีประโยชน์ในการใช้เป็นแนวทางให้เข้าใจโครงสร้างทางสังคมของรัฐ โบราณเหล่านี้ อย่างไรก็ตามรูปแบบก็เป็นเพียงภาพในอุดมคติสำหรับใช้เป็น เครื่องมือในการศึกษา จำเป็นต้องระวังไม่ยึดในรูปแบบนี้อย่างสุดโต่ง เพราะแท้ที่จริงแล้วคงไม่มีรัฐใดรัฐหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยที่ เป็นรัฐที่มีฐานเกษตรกรรมหรือการค้าระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์ กิจกรรมทั้งสองมีบทบาทอยู่ในการกำหนดโครงสร้างของสังคมของทุกรัฐเสมอมา กรณีของอยุธยาดูเหมือนจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมปนเปของฐานอำนาจของรัฐ การเกษตรก็มีส่วนกำหนดความสำพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ในขณะเดียวกันการค้าระหว่างประเทศก็มีส่วนช่วยกำหนด ลักษณะความสัมพันธ์นั้นอย่างมาก
จาก หลักฐานในสมัยหลังที่สะท้อนในเห็นถึงความเบาบางของประชากรในบริเวณนี้ ทำให้น่าเชื่อว่าในสมัยต้นอยุธยาประชากรที่อาศัยอยู่ในแกนกลางของอาณาจักร อยุธยานี้ก็มีเบาบางเช่นกันเมื่อเทียบกับจำนวนพื้นที่เพราะปลูก เพราะฉะนั้นปัญหาเรื่องที่ดินไม่เพียงพอแก่การเกษตรกรรมแบบพิถีพิถัน (Intensive Agriculture) จึงไม่เกิดขึ้น ในทางตรงกันข้าม ปัญหาสำคัญของบริเวณนี้ก็เช่นเดียวกับอีกหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ คือปัญหาเรื่องแรงงาน รัฐบาลที่มีอำนาจปกครองอาณาบริเวณนี้ได้คือรัฐบาลที่สามารถควบคุมและใช้ ประโยชน์จากแรงงานได้มากที่สุด ไม่ใช่รัฐบาลที่มีอำนาจปกครองท้องที่ไพศาลที่สุด เพราะแรงงานเป็นที่มาของพลังในทางการเมืองและโภคทรัพย์ในทางเศรษฐกิจ ระบบสังคมที่ควบคุมแรงงานของประชาชนและเฉลี่ยแรงงานนั้นตามลำดับขั้นของผู้ มีอำนาจทางการเมืองมากน้อยจึงเกิดขึ้นและพัฒนาซับซ้อนขึ้นตลอดเวลา ความซับซ้อนที่พัฒนาขึ้นในการควบคุมแรงงานของอยุธยานี้เป็นทั้งเหตุและผลของ การเพิ่มพูนอำนาจของกษัตริย์อยุธยา 
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกลวิธีของมูลนาย ซึ่งเป็นผู้นำท้องถิ่นในอันที่จะสงวนอำนาจของตนไว้โดยต่อสู้ต้านทานการเพิ่มพูนอำนาจควบคุมแรงงานของกษัตริย์อยุธยา นับได้ว่าเป็นพลวัตที่สำคัญอย่างหนึ่งของประวัติศาสตร์อยุธยาระบบที่ใช้ควบคุมและจัดสรรแรงงานของประชาชนนี้เรียกกันว่าระบบไพร่

อาคม พัฒิยะ, นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2545). ศรีรามเทพนคร : ความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยา
ตอนต้น .พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ : มติชน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น