วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ลีโอ ตอลสตอย เมื่อความรักฆ่านักปราชญ์

 ลีโอ ตอลสตอย เมื่อความรักฆ่านักปราชญ์



นักเขียน นักคิด นักปฏิวัติสังคม ขุนนางผู้มั่งคั่ง และนักรักเสเพล นั่นคือหลายบทบาทที่ทับซ้อนกันอยู่ในตัวของ ลีโอ ตอลสตอย ยอดนักประพันธ์เอกของโลก แต่บทบาทที่ปวดร้าวที่สุดในชีวิตของเขาเห็นจะได้แก่การเป็นสามีของโซฟี อันเดรเยฟน่าเบอร์ส

     
เคานท์ ลีโอ นิโคเลเยวิช ตอลสตอย เกิดในปี 1828 ครอบครัวของเขาเป็นตระกูลขุนนางที่สืบทอดตำแหน่งท่านเคานท์กันมาหลายชั่วคน เด็กน้อยตอลสตอยจึงมีชีวิตที่หรูหรา ฟุ้งเฟ้อ อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ไม่ต่างอะไรกับลูกเทวดา ซึ่งตอลสตอยก็ทำตัวเป็นเทวดาจริงๆ เขาไม่ยอมเรียนหนังสือหนังหา เอาแต่เสเพลเที่ยวเตร่กินเหล้าาเคล้านารีไปวันๆ ในบันทึกอัตชีวประวัติของเขาเล่าว่า ตอลสตอยเสียพรหมจรรย์ให้กับหญิงโสเภณีตั้งแต่อายุเพียง16 ปี เพราะถูกรุ่นพี่ลากตัวไป "ครั้งแรกที่พี่ฉุดตัวผมไปเที่ยวซ่องและบังคับให้ร่วมเพศ ผมนั่งลงแทบเท้าเธอคนนั้นแล้วร้องไห้"


แต่น้ำตาในคืนนั้นเป็นความตกใจของเด็กหนุ่มที่ยังไม่เคยลิ้มรสรักเท่านั้น หลังจหากผ่านประสบการณ์เรียนรู้ความรัญจวนไปแล้ว ตอลสตอยก็มีอาการที่เรียกว่า อดสเน่หาจากสตรีไม่ได้ จนเจ้าตัวยังยอมรับตัวเองว่าไม่รู้จักพอ ซ่องโสเภณีกลายเป็นที่เที่ยวประจำของตอลสตอยแม้แต่สาวใช้ในบ้านสองคนก็เป็นคู่นอนของเขา ตอลสตอยหัวหกก้นขวิดอยู่อย่างนี้จนเข้ามหาวิทยาลัย แต่แล้วจู่ๆเขาก็ถอดใจกับการเรียนขึ้นมาจึงลาออกแล้วไสมัครเป็นทหาร ชีวิตในกองทัพทำให้เขาเห็นความไม่เป็นโล้เป็นพายของตัวเอง เขาจึงเริ่มอุทิศตัวเพื่อสังคมด้วยการสร้างโรงเรียนให้กับลูกชาวนาที่บ้านเกิด และเป็นจุดเริ่มต้นของงานเขียนของเขา


ในปี 1862 ตอลสตอยได้พบรักกับสาวงามโซฟี อันเดรเยฟน่า เบอร์สก่อนจะแต่งงานกัน ตอลสตอยบังคับให้โซฟีอ่านบันทึกส่วนตัว ซึ่งเขาได้บรรยายชีวิตรักและกามารมณ์ของตัวเองเอาไว้อย่างถึงพริกถึงขิง เพื่อให้เธอเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของเขา และตัดสินใจว่าจะอยู่กินด้วยได้หรือเปล่า ถ้าเป็นสมัยนี้การกระทำของตอลสตอยก็เรียกได้ว่าแฟร์มากทีเดียว แต่บังเอิญโซฟีเป็นผู้หญิงในศตวรรษที่ 18 ทั้งหัวเก่าเคร่งศาสนาและยังไม่เคยผ่านประสบการณ์รักๆใคร่ๆ มาก่อน เธอจึงตีความไปว่า ว่าที่เจ้าบ่าวแต่งงานกับเธอก็เพียงเพื่อเชยชมร่างกาย จิตใจของสาวน้อยจึงเริ่มมีอคติกับเรื่องโลกีย์นับตั้งแต่นั้น


โซฟีสารภาพว่าเธอไม่เคยมีความสุขกับการร่วมรักของสามีเลย และเพศสัมพันธ์ก็เป็นการแสดงออกทางกายที่น่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง เมื่อเมียสาวหน่ายเซ็กซ์ต้องมาร่วมชายคากับสามีผู้ไม่เคยอิ่มในกาม จึงไม่น่าแปลกใจที่ชีวิตคู่ของ ทั้งสองจะไม่ราบรื่น ตอลสตอยต้องแอบไปเริงรักกับสาวๆ ชาวนาในละแวกนั้นอยู่เป็นประจำ แต่ทั้งๆที่มีปัญหาเรื่องนี้ เขาก็ยังไม่วายทำให้เมียท้องได้ถี่ยิบ ทั้งคู่มีลูกด้วยกันถึง13 คน 


แม้โซฟีจะเป็นคู่นอนที่ไม่ได้ความแต่สำหรับหน้าที่ภรรยาเธอก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เธอปรนนิบัติสามี ดูแลลูกๆ ทำงานบ้าน และยังเป็นผู้ช่วยตอลสตอยในการผลิตงานเขียนทุกชิ้น เมื่อครั้งที่ตอลสคอยแต่งวรรณกรรมอมตะเรื่องสงครามและสันติภาพ(War And Peace) นิยายความยาว7 แสนคำ หนา 1400 หน้า ซึ่งส่งให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็ได้โซฟีนี่ล่ะ ที่นั่งหลังขดหลังแข็งคัดลอกต้นฉบับจากลายมือยุ่งๆ ของเขาถึง 7 เที่ยวกว่าจะส่งไปโรงพิมพ์ ทว่าความทุ่มเทของโซฟีกลับถูกแฟนๆ ของตอลสตอยมองข้ามไปสิ้น เพราะความทุกข์ทรมานที่เธอหยิบยื่นให้กับสามี มีปริมาณมหาศาลเทียบเท่ากับความทุ่มเทช่วยเหลือสามีเรื่องานเช่นกัน


โซฟีเป็นผู้หญิงปากร้าย จู้จี้ และพร้อมจะบ่นได้ตลอดเวลา กิจกรรมที่เธอโปรดปรานที่สุดก็คือการคะยั้นคะยอให้สามีเขียนหนังสือ และจะคอยจ้ำจี้จ้ำไชด้วยถ้อยคำระคายหูหากตอลสตอยไม่ยอมทำงาน หรือทำสิ่งที่เธอเห็นว่าไร้สาระขัดต่อความเป็นคริสตศาสนิกชนที่ดี ความเคร่งศาสนาของเธอสวนทางกับนิสัยเสเพลปล่อยเนื้อปล่อยตัวของสามีราวขางกับดำ โซฟีทำให้ตอลสตอยเกิดความรู้สึกว่าเซ็กซ์เป็นสิ่งสกปรก และเป็นที่มาของผลงานเรื่อง บทเพลงแห่งกลกาม (The Kreutzer Sonata) ที่มีเนื้อหาประณามการร่วมรักและเรียกร้องให้คนละเว้นการร่วมประเวณี ขณะเดียวกันตัวตอลสตอยเองกลับห้ามความต้องการตามธรรมชาติไม่ได้ เขาจึงทั้งรักทั้งเกลียดโซฟีที่เป็นต้นเหตุให้เขาตกอยู่ในสภาพที่ขัดกับแนวคิดของตัวเองเช่นนี้ ฝ่ายโซฟีก็ดูถูกสามีว่ามือถือสากปากถือศีล เขียนบทความประณามเซ็กซ์แต่กลับมรไฟราคะไม่รู้จักจบสิ้น ใต้หลังคาบ้านของสองผัวเมียจึงเหมือนมีเสือสองตัวมาอาศัยอยู่ร่วมกัน จนหาความสุขไม่ได้


7 ปีต่อมาหลังจาก บทเพลงแห่งกลกามถูกตีพิมพ์ สถานการณ์ในบ้านของพวกเขาเลวร้ายถึงขีดสุด เมื่อโซฟีไปหลงรักเซอเกรี่ ทานาเยฟ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของสามีเข้า เซอเกรีนั้นเป็นนักเปียโนเจ้าสำอาง แต่งตัวปราณีต ท่าทางกรีดกรายผู้ดีจ๋า ถูกต้องตรงรสนิยมของโซฟีทุกอย่าง ผิดกับนักเขียนสุดเซอร์น้ำท่าไม่อาบอย่างสามีของเธอ เธอมักจะด่าเขาว่า ตัวเหม็นเหมือนแพะ แต่สุดท้ายโซฟีก็ตัดใจจากเซอเกรีได้หลังจากหลงใหลเขาหัวปักหัวปำอยู่ถึงหนึ่งปี


พอภรรยากลับมาเข้ารูปเข้ารอยก็ถึงทีของตอลสตอยที่จะนอกใจบ้างโซฟีโวยวายว่าตอลสตอยกับเซอร์ตคอฟ ลูกศิษย์คนโปรดเป็นคู่รักร่วมเพศกัน แต่เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานยืนยัน และขณะนั้นโซฟีก็บังเอิญไปรู้ว่าตอลสตอยกำลังให้เซอร์ตคอฟช่วยร่างพินัยกรรมยกลิขสิทธิ์งานเขียนของเขาให้เป็นสมบัติสาธารณะ จึงเป็นไปได้ว่าเธออาจจะแกล้งกล่าวหาสามีเพื่อให้พินัยกรรมฉบับนั้นเป็นโมฆะ (หลังตอลสตอยเสียชีวิต โซฟีได้ฟ้องเรียกลิขสิทธิ์ในงานของเขาคืนมา) การที่โซฟีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพินัยกรรมทำให้ตอลสตอยยิ่งหมดความไว้ใจในตัวภรรยาทั้งคู่มีปากเสียงกันบ่อยเสียจน เธอเคยขู่ว่าจะหนีออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ทำจริงดังปากว่าเสียที เพราะจากบันทึกของเดล เคเนกี เพื่อนสนิทคนหนึ่งของตอลสตอย โซฟีเป็นผู้หญิงประเภทที่ไม่มีวันผละจากความมั่งคั่งของสามีไปแน่นอน


"เธอชอบชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย กระหายความมีหน้ามีตาและการยกยอปอปั้นในวงสังคม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายต่อตอลสตอย เธอชอบความร่ำรวย แต่เขาเชื่อว่าทรัพย์สินเงินทองล้วนแต่เป็นบาป เธอเชื่อในการปกครองด้วยอำนาจ แต่เขาเชื่อในการปกครองด้วยความรัก"


ยิ่งไปกว่านั้นโซฟียังเป็นคนอารมณ์ร้าย พร้อมจะโมโหกระฟัดกระเฟียดได้ตลอดเวลา ความหัวสูงทำให้เธอรังเกียจเพื่อนๆ นักประพันธ์ซอมซ่อของตอลสตอย ทั้งยังแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกด้วย ครั้งหนึ่งโซฟีมีเรื่องกับลูกสาว เธอโกรธมากถึงกับไล่ลูกออกจากบ้าน จากนั้นก็หันไปคว้าปืนลมของตอลสตอยมายิงรูปถ่ายลูกสาวคนนี้เสียกระจุย ยามใดที่ทะเลาะกัน เธอจะเอ็ดตะโรแช่งด่าตอลสตอย จนบ้านเปรียบเสมือนนรกบนดินสำหรับเขา


ชีวิตของตอลสตอยต้องพลิกผันอีกครั้งเมื่อถึงวัยไม้ใกล้ฝั่ง เขามีความเชื่อเสมอว่ามนุษย์ไม่ควรยึดติดกับวัตถุที่ไม่จีรัง นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่จึงบริจาคทรัพย์สมบัติมหาศาลที่มีให้กับสาธารณะ ถึงแม้โซฟีจะไม่เดือดร้อนเพราะตอลสตอยยังกันเงินพร้อมบ้านหลังหนึ่งไว้ให้เธอและลูกๆ แต่เธอก็ไม่พอใจอย่างแรง เธอด่าว่า ประณามเขาอย่างสาดเสียเทเสีย จนตอลสตอยซึ่งอดทนมานานถึง 48 ปีทนความบีบคั้นต่อไปไม่ไหว เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่างพเนจรเร่ร่อนไปบนถนนท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก และแล้วเพียง 20 วันหลังจากนั้น ชายชราวัย 82 ปี คนนี้ก็เสียชีวิตอย่างเดียวดายด้วยโรคปอดบวมที่สถานีรถไฟเล็กๆ เมืองแอสตาโปโว ก่อนสิ้นใจตอลสตอยได้ทิ้งถ้อยคำสุดท้ายไว้ว่า"สัจธรรม คือสิ่งที่ข้าแสวงหา"


ตลอดเวลา 14 ปีหลังการตายของตอลสตอย โซฟีต้องตกเป็นจำเลยของสังคม ในฐานะเมียใจยักษ์ที่ผลักไสผัวออกไปพบจุดจบที่ไม่ดี แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอหรือตอลสตอยกันแน่ที่สร้างความทรมานให้อีกฝ่ายมากกว่ากัน เพราะชีวิตคู่ของคนทั่งสอง ก็เป็นดั่งเช่นข้อความที่ตอลสตอยเขียนไว้ในนิยายเรื่องหนึ่งของเขา


"หลายครอบครัวซ้ำซากอยู่ที่เดิม ทั้งๆที่สามีภรรยาแสนจะเบื่อหน่ายกัน นั่นก็เพราะทั้งคู่ไม่กลมเกลียวกันอย่างแท้จริง"


จากนิตยสาร LIVE คอลัมน์ คู่รักบันลือโลก

25 แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก

 25 แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก




มีต้นกำเนิดไหลมาจากที่ราบสูงทิเบต ผ่านไปลงในทะเลอันดามันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความยาวประมาณ 2,815 กิโลเมตร (1,749 ไมล์)

แม่น้ำซีร์ดาร์ยา (Syr Darya)


เป็นแม่น้ำอยู่ในทวีปเอเชียตอนกลาง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาเทียนซาน ประเทศคีร์กีซสถาน ความยาวประมาณ2,212 กิโลเมตร (1,374 ไมล์) ไหลลงสู่ทะเลอารัล เป็นทะเลปิดที่อยู่ในเอเชียกลาง อยู่ระหว่างประเทศคาซัคสถานกับสาธารณรัฐคาราคัลปัค

แม่น้ำเซาฟรังซีสกู (São Francisco River)

แม่น้ำเซาฟรังซีสกูอยู่ในประเทศบราซิล ความยาวประมาณ 2,914 กิโลเมตร (1,811 ไมล์) มันเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในบราซิล และยาวเป็นอันดับสี่ในทวีปอเมริกาใต้

แม่น้ำสินธุ (Indus River)


เป็นแม่น้ำสายหลักในประเทศปากีสถาน นอกจากนี้ยังมีต้นกำเนิดผ่านทางตะวันตกของทิเบตและภาคเหนือของอินเดีย ความยาวประมาณ 3,200 กม.

แม่น้ำยูคอน (Yukon River)


แม่น้ำยูคอนเป็นสายน้ำที่สำคัญของทางตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาเหนือ แหล่งที่มาของแม่น้ำตั้งอยู่ในบริติชโคลัมเบีย, แคนาดา ไหลผ่านดินแดนที่เรียกว่ายูคอน ครึ่งหนึ่งทางใต้ของแม่น้ำไหลผ่านรัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา แม่น้ำยูคอนมีความยาวประมาณ 3,190 กิโลเมตร (1,980 ไมล์) ไหลลงไปในทะเลแบริ่ง

แม่น้ำพูรัส (Purus River)


แม่น้ำพูรัสเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำอเมซอนอยู่ในอเมริกาใต้ มีพื้นที่ลุ่มน้ำ 63,166 ตารางกิโลเมตร (24,389 ตารางไมล์) และอัตราการไหลเฉลี่ย 8,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

แม่น้ำมาเดียร่า (Madeira River)


เป็นแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งในอเมริกาใต้ ความยาว 3,250 กิโลเมตร (2,020 ไมล์) และเป็นลำน้ำสาขาที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำอเมซอนอีกด้วย

แม่น้ำชัตต์อัลอาหรับ (Shatt al Arab)


อยู่ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เกิดจากแม่น้ำยูเฟรทีสไหลมาบรรจบกับแม่น้ำไทกรีสที่เมืองอัลกุร์นะห์ ไหลผ่านเมืองบัสราของอิรักไปยังเมืองคอรัมซาหร์และอาบาดานในประเทศอิหร่าน แล้วลงสู่อ่าวเปอร์เซียในประเทศอิรักใกล้เมืองท่าอัลฟาว

แม่น้ำวอลกา (Volga River)


โวลก้าเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในยุโรป และยังเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปอีกด้วย ไหลผ่านตอนกลางของรัสเซีย และถือกันโดยทั่วไปว่าเป็นแม่น้ำประจำชาติรัสเซีย

แม่น้ำโทแคนทินส์ (Tocantins River)


อยู่ในประเทศบราซิล โทแคนทินเป็นภาษาทูปิ (Tupi) ที่หมายถึงจยอยปากของนกทูแคน ความยาวประมาณ 2,640 กิโลเมตร

แม่น้ำเมอร์เรย์ (Murray River)


เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของออสเตรเลีย มีความยาวประมาณ 2,375 กิโลเมตร (1,476 ไมล์) มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาออสเตรเลียนแอลป์ ไหลคดเคี้ยวผ่านที่ราบภายในประเทศออสเตรเลีย ก่อนจะไหลลงสู่ทะเลสาบอเล็กซานเดรียน่า

แม่น้ำไนเกอร์ (Niger River)


แม่น้ำไนเจอร์เป็นแม่น้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ที่สำคัญของทวีปแอฟริกา รองลงมาจากแม่น้ำไนล์และแม่น้ำคองโก (แม่น้ำซาอีร์)  แม่น้ำไนเจอร์อยู่ในส่วนแอฟริกาตะวันตกของประเทศมาลี ไนเจอร์ ไนจีเรีย ต้นน้ำอยู่ที่ประเทศเซียร์ราลีโอน ไหลลงสู่อ่าวกินี ทอดตัวยาวเป็นแนวกว่า 2500 ไมล์

แม่น้ำแมกเคนซี (Mackenzie River)


เป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแคนาดา ไหลจากทางตะวันตกสุดของทะเลสาบเกรตสเลฟไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลงสู่อ่าวแมกเคนซีในทะเลโบฟอร์ต มหาสมุทรอาร์กติก มีความยาว 1,738 กม.

แม่น้ำโขง (Makong River)


แม่น้ำโขง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านมณฑลชิงไห่ ประเทศจีน และบริเวณที่ราบสูงธิเบต ไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ ผ่านประเทศจีน ประเทศลาว ประเทศพม่า ประเทศไทย ประเทศกัมพูชา และประเทศเวียดนาม มีความยาวทั้งหมด 4,880 กิโลเมตร พื้นที่ลุ่มน้ำ 795,000 ตารางกิโลเมตร

แม่น้ำลีนา (Lena River)


เป็นหนึ่งในสามแม่น้ำใหญ่ในไซบีเรีย อีกสองแม่น้ำคือแม่น้ำอ็อบ และแม่น้ำเยนีเซย์ แม่น้ำลีนาไหลลงสู่มหาสมุทรอาร์คติก

แม่น้ำอามูร์ (Amur River)


แม่น้ำอามูร์ หรือ แม่น้ำเฮย์หลงเจียง เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับ 10 ของโลก มีต้นกำเนิดระหว่างรัสเซียตะวันออกกับตะวันออกเฉียงเหนือของจีน (ใจกลางแมนจูเรีย)

แม่น้ำคองโก (Congo River)


แม่น้ำคองโก หรือในอดีตจะเรียกกันว่าแม่น้ำซาอีร์ เป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกกลางของแอฟริกา และเป็นแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลกโดยมีความลึกประมาณ 220 เมตร มีความยาวรวม 4,700 กม และเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของโลกวัดจากปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมา

แม่น้ำปารานา (Paraná River)


เป็นแม่น้ำที่อยูใจกลางทวีปอเมริกาใต้ ไหลผ่านประเทศบราซิล ปารากวัย และอาร์เจนติน่า ยาวเป็นอันดับสองรองจากแม่น้ำอเมซอนในบรรดาแม่น้ำของทวีปอเมริกาใต้

แม่น้ำอ็อบ (Ob River)


แม่น้ำอ็อบ ยาวประมาณ 3,650 กิโลเมตร เกิดจากเทือกเขาอัลไตไหลผ่านไซบีเรีย ไปลงทะเลคารา ในมหาสมุทรอาร์กติก แม่น้ำอ็อบเป็นแม่น้ำที่ให้ประโยชน์น้อย เพราะน้ำในแม่น้ำนี้เป็นน้ำแข็งเสียอย่างน้อยปีละประมาณ 6 เดือน

แม่น้ำเหลือง (แม่น้ำหวง, แม่น้ำฮวงโห Yellow River)


เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสองของประเทศจีน รองจากแม่น้ำแยงซี มีความยาว 5,464 กิโลเมตร และมีความยาวเป็นอันดับที่หกของโลก

แม่น้ำเยนีเซย์ (Yenisei River)


เป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาแม่น้ำที่ไหลลงมหาสมุทรอาร์ติค มีต้นกำเนิดจากมองโกเลีย ไหลลงสู่อ่าวเยนีเซย์ ในทะเลคารา โดยผ่านพื้นที่กว้างในไซบีเรีย

แม่น้ำมิสซิสซิปปี (Mississippi River)


แม่น้ำมิสซิสซิปปี อยู่ตอนกลางของสหรัฐอเมริกา เป็นเครือข่ายสาขาแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ มีความยาวทั้งสิ้น 3,730 กม

แม่น้ำแยงซี, แยงซีเกียง (Yangtze River)


แม่น้ำแยงซียาวประมาณ 6,300 กิโลเมตร มีต้นกำเนิดจากมองโกเลีย เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของประเทศจีน และของทวีปเอเชีย และเป็นอันดับสามของโลก มีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็งในที่ราบสูงชิงไห่ - ทิเบต ไหลจากทิศตะวันตกสู่ทิศตะวันออกผ่านตอนกลางของจีน ไปลงทะเลทะเลจีนตะวันออกที่เซี่ยงไฮ้

แม่น้ำอเมซอน (Amazon River)



แม่น้ำอเมซอน เป็นแม่น้ำในทวีปอเมริกาใต้ มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเปรู และไหลออกมหาสมุทรที่ประเทศบราซิล มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 6,400 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากแม่น้ำไนล์ และยังเป็นแม่น้ำที่มีปากแม่น้ำกว้างที่สุดในโลก

แม่น้ำไนล์ (Nile River)


แม่น้ำไนล์ เป็นแม่น้ำในทวีปแอฟริกา เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก โดยถูกค้นพบแหล่งต้นน้ำใหม่ที่ทำให้มีความยาวกว่าเดิมเมื่อไม่นานมานี้ โดยแม่น้ำไนล์มีความยาวทั้งสิ้น 6,695 กิโลเมตร ไหลผ่านทางตอนเหนือไปตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ผ่าน 10 ประเทศคือ ซูดาน, ซูดานใต้, บุรุนดี, รวันดา, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, แทนซาเนีย, เคนยา, เอธิโอเปีย, ยูกันดา และอียิปต์

ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)

ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)

ประเทศจีนที่ซึ่งประวัติศาสตร์และตำนานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกเรื่องจริงออกจากนิทานในดินแดนที่สสารไม่จีรัง เหมือนหมอกยามเช้าในหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง กองหินมหึมาที่เรียกว่ากำแพงเมืองจีน โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทันทีทันใดเหมือนมังกรหลับใหล หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณและโลกปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของมันถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าขานของเหตุการณ์นองเลือดและความบ้าคลั่ง มันถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยาวที่สุดในโลก มังกรหินขนาดมหึมาที่ขนาดของมันไม่เพียงแต่น่าเกรงขาม แต่ยังเป็นแนวคิดของมันเอง มันเป็นการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความอัปยศ ความขัดแย้งของชาติ เป็นหลักการทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของประเทศจีนสมัยใหม่ด้วย


กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน เขากล่าวว่า "ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่" แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่ มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน

ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้ เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน

ในปี 1908 นักเขียนและนักผจญภัย วิลเลี่ยม เอดการ์ กิล (William Edgar Geil) กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางตลอดแนวกำแพง ข้อสังเกตของเขาเป็นคำเชื้อเชิญมากกว่าคำชมเชย และคำประกาศอันน่าอับอายของเขาถูกนำมากล่าวซ้ำจนถึงปัจจุบันว่า "กำแพงเมืองจีนคือสัญลักษณ์แห่งยุคทองของจีน มันยาว 1,700 ไมล์ และเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์" ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นกำปพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์ เรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไปตอนที่มีการขึ้นสู่อวกาศ และมันก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักบินอวกาศ ในหมู่คนที่เคยออกไปอยู่ในอวกาศว่า คุณไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศได้ และนักบินอวกาศมักจะบอกว่า มีคนไม่น้อยที่ถามคำถามนี้ แต่เรื่องเล่าอื่นๆยังคงอยู่และแทบไม่เคยได้รับการยืนยันจากวิทยาศาสตร์

มีการคำนวณทุกชนิดในศตวรรษที่ 19 ออกมาว่า คุณเอาหินทุกก้อนจากกำแพงมาเรียงใหม่ได้รอบเส้นศูนย์สูตร หรือว่ามันมีมวลเท่ากับบ้านทุกหลังในอังกฤษและสก็อตแลนด์ และเรื่องเหล่านี้ก็อยู่มาจนถึงในศตวรรษที่ 20 ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันมีกำแพงเมืองจีนจริงหรือไม่ มันเต็มไปด้วยความสงสัยว่ากำแพงเมืองจีนเคยปรากฏอยู่ในฐานะแนวป้องกันชิ้นเดียวยาวต่อเนื่องข้ามภาคเหนือของประเทศจีน มันน่าจะเป็นกำแพงไม่ต่อเนื่องหลายชุดที่สร้างในเวลาต่างๆ กัน โดยผู้คนต่างๆ กัน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ กัน แล้วนำมาต่อกัน ปล่อยให้ผุพัง สร้างใหม่ และขยายออกในช่วงราวๆ 2,000 ปี เมื่อคนคิดถึงกำอพงเมืองจีน พวกเขาคงจะคิดถึงสิ่งก่อสร้างใหญ่โต ยาวต่อเนื่องกันหลายพันไมล์ข้ามประเทศจีน แน่นอนว่าความจริงมันต่างจากนั้นมาก กำแพงถูกสร้างเป็นชิ้นๆ ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพังทางโบราณคดีเลย และในพื้นที่ห่างไกลของจีนส่วนใหญ่มันก็ถูกทับถมไปแล้ว

ส่วนของกำแพงที่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิงที่ยังเหลืออยู่ ส่วนที่พวกเขาสร้างในศตวรรษที่ 16 นั้นน่าทึ่งมาก มันเป็นกำแพงอิฐตันอยู่บนภูเขาสูงชันพร้อมด้วยหอสังเกตการณ์ และมันก็ยากมากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาสร้างมันจนเสร็จได้อย่างไร สำหรับขนาดอันใหญ่โตและมิติอันหนักแน่นของมัน กำแพงเมืองจีนยังคงมีปริศนาซ่อนอยู่ มันไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างทั่วถึง และแม้แต่ในปัจจุบัน ไม่มีใครแน่ใจถึงความยาวและเส้นทางแท้จริงของมัน ประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองจีนที่ตกมาถึงเรา คือการผสมผสานอันแปลกประหลาดของความจริงและจินตนาการ หลักฐานอันหนักแน่นเพียงเล็กน้อยหลอมรวมกับเรื่องเล่าขานและตำนาน และมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกมันออกจากกัน

ไม่เคยมีอารยธรรมใดที่ดูจะนิยมการสร้างกำแพงมากกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกสมัยยุคหินกลางหรือนีโอลีธิก (Neolethics) ส่วนสำคัญของเมืองถูกล้อมรอบด้วยคันดินถม อันที่จริงแล้วคำว่าชางที่แปลว่าเมืองในภาษาจีนยังแปลว่ากำแพงอีกด้วย กำแพงเมืองจีนคือกำแพงซ้อนกำแพง กำแพงเมืองจีนเป็นส่วนปกป้องกำแพงที่ซ้อนกันอยู่ทั้งปวง รวมถึงกำแพงของบ้านพักอาศัยด้วย กำแพงเป็นส่วนลึกล้ำทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมจีน พวกเขาสร้างกำแพงล้อมรอบบ้านและวัด เทพเจ้าของกำปพงและอาคารมีอำนาจเหนือขอบเขตความเป็นและความตาย คนจีนสร้างกำแพงเพื่อระบุขอบเขตของพวกตน เพื่อป้องกันผู้แปลกหน้าจากที่ห่างไกล กำแพงในบางแห่งอาจมีความสำคัญในบางพิธีกรรมด้วย ประเทศจีนสมัยก่อนเป็นอาณาจักรที่ปราศจากความสงบ การที่ชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือและอาณาจักรข้างเคียงที่ตื่นตัวทุกครั้งเมื่อมีสัญญาณของความอ่อนแอ กำแพงจึงถูกมองว่าเป็นความจำเป็นทางยุทธศาสตร์

จนสิ้นศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล บริเวณที่กลายเป็นประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างรัฐที่ยาวนานถึง 500 ปี มันประกอบด้วยรัฐที่ปกครองด้วยระบบขุนนางและรัฐเล็กๆ ที่ปกครองด้วยระบบศักดินาที่มารวมตัวกันหลายแห่งมารวมตัวกันอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซึ่งมีอำนาจทางจิตใจและพิธีกรรมมากกว่าในทางปฏิบัติ จนถึงกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เกียรติยศและพันธไมตรีที่มอบให้จักรพรรดิต้องหลีกทางให้กับความเห็นแก่ตัวและการเข่นฆ่า มันคือช่วงสงครามระหว่างแคว้นที่ชาวจีนเริ่มสร้างกำแพงขึ้นอย่างจริงจัง แคว้นฉีสร้างกำแพงขึ้นตามแนวชายแดนด้านใต้เพื่อป้องกันศัตรูจากแคว้นฉู แคว้นฉูสร้างกำแพงตามแนวชายแดนด้านเหนือเพื่อป้องกันตนเองจากแคว้นฉิน แคว้นเยนและแคว้นเฉาสร้างกำแพงเพื่อป้องกันตนเองจากพวกเร่ร่อนทางเหนือและจากกันและกัน กำแพงมีความยาวทั้งหมดประมาณ 2,800 ไมล์ กำแพงถูกสร้างขึ้นตามแนวชายแดนของแคว้นต่างๆ ที่ทำสงครามกัน

ในยุคหนึ่งมีแคว้นต่างๆ ถึง 120 แคว้น เมื่อถึงช่วงสูงสุดของสมัยสงครามระหว่างแคว้น และมีเพียง 7 แคว้นที่เหลืออยู่ มีการทำลายแคว้นเล็กๆ มากมายทั่วทั้งประเทศจีน ที่หลงเหลือมาจากสมัยสงครามระหว่างแคว้นคือ ปรัชญาชีวิตหลักของจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่มีผู้มีความรู้พยายามคิดว่า สิ่งใดผิดพลาดและจะแก้ไขมันอย่างไร ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ขงจื๊อเห็นถึงความจำเป็นในการเคารพกฎและความสำคัญระหว่างมนุษย์และสวรรค์อย่างเคร่งครัดและเสียใจกับการมีสงครามและกำแพง ลัทธิกลุ่มหนึ่งคือลัทธิเต๋าค้นพบคำตอบในธรรมชาติและเชื่อว่า ทุกสิ่งมีสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาพลังหยินและหยาง เพราะฉะนั้นการดิ้นรนและสงครามจึงเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าปรัชญาเหล่านี้กลายเป็นนโยบายระหว่างรัฐ มันคงเป็นไปได้ยากที่กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมา

แต่แคว้นฉินใช้ระบอบการปกครองเบ็ดเสร็จด้วยกฎหมายการลงโทษและการให้รางวัล มีเรื่องเล่าที่ดีมากเกี่ยวกับคนดูแลมงกุฏและคนดูแลเสื้อคลุม ในคืนหนึ่งที่ฮ่องเต้หลับอยู่หน้าบริเวณเตาผิง คนดูแลมงกุฏจึงนำเสื้อมาคลุมให้ท่าน ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมาถามว่า ใครห่มเสื้อคลุมให้ฉัน ผู้ดูแลมงกุฏก็ตอบว่าข้าเอง แล้วฮ่องเต้ก็สั่งให้นำตัวไปประหารทันทีเพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา เรื่องเหล่านี้เป็นแนวทางของกองทัพฉินในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล พวกเขาเริ่มเคลื่อนกำลังข้ามแผ่นดินจีนผนวกเอาแคว้นต่างๆ เข้าไปเหมือนหนอนไหมกัดกินใบหม่อนตามบันทึกนักประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น 246 ปี ก่อนคริสตกาล เหตุการณ์สำคัญก็เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กชายอายุ 13 ก้าวเข้าสู่บัลลังค์ของแคว้นฉิน เขาเป็นที่รู้จักในนามของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิคนแรกของประเทศจีน ตำนานกล่าวว่าเขาบินไปยังดวงจันทร์ด้วยพรมวิเศษในความฝัน เมื่อมองลงมาเขาเห็นอาณาจักรของเขามีภัยคุกคามจากศัตรูมากมาย เขาปลุกบรรดาที่ปรึกษาขึ้นมาแล้วบอกว่า ข้าจะสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่

ในปี 1974 ชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำพบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าทึ่ง มันคือหลุมฝังตุ๊กตากระเบื้องพลทหาร พลธนู รถม้าศึกและม้า ทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าของจริงและแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันดูราวกับว่ามีต้นแบบมาจากของจริง ทุกวันนี้ตุ๊กตามากกว่า 6,000 ตัวถูกขุดขึ้นมา กองทัพกระเบื้องเคลือบที่ถูกออกแบบให้สู้ศึกเพื่อฮ่องเต้ในโลกหน้า หรือบางทีเพื่อคุ้มกันการหลับใหลชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรของพระองค์ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นหลุมฝังพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน หรือที่ขนานนามกันว่าปฐมกษัตริย์ ตามบันทึกที่ตกทอดสู่ราชวงศ์ต่อมา การขึ้นครองราชย์ของจิ๋นซีฮ่องเต้มีที่มาค่อนข้างคลุมเครือ พระมารดาของพระองค์เป็นนางระบำสาวเสน่ห์แรงและเป็นภรรยาน้อยของพ่อค้าเร่ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอกับความร่ำรวย ขณะที่เข้ามาค้าขายในพระราชวัง พ่อค้าขอให้เธอเต้นรำกับรัชทายาทของราชวงค์ฉิน เมื่อพระองค์ตกหลุมรักเขาก็ยกเธอให้พระองค์ โดยไม่เคยเอ่ยปากเลยว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเขาอยู่ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ไม่นาน แล้วจากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็สืบทอดบัลลังค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย

ขณะที่ฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้น พระองค์เริ่มแสดงอุปนิสัยแปลกๆ และเกิดอาการวิตกกังวล พระองค์สั่งเนรเทศพระมารดา และสั่งพระบิดาอดีตพ่อค้าที่ว่าราชการแทนในวัยเยาว์ของพระองค์ให้ฆ่าตัวตาย พระองค์เรียกโหร หมอผี และที่ปรึกษาเจ้าเล่ห์ ไร้ศีลธรรมหลายคนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิด ประมาณ 234 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ส่งกองทัพออกไปเพื่อพิชิตแผ่นดินจีนที่บรรพบุรุษได้เริ่มไว้ เมื่อเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็มีแคว้นอิสระแยกตัวออกมา และท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองแคว้น จนเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศจีนก็รวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแคว้นฉินทำลายแคว้นฉีจนได้ จิ๋นซีฮ่องเต้ประกาศว่าตนคือจักรพรรดิของแผ่นดินใหม่ที่พระองค์ตั้งชื่อว่าจีน ตามราชวงค์ของพระองค์ และรีบรวมอำนาจอย่างรวดเร็ว จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างอาณาจักรขึ้น ซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน พระองค์สร้างระบบถนนภายในประเทศ พระองค์สร้างมาตรฐานให้กับอักษรจีน พระองค์รวมสกุลเงินจีนต่างๆเป็นหนึ่งเดียว พระองค์สร้างมาตรฐานให้อาณาจักร พระองค์ทำให้มันเป็นเอกภาพ พระองค์ยังสนใจเรื่องเวทมนต์ การเล่นแร่แปรธาตุอย่างเหลือเชื่อ และเชื่อว่าพระองค์สามารถเอาชนะความตายและเป็นอมตะได้ พระองค์อยากเป็นคนครองโลก

จิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งมาตรฐานการชั่ง ตวง วัด ด้วยระบบที่มีพื้นฐานอยู่บนเลขหก อันเป็นเลขมหัศจรรย์ของพระองค์ พระองค์ประกาศว่าสีดำคือสีที่มีพลังลึกลับของพระองค์เป็นสีทางการสำหรับเสื้อผ้าและธงของอาณาจักรและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และออกพระราชบัญญัติว่าราชวงศ์ฉินจะปกครองตลอดไป จากนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยสร้างกำแพง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าความคิดของการสร้างกำแพงเมืองจีนเข้ามาอยู่ในพระทัยของจักรพรรดิเมื่อใด หรือทำไมพระองค์ตัดสินพระทัยสร้างมัน ตำนานหนึ่งเล่าว่าหนึ่งในโหรของพระองค์ทำนายว่าราชวงค์ของพระองค์จะล่มสลายด้วยฝีมือของเผ่าคนเถื่อนจากภาคเหนือ ส่วนเรื่องอื่นก็เกี่ยวกับความฝัน ลางบอกเหตุ และความตั้งพระทัยของจักรพรรดิที่จะสร้างอนุสรณ์ถึงความรุ่งเรืองของพระองค์เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส

จักรพรรดิเนโร ที่โหดก็เพราะรัก

จักรพรรดิเนโร ที่โหดก็เพราะรัก
ถ้าจะบอกว่า "เนโรจอมโหด " หรือจักรพรรดิลูเซียส คลอดิอุส เนโร เลือกเกิดผิดเวลาก็คงจะได้ เพราะยุคทองของโรมมีตั้งมากมาย แต่เนโรกลับไพล่มาเกิดในสมัยที่โรมอยู่ใต้การปกครองของจักรพรรดิคาลิกูล่า ต้นแบบความเหี้ยมที่โลกไม่เคยลืม ความกระหายเลือดทำให้คาลิกูล่าไม่เคยไว้ใจใคร และพร้อมจะฆ่าทุกคนที่พระองค์สงสัยว่ากำลังวางแผนชิงบัลลังก์ ไม่เว้นแม้แต่ อะฮีโนบาบัส น้องเขยของตัวเอง


ปฏิบัติการฆ่าอะฮีโนบาบัสทำกันสดๆ ต่อหน้าลูกเมีย ซึ่งได้แก่อะกริปปิน่าและเนโร น้องสาวและหลานชายของคาลิกูล่า ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเพียงเด็กชายวัย 6 ขวบ จากนั้นคาลิกูล่าก็ส่งอะกริปปิน่าไปเป็นทาสบนเกาะแห่งหนึ่ง ส่วนเด็กน้อยเนโรก็ถูกเนรเทศไปใช้แรงงานในถิ่นทุรกันดารอีกแห่ง เนโรจักรพรรดิผู้มั่งคั่ง จึงเติบโตมาไม่ต่างจากขอทาน ต้องอดมื้อกินมื้อ ขาดไร้ไปเสียทุกสิ่งแม้แต่สิทธิความเป็นคน

เนโรคงได้เป็นทาสไปจนแก่ ถ้าคาลิกูล่าไม่บังเอิญโหดเกินงามไปหน่อย จนแม้แต่ขุนศึกคู่ใจก็ยังทนดูไม่ไหว ต้องจัดการปฏิวัติรัฐประหารส่งเสด็จซีซาห์ไปเหี้ยมต่อในนรก แล้วยกเอาคลอดิอุส เชื้อพระวงศ์ดวงแข็งที่อุตส่าห์รอดตายจากการไล่ฆ่าของคาลิกูล่ามาได้ขึ้นเป็นซีซาห์แทน หลังจากครองราชย์ คลอดิอุสก็คืนฐานะให้อะกริปปิน่าและเนโร สองแม่ลูกจึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง แต่อะกริปปิน่านั้นไม่ได้เป็นน้องสาวของคาลิกูล่าเฉพาะร่างกาย นางยังรับเอานิสัยคดในข้องอในกระดูก ทะเยอทะยานบ้าอำนาจของพี่ชายมาครบถ้วน


อะกริปปิน่าเชื่อมั่นว่าผู้หญิงอย่างนางคู่ควรกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น อย่างเช่นตำแหน่งราชินีแห่งโรม เป็นต้น ถึงแม้คลอดิอุสจะมีชายาอยู่แล้ว แต่งูพิษระดับน้องสาวคาลิกูล่า เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่จัดฉากนิดหน่อย อะกริปปิน่าก็สามารถทำให้คลอดิอุสเชื่อว่ามเหสีคบชู้ได้อย่างง่ายดาย และหลังจากคลอดิอุสประหารมเหสีคู่ทุกข์คู่ยากทิ้งไป อะกริปปิน่าก็ใช้เต้าไต่ พาตัวขึ้นไปเป็นราชินีคู่ใจของกษัตริย์เฒ่าได้ในเวลาไม่นานนัก

พอแผนแรกสำเร็จ เป้าหมายต่อไปของอะกริปปิน่าก็คือการยกเนโรขึ้นเป็นรัชทายาทต่อจากคลอดิอุส ตอนแรกอะกริปปิน่าเข้าใจว่าคลอดิอุสผู้เฒ่าซึ่งนอนกอดเมียแก่มานาน จะหลงเนื้อหนังตึงเปรี๊ยะของเธอจนยอมให้จูงจมูกตามใจชอบ แต่ปรากฏว่าคลอดิอุสไม่ได้เลอะเทอะขนาดนั้น ถึงมเหสีวัยคราวลูกจะงัดจริตมารยาออกมาโอ้โลมปฏิโลมสุดฝีมือ พระองค์ก็ไม่ยอมตั้งเนโรเป็นรัชทายาท ซ้ำยังทำพินัยกรรมยกบัลลังก์ให้เจ้าชายบริทานิคัสซึ่งเหมาะสมกว่าอีกด้วย เมื่อผัวไม่อยู่ในโอวาท อะกริปปิน่าก็ไม่รู้ว่าจะเก็บคลอดิอุสไว้ทำไม ด้วยเหตุนี้วันหนึ่งระหว่างกำลังเสวยพระกระยาหาร คลอดิอุสก็เกิดแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกจนสิ้นพระชนม์ เนื่องจากเสวย "เห็ดพิเศษ" ของราชินีอะกริปปิน่าเข้าไป จากนั้นอะกริปปิน่าก็ปลอมพินัยกรรม แต่งตั้งลูกชายเป็นซีซาห์องค์ต่อไปทันที

เนโรซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าบัลลังก์ของตนได้มาอย่างไร ตั้งพระทัยจะปกครองให้สงบร่มเย็นเหมือนที่คลอดิอุสเคยทำ แต่ก่อนจะลงมือจัดการงานหลวง เนโรก็ขอสะสางงานราษฎร์เสียก่อน ด้วยการไปรับเอ็ตเต้ หญิงคนรักที่รักกันมาตั้งแต่ตอนเป็นทาสมาเป็นมเหสี ท่ามกลางความไม่พอใจของอะกริปปิน่าซึ่งแสดงอย่างโจ่งแจ้งว่ารังเกียจกำพืดโลโซของลูกสะใภ้ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ทำให้แม่ลูกขัดแย้งกันรุนแรงเท่ากับการที่อะกริปปิน่าพยายามเปลี่ยนเนโรให้เป็นซีซาห์หุ่นเชิด เพราะถือว่าตัวเองเป็นคนชิงบัลลังก์มาใส่พานถวายให้ลูกชาย โดยลืมไปว่าเลือดในอกของนางก็ย่อมจะแข็งกร้าวไม่ยอมใครเหมือนๆ กับนางนั่นเอง สองแม่ลูกจึงต้องชิงไหวชิงพริบหักเหลี่ยมโหดกันอยู่เนืองๆ นับตั้งแต่เนโรครองราชย์เป็นต้นมา

จุดแตกหักมาถึงเมื่ออะกริปปิน่าขู่เนโรว่า หากลูกชายไม่ยอมปล่อยให้นางได้เป็นซูสีไทเฮาเวอร์ชั่นโรมันล่ะก็ นางจะเอาพินัยกรรมฉบับจริงของคลอดิอุสมาเปิดโปง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเนโรก็คงไม่แคล้วหัวขาด และบัลลังก์ก็จะต้องกลับไปเป็นของ
บริทานิคัสทายาทตัวจริง คำขู่นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของฉายา "เนโรจอมโหด" อันลือลั่น เพราะเมื่อหลังชนฝาแล้วคนอย่างเนโรสามารถทำได้ทุกอย่าง แรกสุดเขาเชิญบริทานิคัสมากินเลี้ยง แล้วจัดการเสิร์ฟเห็ดพิเศษชนิดเดียวกับที่คลอดิอุสเคยเสวย ไม่นานบริทานิคัสก็มีอาการขี้เกียจหายใจขึ้นมาอีกคน ทิ้งบัลลังก์กรุงโรมไว้ในกำมือเนโรโดยสมบูรณ์

เสร็จจากโปรเจ็คท์บริทานิคัส เนโรก็พุ่งเป้าไปที่ขวกหนามชิ้นสำคัญที่สุด นั่นก็คือพระมารดา เนโรจัดการสั่งให้คนต่อเรือลำงามไปถวายอะกริปปิน่า แต่พอนางออกไปท่องเรือ เรือเจ้ากรรมก็รั่วอย่างกับมีใครไปเจาะรูไว้ อย่างไรก็ตามอะกริปปน่านั้นอึดเกินหญิง ยังอุตส่าห์ว่ายน้ำเข้าฝั่งเอาชีวิตรอดจนได้ เนโรจึงส่งทหารไปรับเสด็จพระมารดากลับมา เป็นเหตุให้อะกริปปิน่าประชวรพระวาโยสิ้นพระชนม์ระหว่างทางด้วยฝีมือคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

เรื่องนี้นักจิตวิทยาวิเคราะห์กันว่า เนโรนั้นพลัดพรากจากอกแม่ไปตั้งแต่เด็ก พอได้กลับมาอยู่ด้วยกันก็อยากได้ความรักความอบอุ่นเป็นการชดเชย แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความหลอกลวงจากอะกริปปิน่า ความผิดหวังโกรธแค้นมหาศาลจึงกดดันซีซาห์หนุ่มจนทนไม่ไหว ต้องทำมาตุฆาตทั้งๆ ที่ในใจก็ยังรักแม่อยู่ นับจากอะกริปปิน่าตายไป เนโรจึงต้องอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดเวลา ทำให้จักรพรรดิที่เคยตั้งพระทัยว่าจะทำสิ่งดีๆ ให้บ้านเมือง กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เนโรเริ่มคลุ้มคลั่งเลิกทำงานการ มุ่งแต่จะหาความสุขใส่ตัว เขาเขี่ยเอ็ตเต้ทิ้งแล้วไปคว้าซาบิน่า พ็อพเพียร์ สาวไฮโซชื่อเสียงฉาวโฉ่มาเป็นมเหสีแทน เนื่องจากพ็อพเพียร์มีหน้าตาคล้ายอะกริปปิน่า แต่อยู่กินกันได้ไม่นานเนโรก็เบื่อพ็อพเพียร์อีก เลยหันไปคว้าทหารหนุ่มหน้าสวยคล้ายพระมารดามาตอน แล้วให้แต่งตัวเป็นหญิงกลายเป็นมเหสีจำเป็นต่อไป ครั้นสิ้นเยื่อใยในรสสวาทเนโรก็โละทหารดวงซวยทิ้งแล้วไปอภิเษกกับทาสหนุ่มอีกคนชื่อ ไพธากอรัส

เนโรมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ตนเองมีพรสวรรค์ทางดนตรีชนิดที่หาใครในแผ่นดินทาบไม่ได้ เมื่อก่อนตอนเป็นทาสก็ไม่มีใครสนใจฟังเนโรร้องเพลง พอได้เป็นพระราชาแล้ว ซีซาห์เนโรจึงจัดงานเลี้ยง พอประชาชนทั้งเมืองนึกว่าจะได้ดื่มฟรีกินฟรีก็ดีใจ หลั่งใหลกันมามืดฟ้ามัวดิน จากนั้นเนโรก็สั่งให้ทหารปิดประตูวัง แล้วเปิดฉากแสดงดนตรีที่นิพนธ์ขึ้นเอง ใครอยากฟังไม่อยากฟังก็ต้องทนอยู่ในนั้นจนจบงาน

เชื่อกันว่าเนโรคงจะเคยมีเหตุแค้นเคืองอะไรสักอย่างกับชาวคริสต์ เพราะความสำราญของซีซาห์มักเป็นความเจ็บตัวของคริสเตียนทั้งสิ้น เช่น โปรดให้เอาหญิงสาวคริสเตียนมาสู้กับวัวกระทิง จากนั้นก็จะนั่งยิ้มกริ่มชมวัวดุแทงสาวๆ เนื้ออ่อนจนพรุนไปทั้งร่าง บางทีนึกครึ้มขึ้นมาก็ให้จับคริสเตียนมาต้มในน้ำเดือด หรือเอาน้ำมันมาราดแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็นในชื่อ "คบเพลิงมนุษย์" เป็นต้น

ในปี ค.ศ.64 เกิดไฟไหม้ขึ้นที่ร้านขายวัตถุไวไฟแห่งหนึ่งในกรุงโรม ก่อนจะลุกลามต่อไปทั่วเมืองกลืนกินบ้านเมืองและชีวิตผู้คนไปมากมาย บังเอิญว่าก่อนหน้าวันวิปโยคไม่นานนัก เนโรได้สั่งให้เวนคืนที่ดินจำนวนหนึ่งมาสร้างพระราชวัง แต่ก็ถูกประชาชนต่อต้าน พอมาเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมา ชาวบ้านก็เริ่มสงสัยว่าชะรอยซีซาห์นี้ล่ะที่เป็นตัวการเผาเมือง เสียงนินทานี้ไม่ใช่กระซิบกันเบาๆ แค่สองสามคน แต่ดังไปทุกหย่อมหญ้า เนโรจึงต้องแก้ข้อครหาด้วยการโบ้ยว่าชาวคริสต์ต่างหากที่คิดกบฏเผากรุงโรม จากนั้นเนโรก็สั่งล้างบางชาวคริสต์ครั้งใหญ่ ด้วยการจับไปเป็นเหยื่อให้สัตว์ป่าฉีกเนื้อกินต่อหน้าผู้ชมในสนามโคลอสเซียม หรือจับมาประหารด้วยวิธีพิสดารต่างๆ สุดแต่จะนึกได้

นับวันจักรพรรดิเนโรก็ยิ่งกระหายเลือดจนกู่ไม่กลับทำให้เดือดร้อนกันไปทั้งเมือง สภาสูงของโรมจึงแอบลงมติลับตัดสินกันว่าซีซาห์ทรงเป็น "ศัตรูของประชาชน" ต้องโทษประหารชีวิต พร้อมกับยกเจ้าชายกัลบ้า เชื้อพระวงศ์อีกองค์ขึ้นเป็นซีซาห์แทน พอเนโรรู้ข่าวว่าทหารกำลังมาจับตนไปฆ่าอย่างทรมานเหมือนที่ทำกับคนอื่นไว้ ก็หมดกำลังใจจะสู้ จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายสิ้นพระชนม์ไป ทั้งๆ ที่อายุเพียง 30 ปีเท่านั้น

ชีวิตของเนโรถูกนักจิตวิเคราะห์ในยุคหลังมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะตอนครองราชย์ใหม่ๆ ทรงตั้งพระทัยว่าจะเป็นกษัตริย์ที่ดีของประชาชน เนโรจะไม่ต้องกลายเป็นจักรพรรดิโหดเลย ถ้าไม่เป็นเพราะความผิดหวังที่ได้รับจากอะกริปปิน่า ผู้ทำลายความรักความศรัทธาของลูกชายด้วยมือของนางเอง

มูลเหตุของการแตกแยกนิกายของพุทธศาสนา

มูลเหตุของการแตกแยกนิกาย

มูลเหตุของการแตกแยกนิกายมี ๒ ประเด็นหลัก
. เพราะการปฏิบัติพระวินัยไม่สม่ำเสมอเหมือนกันเรียกว่า ความวิบัติแห่งศีลสามัญญตา
. เพราะทัศนะในหลักธรรมอธิบายไม่ตรงกันเรียกว่า ความวิบัติแห่งทิฏฐิสามัญญตา
มูลเหตุหลัก ๒ ประการนี้มีความสำคัญในการทำให้เกิดความคิดความเข้าใจ การตีความหลักธรรมแตกต่างๆกันไปจนกลายเป็นนิกายต่างๆ พุทธปรินิพพาน ยังไม่ถึง ๑๐๐ ปียังไม่มีการแบ่งแยกนิกายชัดเจน
หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วประมาณ๑๐๐ ปีพระพุทธศาสนาก็เริ่มมีเค้าแตกแยกในด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยจนมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็แตกแยกกันออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ ๒ นิกาย คือมหายานกับหีนยาน
มหายาน เป็นนิกายของภิกษุฝ่ายเหนือของอินเดียบางทีเรียก"อุตรนิกาย"(นิกายฝ่ายเหนือ) บ้าง "อาจารยวาท" บ้าง มีจุดมุ่งสอนให้ระงับดับกิเลสทั้งยังได้แก้ไขคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้ผันแปรไปตามลำดับ พวกนี้เรียกลัทธิของตนว่า"มหายาน" แปลว่า"ยานใหญ่" อาจพาให้ข้ามวัฏสงสารคือ ทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด นิกายนี้เจริญรุ่งเรื่องในประเทศทิเบต จีน มองโกเลีย ญี่ปุ่นเกาหลี และเวียดนาม
หีนยาน เป็นนิกายของภิกษุฝ่ายใต้ของอินเดียบางทีเรียก "ทักษิณนิกาย" (นิกายฝ่ายใต้) คือ "เถรวาท" มุ่งสอนให้พระสงฆ์ปฏิบัติดับกิเลสของตนเองก่อนและห้ามเปลี่ยนแลงแก้ไขพระธรรมวินัยอย่างเด็ดขาด คำว่า "หีนยาน" เป็นคำที่มหายานตั้งให้ "ยานเล็ก" ภิกษุฝ่ายใต้เรียกตัวเองว่า"เถรวาท"หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามพุทธบัญญัติ นิกายนี้มีผู้นับถือมากในประเทศศรีลังกาพม่า ลาว ไทย และกัมพูชา

วิกิพีเดีย

ราชินีสุดโหดในประวัติศาสตร์"พระนางศุภยาลัต" "ฆ่า" ได้แม้กระทั่งพี่น้องตัวเอง !

ราชินีสุดโหดในประวัติศาสตร์"พระนางศุภยาลัต" "ฆ่า" ได้แม้กระทั่งพี่น้องตัวเอง !





 พระนางศุภยาลัต ประสูติ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2402 สิ้นพระชนม์ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 พระราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อลองพญา ประสูติแด่พระเจ้ามินดง กับพระนางชินพยูมาชิน (Hsinbyumashin ; นางพญาช้างขาว หรือที่รู้จักกันในนามพระนางอเลนันดอ) ด้วยความทะเยอทะยานของพระนางศุภยาลัต พระองค์จึงได้เป็นพระราชินีในพระเจ้าธีบอกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งพม่า

>>>พระประวัติ
พระนางศุภยลัต เป็นราชบุตรีของพระเจ้ามินดง กับมเหสีรองคือพระนางอเลนันดอ พระองค์มีพระนามจริงว่า ศรีสุริยประภารัตนเทวี (Sri Suriya Prabha Ratna Devi) พระนางศุภยาลัตมีพระเชษฐภคินีคือ พระนางศุภยาคยี และมีพระขนิษฐาคือเจ้าหญิงศุภยากเล อุปนิสัยของพระนางศุภยลัตมีลักษณะเหมือนพระราชมารดา คือ มีความทะเยอทะยาน เจ้ากลอุบาย ใจร้าย ขี้หึง เชื้อสายดั้งเดิมเป็นสามัญชน เนื่องจากยายของพระนางเป็นแม่ค้าขายของในตลาดมาก่อน โดยพระเจ้าบาจีดอ (พระเจ้าจักกายแมง) รับเอามาเป็นนางสนมตั้งแต่ครั้งพระเจ้าบาจีดอยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชาย

พระเจ้ามินดง พระราชบิดาของพระนาง มีเจ้าฟ้านยองยาน กับเจ้าฟ้านยองโอ๊กที่พอจะมีความสามารถขึ้นครองราชย์ เพราะทั้งสองพระองค์เรียนจบโรงเรียนฝรั่ง มีความฉลาดและเข้มแข็งพอสมควร แต่พระนางอเลนันดอและขุนนางเห็นว่าจะคุมได้ยาก จึงเลือกเจ้าชายสีป่อที่อ่อนแอกว่า โดยบวชเป็นพระมาตลอด นิสัยเชื่องช้า หัวอ่อน และพระเจ้ามินดงเองก็เกรงพระทัยมเหสีรอง จึงไม่ได้ตั้งเจ้าฟ้าพระองค์ใดเป็นรัชทายาทโดยเด็ดขาด


เมื่อพระเจ้ามินดงทรงพระประชวรหนัก พระนางอเลนันดอจึงเรียกพวกเสนาบดีประชุมในที่รโหฐานและประกาศตั้งเจ้าฟ้าสีป่อเป็นรัชทายาท ไล่จับกุมบรรดาเจ้าฟ้าและขุนนางในฝ่ายอื่นๆที่ไม่ใช่ของตัวเองใส่คุกไปมากมาย ต่อมาเมื่อพระเจ้ามินดงสวรรคตแล้ว ก็ให้เจ้าฟ้าสีป่อขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกรุงพม่า พอขึ้นครองราชย์ได้พระมเหสีและมารดากับกลุ่มขุนนางก็จัดการสังหารบรรดาพี่น้องตัวเอง และบริวารรวมกันถึงราว 500 กว่าคน เจ้าชายองค์ใดถูกปลงพระชนม์ เจ้าจอมมารดา พระญาติและบรรดาลูกๆ รวมทั้งเจ้าน้ององค์หญิงเจ้าชายองค์นั้น ซึ่งมีทั้งผู้เฒ่าชราและแม้แต่เด็กจนถึงทารกไร้เดียงสาก็ถูกสังหารจนสิ้นด้วยสารพัดวิธีอันหฤโหด ขุนนางที่เคยรับใช้หรือญาติทางฝ่ายจอมมารดาก็จับฆ่าเสียสิ้นเหมือนกัน ด้วยพิธีที่พิสดาร และตามแต่เพชฌฆาตจะเห็นสนุก

การสังหารหมู่ดังกล่าวใช้เวลาอยู่สามวันจึงสังหารได้หมดเพราะต้องฆ่าที่วังแต่เวลากลางคืน เพื่อไม่ให้พวกชาวเมืองรู้ พระนางศุภยาลัตทรงให้จัดงานปอยตลอดสามวันนั้น ให้ชาวเมืองเที่ยวงานให้สนุก พระเจ้าธีบอก็จัดให้ดื่มน้ำจัณฑ์จนเมามายเพื่อไม่ให้สนใจการสังหารครั้งนั้น เมื่อสังหารแล้วก็จับโยนใส่หลุมใหญ่ข้างวังรวมกัน แล้วเอาดินกลบ แต่พอพ้นสามวัน ศพเหล่านั้นเริ่มขึ้นอืดจนเนินหลุมที่ฝังพูนขึ้น ก็เอาช้างหลวงมาเหยียบย่ำให้ดินที่นูนขึ้นมานั้นแบนราบลง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถปิดบังหลุมใหญ่นั้นได้ เพราะจำนวนศพมีมากจนดันเนินดินให้นูนขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็ต้องให้ขุดศพใส่เกวียนไปฝังบ้าง ทิ้งน้ำบ้าง จนเป็นเรื่องที่มีการเล่าขานมากที่สุดคือการสำเร็จโทษเหล่าพระบรมวงศ์สานุวงศ์น้อยใหญ่ เป็นเวลา 3 คืน เล่ากันว่าคืนนั้นสุนัขเห่าหอนทั้งคืน จนชาวเมืองผวาไม่เป็นอันหลับอันนอน พระนางจัดให้เอาวงดนตรีปี่พาทย์ การแสดงต่าง ๆ มาบรรเลงในวังตลอดเวลาที่ทำการสำเร็จโทษพวกเจ้านาย เพื่อให้เสียงดนตรีปี่กลองกลบเสียงกรีดร้องขอชีวิต  แต่ขณะเดียวกันในประวัติศาสตร์พม่านั้นเชื่อว่าพระนางอเลนันดอ และเกงหวุ่นเมงจีอยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าโอรสธิดา


การสูญสิ้นอำนาจ
พระนางศุภยาลัต และแตงดาวุ่นกี้ไม่พอใจที่อังกฤษให้ค่าสัมปทานป่าไม้น้อย และฝรั่งเศสทำท่าจะเข้ามาเสนอให้มากกว่าประกอบกับมีการกล่าวหาว่าอังกฤษลอบตัดไม้เกินกว่าที่ได้รับสัมปทาน พม่าเลยสั่งปรับอย่างหนักถึง 1 ล้านรูปี อังกฤษก็ไม่พอใจยื่นประท้วง แต่พม่าไม่ยอม ตอนนั้นพระนางศุภยาลัตคิดว่าตัวเองมีฝรั่งเศสหนุนหลัง แต่ต่อมาเกิดเรื่องเข้าจริงๆ ฝรั่งเศสก็วางตัวเป็นกลาง
 บรรยากาศท่าเรือขณะคุมตัวกษัตริย์พม่า
 กู่มณฑปบรรจุพระอัฐิของพระนางศุภยาลัต และพระนัดดา

วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2428 อังกฤษก็เริ่มส่งข้อเรียกร้องขั้นเด็ดขาด และพม่ายอมไม่ได้ เช่น ให้อังกฤษเป็นคนควบคุมนโยบายการค้าการเดินเรือของพม่าทั้งหมดฯลฯ มิฉะนั้นจะรบกับพม่า ซึ่งขณะนั้นอังกฤษได้ยึดพม่าได้ทางใต้ได้แล้วจากสนธิสัญญายันดาโบ

พระเจ้าธีบอตามพระทัยมเหสีจึงสั่งให้เตรียมพลไปรบ อังกฤษก็ให้นายพลแฮร์รี เพนเดอร์กาส นำทหารทั้งฝรั่งและอินเดียเคลื่อนพลเข้ารบ จากย่างกุ้งบุกไปตามลำน้ำอิรวดีถึงมัณฑะเลย์ ใช้เวลาแค่ 14 วันก็ยึดเมืองหลวงได้ นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า นอกเหนือจากอาวุธที่ดีกว่าอย่างเทียบไม่ติด แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือราษฎรไม่คิดจะต่อสู้เพราะไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร เนื่องจากรัฐบาลของพระเจ้าธีบอโดยพระนางศุภยาลัต กดขี่พวกเขามาตลอด บ้านเมืองจึงขาดความสามัคคีขนาดหนัก เนื่องจากกษัตริย์และมเหสีไม่เคยทำตนให้เป็นที่รักของประชาชนพม่าของพระองค์เอง พระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัตจึงถูกเชิญให้ไปยังเมืองรัตนคีรี ซึ่งเป็นการสิ้นสุดเอกราชของพม่า และการปกครองโดยราชวงศ์อลองพญาที่มีอย่างยาวนาน

>>>ถูกเชิญออกนอกประเทศ
ขณะที่พระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัตถูกเชิญออกนอกประเทศเชิงกักกันที่เมืองมัทราสราว 2-3 เดือน ภายหลังจึงส่งไปประทับถาวรที่เมืองรัตนคีรีเมืองเล็กๆทางชายฝั่งทะเล ทางใต้เมืองบอมเบย์(มุมไบในปัจจุบัน) พระนางศุภยลัตเกิดทะเลาะกับพระนางอเลนันดอผู้เป็นแม่ จนพระนางอเลนันดอต้องขอกลับพม่า อังกฤษก็ยอมให้กลับคุมตัวไว้ที่ เมืองเมาะลำเลิงจนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าธีบอกับพระนางศุภยลัตถูกเนรเทศอยู่ที่อินเดียนาน 31 ปี จนพระเจ้าธีบอจึงสิ้นพระชนม์ที่เมืองรัตนคีรีนั่นเอง พระนางจึงได้รับอนุญาตให้พาลูกสาวไปอยู่ย่างกุ้ง ส่วนพระศพพระเจ้าธีบอนั้นฝังไว้ที่อินเดีย



>>>คืนสู่พม่า
ต่อมา พระนางได้กลับมาสู่พม่าที่เมืองย่างกุ้ง ทรงเคียดแค้นขุนนางพม่าที่ไปเข้ากับอังกฤษ ตรัสบริภาษอยู่เป็นประจำ มีฝรั่งเขียนเกี่ยวกับพระนางไว้ว่า เมื่อพระนางแก่ตัวเข้าและรู้สำนึกในชีวิตแล้ว ทรงสงบเสงี่ยม สุภาพ น่าสงสาร ทรงเลี้ยงสุนัขเป็นเพื่อน และเสียพระทันต์ทั้งหมด พระนางอยู่ในตำหนักที่อังกฤษจัดถวายให้ในเมืองย่างกุ้ง 10 ปี จึงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ขณะพระชนมายุ 65 พรรษา การจัดการพระศพก็เป็นไปตามยถากรรม ไม่ได้มีพิธีรีตองมากมายไม่ต่างจากคนทั่วไป ปัจจุบันยังมีที่ฝังพระศพอยู่ในย่างกุ้ง โดยรัฐบาลอังกฤษจัดการพระศพให้ตามธรรมเนียม แต่ไม่อนุญาตให้เชิญพระศพขึ้นไปที่ราชธานีกรุงมัณฑะเลย์ คงอนุญาตเพียงแต่ทำเป็นมณฑปบรรจุพระอัฐิเท่านั้น ปัจจุบันนี้อยู่ที่ถนนเจดีย์ชเวดากอง (Shwe Dagon Pagoda Rd.) ห่างจากบันไดด้านทิศใต้ของพระเจดีย์ชเวดากองมาประมาณ 200 เมตร สร้างเป็นกู่ทรงมณฑปยอดปราสาทแบบพม่า ก่ออิฐฉาบปูนขาว รูปทรงคล้ายที่ฝังพระศพของพระเจ้ามินดงในกรุงมัณฑะเลย์ ที่ฐานล่างมีแผ่นจารึกแผ่นเล็กของตอปยากะเล (Taw Payar Kalay) หรือออง ซาย (Aung Zay) ซึ่งเป็นพระราชนัดดาองค์สุดท้ายของพระเจ้าสีป่อ ที่เสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 2006 และนำอัฐิมาฝังไว้ในกู่เดียวกับพระนางศุภยาลัต โดยพระนางมีศักดิ์เป็น "พระอัยยิกา" ของนัดดาองค์นี้


พระธิดา เจ้าหญิงเมียะพยาจี -พ.ศ. 2423 -พ.ศ. 2490 เจ้าหญิงทรงอภิเษกสมรสกับนายทหารอินเดียที่พระราชวังธีบอในรัตนคีรี


 พระธิดา เจ้าหญิงเมียะพยาลัต
4 ตุลาคม พ.ศ. 2426 สิ้นพระชนย์4 เมษายน
พ.ศ. 2499 เจ้าหญิงทรงอภิเษกสมรสกับข้าราชสำนักชาวพม่าที่พระราชวังธีบอในรัตนคีรี เจ้าหญิงมยะพะยาละ ได้รับเลือกให้เป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์พม่า เมื่อพระเจ้าธีบอถูกโค่นล้มราชบัลลังก์ และทรงได้เป็นผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์และเป็นประมุขแห่งราชวงศ์พม่าเมื่อพระราชบิดาสวรรคต พระองค์สื้นพระชนม์ที่เมืองกาลิมปง ประเทศอินเดีย


 พระธิดา เจ้าหญิงเมียะพยา 7 มีนาคมพ.ศ. 2429-21 กรกฎาคม พ.ศ. 2505
เจ้าหญิงทรงเสด็จกลับพม่าพร้อมพระราชมารดา และในปีพ.ศ. 2465 ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกกับโกเดา กยี เนียง พระนัดดาในเจ้าชายคะนอง ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปัยกาของเจ้าหญิง และเจ้าชายคะนองทรงเป็นพระอนุชาในพระเจ้ามินดง และทรงหย่ากันในปีพ.ศ. 2472 เจ้าหญิงอภิเษกสมรสครั้งที่สองกับอู มะยา อู นักกฎหมาย พระโอรสองค์ที่สองของเจ้าหญิงที่ประสูติแต่พระสวามีองค์แรก คือ เจ้าตอ พะยาทรงเป็นผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์องค์ปัจจุบัน สืบต่อจากเจ้าหญิงเมียะพยาลัต

เจ้าหญิงเมียะพยากเล พ.ศ. 2430- พ.ศ. 2478 เจ้าหญิงมีความชำนาญในภาษาอังกฤษอย่างมากและทรงดำรงเป็นโฆษกประจำพระราชวงศ์พม่า เจ้าหญิงทรงอภิเษกสมรสกับนักกฎหมาย และทรงถูกรัฐบาลอาณานิคมส่งออกไปประทับที่เมาะลำเลิง จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่นั่น

พระบรมนามาภิไธย เจ้าหญิงศรีสุริยประภารัตนเทวี
พระปรมาภิไธย ศรีบวรดิลกมังคลมหารัตนเทวี
พระอิสริยยศ สมเด็จพระราชินีแห่งพม่า
ราชวงศ์ อลองพญา

ข้อมูลส่วนพระองค์
พระราชสมภพ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2402
เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
สวรรคต 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
British Burma 1937 flag.png เมืองย่างกุ้ง บริติชราช
พระราชบิดา พระเจ้ามินดง
พระราชมารดา พระนางอเลนันดอ
พระราชสวามี พระเจ้าธีบอ
พระราชบุตร เจ้าชายไม่ปรากฏนาม
เจ้าหญิงไม่ปรากฏนาม
เจ้าหญิงมยะพะย๊าจี
เจ้าหญิงมยะพะยาละ
เจ้าหญิงมยะพะย๊า
เจ้าหญิงมยะพะย๊ากะเล


ขอบคุณภาพและข้อมูล วิกิพีเดีย 

สภาปฏิวัติแห่งชาติกับทางออกการเมืองไทย? #4

สภาปฏิวัติแห่งชาติกับทางออกการเมืองไทย? #4




๕ นโยบายต่างประเทศ

๕.๑ รักษาลักษณะพิเศษของนโยบายต่างประเทศของชาติไทย
นโยบายต่างประเทศกำหนดขึ้นจากรากฐานของวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย ภายใต้หลักนำของลักษณะพิเศษประจำชาติไทย ๓ ประการ คือ

๕.๑.๑ รักความเป็นไท

๕.๑.๒ อหิงสา

๕.๑.๓ รู้จักประสานผลประโยชน์

ชาติไทย เป็นชาติเก่าแก่ซึ่งมีลักษณะประจำชาติสูงส่ง จึงมีนโยบายต่างประเทศอันแน่นอน เป็นมรดกล้ำค่าตกทอดมาแต่บรรพกาล เรียกว่า “นโยบายอิสระ” วิธีดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ถูกต้องก็คือ นำเอานโยบายอิสระมาใช้กับปัญหาความสัมพันธ์กับต่างประเทศตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น สำหรับนโยบายต่างประเทศของไทยแล้ว นโยบายหลักไม่เปลี่ยนแปลง แต่นโยบายตามสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และจะต้องใช้นโยบายสองอย่างนี้ควบคู่กันตลอดไป โดยนโยบายตามสถานการณ์ตั้งอยู่บนรากฐานของนโยบายหลัก ไม่ว่าจะดำเนินนโยบายต่อประเทศใด หรือต่อปัญหาใด ในสถานการณ์ใด เช่น ต่อสหรัฐอเมริกา ต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อสหภาพโซเวียต ต่อสหประชาชาติ ต่ออาเซี่ยน ต่ออินโดจีน ฯลฯ จะต้องยึดถือนโยบายอิสระเป็นหลักอยู่ตลอดเวลา วิธีดำเนินนโยบายต่างประเทศเช่นนี้ ประเทศไทยเคยใช้มาแต่อดีต ยังผลให้รอดพ้นภัยพิบัติและดำรงเอกราชอธิปไตยไว้ได้ ในปัจจุบันสภาวการณ์ทางภูมิศาสตร์และทางการเมือง กำหนดให้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดในความขัดแย้งของโลก ทั้งความขัดแย้งระหว่างเสรีนิยมกับสังคมนิยม ความขัดแย้งภายในระบบเสรีนิยม ความขัดแย้งภายในระบบสังคมนิยม และในท่ามกลางความขัดแย้งของโลกปัจจุบัน ไม่มีประเทศใดไม่ว่ามหาอำนาจหรือมิช่มหาอำนาจ จะเป็นหลักในการแก้ความขัดแย้งได้ ทำให้มีอันตรายแห่งสงคราม ทั้งในขอบเขตภูมิภาคและขอบเขตโลก แต่ประเทศไทยซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดและมีนโยบายต่างประเทศที่อยู่บนรากฐานของลักษณะประจำชาติอันสูงส่ง เป็นประเทศเดียวที่อยู่ในฐานะที่จะแก้ความขัดแย้งของโลก ป้องกันสงครามและรักษาสันติภาพซึ่งเป็นหลักประกันของการรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยอย่างถึงที่สุด ฉะนั้น ประเทศไทยจึงต้องวางตัวเป็นหลักตามความหมายที่แท้จริงของ “นโยบายอิสระ” ในท่ามกลางความขัดแย้งทั้งในภูมิภาคและในโลก

๕.๒ ส่งเสริมสัมพันธไมตรีอันดีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้ากับทุกประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างในระบอบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจและสังคม

๕.๓ ส่งเสริมชักชวนการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมีหลักประกันที่เป็นธรรม และร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนา เพื่อเสริมสร้างประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระหว่างประเทศ

๕.๔ ยับยั้งการสร้างสถานการณ์เพื่อเปลี่ยนสงครามในประเทศเป็นสงครามประชาชาติ และกำจัดบรรยากาศสงครามประชาชาติ

๕.๕ ดำเนินนโยบายเป็นกลางบนรากฐานของ “นโยบายอิสระ” ของชาติไทย ในปัญหาความขัดแย้งภายในระบบสังคมนิยม

๕.๖ เรียกร้องให้มีการประชุมนานาชาติ เพื่อรับรองสถานภาพเป็นกลางของประเทศไทย เพื่อเป็นเงื่อนไขให้ประเทศไทย ในฐานะเป็นจุดยุทธศาสตร์อันสำคัญที่สุดในความขัดแย้งของโลกปัจจุบัน ได้แสดงบทบาทอย่างเต็มภาคภูมิในการป้องกันสงครามและรักษาสันติภาพถาวรของโลก


๖ วัฒนธรรม

๖.๑ กำจัดวัฒนธรรมต่ำทรามที่แพร่หลายมาจากต่างประเทศ และรับวัฒนธรรมต่างประเทศโดยกลั่นกรอง

วัฒนธรรมเป็นองค์ประกอบอันสำคัญอย่างหนึ่งของระบบสังคม และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับองค์ประกอบสำคัญอีกสองประการ คือ เศรษฐกิจและการเมือง ฉะนั้น การแก้ปัญหาวัฒนธรรมจึงต้องประสานกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง เศรษฐกิจซึ่งระบบผูกขาดของเอกชนครอบงำการครองชีพของประชาชน และการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย นอกจากจะบั่นทอนวัฒนธรรมอันดีงาม ยังเป็นแหล่งรองรับวัฒนธรรมต่ำทรามที่แพร่มาจากต่างประเทศอีกด้วย การพัฒนาระบบเศรษฐกิจระบบเสรีนิยมที่ก้าวหน้าและพัฒนาการเมืองให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ มาตรการพื้นฐานในการป้องกันและกำจัดวัฒนธรรมต่ำทรามต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นภายในประเทศและที่แพร่มาจากต่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็ใช้มาตรการทางกฎหมายและทางการศึกษาอบรมควบคู่กันไปด้วย วัฒนธรรมต่ำทรามนั้นไม่เป็นสิ่งพึงประสงค์ไม่ว่าของเทศใดๆ แต่วัฒนธรรมที่ดีของแต่ละชาติก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับซึ่งกันและกันใด้เสมอไป วัฒนธรรมซึ่งชาติหนึ่งถือว่าดี อีกชาติหนึ่อาจถือว่าไม่ดีก็ได้ เช่น ประเพณีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงซึ่งชาติหนึ่งถือว่าดีงาม แต่อีกชาติหนึ่งถือว่าเป็นการอนาจารไปก็มี ฉะนั้น การรับวัฒนธรรมจากต่างชาติ จึงต้องคัดเลือกกลั่นกรองเอาแต่เฉพาะที่ไม่ขัดกับวัฒนธรรมไทย แม้ว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นจะไม่ใช่วัฒนธรรมต่ำทรามก็ตาม

๖.๒ เชิดชูวัฒนธรรมไทยอันสูงส่งมาแต่บรรพกาล

ภูมิแห่งจิตใจของชนชาติไทยซึ่งแสดงออกทางขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ วรรณคดี และความสัมพันธ์กับต่างชาติ เป็นต้นนั้นสูงส่งอย่างยิ่ง ซึ่งจะต้องรักษาและเชิดชูไว้ตลอดไป วัฒนธรรมอันสูงส่งย่อมอาศัยระบอบประชาธิปไตยเป็นพื้นฐาน เพราะวัฒนธรรมอันสูงส่งก็คือวัฒนธรรมของประชาชน ถ้าไม่มีประชาธิปไตย วัฒนธรรมของประชาชนก็จะไม่สามารถพัฒนาอย่างเต็มที่ได้ การปกครองประเทศไทยมีลักษณะประชาธิปไตยมาตั้งแต่บรรพกาล นี่คือ ปัจจัยสำคัญให้วัฒนธรรมของประชาชนได้พัฒนาอย่างเต็มที่ จึงส่งเสริมให้วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมที่สูงส่ง ฉะนั้น มาตรการพื้นฐานของการเชิดชูวัฒนธรรมไทยก็คือ การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศไทยนั่นเอง ประสานกับการส่งเสริมวัฒนธรรมใดด้านต่าง ๆ โดยตรงด้วย

๖.๓ ส่งเสริมเสรีภาพของกลุ่มชนต่างเชื้อชาติในประเทศไทยในการพัฒนาวัฒนธรรมของตน

คนไทยประกอบด้วยชนหลายเชื้อชาติ นอกจากเชื้อชาติไทยแล้วยังมีชนเชื้อชาติอื่นๆ เช่น ชาวเขา ชาวมาเลย์ เป็นต้น ความแตกต่างทางเชื้อชาติย่อมกำหนดความแตกต่างทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ระบอบประชาธิปไตยยอมรับ ฉะนั้น ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องให้เสรีภาพทางวัฒนธรรมแก่ชนเชื้อชาติต่างๆ ภายในประเทศ เพื่อให้วัฒนธรรมของประชาชนเชื้อชาติเหล่านั้นได้พัฒนาไปอย่างเต็มที่ แม้ว่าวัฒนธรรมของชนเชื้อชาติอื่นจะแตกต่างกับวัฒนธรรมของชนเชื้อชาติไทยก็ตาม แต่เมื่อเป็นวัฒนธรรมของประชาชนก็ย่อมเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามทั้งสิ้น ฉะนั้น การให้เสรีภาพทางวัฒนธรรมจึงมีผลดี โดยเฉพาะคือ ผลดีในการกระชับความสามัคคีแห่งชาติ

๖.๔ พัฒนาวัฒนธรรมทางการเมืองบนรากฐานของการส่งเสริมทรรศนะที่ถือว่า การเมืองคือคุณธรรมตามคตินิยมของคนไทยแต่โบราณ

โดยลักษณะการเมืองคือคุณธรรม เพราะมีความมุ่งหมายเพื่อความสุขของประชาชน ความจริงข้อนี้คนไทยได้ถือเป็นคตินิยมมาแต่โบราณ เช่น ทศพิธราชธรรม เป็นต้น

ในบรรดาระบอบการปกครองทั้งหลาย ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่มีคุณธรรมสูงสุด เพราะระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่รักษาผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้น ประชาธิปไตยก็คือธรรมาธิปไตย นั่นเอง จึงไม่มีการเมืองใดจะมีคุณธรรมสูงส่งเสมอด้วยการเมืองประชาธิปไตย และดังนั้นถ้าจะเป็นประชาธิปไตยก็จำเป็นจะต้องกำจัดทรรศนะที่เห็นการเมืองเป็นของสกปรกและกลับไปสู่ทรรศนะเดิม คือ การเมืองเป็นคุณธรรมต่อไป และบนรากฐานของทรรศนะที่ถูกต้องนี้ ดำเนินการพัฒนาวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่นความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ความอดทนต่อความเห็นที่ตรงกันข้ามกับของตน ความมีวินัย ความยอมรับเสียงข้างมาก ความยืนหยัดในหลักการที่ถูกต้องแม้ว่าจะเป็นฝ่ายข้างน้อย ความใจกว้าง ความยอมแพ้ต่อเหตุผล ความเคารพในหลักวิชา ความอุทิศตนเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชน และเพื่อคุณธรรม เป็นต้น ให้มีทรรศนะที่เห็นการเมืองเป็นคุณธรรม และให้สมบูรณ์ด้วยวัฒนธรรทางการเมืองอย่างมากที่สุด

๖.๕ ส่งเสริมความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติไทย รวมทั้งศาสนาอื่นๆ ในประเทศไทย

พระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบอันสำคัญที่สุดของวัฒนธรรมไทย เพราะหลักธรรมของพระพุทธศาสนาสอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับลักษณะพิเศษประจำชาติไทย โดยเฉพาะคือ อหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) เป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของคนไทย และหลักธรรมอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนาคือ อหิงสา ปรโม ธมฺโม (ความไม่เบียดเบียนเป็นธรรมอย่างยิ่ง) ด้วยเหตุนี้ คนไทยซึ่งรับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงเข้ากับศาสนาอื่นได้เป็นอย่างดี ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยไม่เคยมีการเลือกปฏิบัติต่อศาสนาอื่น และไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงอันเนื่องมาจากความแตกต่างทางศาสนา การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนับถือพุทธศาสนาของคนไทยนั้น โดยพื้นฐานเป็นการนับถือหลักธรรมอันแท้จริง แม้ว่าจะประกอบด้วยพิธีการ และลัทธินิยมอื่นๆ มากมาย แต่โดยพื้นฐานก็มิได้ละทิ้งหลักธรรมอันแท้จริง หลักธรรมอันแท้จริงนี่เอง คือ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของศาสนา ซึ่งควรเน้นหนักในการส่งเสริมโดยร่วมมือกับบรรดานักปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง

เหล่านี้ คือนโยบายหลักของสภาปฏิวัติแห่งชาติ สภาปฏิวัติแห่งชาติ มีปณิธานอันแน่วแน่ที่จะปฏิบัตินโยบายนี้เพื่อให้เป็นผลสำเร็จ โดยถือเป็นภารกิจอันสำคัญที่สุดในการนำประเทศชาติและประชาชนผ่านพ้นภัยพิบัติ ผลักดันความเจริญก้าวหน้าไปสู่สังคมประชาธิปไตย ยังความไพบูลย์แก่ประเทศชาติและความผาสุกแก่ประชาชน และรักษาชาติไทยให้ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร.