วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

อนาธิปไตย!!!

อนาธิปไตย!!!

ปรากฎการณ์การเข้ายึดจุดสำคัญ 6 จุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเนียบรัฐบาลและสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที สร้างความวิตกกังวลให้กับประชาชนจำนวนมากว่า ต่อไปนี้เหตุการณ์จะเลวร้ายลงไปกว่านี้อีกหรือไม่? มาตรการทางด้านกฎหมายของฝ่ายรัฐบาลที่จะใช้กับผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการล้มล้างรัฐบาลก็ดี การทำร้ายประชาชนก็ดี การบุกรุกสถานที่ราชการก็ดี จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ทหารจะเข้ามายึดอำนาจหรือเปล่า? ถ้ายึดจะส่งผลร้าย-ดีต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร? และที่สำคัญที่สุดความวุ่นวายทางการเมืองจะจบลงได้เมื่อไร?

ก่อนสิ่งอื่นใด ขอเรียนทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านเสียก่อนว่า ปรา
กฎการณ์ทางการเมืองทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในวันนี้และจะทะยอยเกิดขึ้นอีกมากมายหลายร้อยเท่าในอนาคตนั้นเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติทางการเมือง โดยมีสมุทัยมาจากสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง การปฏิวัติกระแสสูงเกิดจากระบอบการเมืองแบบ “เผด็จการไทย” ที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยของทุนนิยม เพราะเป็นระบอบการเมืองที่เอื้อให้คนส่วนน้อยที่เข้ามาถืออำนาจอธิปไตยของชาติ สามารถกดขี่และขูดรีดคนส่วนใหญ่ได้ตามกฎหมาย



ในทางเศรษฐกิจ ระบอบเผด็จการ ทำให้คนส่วนน้อยที่เป็นผู้ปกครอง สามารถช่วงชิงรายได้ส่วนใหญ่แห่งชาติไปครองแล้วทิ้งรายได้ส่วนน้อยแห่งชาติให้คนส่วนใหญ่แย่งชิงกันเอง จนนำมาซึ่งวิกฤติศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้ปกครอง

วิกฤติศรัทธาแม้เป็น “นามธรรม” แต่สะท้อนความเป็นรูปธรรมออกมาก็คือความขัดแย้งทางการเมืองดั่งที่เราเห็นด้วยตาในปัจจุบัน

แม้ว่าพันธมิตรจะกระทำการใดๆ ที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะทุบตีคนขับรถตู้ เข้ายึดและทำลายข้าวของทางราชการจนนายกรัฐมนตรีต้องออกมาแถลงข่าวว่าจะจัดการทางกฎหมายอย่างเฉียบขาดประการใดก็ตาม ก็ไม่สามารถทำได้ถนัดมือหรือสามารถยุติปัญหาได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนั้น ใช่มีแต่ผู้ชุมนุมเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีผู้อยู่เบื้องหลังของฝ่ายพันธมิตรและแนวร่วมทั้งที่เป็นผู้ปกครองด้วยกันเองและกับประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย “คลื่นใต้น้ำ”หรือ “มือที่มองไม่เห็น” ตัวจริงที่ไม่ได้ออกมาโชว์ตัวในครั้งนี้อีกด้วย
การใช้มาตรการทางด้านกฎหมายของรัฐบาลจึงไม่ใช่ทางออกหรือตอบโจทย์ว่าวิกฤติทางการเมืองครั้งนี้หรือที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นระยะในอนาคตจะจบลงวันนี้

ถึงแม้ว่ากุนซือฝ่ายพันธมิตรจะ “ไร้เดียงสา” ขนาดเอามวลชนขึ้นมา Uprising ในขณะที่ยังไม่สามารถรุกทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสิ้นเชิงก็ตาม ซ้ำพวกเขายังปล่อยให้ “นักรบศรีวิชัย” ที่มีแต่กำลัง บุกเข้าไปยึดสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที จนถูกจับ ปล่อยให้ม็อบ “ทำร้ายนักข่าว”จนทำให้ฝ่ายรัฐบาลสามารถใช้เป็นเป็นเครื่องมือในการ “โดดเดี่ยว” ฝ่ายพันธมิตร จนตกเป็นฝ่ายรับอย่างรุนแรงก็ตาม

แม้ว่าสุริยใส กตศิลา หนึ่งในแกนนำพันธมิตรจะออกมาแก้เกี้ยวในภายหลังว่านักรบศรีวิชัยไม่ใช่คนของพันธมิตรนั้นก็สายเสียแล้ว เพราะระดับนำคนหนึ่งของพันธมิตรออกมายอมรับก่อนหน้านั้นแล้วว่า ผู้ที่ถูกจับดังกล่าว เป็นคนของฝ่ายพันธมิตรจริง

ยิ่งไปกว่านั้นมวลชนที่ไปล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาลอยู่ก็เรียกร้องให้มีการปล่อยนักรบศรีวิชัยออกมา จึงหมายความว่าผู้ที่ถูกจับเมื่อเช้านี้เป็นฝ่ายพันธมิตรจริง การที่สุริยะใสออกมาปฏิเสธในขณะที่คนอื่นเขารู้ความจริง จึงเท่ากับว่าสุริยะใสหนึ่งในผู้นำสำคัญของฝ่ายพันธมิตร “โกหกทางทีวี” ส่งผลทำให้เกิดภาพลบหนักเข้าไปใหญ่

ปัญหาการชุมนุมเรียกร้องเป็นปัญหาทางการเมือง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องโกหก เพียงแต่ว่าข้อเรียกร้องของฝ่ายพันธมิตรนั้น เป็นการเรียกร้องที่ในระดับต่ำเพียงแค่ขับไล่รัฐบาลเท่านั้น มวลชนจึงไม่มากมายแต่อย่างใด

ความจริงแล้วมวลชนทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายพันธมิตรหรือฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับพันธมิตรล้วนแล้วแต่เป็นมวลชนประชาธิปไตย คือต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่เนื่องจากฝ่ายนำของทั้งคู่เป็นพวกไร้เดียงสาทางการเมือง คือเรียกร้องเรื่องตัวบุคคลบ้าง เรื่องรัฐธรรมนูญบ้าง เรื่องให้รัฐบาลลาออกหรือคงอยู่บ้าง เรียกร้อง70:30 บ้าง มาตรการ 6 เดือนบ้าง โดยต่างไม่ได้เรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบเผด็จการ
ให้เป็นประชาธิปไตย อันเป็นต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง ดังนั้นการลงทุนลงแรงของทั้งคู่นอกจากจะเป็นการเรียกร้องที่เปล่าประโยชน์แล้วยังนำไปสู่การฆ่ากันอย่างไร้เดียงสาอีกด้วย

อย่างไรก็ตามไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายพันธมิตรจะเป็นฝ่ายชนะในเกมนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ทั้งคู่จะสามารถปกครองประเทศนี้ได้เพราะไม้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะก็ปกครองประเทศนี้ไม่ได้ เพราะวันนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถกลับคืนไปสู่สภาวะปรกติได้อีกต่อไป

มันจะจบสิ้นลงก็ต่อเมื่อการปฏิวัติ (ไม่ใช่การรัฐประหารโดยทหารนะครับ)ได้จบสิ้นลงแล้วอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต้องกินเวลานานหลายปีทีเดียว
แม้ว่าคุณสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีจะกระเหี้ยนกระหือรือที่จะใช้มาตรการทางกฏหมายมาเล่นงานม็อบพันธมิตรแต่ก็ดูเหมือนว่าทำไม่ได้ดั่งใจ เพราะวันนี้แม้แต่ตัวรับบาลเองก็ไม่มั่นคงเสียแล้ว ไม่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้ ถึงรัฐบาลจะออกมาข่มขู่อย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นผลมากนัก ยิ่งถ้าฝ่ายพันธมิตรสามารถยืดเกมให้ยาวออกไปหรือก่อการจราจลเผาบ้านเผาเมืองด้วยแล้ว คุณสมัครต่างหากที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

สำหรับใครที่อยากให้มีการปรองดองแห่งชาติ ผมเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชาติวันนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งปรกติทั่วไป แต่เป็นความขัดแย้งบนสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง โดยทั้งสองฝ่ายจะมีกำลังประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงมาเป็นแรงหนุนที่เข้มแข็งด้วยกันทั้งคู่

การจะแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ได้ก็ต่อเมื่อมวลชนเข้าใจในวิชาปฏิวัติแล้วเข้าร่วมการปฏิวัติแล้วเท่านั้นเหตุการณ์นี้จึงจะจบลง

ถ้าตราบใดที่ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจในปมปัญหาที่แท้จริง ความขัดแย้งครั้งนี้จะนำไปสู่การฆ่ากันเองอย่างโง่งมของคนในชาติ แบบไม่มีใครชนะ มีแต่คนแพ้ ขณะที่ชาติเสื่อมโทรมลงไปทุกวันๆ

การเอาพระมาเทศน์ก็ดี การเอานักวิชาการนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมาแสดงความคิดเห็นก็ดี ล้วนแล้วแต่อวิชาต่อปัญหา ถ้าไม่ทำตามที่ผมว่ามาคือปฏิวัติประชาธิปไตยแล้วแก้ไม่ได้ทั้งสิ้น

ผมเอาคอเป็นประกัน !

จำลอง บุญสอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น