อนาธิปไตย!!!
ปรากฎการณ์การเข้ายึดจุดสำคัญ 6
จุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเนียบรัฐบาลและสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที
สร้างความวิตกกังวลให้กับประชาชนจำนวนมากว่า
ต่อไปนี้เหตุการณ์จะเลวร้ายลงไปกว่านี้อีกหรือไม่?
มาตรการทางด้านกฎหมายของฝ่ายรัฐบาลที่จะใช้กับผู้กระทำความผิด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการล้มล้างรัฐบาลก็ดี การทำร้ายประชาชนก็ดี
การบุกรุกสถานที่ราชการก็ดี จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่
ทหารจะเข้ามายึดอำนาจหรือเปล่า?
ถ้ายึดจะส่งผลร้าย-ดีต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร?
และที่สำคัญที่สุดความวุ่นวายทางการเมืองจะจบลงได้เมื่อไร?
ก่อนสิ่งอื่นใด ขอเรียนทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านเสียก่อนว่า ปรา
กฎการณ์ทางการเมืองทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในวันนี้และจะทะยอยเกิดขึ้นอีกมากมายหลายร้อยเท่าในอนาคตนั้นเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติทางการเมือง
โดยมีสมุทัยมาจากสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง
การปฏิวัติกระแสสูงเกิดจากระบอบการเมืองแบบ “เผด็จการไทย”
ที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยของทุนนิยม
เพราะเป็นระบอบการเมืองที่เอื้อให้คนส่วนน้อยที่เข้ามาถืออำนาจอธิปไตยของชาติ
สามารถกดขี่และขูดรีดคนส่วนใหญ่ได้ตามกฎหมาย
ในทางเศรษฐกิจ
ระบอบเผด็จการ ทำให้คนส่วนน้อยที่เป็นผู้ปกครอง
สามารถช่วงชิงรายได้ส่วนใหญ่แห่งชาติไปครองแล้วทิ้งรายได้ส่วนน้อยแห่งชาติให้คนส่วนใหญ่แย่งชิงกันเอง
จนนำมาซึ่งวิกฤติศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้ปกครอง
วิกฤติศรัทธาแม้เป็น “นามธรรม” แต่สะท้อนความเป็นรูปธรรมออกมาก็คือความขัดแย้งทางการเมืองดั่งที่เราเห็นด้วยตาในปัจจุบัน
แม้ว่าพันธมิตรจะกระทำการใดๆ
ที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะทุบตีคนขับรถตู้
เข้ายึดและทำลายข้าวของทางราชการจนนายกรัฐมนตรีต้องออกมาแถลงข่าวว่าจะจัดการทางกฎหมายอย่างเฉียบขาดประการใดก็ตาม
ก็ไม่สามารถทำได้ถนัดมือหรือสามารถยุติปัญหาได้อย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้เพราะฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนั้น
ใช่มีแต่ผู้ชุมนุมเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีผู้อยู่เบื้องหลังของฝ่ายพันธมิตรและแนวร่วมทั้งที่เป็นผู้ปกครองด้วยกันเองและกับประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย
“คลื่นใต้น้ำ”หรือ “มือที่มองไม่เห็น”
ตัวจริงที่ไม่ได้ออกมาโชว์ตัวในครั้งนี้อีกด้วย
การใช้มาตรการทางด้านกฎหมายของรัฐบาลจึงไม่ใช่ทางออกหรือตอบโจทย์ว่าวิกฤติทางการเมืองครั้งนี้หรือที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นระยะในอนาคตจะจบลงวันนี้
ถึงแม้ว่ากุนซือฝ่ายพันธมิตรจะ “ไร้เดียงสา” ขนาดเอามวลชนขึ้นมา
Uprising
ในขณะที่ยังไม่สามารถรุกทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสิ้นเชิงก็ตาม
ซ้ำพวกเขายังปล่อยให้ “นักรบศรีวิชัย” ที่มีแต่กำลัง
บุกเข้าไปยึดสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที จนถูกจับ ปล่อยให้ม็อบ
“ทำร้ายนักข่าว”จนทำให้ฝ่ายรัฐบาลสามารถใช้เป็นเป็นเครื่องมือในการ
“โดดเดี่ยว” ฝ่ายพันธมิตร จนตกเป็นฝ่ายรับอย่างรุนแรงก็ตาม
แม้ว่าสุริยใส
กตศิลา
หนึ่งในแกนนำพันธมิตรจะออกมาแก้เกี้ยวในภายหลังว่านักรบศรีวิชัยไม่ใช่คนของพันธมิตรนั้นก็สายเสียแล้ว
เพราะระดับนำคนหนึ่งของพันธมิตรออกมายอมรับก่อนหน้านั้นแล้วว่า
ผู้ที่ถูกจับดังกล่าว เป็นคนของฝ่ายพันธมิตรจริง
ยิ่งไปกว่านั้นมวลชนที่ไปล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาลอยู่ก็เรียกร้องให้มีการปล่อยนักรบศรีวิชัยออกมา
จึงหมายความว่าผู้ที่ถูกจับเมื่อเช้านี้เป็นฝ่ายพันธมิตรจริง
การที่สุริยะใสออกมาปฏิเสธในขณะที่คนอื่นเขารู้ความจริง
จึงเท่ากับว่าสุริยะใสหนึ่งในผู้นำสำคัญของฝ่ายพันธมิตร “โกหกทางทีวี”
ส่งผลทำให้เกิดภาพลบหนักเข้าไปใหญ่
ปัญหาการชุมนุมเรียกร้องเป็นปัญหาทางการเมือง
ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องโกหก
เพียงแต่ว่าข้อเรียกร้องของฝ่ายพันธมิตรนั้น
เป็นการเรียกร้องที่ในระดับต่ำเพียงแค่ขับไล่รัฐบาลเท่านั้น
มวลชนจึงไม่มากมายแต่อย่างใด
ความจริงแล้วมวลชนทั้งสองฝ่าย
ไม่ว่าฝ่ายพันธมิตรหรือฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับพันธมิตรล้วนแล้วแต่เป็นมวลชนประชาธิปไตย
คือต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าด้วยกันทั้งสองฝ่าย
แต่เนื่องจากฝ่ายนำของทั้งคู่เป็นพวกไร้เดียงสาทางการเมือง
คือเรียกร้องเรื่องตัวบุคคลบ้าง เรื่องรัฐธรรมนูญบ้าง
เรื่องให้รัฐบาลลาออกหรือคงอยู่บ้าง เรียกร้อง70:30 บ้าง มาตรการ 6
เดือนบ้าง โดยต่างไม่ได้เรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบเผด็จการ
ให้เป็นประชาธิปไตย
อันเป็นต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง
ดังนั้นการลงทุนลงแรงของทั้งคู่นอกจากจะเป็นการเรียกร้องที่เปล่าประโยชน์แล้วยังนำไปสู่การฆ่ากันอย่างไร้เดียงสาอีกด้วย
อย่างไรก็ตามไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายพันธมิตรจะเป็นฝ่ายชนะในเกมนี้
ก็ไม่ได้หมายความว่า
ทั้งคู่จะสามารถปกครองประเทศนี้ได้เพราะไม้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะก็ปกครองประเทศนี้ไม่ได้
เพราะวันนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงเรียบร้อยแล้ว
ไม่สามารถกลับคืนไปสู่สภาวะปรกติได้อีกต่อไป
มันจะจบสิ้นลงก็ต่อเมื่อการปฏิวัติ (ไม่ใช่การรัฐประหารโดยทหารนะครับ)ได้จบสิ้นลงแล้วอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต้องกินเวลานานหลายปีทีเดียว
แม้ว่าคุณสมัคร
สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรีจะกระเหี้ยนกระหือรือที่จะใช้มาตรการทางกฏหมายมาเล่นงานม็อบพันธมิตรแต่ก็ดูเหมือนว่าทำไม่ได้ดั่งใจ
เพราะวันนี้แม้แต่ตัวรับบาลเองก็ไม่มั่นคงเสียแล้ว
ไม่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้
ถึงรัฐบาลจะออกมาข่มขู่อย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นผลมากนัก
ยิ่งถ้าฝ่ายพันธมิตรสามารถยืดเกมให้ยาวออกไปหรือก่อการจราจลเผาบ้านเผาเมืองด้วยแล้ว
คุณสมัครต่างหากที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
สำหรับใครที่อยากให้มีการปรองดองแห่งชาติ
ผมเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชาติวันนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งปรกติทั่วไป
แต่เป็นความขัดแย้งบนสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง
โดยทั้งสองฝ่ายจะมีกำลังประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงมาเป็นแรงหนุนที่เข้มแข็งด้วยกันทั้งคู่
การจะแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ได้ก็ต่อเมื่อมวลชนเข้าใจในวิชาปฏิวัติแล้วเข้าร่วมการปฏิวัติแล้วเท่านั้นเหตุการณ์นี้จึงจะจบลง
ถ้าตราบใดที่ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจในปมปัญหาที่แท้จริง
ความขัดแย้งครั้งนี้จะนำไปสู่การฆ่ากันเองอย่างโง่งมของคนในชาติ
แบบไม่มีใครชนะ มีแต่คนแพ้ ขณะที่ชาติเสื่อมโทรมลงไปทุกวันๆ
การเอาพระมาเทศน์ก็ดี
การเอานักวิชาการนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมาแสดงความคิดเห็นก็ดี
ล้วนแล้วแต่อวิชาต่อปัญหา
ถ้าไม่ทำตามที่ผมว่ามาคือปฏิวัติประชาธิปไตยแล้วแก้ไม่ได้ทั้งสิ้น
ผมเอาคอเป็นประกัน !
จำลอง บุญสอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น