ประเทศจีนที่ซึ่งประวัติศาสตร์และตำนานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ
จนบางครั้งมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกเรื่องจริงออกจากนิทานในดินแดนที่สสารไม่จีรัง
เหมือนหมอกยามเช้าในหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง
กองหินมหึมาที่เรียกว่ากำแพงเมืองจีน
โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทันทีทันใดเหมือนมังกรหลับใหล
หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณและโลกปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์ของมันถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าขานของเหตุการณ์นองเลือดและความบ้าคลั่ง
มันถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยาวที่สุดในโลก
มังกรหินขนาดมหึมาที่ขนาดของมันไม่เพียงแต่น่าเกรงขาม
แต่ยังเป็นแนวคิดของมันเอง มันเป็นการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความอัปยศ
ความขัดแย้งของชาติ
เป็นหลักการทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของประเทศจีนสมัยใหม่ด้วย กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี
1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน
เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน
เขากล่าวว่า "ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่
ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่"
แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป
มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า
มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์
มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่
มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล
ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี
ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน
และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน
ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า
1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น
หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13
ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่
20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20
เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน
และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้
เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน ในปี 1908
นักเขียนและนักผจญภัย วิลเลี่ยม เอดการ์ กิล (William Edgar Geil)
กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางตลอดแนวกำแพง
ข้อสังเกตของเขาเป็นคำเชื้อเชิญมากกว่าคำชมเชย
และคำประกาศอันน่าอับอายของเขาถูกนำมากล่าวซ้ำจนถึงปัจจุบันว่า
"กำแพงเมืองจีนคือสัญลักษณ์แห่งยุคทองของจีน มันยาว 1,700 ไมล์
และเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์"
ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นกำปพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์
เรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไปตอนที่มีการขึ้นสู่อวกาศ
และมันก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักบินอวกาศ
ในหมู่คนที่เคยออกไปอยู่ในอวกาศว่า
คุณไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศได้ และนักบินอวกาศมักจะบอกว่า
มีคนไม่น้อยที่ถามคำถามนี้
แต่เรื่องเล่าอื่นๆยังคงอยู่และแทบไม่เคยได้รับการยืนยันจากวิทยาศาสตร์ มีการคำนวณทุกชนิดในศตวรรษที่
19 ออกมาว่า คุณเอาหินทุกก้อนจากกำแพงมาเรียงใหม่ได้รอบเส้นศูนย์สูตร
หรือว่ามันมีมวลเท่ากับบ้านทุกหลังในอังกฤษและสก็อตแลนด์
และเรื่องเหล่านี้ก็อยู่มาจนถึงในศตวรรษที่ 20
ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองจีนก็คือ
มันมีกำแพงเมืองจีนจริงหรือไม่
มันเต็มไปด้วยความสงสัยว่ากำแพงเมืองจีนเคยปรากฏอยู่ในฐานะแนวป้องกันชิ้นเดียวยาวต่อเนื่องข้ามภาคเหนือของประเทศจีน
มันน่าจะเป็นกำแพงไม่ต่อเนื่องหลายชุดที่สร้างในเวลาต่างๆ กัน
โดยผู้คนต่างๆ กัน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ กัน แล้วนำมาต่อกัน ปล่อยให้ผุพัง
สร้างใหม่ และขยายออกในช่วงราวๆ 2,000 ปี เมื่อคนคิดถึงกำอพงเมืองจีน
พวกเขาคงจะคิดถึงสิ่งก่อสร้างใหญ่โต
ยาวต่อเนื่องกันหลายพันไมล์ข้ามประเทศจีน
แน่นอนว่าความจริงมันต่างจากนั้นมาก กำแพงถูกสร้างเป็นชิ้นๆ
ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพังทางโบราณคดีเลย
และในพื้นที่ห่างไกลของจีนส่วนใหญ่มันก็ถูกทับถมไปแล้ว ส่วนของกำแพงที่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิงที่ยังเหลืออยู่
ส่วนที่พวกเขาสร้างในศตวรรษที่ 16 นั้นน่าทึ่งมาก
มันเป็นกำแพงอิฐตันอยู่บนภูเขาสูงชันพร้อมด้วยหอสังเกตการณ์
และมันก็ยากมากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาสร้างมันจนเสร็จได้อย่างไร
สำหรับขนาดอันใหญ่โตและมิติอันหนักแน่นของมัน
กำแพงเมืองจีนยังคงมีปริศนาซ่อนอยู่ มันไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างทั่วถึง
และแม้แต่ในปัจจุบัน ไม่มีใครแน่ใจถึงความยาวและเส้นทางแท้จริงของมัน
ประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองจีนที่ตกมาถึงเรา
คือการผสมผสานอันแปลกประหลาดของความจริงและจินตนาการ
หลักฐานอันหนักแน่นเพียงเล็กน้อยหลอมรวมกับเรื่องเล่าขานและตำนาน
และมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกมันออกจากกัน ไม่เคยมีอารยธรรมใดที่ดูจะนิยมการสร้างกำแพงมากกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว
การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกสมัยยุคหินกลางหรือนีโอลีธิก (Neolethics)
ส่วนสำคัญของเมืองถูกล้อมรอบด้วยคันดินถม
อันที่จริงแล้วคำว่าชางที่แปลว่าเมืองในภาษาจีนยังแปลว่ากำแพงอีกด้วย
กำแพงเมืองจีนคือกำแพงซ้อนกำแพง
กำแพงเมืองจีนเป็นส่วนปกป้องกำแพงที่ซ้อนกันอยู่ทั้งปวง
รวมถึงกำแพงของบ้านพักอาศัยด้วย
กำแพงเป็นส่วนลึกล้ำทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมจีน
พวกเขาสร้างกำแพงล้อมรอบบ้านและวัด
เทพเจ้าของกำปพงและอาคารมีอำนาจเหนือขอบเขตความเป็นและความตาย
คนจีนสร้างกำแพงเพื่อระบุขอบเขตของพวกตน
เพื่อป้องกันผู้แปลกหน้าจากที่ห่างไกล
กำแพงในบางแห่งอาจมีความสำคัญในบางพิธีกรรมด้วย
ประเทศจีนสมัยก่อนเป็นอาณาจักรที่ปราศจากความสงบ
การที่ชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือและอาณาจักรข้างเคียงที่ตื่นตัวทุกครั้งเมื่อมีสัญญาณของความอ่อนแอ
กำแพงจึงถูกมองว่าเป็นความจำเป็นทางยุทธศาสตร์ จนสิ้นศตวรรษที่ 8
ก่อนคริสตกาล
บริเวณที่กลายเป็นประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างรัฐที่ยาวนานถึง
500 ปี มันประกอบด้วยรัฐที่ปกครองด้วยระบบขุนนางและรัฐเล็กๆ
ที่ปกครองด้วยระบบศักดินาที่มารวมตัวกันหลายแห่งมารวมตัวกันอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซึ่งมีอำนาจทางจิตใจและพิธีกรรมมากกว่าในทางปฏิบัติ
จนถึงกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล
เกียรติยศและพันธไมตรีที่มอบให้จักรพรรดิต้องหลีกทางให้กับความเห็นแก่ตัวและการเข่นฆ่า
มันคือช่วงสงครามระหว่างแคว้นที่ชาวจีนเริ่มสร้างกำแพงขึ้นอย่างจริงจัง
แคว้นฉีสร้างกำแพงขึ้นตามแนวชายแดนด้านใต้เพื่อป้องกันศัตรูจากแคว้นฉู
แคว้นฉูสร้างกำแพงตามแนวชายแดนด้านเหนือเพื่อป้องกันตนเองจากแคว้นฉิน
แคว้นเยนและแคว้นเฉาสร้างกำแพงเพื่อป้องกันตนเองจากพวกเร่ร่อนทางเหนือและจากกันและกัน
กำแพงมีความยาวทั้งหมดประมาณ 2,800 ไมล์
กำแพงถูกสร้างขึ้นตามแนวชายแดนของแคว้นต่างๆ ที่ทำสงครามกัน ในยุคหนึ่งมีแคว้นต่างๆ
ถึง 120 แคว้น เมื่อถึงช่วงสูงสุดของสมัยสงครามระหว่างแคว้น และมีเพียง 7
แคว้นที่เหลืออยู่ มีการทำลายแคว้นเล็กๆ มากมายทั่วทั้งประเทศจีน
ที่หลงเหลือมาจากสมัยสงครามระหว่างแคว้นคือ
ปรัชญาชีวิตหลักของจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่มีผู้มีความรู้พยายามคิดว่า
สิ่งใดผิดพลาดและจะแก้ไขมันอย่างไร ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล
ขงจื๊อเห็นถึงความจำเป็นในการเคารพกฎและความสำคัญระหว่างมนุษย์และสวรรค์อย่างเคร่งครัดและเสียใจกับการมีสงครามและกำแพง
ลัทธิกลุ่มหนึ่งคือลัทธิเต๋าค้นพบคำตอบในธรรมชาติและเชื่อว่า
ทุกสิ่งมีสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาพลังหยินและหยาง
เพราะฉะนั้นการดิ้นรนและสงครามจึงเป็นเรื่องไร้สาระ
ถ้าปรัชญาเหล่านี้กลายเป็นนโยบายระหว่างรัฐ
มันคงเป็นไปได้ยากที่กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมา แต่แคว้นฉินใช้ระบอบการปกครองเบ็ดเสร็จด้วยกฎหมายการลงโทษและการให้รางวัล
มีเรื่องเล่าที่ดีมากเกี่ยวกับคนดูแลมงกุฏและคนดูแลเสื้อคลุม
ในคืนหนึ่งที่ฮ่องเต้หลับอยู่หน้าบริเวณเตาผิง
คนดูแลมงกุฏจึงนำเสื้อมาคลุมให้ท่าน ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมาถามว่า
ใครห่มเสื้อคลุมให้ฉัน ผู้ดูแลมงกุฏก็ตอบว่าข้าเอง
แล้วฮ่องเต้ก็สั่งให้นำตัวไปประหารทันทีเพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา
เรื่องเหล่านี้เป็นแนวทางของกองทัพฉินในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล
พวกเขาเริ่มเคลื่อนกำลังข้ามแผ่นดินจีนผนวกเอาแคว้นต่างๆ
เข้าไปเหมือนหนอนไหมกัดกินใบหม่อนตามบันทึกนักประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น
246 ปี ก่อนคริสตกาล เหตุการณ์สำคัญก็เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องที่เกิดขึ้น
เด็กชายอายุ 13 ก้าวเข้าสู่บัลลังค์ของแคว้นฉิน
เขาเป็นที่รู้จักในนามของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิคนแรกของประเทศจีน
ตำนานกล่าวว่าเขาบินไปยังดวงจันทร์ด้วยพรมวิเศษในความฝัน
เมื่อมองลงมาเขาเห็นอาณาจักรของเขามีภัยคุกคามจากศัตรูมากมาย
เขาปลุกบรรดาที่ปรึกษาขึ้นมาแล้วบอกว่า ข้าจะสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่ ในปี
1974 ชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำพบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าทึ่ง
มันคือหลุมฝังตุ๊กตากระเบื้องพลทหาร พลธนู รถม้าศึกและม้า
ทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าของจริงและแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันดูราวกับว่ามีต้นแบบมาจากของจริง
ทุกวันนี้ตุ๊กตามากกว่า 6,000 ตัวถูกขุดขึ้นมา
กองทัพกระเบื้องเคลือบที่ถูกออกแบบให้สู้ศึกเพื่อฮ่องเต้ในโลกหน้า
หรือบางทีเพื่อคุ้มกันการหลับใหลชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรของพระองค์
ในบริเวณใกล้เคียงเป็นหลุมฝังพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน
หรือที่ขนานนามกันว่าปฐมกษัตริย์ ตามบันทึกที่ตกทอดสู่ราชวงศ์ต่อมา
การขึ้นครองราชย์ของจิ๋นซีฮ่องเต้มีที่มาค่อนข้างคลุมเครือ
พระมารดาของพระองค์เป็นนางระบำสาวเสน่ห์แรงและเป็นภรรยาน้อยของพ่อค้าเร่ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอกับความร่ำรวย
ขณะที่เข้ามาค้าขายในพระราชวัง
พ่อค้าขอให้เธอเต้นรำกับรัชทายาทของราชวงค์ฉิน
เมื่อพระองค์ตกหลุมรักเขาก็ยกเธอให้พระองค์
โดยไม่เคยเอ่ยปากเลยว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเขาอยู่
องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ไม่นาน
แล้วจากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็สืบทอดบัลลังค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ขณะที่ฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้น
พระองค์เริ่มแสดงอุปนิสัยแปลกๆ และเกิดอาการวิตกกังวล
พระองค์สั่งเนรเทศพระมารดา
และสั่งพระบิดาอดีตพ่อค้าที่ว่าราชการแทนในวัยเยาว์ของพระองค์ให้ฆ่าตัวตาย
พระองค์เรียกโหร หมอผี และที่ปรึกษาเจ้าเล่ห์
ไร้ศีลธรรมหลายคนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิด ประมาณ 234 ปีก่อนคริสตกาล
พระองค์ส่งกองทัพออกไปเพื่อพิชิตแผ่นดินจีนที่บรรพบุรุษได้เริ่มไว้
เมื่อเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็มีแคว้นอิสระแยกตัวออกมา
และท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองแคว้น จนเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล
ประเทศจีนก็รวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแคว้นฉินทำลายแคว้นฉีจนได้
จิ๋นซีฮ่องเต้ประกาศว่าตนคือจักรพรรดิของแผ่นดินใหม่ที่พระองค์ตั้งชื่อว่าจีน
ตามราชวงค์ของพระองค์ และรีบรวมอำนาจอย่างรวดเร็ว
จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างอาณาจักรขึ้น ซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน
พระองค์สร้างระบบถนนภายในประเทศ พระองค์สร้างมาตรฐานให้กับอักษรจีน
พระองค์รวมสกุลเงินจีนต่างๆเป็นหนึ่งเดียว พระองค์สร้างมาตรฐานให้อาณาจักร
พระองค์ทำให้มันเป็นเอกภาพ พระองค์ยังสนใจเรื่องเวทมนต์
การเล่นแร่แปรธาตุอย่างเหลือเชื่อ
และเชื่อว่าพระองค์สามารถเอาชนะความตายและเป็นอมตะได้
พระองค์อยากเป็นคนครองโลก จิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งมาตรฐานการชั่ง ตวง วัด
ด้วยระบบที่มีพื้นฐานอยู่บนเลขหก อันเป็นเลขมหัศจรรย์ของพระองค์
พระองค์ประกาศว่าสีดำคือสีที่มีพลังลึกลับของพระองค์เป็นสีทางการสำหรับเสื้อผ้าและธงของอาณาจักรและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์
และออกพระราชบัญญัติว่าราชวงศ์ฉินจะปกครองตลอดไป
จากนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยสร้างกำแพง
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าความคิดของการสร้างกำแพงเมืองจีนเข้ามาอยู่ในพระทัยของจักรพรรดิเมื่อใด
หรือทำไมพระองค์ตัดสินพระทัยสร้างมัน
ตำนานหนึ่งเล่าว่าหนึ่งในโหรของพระองค์ทำนายว่าราชวงค์ของพระองค์จะล่มสลายด้วยฝีมือของเผ่าคนเถื่อนจากภาคเหนือ
ส่วนเรื่องอื่นก็เกี่ยวกับความฝัน ลางบอกเหตุ
และความตั้งพระทัยของจักรพรรดิที่จะสร้างอนุสรณ์ถึงความรุ่งเรืองของพระองค์เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส |
|
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น