วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สงครามกลางเมืองอเมริกา

สงครามกลางเมืองอเมริกา

สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War, ค.ศ. 1861-1865) เป็นสงครามกลางเมืองซึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งอับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา รัฐทาสทางใต้สิบเอ็ดรัฐประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐอเมริกา และจัดตั้งเป็นสมาพันธรัฐอเมริกา ส่วนอีกยี่สิบห้ารัฐสนับสนุนรัฐบาลกลาง ("สหภาพ") หลังสงครามนานสี่ปี ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรัฐทางใต้ ฝ่ายสมาพันธรัฐยอมจำนนและมีการเลิกทาสทั่วประเทศ ปัญหาซึ่งนำสู่สงครามบางส่วนได้รับการแก้ไขในยุคบูรณะ (Reconstruction Era) ที่เกิดขึ้นตามมา แต่ยังมีที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอีก
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1860 พรรครีพับลิกัน นำโดย อับราฮัม ลินคอล์น รณรงค์ต่อต้านการขยายระบบทาสนอกเหนือไปจากรัฐที่มีอยู่แล้ว พรรครีพับลีกันเป็นผู้ให้การสนับสนุนชาตินิยมอย่างแข็งขัน และในแนวนโยบายของพรรคใน ค.ศ. 1860 ประณามภัยคุกคามจากความแตกแยกว่าส่อกบฏอย่างชัดเจน หลังพรรคชนะการเลือกตั้ง แต่ก่อนฝ่ายบริหารเริ่มปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 รัฐผลิตฝ้ายเจ็ดรัฐประกาศแยกตัวและรวมเข้าด้วยกันเป็นสมาพันธรัฐอเมริกา ทั้งรัฐบาลประธานาธิบดีเจมส์ บูคานัน และรัฐบาลชุดถัดมาไม่ยอมรับว่าการแยกตัวดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย และมองว่าเป็นการกบฏ ส่วนอีกแปดรัฐทาสยังปฏิเสธการเรียกร้องให้แยกตัวออกมาจนถึงจุดนี้ ไม่มีประเทศใดในโลกยอมรับสมาพันธรัฐ
สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 เมื่อกองทัพสมาพันธรัฐโจมตีที่ตั้งทหารสหรัฐที่ฟอร์ตซัมเตอร์ในเซาท์แคโรไลนาลินคอล์นตอบสนองโดยเรียกร้องให้กองทัพอาสาสมัครจากแต่ละรัฐยึดทรัพย์สินของรัฐบาลกลางคืน ซึ่งนำไปสู่การประกาศแยกตัวออกเพิ่มอีกโดยสี่รัฐทาส ทั้งสองฝ่ายขยายกองทัพเมื่อสหภาพควบคุมรัฐชายแดนในช่วงต้นสงครามและเริ่มการปิดล้อมทางทะเล สงครามภาคพื้นในภาคตะวันออกไม่แพ้ชนะกันใน ค.ศ. 1861-62 เมื่อสมาพันธรัฐสามารถขับความพยายามของสหภาพในการยึดริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย เมืองหลวงของสมาพันธรัฐออกไป ที่โดดเด่นคือ ระหว่างการทัพคาบสมุทร ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1862 การทัพของสมาพันธรัฐในแมริแลนด์ยุติลงด้วยความพ่ายแพ้ในยุทธการแอนตีแทม (Antietam) ซึ่งทำให้อังกฤษเปลี่ยนใจไม่เข้าแทรกแซงในสงคราม[2]ไม่นานหลังจากยุทธการนั้น ลินคอล์นประกาศเลิกทาส ซึ่งทำให้การเลิกทาสไม่เป็นเป้าประสงค์ในสงครามอีกต่อไป[3]
ใน ค.ศ. 1863 การบุกขึ้นเหนือของนายพลสมาพันธรัฐ โรเบิร์ต อี. ลียุติลงด้วยความพ่ายแพ้ที่ยุทธการเกตตีสเบิร์ก ในทางตะวันตก สหภาพควบคุมเหนือแม่น้ำมิสซิสซิปปี หลังยุทธการชิโลห์ (Shiloh) และการล้อมวิคสเบิร์ก (Vicksburg) ซึ่งเป็นผลให้สมาพันธรัฐแบ่งออกเป็นสองและทำลายกองทัพตะวันตกไปเป็นอันมาก ด้วยความสำเร็จในทางตะวันตก ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ จึงได้รับอำนาจบังคับบัญชากองทัพตะวันออกใน ค.ศ. 1864 และจัดระเบียบกองทัพของวิลเลียม เทคุมเซห์ เชอร์แมนฟิลิป เชอริแดน, และคนอื่น ๆ ให้โจมตีสมาพันธรัฐจากทุกทิศทาง ซึ่งเพิ่มความได้เปรียบด้านกำลังพลของฝ่ายเหนือถึงขีดสุด แกรนท์ปรับโครงสร้างของกองทัพสหภาพ และวางตัวนายพลคนอื่นให้บังคับบัญชากองพลของกองทัพเพื่อสนับสนุนการบุกเวอร์จิเนียของเขา เขานำการทัพภาคพื้นดินเพื่อยึดริชมอนด์ แม้จะเผชิญกับการต้านทานอย่างดุเดือด เขาจะเปลี่ยนแผนและนำการล้อมปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งทำลายกองทัพที่เหลือของลีเกือบทั้งหมด แกรนท์มอบอำนาจให้เชอร์แมนยึดแอตแลนตาและเคลื่อนทัพไปยังทะเลโดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายสาธารณูปโภคของสมาพันธรัฐ เมื่อความพยายามป้องกันปีเตอร์สเบิร์กของสมาพันธรัฐล้มเหลว กองทัพสมาพันธรัฐล่าถอย แต่ก็ถูกตามล่าและพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งส่งผลให้ลียอมจำนนต่อแกรนท์ที่แอพโพแมตทอก คอร์ทเฮาส์เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1865
สงครามกลางเมืองอเมริกันเป็นหนึ่งในสงครามอุตสาหกรรมที่แท้จริงครั้งแรก ๆ ของโลก ทางรถไฟ โทรเลข เรือกลไฟ และอาวุธซึ่งผลิตเป็นจำนวนมากมีการใช้กันอย่างกว้างขวาง แบบของสงครามเบ็ดเสร็จ ซึ่งพัฒนาโดยเชอร์แมนในรัฐจอร์เจีย และสงครามสนามเพลาะรอบปีเตอร์สเบิร์กเกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในทวีปยุโรป สงครามครั้งนี้ยังเป็นสงครามที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้ทหารเสียชีวิตกว่า 620,000 นาย และพลเรือนเสียชีวิตไม่ทราบจำนวน นักประวัติศาสตร์ จอห์น ฮัดเดิลสตัน ประเมินยอดผู้เสียชีวิตว่า ชายรัฐทางเหนือทุกคนที่อายุระหว่าง 20-45 ปี เสียชีวิตไป 10% และชายรัฐทางใต้ทุกคนที่อายุระหว่าง 18-40 ปี เสียชีวิตไป 30%[4] ชัยชนะของฝ่ายเหนือหมายถึงจุดจบของสมาพันธรัฐและทาสในสหรัฐอเมริกา และเสริมอำนาจแก่รัฐบาลกลาง ปัญหาทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจและเชื้อชาติของสงครามมีอิทธิพลต่อยุคบูรณะซึ่งดำเนินไปจนถึง ค.ศ. 1877

สาเหตุของสงคราม

สาเหตุของสงครามเกิดจากความแตกต่างระหว่างแต่ละรัฐในสหรัฐอเมริกา ที่มีรูปแบบและชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก ในขณะที่รัฐทางใต้ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทาสในการเกษตรกรรมขนาดใหญ่ รัฐทางเหนือกลับเป็นรัฐอุตสาหกรรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทาสมากนัก เมื่ออับราฮัม ลิงคอล์นซึ่งมีแนวคิดต่อต้านระบบทาสอย่างชัดเจน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ทำให้รัฐทางใต้ 13 รัฐที่ไม่พอใจ แยกตัวเป็นอิสระ และตั้งรัฐบาลใหม่ในนามว่าสมาพันธรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861
 

มา ดูภาพประวัติศาสตร์อันงดงามของชีวิตความเป็นอยู่ประชากรในประเทศไทยเมื่อ สมัยก่อน

มา ดูภาพประวัติศาสตร์อันงดงามของชีวิตความเป็นอยู่ประชากรในประเทศไทยเมื่อ สมัยก่อน

มา ดูภาพประวัติศาสตร์อันงดงามของชีวิตความเป็นอยู่ประชากรในประเทศไทยเมื่อ สมัยก่อน ที่บอกเลยว่ามีความเป็นเอกราชในตัวของแต่ละรูป จะเป็นยังไงเราต้องไปดูให้ได้เห็นกันดีกว่าฮ๊าฟ

ที่มา  http://khaohot.blogspot.com/2015/03/blog-post_14.html

suriya mardeegun

หลักอหิงสาของมหาตมคานธี

หลักอหิงสาของมหาตมคานธี





credit photo :wikipedia



    อหิงสา
แนวคิดของศาสนา ฮินดู ที่มีความหมายว่า ก หลีกเลี่ยงความรุนแรง และไม่เบียดเบียนเคารพในชีวิตผู้อื่น เป็นภาษาสันสกฤตแปลว่า การหลีกเลี่ยงความบาดเจ็บ อหิงสามักมีคนนำมาใช้ในการประท้วง เป็นการประท้วงแบบสันติ อย่างเช่น มหาอาตมะ
คานธี ผ็ซึ่งเป็นต้นแบบของ การประท้วงแบบอหิงสา ซึ่งหลังจากนั้นมาก็มีคนนำวิธีการประท้วงแบบอหิงสามาใช้เช่นกัน




    มหาตมะ คานธี
ได้ใช้หลักอหิงสาในการประท้วงกับรัฐบาลอังกฤษ ในอินเดียเพื่อเรียกร้องเอกราช ทำควบคู่ไปกับสัตยเคราะห์ คือ วิธีการนี้เป็นวิธีการของความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวมั่นคง
ที่จะยืนหยัดอยู่กับความจริงและความถูกต้อง
โดยพร้อมที่จะยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง
และตามทรรศนะของคานธี
หลักสำคัญก็คือการควบคุมจิตใจไม่ให้เกิดความเกลียดชัง
อันจะนำไปสู่ความรุนแรงและการต่อสู้ที่ใช้กำลังต่อไป ประท้วงอย่างยุติธรรม ด้วยความเยือกเย็นและสงบต่อสาธารณชนและต่อผู้ก้าวร้าว
โดยพิจารณาถึงเหตุผลของผู้ก้าวร้าวด้วย
ให้เวลาแก่ผู้ก้าวร้าวได้คิด
และถึงแม้ว่าต่อมาฝ่ายก้าวร้าวจะไม่ยินยอมแก้ไขความผิดก็ตาม นักสัตยาเคราะห์ก็จะให้ฝ่ายนั้นได้รู้ถึงความตั้งใจของเขา ที่จะลงมือทำการ เคลื่อนไหวแบบ "อหิงสา" และก็กระทำจริงตามนั้นด้วย อย่างเช่น การรวมตัวกันประชาชนนับพันคน ไปรวมตัวสังสรรค์กันที่สวนสาธารณะชัลลียันวาลา
เมืองอมฤตสระ
เพื่อเรียกร้องเอกราช
ได้ถูกนายพลไดเยอร์
ผู้บังคับบัญชากองทหารอังกฤษในอมฤตสระ ผู้ซึ่งเคียดแค้นชาวอินเดียและต้องการให้อินเดีย เห็นถึงอนุภาพของอังกฤษ
โดยการยิงประชาชน ที่มาชุมนุม เสียชีวิตนับพันคนเสียชีวิต และบาดเจ็บกว่าสามพัน
โดยที่ประชนเหล่านั้น ไม่ได้ตอบโต้หรือต่อสู้ทางกำลังเลย
ส่งผลให้รัฐบาลอังกฤษเสื่อมเสียเกียติอย่างมากจนยากที่จะฟื้นตัว หรือเหตุการณ์ที่ประชาชน
ประท้วงกฎหมายอังกฤษ ที่ห้ามคนอินเดียทำเกลือกินเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรที่จะไม่ให้คนอินเดียใช้ทรัพยากรของอินเดีย
โดยในวันที่ 12 มีนาคม
คานธีได้เริ่มการเดินทางไปยังชายทะเลในตำบลฑัณฑี พร้อมกับประชาชนนับแสนคน
ร่วมทำเกลือกินเอง เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอังกฤษ
ที่ตั้งไว้ หรือเรียกว่า
อารยะขัดขืน
หรือ
civil disobedience” คือการไม่ทำตามคำสั่งหรือกฎหมายของรัฐบาลหรือผู้ถืออำนาจ
โดยปราศจากความรุนแรงทางกายภาพ ประชาชนได้กระทำการประท้วงโดยปราศจากการใช้กำลัง ถึงแม้ว่าจะถูกคนของรัฐบาลทำร้ายแต่ก็ยังเดินหน้าต่อไป
แม้จะได้รับบาดเจ็บจากการถูกทุบตีก็ตาม การกระทำนี้ทำให้ มีการพูดถึงกันทั่วโลก
ทำให้รัฐบาลอังกฤษยิ่งเสียหน้า และเริ่มใจอ่อน กับการให้เอกราชกับอินเดีย
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สำคัญก่อนได้รับเอกราชคือ
ความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม และประชาชนที่นับถือศาสนาฮินดู
นำไปสู่การแบ่งแยกเป็นสองประเทศคืออินเดียและปากีสถาน
เหตุการณ์นี้ทำให้คานธีเสียใจอย่างมาก และพยายามทำให้ประชาชนสามัคคีกัน อย่างเช่น
เหตุการณ์ความรุนแรงในกัลกัตตา คานธีได้ประท้วงอดอาหารให้ประชาชนหยุดทะเลาะกัน
จนในที่สุดประชาชนก็เลิกทะเลาะกัน และต่อมา
รัฐบาลอังกฤษก็ได้ให้เอกราชกับอินเดียโดยสมบูรณ์
การกระทำของคานธีโดยใช้หลักอหิงสานั้น เป็นแบบอย่างให้กับ หลายๆประเทศทั่วโลก
อย่างเช่น ขบวนการสิทธิพลเมือง ในสหรัฐอเมริกา
ที่เรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของคนผิวขาวและผิวดำ เป็นต้น
การชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องเอกราชโดยยึดหลักอหิงสาของมหาตมะ คานธีเป็นวิธีการต่อสู้แบบสงบที่เป็นวิธีที่ได้ผลและดีที่สุด จนเป็นแบบอย่างให้กับประเทศต่างๆนำไปเป็นแบบอย่างในการประท้วงของท่านมหาตมะ
คานธีเป็นอหิงสาที่แท้จริงคือบ่มลึกไปที่จิตใจคน ไม่ให้เกลียดชัง
และใช้ความเยือกเย็น จนทำให้การชุมนุมประท้วงปราศจากการใช้กำลัง


ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

suriya mardeegun

ลุงโฮ หรือ โฮจิมินห์

ลุงโฮ หรือ โฮจิมินห์




โฮจิมินห์
โฮ จิมินท์ หรือ “ลุงโฮ” บิดาแห่ง ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เกิดวันที่19 พฤษภาคม ค.ศ. 1890 (พ.ศ.2433) ณ จังหวัด เหงะอาน เป็นบุตรคนที่สามหรือคนสุดท้องของครอบครัวชาวนาที่มีความคิดก้าวหน้ามีการ ศึกษา และต่อสู้เพื่อเอกราช



หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยม ตามระบบโรงเรียนสมัยใหม่ที่มีไม่มากแห่งนักในเวียดนาม โฮจิมินห์ได้ไปเป็นครูในช่วงสั้นๆ ไม่ถึงปี ขณะอายุ22ปี โฮจิมินห์ก็ตัดสินใจลาออกโดย “มุ่งสู่ตะวันตก” เพื่อที่จะนำความรู้และประสบการณ์กลับมาพัฒนาบ้านเมืองเวียดนาม โฮจิมินห์ประกอบอาชีพหลายอย่างในต่างแดน เช่น ผู้ช่วยคนครัว คนทำสวน ภารโรง ลูกจ้างร้านถ่ายรูป และอื่นๆ แต่ที่เหนืออื่นใดคือ โฮจิมินห์มีความรู้ถึง6 ภาษา ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย สเปน และเยอรมัน



เมื่อ สงครามโลกครั้งที่1 ยุติลง (ค.ศ. 1918/ พ.ศ. 2461) โฮจิมินห์ได้เป็นตัวแทนชาวเวียดนามที่ยื่นข้อเสนอเพื่อเรียกร้องความเป็น ธรรม และเอกราชให้แก่เวียดนามต่อที่ ประชุมเจรจาสันติภาพแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส แต่ไม่มีประเทศมหาอำนาจใดให้ความสนใจต่อปัญหาเอกราชเวียดนาม ดังนั้น แนวทางของลัทธิมาร์กซ์- เลนิน รวมทั้งชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ในโซเวียต (ค.ศ. 1917/พ.ศ. 2460) ได้ทำให้โฮจิมินห์ค้นพบหลักอุดมการณ์ในการต่อสู้เพื่อเอกราชเวียดนาม เพื่อต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสและจักรวรรดินิยมอเมริกา



โฮ จิมินห์เดินทางไปหลายประเทศเพื่อรณรงค์ในปัญหาเอกราชเวียดนามและแสวงหาความ สนับสนุนด้านต่างๆ จากชาวเวียดนามที่หลบหนีการกดขี่จากการปกครองของฝรั่งเศสอยู่นอกประเทศ รวมทั้งเข้ามารณรงค์ในประเทศสยามประมาณปีกว่า (ปลายปี 1928-ต้นปี1930/ปลายปี 2471-ต้นปี2472) บ้านพักของโฮจิมินห์ ที่บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ในปัจจุบันได้จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่เปิดให้ประชาชน เข้าชม ทั้งยังมีต้นมะเฟืองและต้นมะพร้าว ที่โฮจิมินห์ได้ปลูกไว้ประมาณปีพ.ศ. 2472 ด้วย


โฮจิมินห์ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จของการรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวและขับไล่กองทัพ ผู้รุกรานออกไปจากแผ่นดินเวียดนามเมื่อ 30 เมษายน ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518)




79ปีของชีวิตโฮจิมินห์คือ 79ปีของการต่อสู้เพื่อเอกราชเวียดนาม
สำหรับโฮจิมินห์แล้ว “ไม่มีสิ่งใดมีค่ายิ่งกว่าอกราชแห่งชาติและเสรีภาพ”
โฮจิมินห์ได้บันทึกไว้ในพินัยกรรมแห่งเวียดนามว่า
“ความสามัคคีคือประเพณีที่มีค่าสูงสุดของพรรคและประชาชนของเรา”
“พรรคของเรามีอำนาจ และเราก็เป็นผู้รับใช้ที่จงรักภักดีของประชาชนด้วย”
และที่สำคัญยิ่งคือ “ท่านจมีทุกสิ่งถ้าท่านมีประชาชน”






แหล่งข้อมูล  :  เวีนดนาม :ประวัติศาสตร์ฉบับพิสดาร (Vietnam: A long History)


suriya mardeegun

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตะเบงชเวตี้ …พระเจ้าหงสาลิ้นดำ

ตะเบงชเวตี้ …พระเจ้าหงสาลิ้นดำ

Tabinshwehti

เอ่ยถึงพระนามพระเจ้าตะเบงชเวตี้ คนไทยส่วนใหญ่คงจะรู้จักกันดีแม้ว่าจะไม่ใช่คนที่สนใจประวัติศาสตร์นัก กษัตริย์พม่าพระองค์นี้มีบทบาทอย่างยิ่งกับประวัติศาสตร์ไทยในช่วงที่เรา เสียกรุงครั้งแรก แม้ว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ แต่ก็นับเป็นการบอกเหตุและเป็นการบ่งบอกถึงยุคทองของพม่าในยุคโบราณ
พระเจ้าตะเบงชเวตี้ เดิมคือ มังตราราชบุตร เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าตองอู เมงคยินโย วัย เด็กมีเพื่อนเล่นที่เป็นเพื่อนตายคือ จะเด็ด คนเดียวกับที่ ยาขอบ เอามาเขียนเป็นนิยายขายดีนั่นล่ะ มังตราราชบุตรขึ้นเสวยราชสมบัติตั้งแต่พระเยาว์คือเมื่อพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา อายุขนาดนี้ในสมัยก่อนก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วล่ะครับ และอายุขนาดนี้นี่ล่ะที่เริ่มแสดงให้เห็นถึงพระบรมเดชานุภาพที่ใครๆ ต้องขยาด
ในสมัยขะโน้น พม่ากับมอญยังคงรบกันสนุกสนาน คือนอกจากอโยธยาที่พม่าหมั่นเพียรมาทำศึกเสมอแล้ว ก็มีมอญนี่ล่ะที่รบกันไม่มีเบื่อ ต่างฝ่ายต่างผลัดกันขึ้นเป็นใหญ่เหนือแผ่นดินลุ่มน้ำอิระวดี ในสมัยของพระองค์นั้นมอญยังเป็นเสี้ยนหนามของพม่าที่หมายจะยึดเอาให้ได้ ตอนที่ถึงวัยที่พระองค์ต้องเข้าพิธีเจาะพระกรรณ ซึ่งก็คล้ายๆ กับพิธีโกนจุกของบ้านเรานั่นล่ะ เป็นการแสดงการเปลี่ยนผ่านวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว พระองค์นำทหารพม่าเพียง ๕๐๐ เดินทัพดุ่ยๆ ไปถึงพระมหาเจดีย์ชเวมอร์ดอ (พระธาตุมุเตา) ท่ามกลางทหารมอญเป็นพันที่ล้อมพระองค์อยู่ แต่พระองค์ก็ไม่สนพระทัย ดำเนินพิธีเจาะพระกรรณจนเสร็จแล้วเสด็จกลับตองอูหน้าตาเฉย โดยทหารมอญได้แต่มองตากันปริบๆ นับเป็นการเหยียบหน้ามอญอย่างจัง
Tabinshwehti2ภาพเขียนตอนที่พระองค์ทรงทำพิธีเจาะพระกรรณหน้าพระธาตุมุเตา
จากนั้นไม่นานพระองค์ก็เหยียบแผ่นดินมอญอีกครั้งในฐานะผู้ชนะสงคราม นอกจากมอญแล้วแผ่นดินใกล้เคียงก็ตกอยู่ภายใต้อาญาสิทธิ์ของพระองค์ทั้งสิ้น ทั้ง แปร พะสิม ยะไข่ แล้วเป้าหมายต่อมาก็คืออโยธยา
มีการวิเคราะห์กันว่าพระองค์เป็นเกย์! เกย์ในที่นี้เป็นความหมายของฝรั่งที่เขาใช้บ่งบอกถึงบุคคลที่มีรสนิยมทางเพศ ผิดปกติจากทั่วไป คนไทยเรามักเข้าใจว่าหมายถึงเฉพาะกลุ่มชายรักชาย แต่เกย์มีความหมายกว้างกว่านั้น ทั้งหญิงรักหญิง หรือพวกที่ได้ทั้งสองเพศ และยังว่ากันว่าพระองค์มีบุคลิกเป็นสตรีมากกว่าบุรุษ จะจริงหรือไม่ประการใดก็ไม่อาจทราบได้นะครับ
Tabinshwehti3พระมหาเจดีย์ชเวมอร์ดอ หรือพระธาตุมุเตา ที่พระองค์เคารพมาก
ในเอกสารจดหมายเหตุที่เขียนโดย ปินโต ฝรั่งชาวโปรตุเกสที่เข้ามาอาศัยบนแผ่นดินพม่าได้เขียนเล่าถึงความโหดเหี้ยม ในการจัดการกับเชลยศึกของพระองค์ บ้างก็ว่าพระองค์จับเชลยศึกมาทรมานหน้าพระที่นั่ง อย่างเช่นใช้ไม้แหลมเสียบทวารทะลุถึงศีรษะ นำคนในครอบครัวมัดรวมกันแล้วถ่วงน้ำ พระองค์ยังนิยมทรมานสตรีมากเป็นพิเศษ นัยว่าไม่โปรดสตรี โดยนำมาเฆี่ยนตีจนถึงแก่ชีวิต แม้กระทั่งเด็กๆ ก็ไม่เว้น ถูกนำมาสังหาร หั่นเป็นชิ้นๆ ให้เป็นอาหารช้าง! หรือเมื่อครั้งยาตราทัพหมายจะชิงเอาอโยธยาเมื่อครั้งต้น ต้องผ่านด่านเมืองกาญจนบุรี พระองค์สั่งให้สังหารเชลยชาวกาญจนบุรีเกือบหมดสิ้น ด้วยเพราะขวางการเดินทัพของพระองค์ทำให้เสียเวลาถึงสามวัน เรื่องโหดๆ แบบนี้ก็ต้องพิจารณากันให้ดี ไอ้ที่ฝรั่งเขียนนั้นบางทีก็แต่งเติมเสียเกินจริง จนเกือบจะเป็นนิยาย อย่างในสมัยช่วงท้ายของราชวงศ์พม่าก่อนจะเสียให้อังกฤษ ก็มีการบันทึกถึงการสังหารหมู่หลายหนจนเหมือนกับเป็นนิยายสยองขวัญ ที่ว่าพระองค์โหดนั้นน่าจะจริง แต่น่าจะโหดในเชิงสงครามมากกว่า
Tabinshwehtiภาพจากภาพยนตร์ สุริโยทัย ที่ส่อแววให้คนดูเข้าใจรสนิยมของพระองค์
พระเจ้าตะเบงชเวตี้ บุกเข้าตีเมืองมอญได้กรุงหงสาวดีและบุกเข้าตีเมืองเชียงกรานเนื่องจากคิดว่า เป็นแผ่นดินมอญ จนสมเด็จพระไชยราชาธิราชต้องยกทัพหลวงขึ้นมาต้าน นี่เองจึงถูกบันทึกว่าเป็นการรบระหว่างพม่ากับไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งจะว่าไปคงเป็นไปได้ยากที่พระองค์จะคิดพลาดว่าเชียงกรานเป็นของมอญ ผมคิดเอาเองตามประสานักประวัติศาสตร์สมัครเล่นนะ ว่าพระองค์คงอยากจะหยั่งเชิงอโยธยาดูสักหน่อย คือไหนๆ มาก็ยึดเอามอญได้แล้ว ก็เลยลองเหยียบเชียงกราน ดูแววอโยธยาเพื่อดูเชิงทัพไทย

ความหวังในการยึดเอาอโยธยานั้นยัง ไม่สมพระประสงค์ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ด้วยพระชนมายุเพียง ๓๔ พรรษา วิญญาณของพระองค์ยังกลายเป็นผีหรือ “นัต” ตามความเชื่อของชาวพม่า ที่ได้รับการเคารพบูชามาถึงปัจจุบันอีกด้วย

Suriya mardeegun

พระเจดีย์ชเวดากอง และ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

พระเจดีย์ชเวดากอง และ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ของเมียนม่า

ไปขุดเจอบทความหนึ่งใน ศิลปวัฒนธรรม เขาเรียบเรียงมาจากบทความ Icon of Identity As Sites of Protest: Burma and Thailand. พยายามหา paper เต็มๆ มาอ่าน แต่ดันเป็นภาษาจีนเสียนี่ คนเขียนเป็นฝรั่งแต่เขาไปเสนอผลงานในการประชุมที่จีน เข้าใจว่าเพราะเหตุนี้เลยเป็นภาษาจีน
DSCF4624

ประเด็นก็คือเขาเปรียบเทียบพม่ากับไทย โดยยกเอาสถานที่ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์อย่าง พระเจดีย์ชเวดากอง และ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มาเป็นกรณีศึกษาในประเด็นทางการเมืองว่าด้วยการประท้วงและเรียกร้อง ประชาธิปไตย (หรือเรื่องอื่นๆ ก็ตาม) อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของบ้านเรานั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นอนุสรณ์ทางการ เมือง จึงเป็น Landmark สำคัญเวลามีสถานการณ์ทางการเมืองไม่ว่าจะร้อนมากหรือร้อนน้อย แต่กับ ชเวดากอง นั้นไม่ใช่ พระมหาเจดีย์ถูกเปลี่ยนสถานะอย่างเป็นทางการน่าจะเป็นช่วงก่อนเกิดสงคราม ระหว่างพม่ากับอังกฤษในยุคแรก ตอนที่อังกฤษบุกเข้ามายึดย่างกุ้งนั้นก็มาเอาชเวดากองเป็นที่มั่น เพราะตั้งอยู่ที่สูง ชัยภูมิดี แต่ส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าอังกฤษต้องการเอาพระมหาเจดีย์เป็นตัวประกัน อย่าลืมว่าอังกฤษไม่ใช่เพิ่งเข้ามา แต่ดอดเข้ามาหากินในพม่ามานานจนรู้ไส้พุงรู้นิสัยคนพม่าดี ถ้าใครเคยอ่านประวัติศาสตร์พม่าคงเคยพบมีการบันทึกว่า อังกฤษตั้งฐานที่ชเวดากอง จนทหารพม่าไม่กล้ายิงเข้าไปเพราะกลัวจะโดนพระมหาเจดีย์ บางคนเห็นคนนอกศาสนาเข้ามายึดพระมหาเจดีย์ก็ทอดอาลัย ทิ้งปืนยอมแพ้มันเสียเลย ขออย่างเดียวอย่าทำอะไรพระมหาเจดีย์ … พุทโธ่เอ๋ย
ที่สุดอังกฤษก็ยีดเอาพม่าตอนใต้ไว้ได้ คนพม่าตอนบนที่อพยพหนีไปก็ใจหาย ผ่านไปไม่นานก็แอบหนีมาอยู่ตอนใต้ยอมอยู่ใต้อาณัติฝรั่ง เพราะได้ใกล้ชิดพระมหาเจดีย์ เขาศรัทธาของเขาอย่างนั้นนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่รักชาติไม่รักเอกราช อีกทั้งความเป็นอยู่ในพม่าตอนบนก็ใช่ว่าจะดี พม่าตอนใต้เจริญเอาๆ เพราะอังกฤษปกครองแบบใช้หลักกฎหมาย พัฒนาโน่นพัฒนานี่ แต่อังกฤษก็ไม่ได้นอนใจ พระเจ้ามินดง มีพระราชประสงค์จะเสด็จมาประกอบพิธีถวายยอดฉัตรชเวดากอง แต่อังกฤษเซย์โน เบื้องลึกนั้นเพราะอังกฤษไม่ต้องการให้ราชสำนักพม่าแสดงตนว่ายังคงมีอิทธิพล ต่อพระพุทธศาสนาและ Rebranding ระบอบกษัตริย์จนอาจทำให้คนพม่าเริ่มเขว นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าพระมหาเจดีย์เริ่มถูกกำหนดบทบาทใหม่จากศาสนสถานเป็น สัญลักษณ์ทางการเมือง
DSCF4673
ชเวดากอง กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญก็สมัยที่พม่าพยายามเรียกร้องเอกราช จากอังกฤษ และช่วงที่เรียกร้องประชาธิปไตยจากรัฐบาลทหาร คงจำกันได้ว่า อองซาน ซูจี ประกาศตัวเป็นทายาททางการเมืองต่อจากบิดา โดยปราศรัยครั้งแรกก็ที่ชเวดากองนี่ล่ะ ใครที่ได้ชมภาพยนตร์ The Lady ก็น่าจะพอนึกภาพออก ว่ากันว่าแม้รัฐบาลทหารจะพยายามสกัดกั้นทุกวิถีทาง คนพม่าก็ยังอุตส่าห์แห่แหนไปฟังเธอปราศรัยถึงหลักล้านคน!

แต่ว่าต่อให้ ชเวดากอง จะถูกกำหนดบทบาทในฐานะอะไรก็ตาม จากคนกลุ่มใดก็ตาม เนื้อแท้ที่ชาวพม่าน่าจะทั้งประเทศยังคงระลึกเสมอก็คือ นี่คือศาสนสถานที่พวกเขาให้ความเคารพศรัทธามากที่สุด ว่ากันว่าหากจะยึดประเทศนี้ไม่ต้องยกกองทัพไปยึดนครหลวง แต่ให้ไปยึดพระมหาเจดีย์แทน แต่หากจะมีใครทำนี้จริง ผมเชื่อว่าคงไม่มีทางทำสำเร็จ เพราะคงต้องฝ่าด่านมหาชนชาวพม่าทั้งประเทศให้ได้เสียก่อนล่ะ

จาก ศิลปวัฒนธรรม

suriya mardeegun

Anna and The King

Anna and The King

 ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าที่ เปิดกรุ๊ปบล็อกใหม่ ก็เพราะหนังเรื่องนี้เลย กะไว้ว่าดูหนังประวัติศาสตร์ หรือหนังสนุกๆเรื่องไหน ถ้ามีเวลาก็จะได้มารีวิว ลงบล็อกคะ ดูเรื่องนี้แล้วในฐานะผู้ชมรู้สึกว่าเป็นหนังโรแมนติคที่ดีเรื่องหนึ่งแต่ใน ฐานะนักเรียนปนะวัติศาสตร์ดูแล้วแอบหงุดหงิดๆๆ


ฉะนั้นพอดู แล้วจึงรู้สึกประทับใจและขัดใจผสมกัน ที่จริงอยากดูเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ตั้งแต่ที่มีข่าวว่าหนังเรื่องนี้ถูกแบนไม่ให้เข้าฉายตอนนั้นอยู่แค่ป.3มั้ง ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร สงสัยแค่ว่าทำไมแบนหล่ะ โตมาสักมอสองได้มีโอกาสอ่านนิยายเรื่องนี้ ก็รู้สึกสนุก (แต่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่ามันบิดเบือนยังไง) พอมอปลายอาจารย์ท่านหนึ่งได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ให้ฟังจึงรู้สึกว่า ทำไมคุณแอนนาถึงขี้โม้แบบนี้ พอมหาลัยก็เริ่มศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อได้อ่านนิตยสาร ฉบับพิเศษของสำนักพิมพ์มติชนที่พบจดหมายที่The King ได้ส่งถึงแอนนาทำให้ได้ทราบว่าสิ่งที่หล่อนเขียนก็มีมูลความจริงบ้าง แต่ ยังไงก็รับไม่ได้กับหลายๆฉากในเรื่องนี้ แต่ดูไปก็พยายามทำใจว่า มันเป็นเพียงนิยาย และพยายามเข้าใจหล่อนว่า ที่เขียนไปอาจจะมีฉากเกินจริงบ้างเพื่ออรรถรส ก็คิดไว้ว่า มันเป็นนิยายๆ





ทอม เฟลตันตอนเด็กน่ารักสะไม่มี สังเกตว่าไม่มีนักแสดงไทยเลยยย เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากไทยเลย แหงละเนอะ นักแสดงหลักส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนโดยเฉพาะตัวเอกคุณโจวเหวินฟะ นั่นเอง ต้องนับถือนักแสดงพวกนี้มากๆ เพราะต้องพูดภาษาไทยทั้งๆที่ไม่ใช่คนไทย แม้จะพูดไม่ชัดก็ตาม (พยายามดูซับอิงค์เอาคะ)




หลุยส์และเจ้าฟ้าหญิงกำลังเรียนหนังสือคะ







แอ นนาและเดอะคิง ในฉากเต้นรำ ในพิธีต้อนรับท่านทูตที่แหม่มแอนนาได้จัดแจงเตรียมตัวคนในวังให้เข้ากับพิธี แบบตะวันตก ทั้งการรินไวน์ มารยาทบนโต๊ะ และเสื้อผ้า (เก่งเนอะหล่อน - -)




ฉาก โดยรวมของเรื่องทำให้คิดว่า หล่อนเป็นสตรีที่เก่งกาจ โดยในเรื่องได้มีฉากของกบฎที่เป็นไส้ศึกกับพม่าเพื่อล้มราชวงค์ และก็มีแอนนานนี่แหละช่วยเหลือ ไม่พูดมากละ ไว้ลองไปหาดูกันนะคะ ทำใจไว้ก่อนก็ดีคะ ^^แต่ก็ขอให้คิดสะว่า เป็นนิยายคะๆ



suriya mardeegun

กำแพงเบอร์ลิน

The Berlin Wall


กำแพงเบอร์ลิน




หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
ในปีค.ศ.
1946
เยอรมันในฐานะประเทศที่พ่ายแพ้สงครามได้ถูกแบ่งเป็นสี่เขตการปกครอง ของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามทั้งสี่
ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต ฝรั่งเศส และอังกฤษ ส่วนเมืองหลวงกรุงเบอร์ลินนั้นอยู่ในเขตปกครองของสหภาพโซเวียต
แต่กรุงเบอร์ลินก็ถูกแบ่งเป็นสี่ส่วนด้วยเช่นกัน หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง
ยุโรปก็ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่าสงครามเย็น
(Cold war) ของสองขั้วอำนาจคือสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต
โดยอเมริกาเข้ามาดูแลฟื้นฟูประเทศยุโรปทางด้านตะวันตกแทนอังกฤษและฝรั่งเศส
ที่บอบช้ำจากสงคราม ส่วนโซเวียตนั้นเข้ามาดูแลยุโรปตะวันออก
รวม ทั้งสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกให้มีอำนาจขึ้นมาปกครองประเทศ ด้วย โดยเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดขัดแย้งสำคัญของสองขั้วอำนาจได้แก่
การที่โซเวียตสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในกรีซให้ขึ้นมามีอำนาจ
ทำให้อเมริกาต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือรัฐบาลกรีซ พร้อมกับประกาศ”หลักการทรูแมน”
(Truman Doctrine) การประกาศหลักการทรูแมนนี้เองที่ทำให้การขัดแย้งระหว่างอเมริกาและโซเวียตชัดเจนขึ้น
ทางฝ่ายโซเวียตเองก็ต้องการขยายอุดมการณ์ของตน ส่วนอเมริกาก็พยายามป้องกันประเทศที่ถูกลัทธิคอมมิวนิสต์คุกคาม
อย่างเช่น กรีซ ตุรกี เป็นต้น ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้แผนการมาร์แชล
(The Marshall plan) ขึ้นเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของเยอรมันและยุโรป
ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายของอเมริกาในการช่วยเหลือประเทศที่ถูกคอมมิวนิสต์คุกคามได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่โซเวียตก็ได้จัดตั้งสำนักงานข่าวสารคอมมิวนิสต์หรือโคมินฟอร์มขึ้น
(Cominform) เพื่อ ทำหน้าที่โฆษณาเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ออกไปให้กว้างขวางและเป็นศูนย์กลางใน การแลกเปลี่ยนทัศนะและประสบการณ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ต่างๆในการรวมพลัง ต่อต้านโลกตะวันตก
ความขัดแย้งระหว่างสองขั้วอำนาจตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งในเดือนมกราคม
ค.ศ.
1947 อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส
ประกาศรวมเขตปกครองของตนในเยอรมันเป็นเขตเดียว โซเวียตแสดงความไม่พอใจต่อการรวมตัวกันของเขตปกครองเยอรมันตะวันตกเพราะขัดต่อสนธิสัญญา
Potsdam ที่ต้องผ่านการเห็นชอบจากสภาควบคุมแห่งสัมพันธมิตร(Allied Control Council)และต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948 กรุงเบอร์ลินก็มีเงินตราสองแบบระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและเบอร์ลินตะวันตก
ความไม่พอใจของโซเวียตส่งผลให้ในเดือนมิถุนายน
วันที่
24 สหภาพโซเวียตตัดสินใจตัดเส้นทางการขนส่งเข้ากรุงเบอร์ลิน
หรือที่เรียกกันว่า การปิดกั้นเบอร์ลิน
(Berlin Blockade)ขึ้น
เบอร์ลิน ตะวันตกที่เปรียบเสมือนเกาะหนึ่งของเขตปกครองเยอรมันตะวันตกที่อยู่ท่ามกลาง ดินแดนที่อยู่ในการปกครองของสหภาพโซเวียตหรือเขตปกครองเยอรมันตะวันออก เมื่อสหภาพโซเวียตปิดกั้นเส้นทางการเข้าเบอร์ลินทั้งหมด
ทำให้การติดต่อระหว่างเบอร์ลินตะวันตก กับเขตเยอรมันตะวันตกได้ชะงักลง ฝ่ายอเมริกาก็ทำการช่วยเหลือชาวเบอร์ลินตะวันตกด้วยการใช้การลำเลียงขนส่งทางอากาศหรือที่เรียกว่า
Berlin Airlift ทำให้ชาวเบอร์ลินตะวันตกสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ การปิดกั้นดำรงอยู่11เดือน สหภาพโซเวียตจึงตัดสินใจยุติการปิดกั้น


หลังจากการปิดกั้น ในวันที่21
กันยายน ค.ศ.
1947 ฝ่ายอเมริกา อังกฤษ
และฝรั่งเศสตัดสินใจจัดตั้งเขตเยอรมันตะวันตกเป็นสหพันธ์รัฐเยอรมัน
(Federal Republic of Germany) หรือเยอรมันตะวันตกขึ้นโดยมีกรุงบอนน์(Bonn)เป็นเมืองหลวง
ส่วนสหภาพโซเวียตก็ตอบโต้โดยการจัดตั้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน
(The German Democratic Replublic) หรือเยอรมันตะวันออกขึ้น ในวันที่9ตุลาคม ค.ศ. 1947
ทำให้เยอรมันถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศอย่างเด็ดขาดแต่ละประเทศต่างมีวิถีการเมือง
เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมที่แตกต่างกัน
ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าฝ่ายตนเป็นผู้แทนที่ถูกต้องของประชาชาติเยอรมันและไม่ยอมรับสภาพความอยู่เป็นรัฐของแต่ละฝ่าย
ปัญหาเยอรมันและปัญหานครเบอร์ลินจึงมีผลกระทบต่อการเมืองในยุโรป
และมีส่วนทำให้ความขัดแย้งในเบอร์ลินมีความตึงเครียดมากขึ้น


ในช่วงปี๑๙๔๙จนถึง๑๙๖๑
มีประชากรเยอรมันตะวันออกถึง๒.๗ล้านคน อพยพมายังดินแดนเยอรมันตะวันตก
เนื่องด้วยสภาพความอยู่เป็นที่ลำบาก จึงอพยพไปยังดินแดนเยอรมันตะวันตกที่มีความมั่งคั่งกว่า
ประชากรที่อพยพไปยังดินแดนเยอรมันตะวันตกนั้น ส่วนมากเป็นประชากรที่เป็นหนุ่มสาว
ซึ่งเป็นกำลังแรงงานที่สำคัญของประเทศ
รวมถึงปัญญาชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญของชาติก็อพยพไปด้วย ทำให้เยอรมันตะวันออกขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของประเทศ
ปัญหาการอพยพจึงเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ เศรษฐกิจของเยอรมันตะวันออกย่ำแย่เพราะสูญเสียแรงงานที่มีประสิทธิภาพไป
แม้จะมีการปิดกั้นชายแดนระหว่างเยอรมันตะวันตกและตะวันออก
คง เปิดไว้แต่เขตเยอรมันตะวันออกกับกรุงเบอร์ลินตะวันตกเท่านั้น ชาวเยอรมันตะวันออกจะเข้าไปยังดินแดนเยอรมันตะวันตกได้จะต้องได้รับการอนุ ญาต
หากฝ่าฝืนก็จะมีโทษจำคุกถึงสามปี
แต่มาตรการนี้ก็ยังไม่สามารถยับยั้งการหลบหนีของประชากรได้
โซเวียตมีความหวังว่าอเมริกาจะยอมปล่อยเบอร์ลินตะวันตก แม้จะทำการขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์
แต่อเมริกาและกลุ่มประเทศตะวันตกต่างตกลงกันเพื่อที่จะปกป้องเบอร์ลินตะวันตก


ในค่ำคืนของวันที่12 สิงหาคม ค.ศ. 1961ทางเยอรมันตะวันออกได้ตัดสินใจทำรั้วกั้นพื้นที่รอบเบอร์ลินตะวันตกในขณะที่ประชากรชาวเบอร์ลินกำลังหลับไหล
เพื่อสกัดกั้นการอพยพเข้าไปยังเบอร์ลินตะวันตก และเสร็จสิ้นในเช้าของวันที่
13สิงหาคม ค.ศ. 1961 ท่ามกลางความประหลาดใจของชาวเบอร์ลินทั้งสองฝั่งที่ไม่คิดว่าฝ่ายเยอรมัน ตะวันออกจะกระทำการโดยใช้กำแพงเป็นการสกัดกั้นประชาชนของตนไม่ให้อพยพออกไป
ผู้คนต่างต้องตัดขาดจากครอบครัว เพื่อน
คนรักและบางคนก็ไม่สามารถไปทำงานได้เพราะการสร้างกำแพง
ทางฝ่ายอเมริกาก็ได้แต่เพียงประณามการกระทำของเยอรมันตะวันออกเท่านั้น
ซึ่งเป็นไปตามการคาดคะเนของนายนิกิต้า ครุสชอฟ ประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต
ที่คาดการณ์ไว้ว่าทางฝ่ายตะวันตกคงไม่เสี่ยงทำสงครามกับโซเวียตเพียงเพราะปัญหาเบอร์ลิน


กำแพงเบอร์ลินทอดยาวไปกว่าร้อยไมล์
ซึ่งไม่ได้ปิดกั้นเฉพาะในกลางกรุงเบอร์ลินเท่านั้น
แต่ปิดล้อมไปทั่วเบอร์ลินตะวันตก ซึ่งเป็นการตัดขาดเบอร์ลินตะวันตกจากเยอรมันตะวันออก กำแพงในระยะแรกเป็นเพียงรั้วลวดหนามกั้นเท่านั้น
ประชาชนชาวเบอร์ลินยังสามารถพูดคุยกับคนฝ่ายตรงข้ามได้
และบางส่วนของกำแพงก็เป็นผนังของอพาร์ทเมนท์
จึงมีการหลบหนีโดยกระโดดลงจากหน้าต่างอพาร์ทเมนท์บ้าง
หรือบางคนก็ขับรถพุ่งชนกำแพงที่เป็นเพียงลวดหนาม
แต่ในระยะเวลาไม่กี่วันกำแพงก็ถูกแทนที่ด้วยกำแพงที่มีความแข็งแกร่งกว่า ที่ตัวกำแพงเป็นอิฐบล็อกคอนกรีต
ด้านบนมีสายลวดหนามล้อมรอบ และในปี
1965กำแพงก็ได้เปลี่ยนเป็นแบบที่สาม
ที่มีความแข็งแกร่งมาก คือตัวกำแพงสร้างด้วยคอนกรีตที่ความแข็งแกร่ง
ที่มีเหล็กกล้าเสริมความแข็งแกร่ง และในช่วงปี
1975จนถึง1980 ก็เป็นช่วงที่กำแพงเบอร์ลินแบบที่สี่ถูกสร้างขึ้น
ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก ตัวกำแพงทำด้วยวัสดุที่เป็นคอนกรีตอย่างดีมีความสูงถึง
12ฟุต (3.6เมตร)
และกว้างถึง
4ฟุต (1.2เมตร)
ด้านบนประกอบไปด้วยท่อเรียบๆ ที่ป้องกันไม่ให้คนสามารถปีนหลบหนีขึ้นกำแพงได้
แม้ว่าจะมีการปิดกั้นแต่หลังจากการปิดกั้นได้สองปี
ก็มีการเปิดโอกาสให้ชาวเบอร์ลินตะวันตกสามารถเข้าไปเยี่ยมญาติพี่น้องในเขตเบอร์ลินตะวันออกได้
โดยผ่านจุดตรวจหรือที่เรียกว่า
Check Point โดยจุดตรวจที่มีชื่อเสียงได้แก่Check Point Charlie ซึ่งตั้งอยู่พรมแดนระหว่างตะวันออกและตะวันตกของเบอร์ลิน Check Point Charlie เป็นจุดหลักที่อนุญาต
ให้ฝ่ายสัมพันธมิตรหรือชาวเบอร์ลินตะวันตกใช้ในการข้ามพรมแดนเพื่อไปยังเขตตะวันออก


กำแพงเบอร์ลินสร้างขึ้นเพื่อสกัดกั้นประชาชนจากเยอรมันตะวันออกไม่ให้อพยพไปยังเขตเยอรมันตะวันตก
แต่การสร้างกำแพงก็ไม่สามารถยับยั้งการหลบหนีได้อย่างเต็มที่ ในช่วงที่มีกำแพงเบอร์ลินนั้น
มีประชาชนกว่า
5พันคน
สามารถหลบหนีไปยังเขตตะวันตกได้อย่างปลอดภัย ผู้ที่สามารถหลบหนีได้สำเร็จส่วนมากจะใช้วิธีโดยการโรยเชือกข้ามกำแพงและปีนขึ้นไป และบ้างก็มุทะลุโดยการขับรถถังหรือรถบัสขับทะลุกำแพงเพื่อหลบหนี
บางวิธีก็เป็นเหมือนการฆ่าตัวตายเช่น
การ กระโดดลงมาจากหน้าต่างของอพาร์ทเมนท์ที่ใช้เป็นกำแพงกั้นระหว่างเขตทั้งสอง และเมื่อกำแพงแข็งแรงและมีขนาดใหญ่ขึ้นการหลบหนีจึงต้องมีการวางแผน
และซับซ้อนมากยิ่งขึ้น บางคนขุดอุโมงค์จากห้องใต้ดินในตึกในเขตเบอร์ลินตะวันออก
ขุดลงไปใต้กำแพงและไปโผล่ยังเขตเบอร์ลินตะวันตก
บางคนก็ทำบอลลูนลอยฟ้าเพื่อลอยข้ามไปยังเขตตะวันตก แต่ก็มีประชาชนบางส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการหลบหนี
ตั้งแต่ทหารของเยอรมันตะวันออกได้รับอนุญาตให้ยิงผู้ที่คิดจะหลบหนีได้โดยปราศจากการเตือน
ทำให้มีผู้คนประมาณ
100ถึง200คนต้องเสียชีวิตจากการพยายามหลบหนี
ผู้คนที่ต้องเสียชีวิตในการหลบหนีนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ


จุดสิ้นสุดของกำแพงเบอร์ลินก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นเดียวกับตอนสร้างกำแพงเบอร์ลิน โดยหลังจากที่คอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกอ่อนแอลง
จากการใช้นโยบายกลาสต์นอสและเปเรสตรอยการ์ของประธานาธิบดีมิคาอิล
กอร์บาชอฟของโซเวียตที่เปิดกว้างเพื่อให้เกิดการปฏิรูปสังคม
และสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ส่วนนโยบายต่างประเทศนั้นก็ยุติการสร้างอาวุธ
ถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน
และตัดความช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก
และประเทศที่อยู่ในเครือโซเวียต และหันกลับมาดูเศรษฐกิจในประเทศ
ด้วยเหตุนี้ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ ในยุโรปตะวันออกเริ่มอ่อนแอลง
และก็ได้มีกลุ่มการเมืองอิสระเริ่มมีการออกมาเคลื่อนไหวมาขึ้น เช่นขบวนการโซดาริตี้ในโปแลนด์
ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในโปแลนด์
ในปี1988-1989 ฝ่ายคอมมิวนิสต์ในประเทศเหล่านี้ก็เริ่มประสบความล้มเหลวและสิ้นอำนาจลงในที่สุด
รัฐบาลฮังการีมีการเปิดพรมแดนให้กับชาวเยอรมันตะวันออกที่ต้องการหลบหนีไปยังเขตเยอรมันตะวันตก
จึงมีผู้หลบหนีออกมาทางฮังการีและเดินทางเข้าไปยังเขตเยอรมันตะวันออกทางออสเตรียเป็นจำนวนมากโดยในช่วงเดือนกันยายนมีผู้หลบหนี
มากกว่า
13,000คน


ในวันที่9พฤศจิกายน ค.ศ. 1989
ได้มีประกาศจากรัฐบาลเยอรมันตะวันออก
ให้มีการยกเลิกการจำกัดการเดินทางไปยังเขตเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก
และเปิดกำแพงเบอร์ลิน
ผู้คนต่างพากันตกใจกับคำประกาศนี้และต่างไม่เชื่อว่ากำแพงได้ถูกเปิดแล้วจริงๆ ชาวเยอรมันตะวันออกสามารถข้ามไปยังอีกฝั่งของกำแพงได้โดยปราศจากการห้ามปรามของทหารที่เฝ้ากำแพง
กำแพงเบอร์ลินท่วมท้นไปด้วยผู้คนของทั้งสองฝั่ง ผู้คนต่างช่วยกันก็ทำลายกำแพงลงด้วยสิ่วและค้อน
ผู้คนต่างพากันเฉลิมฉลองกัน ทั้งกอด จูบ ร้องไห้ และร่วมร้องเพลงกันด้วยความยินดี
กำแพงเบอร์ลินได้แตกสลายกลายเป็นเศษเล็กๆ
ผู้คนต่างก็เก็บเศษเล็กๆนี้ไว้สะสมเพื่อเป็นที่ระลึก
บ้างก็ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ หลังจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออกก็ได้รวมกันเป็นรัฐเยอรมัน ในวันที่
3ตุลาคม 1990




บรรณานุกรม


บอร์นสเตน, เจอรี่.ทะลายกำแพงเบอร์ลิน.กรุงเทพฯ : ธัญญา, 2534.


Hanes, Sharon M. Cold war: almanac. Detroit : UXL, c2004 หน้า 55-77


Hyde Flippo. Die
Maueröffnung - The Last Days of the Berlin Wall



.<
http://german.about.com/od/geschichte/a/BerlinWall.htm> December 24,2010.


Jennifer
Rosenberg.The Rise and Fall of the Berlin Wall.<
http://history1900s.about.com/od/coldwa1/a/berlinwall.htm> December 24,2010.


Robert Longley. Mr. Gorbachev, tear down this wall!.<
http://usgovinfo.about.com/od/historicdocuments/a/teardownwall.htm> December
24,2010.



Robert
Wilde.The BerlinWall.<


http://europeanhistory.about.com/od/coldwar/p/prberlinwall.htm>
December 24,2010.




suriya mardeegun