นักโทษประหารชีวิตคนสุดท้ายของไทยด้วยการกุดหัว
ช่วงปี พ.ศ.2461 ได้มีการประหารนักโทษสำคัญคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นเขาคือ "บุญเพ็ง"ซึ่งก่อคดีฆ่าคนตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง"ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หิบเหล็กแล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้งจนชาวบ้านขนานนามว่า "บุญเพ็ง หิบเหล็ก"(สมัย
นั้นไม่มีการใช้นามสกุล
คำว่าหิบเหล็กต่อท้ายเป็นฉายามาจากพฤติกรรมฆ่าแล้วหั่นศพ
จากนั้นก็นำมาใส่หิบเหล็กแล้วยกขึ้นรถเจ๊กลากไปทิ้งที่คลอง)
บุญเพ็งคือฆาตกรฆ่าหั่นศพคนแรกของเมืองสยาม...ได้ฉายาจากชาวต่างชาติว่า "The Murderer Iron Box"
บุญเพ็ง เกิด
ที่ท่าอุเทน จ.นครพนม พ่อมีเชื้อสายจีน แม่เป็นชาวญ้อ(ลาว) พออายุได้ 3 ขวบ
จึงอพยพมาอยู่ที่บางปะกอก
พอเติบใหญ่เป็นหนุ่มได้ศึกษาทางไสยศาสตร์จากหลายสำนักจนเก่งในเรื่องพยากรณ์
เมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด
ประกอบกับเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาดีจึงเป็นที่หมายปองและถูกตาถูกใจของเพศตรง
ข้าม (บางที่บอกว่าถูกเลี้ยงดูโดยตา-ยาย ซึ่งตา-ยายได้ห้ามไม่ให้ไปเรียนพวกไสยศาสตร์ แต่บุญเพ็งเองก็ไม่ได้สนใจอะไร)
ด้วย ความที่เป็นคนมีเสน่ห์จึงมักเกิดปัญหาสาวๆแก่งแย่งกันบ่อยครั้ง พออายุได้ 27 ปี ก็ไปบวชเป็นพระอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ได้ 2 พรรษา ผ้าเหลืองร้อนจึงลาสิกขาบทออกมาประกอบอาชีพหมอดู รับทำเสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอย ฯลฯ...ใช้ชีวิตเสเพลดื่มสุรายาเมาและเล่นการพนัน จนกระทั่งกลายเป็นผีพนันถอนตัวไม่ขึ้น เขาต้องการเงินจำนวนมากเพื่อเล่นการพนัน วิธีง่ายๆแต่ได้เงินมากและรวดเร็วที่สุดในสมัยนั้น คือ"ฆ่าชิงทรัพย์" และแล้วการฆาตกรรมต่อเนื่องก็บังเกิด
เหยื่อรายแรก คือนายล้อม พ่อค้าเพชรพลอย บุญเพ็งก็ร่วมมือกับนายจรัลลูกสมุนคู่ใจ ฆ่าแล้วนำเงินและทรัพย์สินมาแบ่งกันและหั่นศพเป็นชิ้นใส่หิบเหล็ก (บาง แหล่งข่าวบอกว่าไม่ได้หั่นศพ แต่ยัดใส่หิบเลย...บางแห่งบอกว่าจำเป็นต้องหั่นแขน-ขาของศพเพราะยัดศพใส่หิบ ไม่ได้ ที่สำนักของเขามีหิบเหล็กโบราณอยู่ถึง 7 ใบ แต่บางที่ก็บอกว่ามีแค่ 3 ใบ) และให้นายจรัลจ้างรถเจ๊กไปทิ้งที่คลองบางลำพูเวลาเที่ยงคืนเพื่อทำลายหลักฐาน พร้อมกับหิบเหล็กที่หายไป 1 ใบ
เหยื่อรายที่ 2 เป็น ชายไม่ทราบชื่อ รู้แต่ว่าเป็นผีพนันและวันนั้นเขาได้เงินพนันมาบุญเพ็งและนายจรัลเลยวางแผน ล่อไปฆ่าเพื่อชิงเงินพนันและแบ่งทรัพย์สิน หั่นศพเป็นชิ้นใส่บเหล็กแล้วให้นายจรัลเอาไปทิ้งที่คลองบางลำพูอีกศพ พร้อมกับหิบเหล็กที่หายไปอีก 1 ใบ
วัน เวลาผ่านไปพร้อมกับบเหล็กที่หายไปทีละ 1 ใบจนมาถึงเหยื่อรายสุดท้าย เป็นคุณนายของท่านขุนสิทธิคดี (ปลั่ง) รูปร่างดี แต่งกายทองเต็มตัว บุญเพ็งก็เสพสมแล้วกลายเป็นขาประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงคนนั้นก็เกิดตั้งท้อง ยื่นคำขาดให้บุญเพ็งรับผิดชอบตนเป็นเมียอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งบุญเพ็งบ่ายเบี่ยงตลอดเวลา สุดท้ายบุญเพ็งทนไม่ไหวจึงต้องฆ่า
วัน สุดท้ายที่คนพบเห็นนางปริก เธอแต่งตัวสวยงาม ประดับประดาด้วยเครื่องเพชรทองนินจินดาเต็มตัวเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่ จนใครๆรู้สึกว่าสวยเป็นพิเศษ โดยหารู้ไม่ว่านี่คือวาระสุดท้ายของนางปริกและลูกในท้องของเธอ คราวนี้มาแปลกเพราะบุญเพ็งลงมือฉายเดี่ยวฆ่านางปริก ปลดทรัพย์สินไปจนหมดสิ้นและหั่นศพเป็นท่อนๆยัดลงหิบ (บ้างก็ว่ายัดลงหิบไปเลยไม่ได้สับ)ใส่รถเจ๊กนำไปทิ้งที่คลองอีกเช่นเคย(และเป็นหิบใบสุดท้ายที่มี)
คราว นี้หิบเหล็กของนางปริกดันไม่จมลงสู่ก้นคลองบางลำพู แต่ลอยไปติดกอสวะ คนงมกุ้งเกิดมาเห็นนึกว่าเป็นของมีค่า แต่เมื่อครั้นเปิดออกก็มีศพผู้หญิงยัดใส่อยู่ในหิบใบนั้น อำมาตย์เอกพระยานนทบุรี นครบาลจังหวัดนนทบุรีเริ่มสืบหาผู้ปกครองโดยแจ้งลงในหนังสือพิมพ์? และเพียงวันเดียวคดีบลอยน้ำก็คลี่คลายไขปริศนาได้อย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าศพ นี้เป็นศพของนางปริก มารดาของผู้ตายเข้าแจ้งต่อตำรวจว่านางปริกลูกสาวได้แต่งตัวจะไปงานสวน จิตรลดา ก่อนออกจากบ้านวันนั้นเธอได้รับจดหมายจากนายบุญเพ็ง(ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ในขณะที่บุญเพ็งยังบวชอยู่)ให้ไปรับสร้อยที่นายบุญเพ็งยืมไป แล้วจากนั้นนางปริกก็หายไปไม่กลับบ้านอีก ตำรวจออกตามล่านายบุญเพ็งทันที
หลัง จากนั้นบุญเพ็งได้หนีไปบวชเป็นพระที่วัดแถวอยุธยา แล้วไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรทำให้บุญเพ็งต้องสึกออกมาแต่งงานกับผู้หญิง ที่ตัวเองหมายปอง และคืนนั้นเองยังไม่ทันจะได้ถึงสวรรค์ ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาล้อมจับไว้ได้โดยละม่อมในข้อหาฆ่าคนตายอย่างเ้ยม โหด และศาลได้ตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการตัดหัวให้ตายตกไปตามกัน(สมัยนั้นเรียกว่ากุดหัว) ณ.ป่าช้า วัดภาษี ซึ่งนักโทษรายนี้ใจแข็งมากร้องขอไม่ให้ผูกตาเพื่อขอดูโลกเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคนแม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทันจะส่งตัว เข้าหอก็ไม่มา
19 กุมภาพันธ์ 2462 (บางที่บอกว่า 19 สิงหาคม)ได้ มีการประหารบุญเพ็งโดยการตัดหัว ซึ่งเป็นนักโทษที่ถูกประหารด้วยการตัดหัวเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบ ประชาธิปไตย
ใน ช่วงประหารชีวิตนั้นเองเพชรฆาตรำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคมกริบลงบนคอ แทนที่คอจะขาดเลือดพุ่งกระฉูดกลับกลายเป็นว่าคมดาบนั้นไม่ได้ระคายผิวเลยแม้ แต่น้อย จนเพชรฆาตพูดว่า "มีดีอะไร ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นมีคนบอกว่าเห็นบุญเพ็งคายของบางอย่างออกมาแล้วเพชรฆาตจับเขวี้ยงทิ้งหายไปในกอไผ่ (บางที่บอกว่าเป็นพระแล้วเพชรฆาตจับขว้างทิ้งเข้าไปในกอไผ่... บางที่ไม่ได้บอกว่าเป็นวัตถุอะไรแต่มีสีดำ เมื่อบุญเพ็งคาย(ถุย!?)ออกมาก็หายไป!?)
คราว นี้เพชรฆาตรำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอทันใดนั้นดาบหลังฟัน ฉับ!! คราวนี้คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวี๊ดวว๊ายระงมว่ากันว่าขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาต ฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็งขมุบขมิบเหมือนท่อง คาถาอะไรสักอย่าง ซึ่งว่ากันว่าอาจจะเป็นไผ่ตายคุณไสย์ครั้งสุดท้ายของเขาเพื่อที่จะป้องกัน ชีวิตของเขาก็เป็นได้
ศพของ บุญเพ็ง หิบเหล็ก ถูก นำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่ารอยสักช่วงแผ่นหลังของเขาไฟไม่ไหม้ ส่วนกระดูกนั้นบรรดาญาติเก็บใส่เจดีย์ไว้ข้างๆอุโบสถ์วัด
พ.ศ. 2536 เจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษีจึงได้ให้ช่างปั้นรูปจำลองไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์และตั้งไว้ในศาล เล็กติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่าเขาเป็นนักโทษประหารด้วยการกุดหัวคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2474 และเรียกศาลนั้นว่า "ศาลปู่บุญเพ็ง"และ หิบเหล็กที่ใช้ยัดศพได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาภและเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิดจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อยนับพันปี(ก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องปั้นรูปจำลองของคนไม่ดีและตั้งศาลให้ด้วยแล้วยังมีคนมากราบไหว้อีก) ปัจจุบันศาลบุญเพ็ง หิบเหล็กตั้งอยู่ที่วัดภาษี ซอยเอกมัย 23 แขวงคลองตันเหนือ กรุงเทพมหานคร
สิ่งที่ทำให้ บุญเพ็ง หิบเหล็กได้กระทำความผิดนั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ"กิเลส"ใน จิตใจของเขานั่นเอง ไสยศาสตร์ มนต์ดำของนอกรีต มันเป็นสิ่งที่คอยผูกมัดมนุษย์ด้วยความโกรธ ความโลภ ความหลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...
Cre: วิกิพีเดีย
ด้วย ความที่เป็นคนมีเสน่ห์จึงมักเกิดปัญหาสาวๆแก่งแย่งกันบ่อยครั้ง พออายุได้ 27 ปี ก็ไปบวชเป็นพระอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ได้ 2 พรรษา ผ้าเหลืองร้อนจึงลาสิกขาบทออกมาประกอบอาชีพหมอดู รับทำเสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอย ฯลฯ...ใช้ชีวิตเสเพลดื่มสุรายาเมาและเล่นการพนัน จนกระทั่งกลายเป็นผีพนันถอนตัวไม่ขึ้น เขาต้องการเงินจำนวนมากเพื่อเล่นการพนัน วิธีง่ายๆแต่ได้เงินมากและรวดเร็วที่สุดในสมัยนั้น คือ"ฆ่าชิงทรัพย์" และแล้วการฆาตกรรมต่อเนื่องก็บังเกิด
เหยื่อรายแรก คือนายล้อม พ่อค้าเพชรพลอย บุญเพ็งก็ร่วมมือกับนายจรัลลูกสมุนคู่ใจ ฆ่าแล้วนำเงินและทรัพย์สินมาแบ่งกันและหั่นศพเป็นชิ้นใส่หิบเหล็ก (บาง แหล่งข่าวบอกว่าไม่ได้หั่นศพ แต่ยัดใส่หิบเลย...บางแห่งบอกว่าจำเป็นต้องหั่นแขน-ขาของศพเพราะยัดศพใส่หิบ ไม่ได้ ที่สำนักของเขามีหิบเหล็กโบราณอยู่ถึง 7 ใบ แต่บางที่ก็บอกว่ามีแค่ 3 ใบ) และให้นายจรัลจ้างรถเจ๊กไปทิ้งที่คลองบางลำพูเวลาเที่ยงคืนเพื่อทำลายหลักฐาน พร้อมกับหิบเหล็กที่หายไป 1 ใบ
เหยื่อรายที่ 2 เป็น ชายไม่ทราบชื่อ รู้แต่ว่าเป็นผีพนันและวันนั้นเขาได้เงินพนันมาบุญเพ็งและนายจรัลเลยวางแผน ล่อไปฆ่าเพื่อชิงเงินพนันและแบ่งทรัพย์สิน หั่นศพเป็นชิ้นใส่บเหล็กแล้วให้นายจรัลเอาไปทิ้งที่คลองบางลำพูอีกศพ พร้อมกับหิบเหล็กที่หายไปอีก 1 ใบ
วัน เวลาผ่านไปพร้อมกับบเหล็กที่หายไปทีละ 1 ใบจนมาถึงเหยื่อรายสุดท้าย เป็นคุณนายของท่านขุนสิทธิคดี (ปลั่ง) รูปร่างดี แต่งกายทองเต็มตัว บุญเพ็งก็เสพสมแล้วกลายเป็นขาประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงคนนั้นก็เกิดตั้งท้อง ยื่นคำขาดให้บุญเพ็งรับผิดชอบตนเป็นเมียอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งบุญเพ็งบ่ายเบี่ยงตลอดเวลา สุดท้ายบุญเพ็งทนไม่ไหวจึงต้องฆ่า
วัน สุดท้ายที่คนพบเห็นนางปริก เธอแต่งตัวสวยงาม ประดับประดาด้วยเครื่องเพชรทองนินจินดาเต็มตัวเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่ จนใครๆรู้สึกว่าสวยเป็นพิเศษ โดยหารู้ไม่ว่านี่คือวาระสุดท้ายของนางปริกและลูกในท้องของเธอ คราวนี้มาแปลกเพราะบุญเพ็งลงมือฉายเดี่ยวฆ่านางปริก ปลดทรัพย์สินไปจนหมดสิ้นและหั่นศพเป็นท่อนๆยัดลงหิบ (บ้างก็ว่ายัดลงหิบไปเลยไม่ได้สับ)ใส่รถเจ๊กนำไปทิ้งที่คลองอีกเช่นเคย(และเป็นหิบใบสุดท้ายที่มี)
คราว นี้หิบเหล็กของนางปริกดันไม่จมลงสู่ก้นคลองบางลำพู แต่ลอยไปติดกอสวะ คนงมกุ้งเกิดมาเห็นนึกว่าเป็นของมีค่า แต่เมื่อครั้นเปิดออกก็มีศพผู้หญิงยัดใส่อยู่ในหิบใบนั้น อำมาตย์เอกพระยานนทบุรี นครบาลจังหวัดนนทบุรีเริ่มสืบหาผู้ปกครองโดยแจ้งลงในหนังสือพิมพ์? และเพียงวันเดียวคดีบลอยน้ำก็คลี่คลายไขปริศนาได้อย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าศพ นี้เป็นศพของนางปริก มารดาของผู้ตายเข้าแจ้งต่อตำรวจว่านางปริกลูกสาวได้แต่งตัวจะไปงานสวน จิตรลดา ก่อนออกจากบ้านวันนั้นเธอได้รับจดหมายจากนายบุญเพ็ง(ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ในขณะที่บุญเพ็งยังบวชอยู่)ให้ไปรับสร้อยที่นายบุญเพ็งยืมไป แล้วจากนั้นนางปริกก็หายไปไม่กลับบ้านอีก ตำรวจออกตามล่านายบุญเพ็งทันที
หลัง จากนั้นบุญเพ็งได้หนีไปบวชเป็นพระที่วัดแถวอยุธยา แล้วไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรทำให้บุญเพ็งต้องสึกออกมาแต่งงานกับผู้หญิง ที่ตัวเองหมายปอง และคืนนั้นเองยังไม่ทันจะได้ถึงสวรรค์ ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาล้อมจับไว้ได้โดยละม่อมในข้อหาฆ่าคนตายอย่างเ้ยม โหด และศาลได้ตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการตัดหัวให้ตายตกไปตามกัน(สมัยนั้นเรียกว่ากุดหัว) ณ.ป่าช้า วัดภาษี ซึ่งนักโทษรายนี้ใจแข็งมากร้องขอไม่ให้ผูกตาเพื่อขอดูโลกเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคนแม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทันจะส่งตัว เข้าหอก็ไม่มา
19 กุมภาพันธ์ 2462 (บางที่บอกว่า 19 สิงหาคม)ได้ มีการประหารบุญเพ็งโดยการตัดหัว ซึ่งเป็นนักโทษที่ถูกประหารด้วยการตัดหัวเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบ ประชาธิปไตย
ใน ช่วงประหารชีวิตนั้นเองเพชรฆาตรำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคมกริบลงบนคอ แทนที่คอจะขาดเลือดพุ่งกระฉูดกลับกลายเป็นว่าคมดาบนั้นไม่ได้ระคายผิวเลยแม้ แต่น้อย จนเพชรฆาตพูดว่า "มีดีอะไร ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นมีคนบอกว่าเห็นบุญเพ็งคายของบางอย่างออกมาแล้วเพชรฆาตจับเขวี้ยงทิ้งหายไปในกอไผ่ (บางที่บอกว่าเป็นพระแล้วเพชรฆาตจับขว้างทิ้งเข้าไปในกอไผ่... บางที่ไม่ได้บอกว่าเป็นวัตถุอะไรแต่มีสีดำ เมื่อบุญเพ็งคาย(ถุย!?)ออกมาก็หายไป!?)
คราว นี้เพชรฆาตรำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอทันใดนั้นดาบหลังฟัน ฉับ!! คราวนี้คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวี๊ดวว๊ายระงมว่ากันว่าขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาต ฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็งขมุบขมิบเหมือนท่อง คาถาอะไรสักอย่าง ซึ่งว่ากันว่าอาจจะเป็นไผ่ตายคุณไสย์ครั้งสุดท้ายของเขาเพื่อที่จะป้องกัน ชีวิตของเขาก็เป็นได้
ศพของ บุญเพ็ง หิบเหล็ก ถูก นำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่ารอยสักช่วงแผ่นหลังของเขาไฟไม่ไหม้ ส่วนกระดูกนั้นบรรดาญาติเก็บใส่เจดีย์ไว้ข้างๆอุโบสถ์วัด
พ.ศ. 2536 เจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษีจึงได้ให้ช่างปั้นรูปจำลองไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์และตั้งไว้ในศาล เล็กติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่าเขาเป็นนักโทษประหารด้วยการกุดหัวคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2474 และเรียกศาลนั้นว่า "ศาลปู่บุญเพ็ง"และ หิบเหล็กที่ใช้ยัดศพได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาภและเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิดจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อยนับพันปี(ก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องปั้นรูปจำลองของคนไม่ดีและตั้งศาลให้ด้วยแล้วยังมีคนมากราบไหว้อีก) ปัจจุบันศาลบุญเพ็ง หิบเหล็กตั้งอยู่ที่วัดภาษี ซอยเอกมัย 23 แขวงคลองตันเหนือ กรุงเทพมหานคร
สิ่งที่ทำให้ บุญเพ็ง หิบเหล็กได้กระทำความผิดนั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ"กิเลส"ใน จิตใจของเขานั่นเอง ไสยศาสตร์ มนต์ดำของนอกรีต มันเป็นสิ่งที่คอยผูกมัดมนุษย์ด้วยความโกรธ ความโลภ ความหลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...
Cre: วิกิพีเดีย
*****************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น