suriya mardeegun
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558
ชื่อนั้นสำคัญไฉน...
ฆ่าหมู่สังเวย “ลัทธิคนขาวสุดโต่ง”
ฆ่าหมู่สังเวย “ลัทธิคนขาวสุดโต่ง”
เกษม อัชฌาสัย
พาดหัวข่าวใหญ่หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ใน
สหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ กรณีที่นายดีแลน รูฟ เด็กหนุ่มผิวขาววัย
๒๑ ปีใช้ปืนพกหรือที่โน่นเรียกว่า handgun ยิงคนดำตายเก้าคนรวด
ในขณะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอยู่ที่โบสถ์ชาวคริสต์โปรเตสต์แตนต์ นิกาย “แอฟริกัน เมธอดิสต์ อะพิสคะเปิล” ที่เมืองชาร์ลสตันอันเป็นเมืองเอกของรัฐเซาธ์ แคโรไลนา โดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า ว่าจะเกิดเรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกแก่คนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นชาวอเมริกันด้วยกันเองและชาวโลก
เบื้องแรกไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นเหตุจูงใจ ให้นายรูฟ ประพฤติอย่างนั้น คนอ่านข่าว(หรือชมข่าว)แล้ว ก็สงสัยว่าเขาคงจะเกิดบ้าคลั่งอะไรขึ้นมา แบบเดียวกับกรณีกราดยิงฆ่าหมู่ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆตามโรงเรียนและตามวิทยาลัยในรัฐต่างๆ ที่สาเหตุมักเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่โกรธแค้นเพื่อนฝูง พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์
แต่รายงานต่อมาบ่งชี้ว่าการลงมือสังหาร ครั้งนี้เกิดจากความเกลียดชังคนผิวดำที่ฝังลึกลงไปในสายเลือดคนขาวกลุ่ม หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าแม้เป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ที่แฝงตัวอยู่ในสังคมอเมริกัน และ “ดีแลน รูฟ” ก็เป็นหนึ่งที่ฝังหัวในลัทธินี้ หลังจากพบภาพเขาสวมใส่เสื้อซึ่งปรากฏรูปลักษณ์ที่บ่งชี้และมีสักขีพยานให้ ปากคำยืนยันว่าก่อนที่เขาจะไล่ยิงเหยื่อทั้งหมดนั้น เขาพูดว่า “ต้องทำอย่างนี้ เพราะพวกมึงข่มขืนผู้หญิงของพวกกู พวกมึงจะเข้ายึดครองชาติทั้งหมดเอาไว้ ฉะนั้นพวกมึงจะต้องไป…”
เป็นความรู้สึกเหยียดผิว ว่า “ผิวขาวต้องยอดเยี่ยมเหนือกว่าผิวอื่น” นับแต่มีการใช้ทาสผิวดำในไร่ฝ้าย เมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน ซึ่งกวาดต้อนมาจากแอฟริกา
ความรู้สึกที่ “ผิวขาวต้องยอดเยี่ยมที่สุด” นั้นเรียกกันว่า White Supremacy อันเป็นลัทธินิยมซึ่งมีมานานในโลกซึ่ง “ลัทธินาซี” ก็ใช่หนึ่งในลัทธินี้ เนื่องจาก “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ถือว่าชาวเยอรมันเท่านั้นที่ประเสริฐเลิศสุดยอดเป็นชนเผ่าอารยะที่เรียกว่า “อารยัน” ส่วนชาวยิวนั้นไม่ใช่ก็เลยอ้างเหตุสังหารหมู่ชาวยิวไปหลายล้านคน
พฤติการณ์ที่ว่านี้เรียกว่า “ลัทธิแบ่งแยกผิว” หรือ “ลัทธิกีดกันผิว” ซึ่งมาจากคำว่า Racism ก็แล้วแต่จะเรียกกัน
การเลิกทาสของท่านประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกเหยียดผิว แบ่งแยกผิว หมดจากสังคมอเมริกันได้เลย ทั้งที่รัฐธรรมนูญของสหรัฐบัญญัติไว้ให้คนอเมริกันทุกคน มีความเท่าเทียมกัน ทั้งในด้านสิทธิเสรีภาพและหน้าที่
แต่ในทางปฏิบัตินั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่ คนไทยที่ไปอยู่ในสหรัฐย่อมจะตระหนักดี แม้จะได้สัญชาติอเมริกันแล้ว
“ลัทธิคนขาวสุดโต่ง” หรือ white supremacism ในสหรัฐอเมริกามีความเป็นมาอย่างไร ลองมาดูกัน
พวกเขาเป็นใคร ?
พวกนี้นับเป็นกลุ่ม “อนุวัฒนธรรม” คือกลุ่มที่มีความคิดอ่านแปลกแยกไม่ยอมเป็นเนื้อเดียวกันกับคนทั่วไปหรือคน ส่วนใหญ่ในสังคม เป็นพวกที่มีความเกลียดชังฝังใจเป็นสำคัญโดยเฉพาะเกลียดชังด้านสีผิวและ เกลียดชังรัฐบาล
พวกนี้ถือว่าอาวุธคือทางแก้ปัญหาที่ค้างคา ใจพวกเขาอยู่ ดังนั้นในเว็บไซต์ของพวกนี้จึงหนักไปที่การโฆษณาขายอาวุธ ว่าจะหาซื้อปืนหรืออาวุธอื่นใดได้ไหนและราคาเท่าไร
อย่างกลุ่ม “นีโอ นาซี” หนึ่งในกลุ่มขวาดจัดในสหรัฐ สมาชิกกลุ่มนี้มักจะสักรูป “สวัสดิกะ นาซี” เป็นสัญลักษณ์
พวกเขามีความเชื่อถือในอะไร
ชนกลุ่มนี้ มาจากชนเผ่า “คอเคเซียน” หรือไม่ก็ “อารยัน” ซึ่งพวกเขาถือว่า มีสายพันธุ์ที่เยี่ยมยอด เหนือกว่าสายพันธุ์อื่นใด ในโลก เป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากการคัดสรรของธรรมชาติมาแล้วอย่างดี พวกนี้มีความเกลียดชังคนดำโดยเฉพาะเพราะเคยเป็นทาสมาก่อนในสังคมอเมริกัน นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มกลียดชังพวก “ฮิสปานิก” คือกลุ่มชนที่พูดภาษาสเปนที่อพยพเข้าไปอยู่ในสหรัฐด้วย
พวกนี้มีความเห็นอย่างไร ต่อการสังหารหมู่ที่โบสถ์เมือง “ชาร์ลสตัน”
ปรากฏว่าเครือข่ายพวกขวาจัด พากันผุดข่าวนี้ออกมาราวกับดอกเห็ด โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กของพวกเขาชื่อ “สตอร์มฟรอนต์” มีการกดไลก์ถึง ๑๔๐,๐๐๐ ครั้งและแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ส่วนใหญ่ใช้ภาษาขวาจัดและมีสาระเสียดสีการตายที่เกิดขึ้น มีหลายรายที่บ่งชี้เลยว่ามือปืนคือวีรบุรุษ
มีอยู่บ้างเหมือนกันที่วิจารณ์ว่าการกระทำเช่นนี้ เป็นทำลายชื่อเสียง
ถามว่า ยังมีพวกนี้อีกกี่กลุ่มในสังคมอเมริกัน
คำตอบคือไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือเท่าไร แต่ศูนย์กฎหมายว่าด้วยความยากจนของภาคใต้(เอสพีแอลซี)ซึ่งติดตามกลุ่มสุด โต่งทั่วสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม “ผิวขาวสุดโต่ง” ระบุเมื่อปี ๒๕๕๗ ว่ามีอยู่ทั้งสิ้น ๗๘๔ กลุ่ม เฉพาะในรัฐเซาธ์แคโรไลนาที่เกิดเหตุคราวนี้มี ๑๙ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่ม “อัศวินขาวผู้จงรักภักดี” กลุ่ม “คลู คลักซ์ แคน” ที่เลื่องชื่อมากในอดีตและกลุ่ม “ลีก ออฟ เธอะ เซาธ์” หรือ “สันนิบาตแห่งภาคใต้”
หลังเหตุการณ์ ๙/-๑๑ หรือการถล่ม “เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์” เป็นต้นมากลุ่มขวาสุดโต่ง ออกปฏิบัติการโจมตี ๓๓๗ ครั้งต่อปีเมื่อเทียบกับกลุ่มมุสลิมอเมริกันที่โจมตีเก้าครั้งต่อปี โดยเฉลี่ย
สำหรับนายดีแลน รูฟนั้นเฟซบุ๊กของเขาปรากฏภาพที่เขาสวมเสื้อ ปักธงชาติแอฟริกาใต้และโรดีเซีย(“ซิมบับเว”ในปัจจุบัน) ในยุคที่ยังมีการกีดกันผิวอยู่
ทั้งสองชาตินี้ คือสุดยอดของชาติในอดีตที่คนขาวที่นั่น ปฏิบัติต่อคนดำเยี่ยงสัตว์ ก็ไม่ปาน
ในหนังสือภาษาอังกฤษใช้ในการอ่านประกอบของ ชั้นเตรียมอุดมของไทยเราสมัยหนึ่ง ชื่อ “กานดีจิ” เคยบรรยายสภาพกีดกันผิวไว้อย่างเจ็บปวดไว้ที่ป้ายเขตห้ามเข้าในแอฟริกาใต้ ว่า “ห้ามเข้าสำหรับคนสีผิวและสุนัข”
ซึ่งน่าสนใจว่า นายดีแลน รูฟ ได้รับแรงบรรดาลใจมาอย่างไร ต่อการเกลียดชังคนดำ ซึ่งก็จะต้องติดตามข่าวเกี่ยวกับตัวเขาซึ่งถูกจับได้ หลังจากทำงานสำเร็จ
เรื่องกีดกันผิวหรืออคติต่อผิวสีนี้ ผู้เขียนเองเคยโดนมาแล้ว เมื่อราว ๔๕ ปีก่อน ในเมือง “ดีทรอยต์” ของสหรัฐ
กลุ่มวัยรุ่นผิวดำเห็นผู้เขียนเดินอยู่คน เดียวบนถนน ก็วิ่งไล่ทำร้ายอย่างไร้เหตุผล ผู้เขียนต้องโกยแน่บหนีเข้าโรงแรมแล้วโทรแจ้งตำรวจ ไม่กล้าออกไปไหนอีก วันรุ่งขึ้นรีบเดินทางออกจากเมืองนี้ แต่เช้าตรู่
ครั้งนั้น คนดำกระทำกับคนผิวเหลือง ที่พวกเขามักจะเสียดสีให้ได้ยินว่าเป็น yellow peril ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงกลายเป็น “ตัวอันตราย” ไปได้
ทำให้ได้ข้อสรุปว่า การเหยียดผิวไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะระหว่างผิวขาวกับผิวดำเท่านั้น
กรณีสังหารหมู่คนดำคราวนี้ นับว่าร้ายแรงกว่าเมื่อเทียบกับกรณีตำรวจอเมริกันผิวขาว ฆ่าหรือทำร้ายคนดำ ที่มีข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ จนเกิดประท้วงกันไปทั่ว
เพราะผิวขาวคนเดียวสังหารคนดำได้ถึงเก้าคน ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาไม่แน่ว่า จะมีคนดำลุกขึ้นมาประท้วงหรือไม่และอย่างไร
ทำให้เกิดคำถามว่า จะมีหนทางไหนบ้างที่จะควบคุมการซื้อขายอาวุธปืนได้อย่างเด็ดขาด ในสหรัฐอเมริกา เพราะเมื่อเสนอให้ควบคุมคราวใด ก็จะมีเสียงต่อต้านอย่างมหาศาลและไม่มีรัฐบาลสหรัฐชุดไหน จัดการได้
จึงคาดว่าปัญหาเหยียดหยามผิวสี ยังคงคุกคามความมั่นคงของสังคมอเมริกันไม่เลิก ตราบเท่าที่ยังคงมีประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่
Cre:TIME
edit : suriya mardeegun
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา...เป็นต้นแบบ..."การปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม"(Peaceful Revolution)
Jenny Low Li Li and 3 others shared สมาน ศรีงาม's photo.
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา...ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ...เป็นยอดนักกฎหมาย...ได้ทำการ.."โอนอำนาจ..มาสู่..รัฐบาลเฉพาะกาล"...แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญ..VS..ลัทธิประชาธิปไตย...และนโยบายเศรษฐกิจแบบซ้ายจัดตามสมุดปกเหลืองของนายปรีดี พนมยงค์..VS..นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมของพระปกเกล้า ร.๗ "๑ รัฐบาล ๒ นโยบาย" ...ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งทั้งทางแนวทางการเมือง..และ..นโยบายทางเศรษฐกิจ..ดังกล่าวในรัฐบาลจนไม่อาจจะเดินต่อไป...อันจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและประเทศชาติ...
...พระยามโนปกรณ์นิติธาดา...สุดยอดนักกฎหมาย(นิติธาดา)..และผู้นิยมลัทธิประชาธิปไตย และนิยมสันติวิธี และเศรษฐกิจเสรีนิยม...ไม่ใช่วิธีรัฐประหารอันเป็นวิธีรุนแรงเข้าแก้ปัญหา...แต่ใช้.. "กฎหมายสูงสุดเป็นทางดำเนินการ"...คือ..."ความปลอดภัยของประชาชน(ความมั่นคงแห่งชาติ)เป็นกฎหมายสูงสุด" ขอพระราชทานพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ฯ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๖ เช่น...
- ให้งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่ขัดต่อพระราชกฤษฎีการนี้
- ปิดประชุมสภาผู้แทนฯ
- ให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
- ให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่
- ให้มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
- ฯ
ซึ่งเป็นต้นแบบ..."การปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม"(Peaceful Revolution)...เปลี่ยนผ่านอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยมาเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน..หรือ..เปลี่ยนระบอบเผด็จการรัฐสภา..มาเป็น..ระบอบประชาธิปไตย...นั่นคือ..."โอนอำนาจจากรัฐสภา..มาสู่..สภาปฏิวัติแห่งชาติ(สภาประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติในปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๗)..เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒...ที่ได้ต่อสู้มีชัยชนะในเวทีศาลยุติธรรม
ตาม.."ทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย"(Democratic Government) ตามแบบอย่างของ ร.๕ ร.๖ ร.๗ (องคมนตรีสภา ร.๕, ดุสิตธานีสภา ร.๖, สภากรรมการองคมนตรี ร.๗) ซึ่งเป็นการปฏิวัติสันติที่ดีที่สุดของโลก
...พระยามโนปกรณ์นิติธาดา...สุดยอดนักกฎหมาย(นิติธาดา)..และผู้นิยมลัทธิประชาธิปไตย และนิยมสันติวิธี และเศรษฐกิจเสรีนิยม...ไม่ใช่วิธีรัฐประหารอันเป็นวิธีรุนแรงเข้าแก้ปัญหา...แต่ใช้.. "กฎหมายสูงสุดเป็นทางดำเนินการ"...คือ..."ความปลอดภัยของประชาชน(ความมั่นคงแห่งชาติ)เป็นกฎหมายสูงสุด" ขอพระราชทานพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ฯ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๖ เช่น...
- ให้งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่ขัดต่อพระราชกฤษฎีการนี้
- ปิดประชุมสภาผู้แทนฯ
- ให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
- ให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่
- ให้มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
- ฯ
ซึ่งเป็นต้นแบบ..."การปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม"(Peaceful Revolution)...เปลี่ยนผ่านอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยมาเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน..หรือ..เปลี่ยนระบอบเผด็จการรัฐสภา..มาเป็น..ระบอบประชาธิปไตย...นั่นคือ..."โอนอำนาจจากรัฐสภา..มาสู่..สภาปฏิวัติแห่งชาติ(สภาประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติในปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๗)..เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒...ที่ได้ต่อสู้มีชัยชนะในเวทีศาลยุติธรรม
ตาม.."ทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย"(Democratic Government) ตามแบบอย่างของ ร.๕ ร.๖ ร.๗ (องคมนตรีสภา ร.๕, ดุสิตธานีสภา ร.๖, สภากรรมการองคมนตรี ร.๗) ซึ่งเป็นการปฏิวัติสันติที่ดีที่สุดของโลก
หมายเหตุ...พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ(Head of State) ย่อมมีความเป็น "องค์รัฎฐาธิปัตย์"(The Sovereign) ทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนเป็นกฎหมายสูงสุดเข้ารักษาความมั่นคงแห่งชาติ ตามหลักนิติธรรม(Rule of Law) ที่ว่า.. "ความมั่นคงแห่งชาติเป็นกฎหมายสูงสุด"..และ "กฎหมายใดขัดต่อหลักนิติธรรมย่อมเป็นโมฆะแม้แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายหลัก(Principle Law)"...ทรงใช้อำนาจตามกฎหมายสูงสุด..ตราพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจจากคนส่วนน้อย(รัฐสภา)...มาสู่..ประชาชน(สภาประชาชนปฏิวัติสันติฯ) เพราะอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย(ระบอบเผด็จการ)คือเหตุของความไม่มั่นคงแห่งรัฐ..อำนาจอธิปไตยของปวงชน(ระบอบประชาธิปไตย)..คือ..เหตุแห่งความมั่นคงแห่งชาติ
วันหนึ่งในอนาคต...จะบังเกิดการ.."โอนอำนาจจากคนส่วนน้อย(รัฐสภา)..มาสู่..ปวงชน(สภาประชาชนปฏิวัติสันติฯ)...เพราะประชาชนได้ก่อตั้ง.."สภาประชาชน..ในรูปของ..สภาปฏิวัติแห่งชาติ..สภาประชาธิปไตยแห่งชาติ..สภาประชาชนปฏิวัติแห่งชาติ"..ตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย..เกิดขึ้นแล้ว ดำรงอยู่จริงแล้ว(Existence, Being) ตามธรรมชาติ(De facto) ตามกฎธรรมชาติ.."จาก..ไม่มี..มาสู่..มี, จาก..เล็ก..มาสู่..ใหญ๋..จาก..อ่อนแอ..มาสู่..เข้มแข็ง..มาสู่..ชัยชนะ"...!!!
เพราะ คสช. ไม่อาจจะสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้...แต่สามารถทำให้สถานการณ์จากอนาธิปไตยสุดขีดที่กำลังพัฒนาไปสู่สถานการณ์สงครามยุติลง...ทำให้มีความสงบระดับหนึ่ง และสภาวะอนาธิปไตยหมดไป และวางรากฐานเพื่อ..การปฏิรูปในปฏิวัติ..และนำไปสู่การปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic Revolution) ในท้ายที่สุด...เพราะปัจจุบันการเมือง การปฏิวัติ การสร้างประชาธิปไตย...ได้พัฒนาจากระยะที่ ๑ สู่ ระยะที่ ๒ สู่ ระยะที่ ๓ คือ..."จาก..สถาบันพระมหากษัตริย์..มาสู่..สถาบันกองทัพ..มาสู่..สถาบันประชาชน(สภาประชาชนปฏิวัติสันติฯ พรรคประชาชนปฏิวัติสันติฯ)...!!!
คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗
องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗
(ขอขอบคุณท่าน Atipoj Srisukhon ทั้งเนื้อหาและภาพ)
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558
อุกาบาตที่ใหญ่ 7 ก้อน
อุกกาบาตเปรียบเหมือนคนพเนจรที่ลอยอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล ในอดีตมีอุกกาบาตจำนวนมากทั้งแบบเต็มก้อน และแบบห่าฝน ที่เคยผ่านเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก กลายเป็นลูกไฟในสายตาของผู้พบเห็น หลายชีวิตต้องสังเวยจากการตกกระทบของมัน เศษอุกกาบาตที่เหลือจากการตกกระแทก กลายเป็นสะเก็ดดาว และอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ที่ใหญ่และหนักที่สุดมีเพียง 7 ก้อน ดังที่จะนำเสนอต่อไปนี้
'วิลลาเมต' น้ำหนักโดยประมาณ 15.5 ตัน
ด้วยขนาด 7.8 ตารางเมตร และน้ำหนักถึง 15.5 ตัน ส่งให้ วิลลาเมต เป็นสะเก็ดดาวที่ใหญ่ที่สุดที่พบในสหรัฐฯ องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแร่เหล็กถึง 91 เปอร์เซ็นต์ และนิกเกิลอีก 7.62 เปอร์เซ็นต์ ตกในรัฐโอเรกอน แต่ร่องรอยการกระแทกไม่หลงเหลือแล้ว
หากไม่นับรวมชนอเมริกันพื้นเมืองในอดีตแล้ว วิลลาเมต ถูกค้นพบโดยเอลลิส ฮิวจ์ ในปี 1902 เขาใช้เวลากว่า 3 เดือนในการขนย้ายสะเก็ดดาวก้อนนี้ไปไกล 3 ส่วน 4 ไมล์ จากจุดตก ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัท โอเรกอน ไอออน แอนด์ สตีล และพยายามอ้างความเป็นเจ้าของหินดังกล่าว แต่สุดท้ายก็ถูกจับ และสะเก็ดดาวถูกขายไปในราคา 26,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7.6 แสนบาท) และภายหลังถูกนำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน
'เอ็มโบซี' น้ำหนักโดยประมาณ 16 ตัน
สะเก็ดดาว เอ็มโบซี ถูกค้นพบอย่างเป็นทางการในปี 1930 ในประเทศแทนซาเนีย น้ำหนักประมาณ 16 ตัน และเช่นเดียวกับอุกกาบาตจำนวนมากที่เคยพบ คือแทบไม่หลงเหลือร่องรอยการตกกระทบพื้นผิวโลกเลย ซึ่งเป็นไปได้ว่า มันกลิ้งหลังจากตกสู่พื้นโลก หรือตั้งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานหลายพันปีแล้ว
เมื่อเอ็มโบซีถูกพบครั้งแรกในปี 1930 ครึ่งหนึ่งของมันถูกฝังอยู่ใต้ดิน ปัจจุบันมันถูกขุดขึ้นมาและมีการก่อสร้างฐานวางไว้ด้านล่าง ขณะที่หลุมที่เกิดจากการขุดมันขึ้นมา กล่าวกันว่าถูกคงสภาพไว้ตามเดิม
News Feed
'อักปาลิลิค' น้ำหนักโดยประมาณ 20 ตัน
หนึ่งในชิ้นส่วนของอุกกาบาต 'เคป ยอร์ก' ถูกค้นพบโดย วาน เอฟ. บุชวาลด์ ที่คาบสมุทรอักปาลิลิก ในทวีปกรีนแลนด์ รู้จักกันในชื่อ 'เดอะ แมน' ตกสู่พื้นโลกเมื่อราว 10,000 ปีก่อน และเป็นหนึ่งในสะเก็ดดาวเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา ในเมืองโคเปนเฮเกน
ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เดอะ แมน ถูกใช้เป็นแหล่งแร่โลหะ เพื่อสร้างเครื่องใช้และอาวุธ ก่อนที่ข่าวการคงอยู่ของมันจะไปถึงหูของนักวิทยาศาสตร์ในปี 1818 อย่างไรก็ตาม คณะเดินทาง 5 ชุด ที่ถูกส่งไปออกตามหาหินก้อนนี้ในช่วงปี 1818-1883 ประสบความล้มเหลวทั้งหมด
'บาคุบิริโต' น้ำหนักโดยประมาณ 22 ตัน
วัตถุจากนอกโลกความยาว 4 เมตรนี้ เป็นสะเก็ดดาวเต็มก้อนที่สมบูรณ์ที่สุดที่เคยค้นพบในเม็กซิโกอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มันถูกค้นพบเมื่อปี 1892 โดย กิลเบิร์ต เอลลิส ไบเลย์ นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งถูกส่งมาจากสำนักวารสารในเมืองชิคาโก ต่อมาทีมสำรวจได้ขุดค้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากชนพื้นเมือง และตั้งชื่อตามชุมชนที่มันถูกค้นพบ ปัจจุบัน สะเก็ดดาว บาคุบิริโต ถูกแสดงอยู่ในเมืองคัลญาคานของเม็กซิโก
'อาห์นิกิโต' น้ำหนักโดยประมาณ 31 ตัน
เป็นเศษชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของอุกกาบาต 'เคป ยอร์ก' รู้จักกันในชื่อ เดอะ เต้นท์ ด้วยน้ำหนักกว่า 31 ตันของมัน ทำให้มันเป็นสะเก็ดดาวก้อนใหญ่ที่สุดที่เคยถูกเคลื่อนย้ายโดยกำลังของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์พยายามตามหามันมาตั้งแต่ปี 1818 จนกระทั่ง โรเบิร์ต อี เพียรี นักสำรวจมหาสมุทรอาร์กติก ชาวอเมริกัน สามารถระบุที่ตั้งที่ชัดเจนของมันได้ในปี 1894 โดยได้รับการช่วยเหลือจากชนพื้นเมืองนิรนาม
ทีมของเพียรีใช้ความพยายามถึง 3 ปี กว่าจะสามารถขนก้อนโลหะหนักอึ้งขนาด 12.1 ตารางเมตรนี้ลงเรือได้ ซึ่งเขานำมันไปขายให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ได้ราคาสูงถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะนั้น หรือประมาณ 800,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน (ราว 23 ล้านบาท) และถูกจัดแสดงมาจนถึงทุกวันนี้
News Feed
'เอล คาโก' น้ำหนักโดยประมาณ 37 ตัน
ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดจากกลุ่มสะเก็ดดาว 'คัมโป เดล เชโล' ซึ่งตกกระแทกกับพื้นโลกสร้างหลุมยุบขนาด 60 ตารางกิโลเมตร ในประเทศอาร์เจนตินา เอล คาโก เป็นวัตถุจากนอกโลกที่หนักที่สุดเป็นลำดับที่ 2 เท่าที่เคยพบบนพื้นโลก อย่างไรก็ดี หากรวมชิ้นส่วนของกลุ่มสะเก็ดดาว คัมโป เดล เชโล เข้าด้วยกัน มันจะมีน้ำหนักถึง 100 ตันทีเดียว
เอล คาโก ถูกค้นพบในปี 1969 ในหลุมลึก 5 เมตร ด้วยการใช้เครื่องตรวจจับโลหะ และจากการตรวจสอบจุดตกพบว่ามีอายุประมาณ 4,000-5,000 ปี เมื่อปี 1990 เกิดคดีใหญ่โต หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์เจนตินา สามารถยับยั้งแผนขโมยสะเก็ดดาวเอล คาโก ของนักล่าอุกกาบาต โรเบิร์ต ฮัก ได้สำเร็จ โดยที่หินดังกล่าวถูกเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศไปแล้ว
'โฮบา' น้ำหนักโดยประมาณ 60 ตัน
เจ้าของตำแหน่งสะเก็ดดาวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบบนโลกใบนี้ ตกเป็นของสะเก็ดดาว โฮบา ด้วยน้ำหนักที่มากกว่าลำดับสองเกือบเท่าตัว มีขนาด 6.5 ตารางเมตร ตั้งอยู่ที่เมืองกรูตฟอนไตน์ แคว้นโอตโจซอนด์จูปา ประเทศนามิเบีย คาดกันว่ามันถูกชะลอโดยชั้นบรรยากาศโลกก่อนที่จะตกสู่พื้น ด้วยความเร็วที่ทำให้มันไม่บุบสลายและจมลงเนื้อดินเกือบมิด นอกจากนี้มันยังมีรูปทรงราบแปลกตา ซึ่งมีคำอธิบายว่า มันอาจตกกระดอนไปกับพื้น ในลักษณะการโยนหินกระดอนบนผิวน้ำ
จากการตรวจสอบพบว่า สะเก็ดดาว โฮบา ตกสู่พื้นโลกประมาณ 80,000 ปีก่อน มันมีส่วนประกอบของแร่เหล็ก 84 เปอร์เซ็นต์ นิกเกิลอีก 16 เปอร์เซ็นต์ และเนื่องจากมวลมหาศาลของมัน ทำให้มันไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปจากจุดที่มันตั้งอยู่เลยตั้งแต่มีการค้นพบเมื่อปี 1920 โดยชาวนาคนหนึ่ง ปัจจุบันทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปชมหินอุกกาบาตก้อนนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)