วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ชื่อนั้นสำคัญไฉน...

     
    "ชื่อนั้นสำคัญไฉน...???"
    อนุสาวรีย์ย่าเหล...คือ...อนุสาวรีย์หมา...ถูกต้อง
    อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..คือ..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ..วิปริตอาเพศ

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.๖ ทรงสร้างอนุสาวรีย์เป็นส่วนพระองค์ให้แก่.. "ย่าเหล" พร้อมพระราชนิพนธ์กินใจยิ่ง จากรึกไว้ว่า...

    "...อนุสาวรีย์นี้เตือนจิต
    ให้กูคิดรำพึงถึงสหาย
    โออาลัยใจจู่อยู่มิวาย
    กูเจ็บคล้ายศรศักดิ์ปักอุรา
    ไม่มีใครมองเห็นหัวอกกู
    เพราะเขาดูมึงเห็นว่าเป็นหมา..."

    ลักษณะของอนุสาวรีย์...จะตรงกันกับ..ชื่อของอนุสารีย์เสมอๆ...
    ...มีอนุสาวรีย์แห่งเดียวในโลกที่.."ลักษณะ..กับ..ชื่อ"..ไม่ตรงกัน...คือ.."อนุสารีย์ประชาธิปไตย"..ในประเทศไทย ซึ่งเป็นอาเพศประเทศไทย ทำให้เกิดวิปริตต่อประเทศไทย จนวิบัติหายนะพินาศล่มจม ล้มตายกันตลอดมาจนบัดนี้...เข้าทำนอง.."ชื่อนั้นสำคัญไฉน"
    แม้แต่คนหรือบ้าน ฯลฯ...ตั้งชื่อผิด..ก็นำไปสู่วิบัติหายนะในทีสุด ไม่เจริญรุ่งเรื่อง เป็นอัปมงคล หรือ กาละกิณี อนุสาวรีย์ก็เช่นเดียวกัน เพราะทำให้เกิด.."ความเห็นผิด..มิจฉาทิฎฐิ"...ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า..."เป็นมรรคองค์นำองค์แรกที่สำคัญที่สุดของมนุษย์หรือประเทศชาติบ้านเมือง"...ถ้ามรรคองค์แรกถูกต้องเป็น.."ความเห็นถูก...สัมมาทิฎฐิ"...จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ หรือแก้ปัญหาได้บรรลุความสำเร็จ...แต่ถ้ามรรคองค์นำองค์แรกผิดเป็น.. "ความเห็นผิด..มิจฉาทิฎฐิ"..จะนำไปสู่ความผิดพลาดล้มเหลว ไปสู่ความทุกข์ ความพ่ายแพ้...ดังนั้น..."ชื่อนั้นสำคัญไฉน"...??? ก็จะว่า.."ชื่อของอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ...ที่ตั้งผิดบิดเบือนจากลักษณะของอนุสาวรีย์...เป็น...อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"...มีผลให้ประเทศชาติและประชาชนทั้งมวล...ต้องประสบความวิบัติหายนะล่มจม ล้มตาย ไร้ความเป็นคน ตลอดมาจนถึงบัดนี้อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้แม้แต่น้อย.....
    ...แต่ถ้า..เราเปลี่ยน.."ชื่ออนุสาวรีย์ให้ชื่อตรงกับลักษณะรัฐธรรมนูญ...เป็น...อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ"...ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจาก...ความเห็นผิด(มิจฉาทิฎฐิ)..มาเป็น..ความเห็นถูก(สัมมาทิฎฐิ)...ทำให้เกิดความคิดถูก(สัมมาสังกัปปะ)..และ..พูดถูก..และทำถูก....คือ..ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา...สร้างระบอบประชาธิปไตย...นำไปสู่การแก้ไขปัญหาทั้งสิ้นของชาติและประชาชนคนทั้งประเทศได้สำเร็จในท้ายทีสุ่ด...จะหลุดพ้นจากความอดอยากยากจน..มาสู่..ความั่งคั่งอุดมสมบูรณ์พอเพียงผาสุกและ...ความเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์มั่นคงของประเทศชาติอย่างยั่งยืนตลอดไป....นี่คือ.."ชื่อนั้นสำคัญไฉน"...???
    อันเป็นไปตามพุทธพจน์ที่ว่า.."สัมมาทิฎฐิ สมาทานา สัพพังทุกขัง อุปปัจจะคุง - การมีสัมมาทิฎฐิ(ความเห็นถูก)..จะล่วงพ้นทุกข์ทั้งทั้งสิ้น" นั่นเอง

    โดยเฉพาะ.."ชื่อของอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ"..ที่ตั้งอยู่ที่สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ ที่สร้างขึ้นเมื่อโดยวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และทำพิธีเปิดป้ายเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๓..โดย..จอมพล ป.พิบูสงคราม ปีกหนึ่งของคณะราษฎร ซึ่งต้องการหลอกลวงว่า.."รัฐธรรมนูญ..คือ..ประชาธิปไตย"..อนุสาวรีย์ดังกล่าว..ประกอบด้วยความหมายเหล่านี้คือ...

    "- ปีก ๔ ด้านสูง ๒๔ เมตร...หมายถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน
    - ปืนใหญ่ ๗๕ กระบอกโดยรอบ...หมายถึง พ.ศ. ๒๔๗๕
    - ตุ๊กตาดุนที่ฐานปืก...หมายถึงประวัติการดำเนินการของคณะราษฏร
    - พานรัฐธรรมนูญ ตั้งบนป้อมกลางสูง ๓ เมตร...หมายถึงเดือนที่ ๓ คือเดือนมิถุนายน ตามศักราชเก่าซึ่งนับเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ ๑
    - พระขรรค์ ๖ อัน ประกอบบนประตูรอบป้อมกลาง...หมายถึงหลัก ๖ ประการในการเปลี่ยนแปลงของคณะราษฎร"

    ...รวมความแล้ว ทุกความหมายรวมลงในจินตภาพของคำๆเดียว คือ "รัฐธรรมนูญ" ซึ่งใส่พานตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง ผู้คนสัญจรผ่านไปมาก็รู้ทันทีว่าอนุสาวรีย์นั้น เป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ เพราะทุกคนรู้จักรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดี เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ ชาวบ้านได้ยินคำว่ารัฐธรรมนูญ ไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญคืออะไร บางคนบอกว่า.. "รัฐธรรมนูญ..คือ..ลูกพระยาพหลฯ"...แต่หลังจากประกอบพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญอย่างมโหฬาร เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ และ ส.ส. เชิญรัฐธรรมนูญจำลองไปประดิษฐานในต่างจังหวัดทั่วประเทศ ประชาชนจึงได้เห็นภาพรัฐธรรมนูญคือรัฐธรรมนูญสมุดข่อยตั้งอยู่บนพาน และมีรูปภาพให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ภาพรัฐธรรมนูญติดตาประชาชนทั้งประเทศก็ว่าได้ พอได้เห็นก็รู้ทันทีว่ารัฐธรรมนูญโดยไม่ต้องอธิบาย

    การสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่สิ่งที่เป็นรูปธรรมนั้น ย่อมสร้างรูปจำลองของสิ่งนั้นๆ และเอาชื่อขงสิ่งนั้นๆ มาตั้งเป็นชื่อของอนุสาวรีย์ เช่น สร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ก็สร้างพระบรมรูปจำลองของพระเจ้าตากสิน และเรียกว่า.."อนุสาวรรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" และเช่นเดียวกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ร.๖ ได้ทรงสร้างอนุสาวรีย์ให้สุนัข(หมา)ที่ชื่อ.."ย่าเหล"...นั่นเอง

    ดังนั้น การเปลี่ยนระบอบเผด็จการรัฐสภา..มาเป็น..ระบอบประชาธิปไตย...เกิดจาก...การเปลี่ยนความเห็นผิดมาเป็นความเห็นถูก..."ระบอบเผด็จการรัฐสภา..ไม่ใช่..ระบอบประชาธิปไตย"...เกิดจาก...การเปลี่ยนความเห็นผิดมาเป็นความเห็นถูก..."ลัทธิรัฐธรรมนูญ..ไม่ใช่..ลัทธิประชาธิปไตย"...เกิดจาก..การเปลี่ยนชื่อ.."อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มาเป็น..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ"...!!!
    ...อันเป็นการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง...จาก..ความเห็นถูก..สู่..ความคิดถูก..สู่..พูดถูก..สู่..ทำถูก..นั่นเอง

    ดังที่นายมนัส เดชเสน่ห์ ผู้อำนวยการโรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติ...ยื่นหนังสือต่อ ฯพณฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ให้เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาเป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติและประชาชน ด้วยการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แท้จริง ตามที่นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้เสนอต่อรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ให้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนชื่อ.."อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..เป็น..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ"..อันเป็นมาตรการสร้างประชาธิปไตยที่ง่ายที่สุด..แต่..เข้าใจอยากที่สุด..ที่เป็นเส้นผมบังภูเขา ตามหนังสือ.."นายประเสริฐชี้แจงฉบับที่ ๖" ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕

    คณะวิชการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
    องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
    ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
    วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗

    หมายเหตุ...นายมนัส เดชเสน่ห์ และขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ...จะได้ติดต่อ..หนังสือกินเนสบุ๊ค เวิร์ลด์เร็คคอร์ต...มาทำการบันทึกการร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒๐ ว่าเป็น.."ประเทศที่ร่ำรวยรัฐธรรมนูญที่สุดในโลก...แต่อยากจนประชาชนที่สุดในโลก"..ต่อไป
    เพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดการแก้ไขความเห็นผิดให้เกิดความเห็นถูกต่อไป

    (ขอบคุณท่านกมลาศน์..ที่ได้ตั้งปัญหาว่า.. "นี่คือ..อนุสาวรีย์อะไร...???)
     
     
  • สมาน ศรีงาม's photo. 
     
    ขอให้เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาเป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ จึงจะแก้ปัญหาชาติได้สำเร็จ
    โรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติ
    ด่วนทีสุด
    เลขที่ ๒๔๗ หมู่ ๒ ต.คลองปราบ อ.บ้านนาสาน
    จ. สุราษฎร์ธานี ๘๔๑๒๐
    โทร. ๐๘๗-๘๙๑๘๙๖๖
    ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

    เรื่อง ขอให้เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาเป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ จึงจะแก้ปัญหาชาติได้สำเร็จ
    กราบเรียน ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี
    ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองฯ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ สร้างความปรองดองแห่งชาติ และสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ อันเป็นการแก้ปัญหาชาติและปัญหาประชาชนคนทั้งประเทศให้บรรลุความสำเร็จเสร็จ สิ้นสมบูรณ์ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ นั้น
    ความประสงค์อันดีงามยิ่งดังกล่าวข้างต้น ของ ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในฐานะรัฎฐาธิปัตย์ที่กุมอำนาจอธิปไตยเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น และนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายบริหาร จะบรรลุความสำเร็จได้จะต้องเปลี่ยนชื่อ...”อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มา สู่..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ” อันเป็นการแก้.. “ปัญหาเส้นผมบังภูเขา” หรือ “ปัญหาความเห็นบังปัญหาระบอบ” หรือ “ปัญหาทฤษฎีผิดบังปัญหาประชาธิปไตย”
    คณะราษฎรได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้า ร.๗ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เมื่อ ๘๒ ปีที่ผ่านมา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาความเห็น หรือปัญหาทฤษฎี..บังปัญหาระบอบ หรือบังปัญหาประชาธิปไตย ทำให้เรามองไม่เห็นปัญหาระบอบ หรือมองไม่เห็นปัญหาประชาธิปไตย เข้าใจผิดว่าเรา.. “แก้ปัญหาระบอบ..หรือ..ปัญหาประชาธิปไตย” ตกไปแล้ว เราจึงไม่แก้ปัญหาระบอบ หรือไม่แก้ปัญหาประชาธิปไตย ด้วยการปฏิวัติประชาธิปไตย หรือสร้างประชาธิปไตย คือ.. “ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา...สร้างระบอบประชาธิปไตย” ที่มีลักษณะเป็น.. “การปฏิวัติ”(Revolution)” กลับข้างขั้นตอนสร้างประชาธิปไตยไปสู่ขั้น.. “พัฒนาระบอบประชาธิปไตย” ที่มีลักษณะเป็น.. “การปฏิรูป”(Reform)
    มี ๒ สิ่งที่รวมเป็นอันเดียวกันแล้ววิบัติประเทศชาติและวินาศประชาชน..คือ...
    - รัฐธรรมนูญ
    - ประชาธิปไตย
    ทั้งรัฐธรรมนูญ..และ..ประชาธิปไตย...เป็นคนละสิ่งกันอย่างสิ้นเชิง.
    - ประชาธิปไตย..คือ..หลักการปกครอง หรือระบอบ
    - รัฐธรรมนูญ..คือ..ภาพสะท้อนของระบอบ หรือเครื่องรักษาระบอบ
    ดังนั้น จึงมีความสัมพันธ์กันดังนี้...
    - ประชาธิปไตยคือเหตุ(Cause)...รัฐธรรมนูญคือผล(Effect)
    - ประชาธิปไตยคือเนื้อแท้ตัวจริง(Essence) รัฐธรรมนูญคือภาพสะท้อน(Reflection)
    - ประชาธิปไตยมาก่อน...รัฐธรรมนูญมาทีหลัง
    ฉะนั้น...เมื่อประชาธิปไตยถูกสร้างขึ้นแล้วด้วยนโยบายเป็นเครื่องมือ...และ ประชาธิปไตยมีหรือดำรงอยู่จริงแล้ว(Existence-Being) รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายหลัก(Principle Law)ก็มีหน้าที่สะท้อนภาพหรือรักษาระบอบประชาธิปไตยที่มีและดำรงอยู่จริง นั้นไว้ต่อไป...ด้วยเหตุนี้เมื่อระบอบเป็นอะไร..รัฐธรรมนูญก็จะเป็นตามระบอบ ไป...เช่น...
    - ระบอบเผด็จการ..รัฐธรรมนูญก็จะสะท้อนระบอบเป็น.."รัฐธรรมนูญเผด็จการ"
    - ระบอบคอมมิวนิสต์..รัฐธรรมนูญก็จะสะท้อนระบอบเป็น.."รัฐธรรมนูญคอมมิวนิสต์"
    - ระบอบประชาธิปไตย..รัฐธรรมนูญก็จะสะท้อนระบอบเป็น.."รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย"
    ถ้าต้องการสร้าง.."ตัวรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ"...ก็จะต้องสร้าง ระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นเนื้อแท้ตัวจริงขึ้นให้สำเร็จเสียก่อน...เมื่อมี ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นจริง(Established) ดำรงอยู่จริงหรือมีอยู่จริง(Existence or Being)....แล้วรัฐธรรมนูญก็จะร่างสะท้อนภาพหรือร่างตามระบอบประชาธิปไตยที่ สร้างขึ้นจริง มีอยู่จริงดำรงอยู่จริง..(รัฐธรรมนูญขึ้นต่อระบอบประชาธิปไตย.. หรือ..ประชาธิปไตยกำหนดรัฐธรรมนูญเหมือนกับเนื้อหากำหนดรูปแบบ จิตใจกำหนดร่างกาย)...หรือ.."คนจะต้องเกิดขึ้นจริงหรือตายจริงก่อน..กฎหมาย จึงจะรับรองตามจริงนั้น"...เช่นคนจะต้องเกิดขึ้นจริงโดยการปฏิสนธิในครรค์ มารดาก่อน ๙ เดือนและคลอดออกมาอยู่รอด...กฎหมายจึงสะท้อนภาพความเป็นคนที่เกิดขึ้นจริงมี อยู่จริง ดำรงอยู่จริงไว้ต่อไป
    แต่คณะราษฎรและผู้ปกครองไทย...เอารัฐธรรมนูญมาเป็นเนื้อแท้ตัวจริง...เอา ประชาธิปไตยมาเป็นภาพสะท้อน...คือ...สร้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย..เพื่อให้ ระบอบสะท้อนภาพประชาธิปไตยจากรัฐธรรมนูญ...ให้ระบอบเป็นประชาธิปไตยตามรัฐ ธรรมนูญ...นี่คือ..ความผิดพลาดอย่างมหันต์...ที่เรายังคงกลับหัวกลับหาง(Up side down) คณะราษฎร หรือผู้ปกครองไทย และนักวิชาการเสาค้ำเผด็จการรวมทั้งนักเคลื่อนไหวไร้เดียงสาผู้น่ารัก ในระบอบเผด็จการ ๒รูป...ยึดถือและปฏิบัติผิดพลาดเช่นนี้มาโดยตลอดกว่า ๘๒ปีนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕เป็นต้นมาจนถึงบัดนี้...จึงสร้างวิบัติหายนะวินาศล่มจมให้แก่ประเทศชาติ และประชาชนคนทั้งประเทศ..โดยไม่รู้ตัว
    แต่ถ้าพูดกันแบบทั่วๆไปโดยถือ.."รัฐธรรมนูญเป็นเอกเทศ"...ไม่ไปเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ตามหลักวิชาหรือตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติแล้ว...เขาก็สามารถจะสร้าง.."รัฐ ธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยสักปานใดก็ได้"...โดยเขียนใส่รัฐธรรมนูญให้มีหลัก การปกครอง(Principle of Government) และมีรูปการปกครอง(Form of Government) ของการปกครองแบบประชาธิปไตย(Democratic Government) มีสถาบันประชาธิปไตย(Democratic Institution) และองค์การอิสระที่มีอยู่ทั่วโลก.."เอาประชาธิปไตยทั้งโลกมาใส่ไว้ในรัฐ ธรรมนูญ".....ก็จะดูว่าเป็น.."ประชาธิปไตยแต่ในรัฐธรรมนูญ...แต่...ไม่มี ประชาธิปไตยในการปกครอง...เกิดความขัดแย้งกัน.."ระหว่าง..รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย..กับ..การปกครองเผด็จการ"...ในที่สุดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเพียง กระดาษก็ถูกฉีกทิ้ง...เพราะสู้เผด็จการในแผ่นดิน(ในการปกครองในระบอบของ ประเทศ)ไม่ได้...เพราะแผ่นกระดาษ..หรือจะสู้แผ่นดินไหว "ประชาธิปไตยในความฝัน..VS..เผด็จการในความเป็นจริง" (ภาพสะท้อน(ประชาธิปไตย)..หรือจะสู้ตัวจริง(เผด็จการได้)จึงเกิด ปรากฏการณ์.."ร่ำรวยรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก...แต่ยากจนประชาธิปไตยที่สุด ในโลก" ไทยแลนด์แดนรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ไทยแลนด์แดนประชาธิปไตยโดยแท้จริงแล้ว..คือ.."ไทยแลนด์แดนเผด็จการ รัฐสภา" นั่นเอง
    คณะราษฎร...ได้ทำให้.."รัฐธรรมนูญ..กับ..ประชาธิปไตย"..มาเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งผิดกฎเกณฑ์ธรรมชาติ..และจึงไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ทำหน้าที่อะไรอะไรมาก่อน อะไรมาทีหลัง หรืออะไรขึ้นต่ออะไรมีความสัมพันธ์ภายใน(Interrelationship)กันอย่าง ไร...ทางแก้มีทางเดียวคือ.."จะต้องทำสวนทางกับสิ่งที่คณะราษฎรทำ...คือ... แยกรัฐธรรมนูญ..ออกจาก..ประชาธิปไตย"เมื่อคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญแล้ว...ก็ได้ทำให้.."รัฐธรรมนูญ..กับ.. ประชาธิปไตย..เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..คือ..สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ.. แต่กลับตั้งชื่อบิดเบือนว่า..อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"..ตั้งแต่
    บัดนั้นมา.."คนก็เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย"...จึงสร้าง ประชาธิปไตยแต่ในรัฐธรรมนูญ...ไม่สร้างประชาธิปไตยในการปกครองของประเทศ จริงๆ ....ดังนั้นจะต้องแก้ไขด้วยการ.."เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ให้ถูกต้องตามลักษณะ ของมัน..คือ..เปลี่ยนเป็นอนุสารีย์รัฐธรรมนูญ"...ก็จะทำให้ผู้คนแยก ออกระหว่าง.."รัฐธรรมนูญ..กับ..ประชาธิปไตย"..ก็จะสร้างประชาธิปไตยในการ ปกครองของประเทศได้สำเร็จ...และจะสร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่ สะท้อนจากระบอบได้สำเร็จตามหลักวิชา..ไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ..หรือ..ร่างรัฐ ธรรมนูญกันไม่รู้จบอีกต่อไป..เอาแค่ ๒๐ ฉบับก็มากเกินเพียงพอแล้ว
    มรรควิธี(Methodology)ของการร่างรัฐธรรมนูญของลัทธิรัฐธรรมนูญ ที่คณะราษฎรได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้น เป็นมรรควิธีการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ถูกต้องกับกฎเกณฑ์หรือหลักวิชาการของ ลัทธิประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง การทำให้เห็นผิดว่า.. “ลัทธิรัฐธรรมนูญ..คือ..ลัทธิประชาธิปไตย” และ “การใช้รัฐธรรมนูญ...สร้างประชาธิปไตย”...ทำให้เกิดความวิบัติหายนะล่มจมแก่ ประเทศชาติ และเกิดความวินาศอดอยากยากจนแก่ประชาชนคนทั้งประเทศ
    จะต้องเเยก.."รัฐธรรมนูญ...ออกจาก...ประชาธิปไตย"...โดยให้รู้ถูกว่า...
    "รัฐธรรมนูญ..ไม่ใช่เครื่องมือสร้างประชาธิปไตย"
    "นโยบาย.. คือเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย"
    "รัฐธรรมนูญ.. คือเครื่องมือรักษาประชาธิปไตย"
    จะต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่าง.."รัฐธรรมนูญ..กับ..ประชาธิปไตย"..ดังนี้คือ...
    "ประชาธิปไตย...มาก่อน...รัฐธรรมนูญ...มาทีหลัง"
    "ระบอบประชาธิปไตย..คือ..เนื้อเเท้ตัวจริง...รัฐธรรมนูญ..คือ..ภาพสะท้อนระบอบ"
    "ประชาธิปไตย..คือ..เหตุ...รัฐธรรมนูญ..คือ..ผล"
    "นโยบาย..สร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น...รัฐธรรมนูญ..รักษาสิ่งที่มีอยู่ไว้ต่อไบป"
    (นโยบาย..ทำสิ่งในอนาคตให้เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน)
    (รัฐธรรมนูญ..รักษาสิ่งที่มีอยู่ปัจจุบันไว้ให้ดำรงอยู่ต่อไปในอนาคต)
    เมื่อใช้เครื่องมือผิดคือใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย ก็จะประสบความล้มเหลว ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้ ก็หมายถึง.. “ยกเลิกระบอบเผด็จการไม่ได้” เพราะมาตรการแรกของการสร้างประชาธิปไตยก็คือ “การยกเลิกระบอบเผด็จการ” เหมือนกับการทำนาจะต้องกำจัดวัชพืชก่อนแล้วจึงปลูกข้าวลงไปในนาได้ หรือก่อนจะสร้างตึกหลังใหม่จะต้องทำลายตึกหลังเก่าลงก่อน เมื่อยกเลิกระบอบเผด็จการไม่ได้ ระบอบเผด็จการก็ยังดำรงอยู่ในการปกครองประเทศต่อไปอย่างเป็นไปเอง
    ดังนั้น การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างประชาธิปไตย ก็คือการรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ต่อไป นั่นเอง
    ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นนี้... เราจะต้องแก้ปัญหาความเห็น... “จาก..ความเห็นผิด..มาสู่..ความเห็นถูก” คือ “เห็นว่าระบอบปัจจุบันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย..แต่เป็น..ระบอบเผด็จการ รัฐสภา” หรือ “ลัทธิรัฐธรรมนูญ..ไม่ใช่..ลัทธิประชาธิปไตย” ...โดยผิดตรงไหนก็แก้ไขที่ตรงนั้น...”เมื่อปีกหนึ่งของคณะราษฎรโดยรัฐบาลจอม พล ป.พิบูลสงคราม…ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ..แต่ตั้งชื่อว่า..”อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย” จนทำให้เกิดความเห็นผิดดังกล่าว....ก็ต้องเปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ให้ถูกต้อง ตามลักษณะที่แท้จริงของอนุสาวรีย์ คือ.. “เปลี่ยนจาก..อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มาสู่..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ” อันเป็นการแยก..”รัฐธรรมนูญ..กับ..ประชาธิปไตย”..ออกจากกันโดยเด็ดขาด ก็จะทำให้เรารู้ว่าอะไรคือ รัฐธรรมนูญ อะไรคือประชาธิปไตย ? และความหน้าที่อย่างไร ? และรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองสิ่งอย่างถูกต้อง...ก็จะทำให้..”สามารถสร้าง ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง...และ...สร้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย”...ได้ สำเร็จอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ถูกต้องกฎเกณฑ์ของการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย และการสร้างรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตย แห่งยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่(Modern History)
    ดังนั้น จึงขอให้ ฯพณฯเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ได้โปรดกรุณาแก้ปัญหาความเห็นผิด..มาเป็น..ความเห็นถูก โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์...”จาก..อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มาเป็น..อนุสาวรีย์ รัฐธรรมนูญ” เพื่อจะได้มองเห็นปัญหาระบอบ หรือปัญหาประชาธิปไตย แล้วก็จะสามารถแก้ปัญหาประชาธิปไตย หรือแก้ปัญหาระบอบ ด้วยการสร้างประชาธิปไตย ตามแนวทาง ร๕ ร.๖ ร.๗ และนโยบาย ๖๖/๒๓ โดยการใช้.. “นโยบายเป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย”...และ... “ใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือรักษาประชาธิปไตย” ไว้ให้มั่นคงยั่งยืนต่อไป
    กระผมและคณะกรรมการโรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติ จะได้ยื่นหนังสือถึง.. “กินเนสบุ๊ค เวิร์ลด์ เร็คคอร์ด” ให้เดินทางมาบันทึกว่า..”ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก”...และรัฐ ธรรมนูญฉบับที่ ๒๐ จะเป็นฉบับสุดท้ายที่เป็น..”รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” ที่ร่างอย่างถูกต้องตามหลักวิชา สามารถดำรงอยู่คู่กับประชาธิปไตยได้ตลอดไป เช่น เดียวกับประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย จะไม่ถูกฉีกทิ้งอีกต่อไป และ คสช.โดย ฯพณฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้แก้ปัญหา ๒ ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยตกไป คือ..”ปัญหาประชาธิปไตย..และ..ปัญหารัฐธรรมนูญ”...ซึ่งไม่มีคณะใด หรือใครที่จะมีความสามารถ และมีบารมีมากพอที่จะแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยทั้ง ๒ ปัญหานี้ได้เลย...ล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้ต่อปัญหาประชาธิปไตย..และ..ปัญหารัฐ ธรรมนูญ”...ทั้งสิ้น ดังนัน ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา...จึงเป็น..”ผู้ชนะยิ่งใหญ่ตลอดไป”(Conqueror) และเป็นมหารัฐบุรุษของไทยที่แท้จริง
    จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และดำเนินการออกคำประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนชื่อ.. “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มาเป็น..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ”...เพื่อแก้ปัญหา ประชาธิปไตย และปัญหารัฐธรรมนูญให้ตกโดยเร็วที่สุดต่อไป เพื่อเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติ และแก้ปัญหาประชาชนทุกคนให้สำเร็จเสร็จสิ้น สมบูรณ์ บริบูรณ์ ต่อไป
    ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
    (นายมนัส เดชเสน่ห์)
    ผู้อำนวยการโรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติ
    ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ

  • ตบแต่ง โดย   สุริยา มาดีกุล

ฆ่าหมู่สังเวย “ลัทธิคนขาวสุดโต่ง”

ฆ่าหมู่สังเวย “ลัทธิคนขาวสุดโต่ง”

9391
เกษม อัชฌาสัย
พาดหัวข่าวใหญ่หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ใน สหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ กรณีที่นายดีแลน รูฟ เด็กหนุ่มผิวขาววัย ๒๑ ปีใช้ปืนพกหรือที่โน่นเรียกว่า handgun ยิงคนดำตายเก้าคนรวด ในขณะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอยู่ที่โบสถ์ชาวคริสต์โปรเตสต์แตนต์ นิกาย “แอฟริกัน เมธอดิสต์ อะพิสคะเปิล” ที่เมืองชาร์ลสตันอันเป็นเมืองเอกของรัฐเซาธ์ แคโรไลนา โดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า ว่าจะเกิดเรื่องนี้
สร้างความตื่นตระหนกแก่คนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นชาวอเมริกันด้วยกันเองและชาวโลก
เบื้องแรกไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นเหตุจูงใจ ให้นายรูฟ ประพฤติอย่างนั้น คนอ่านข่าว(หรือชมข่าว)แล้ว ก็สงสัยว่าเขาคงจะเกิดบ้าคลั่งอะไรขึ้นมา แบบเดียวกับกรณีกราดยิงฆ่าหมู่ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆตามโรงเรียนและตามวิทยาลัยในรัฐต่างๆ ที่สาเหตุมักเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่โกรธแค้นเพื่อนฝูง พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์
แต่รายงานต่อมาบ่งชี้ว่าการลงมือสังหาร ครั้งนี้เกิดจากความเกลียดชังคนผิวดำที่ฝังลึกลงไปในสายเลือดคนขาวกลุ่ม หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าแม้เป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ที่แฝงตัวอยู่ในสังคมอเมริกัน และ “ดีแลน รูฟ” ก็เป็นหนึ่งที่ฝังหัวในลัทธินี้ หลังจากพบภาพเขาสวมใส่เสื้อซึ่งปรากฏรูปลักษณ์ที่บ่งชี้และมีสักขีพยานให้ ปากคำยืนยันว่าก่อนที่เขาจะไล่ยิงเหยื่อทั้งหมดนั้น เขาพูดว่า “ต้องทำอย่างนี้ เพราะพวกมึงข่มขืนผู้หญิงของพวกกู พวกมึงจะเข้ายึดครองชาติทั้งหมดเอาไว้ ฉะนั้นพวกมึงจะต้องไป…”
เป็นความรู้สึกเหยียดผิว ว่า “ผิวขาวต้องยอดเยี่ยมเหนือกว่าผิวอื่น” นับแต่มีการใช้ทาสผิวดำในไร่ฝ้าย เมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน ซึ่งกวาดต้อนมาจากแอฟริกา
ความรู้สึกที่ “ผิวขาวต้องยอดเยี่ยมที่สุด” นั้นเรียกกันว่า White Supremacy อันเป็นลัทธินิยมซึ่งมีมานานในโลกซึ่ง “ลัทธินาซี” ก็ใช่หนึ่งในลัทธินี้ เนื่องจาก “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ถือว่าชาวเยอรมันเท่านั้นที่ประเสริฐเลิศสุดยอดเป็นชนเผ่าอารยะที่เรียกว่า “อารยัน” ส่วนชาวยิวนั้นไม่ใช่ก็เลยอ้างเหตุสังหารหมู่ชาวยิวไปหลายล้านคน
dylan-roof-r3
พฤติการณ์ที่ว่านี้เรียกว่า “ลัทธิแบ่งแยกผิว” หรือ “ลัทธิกีดกันผิว” ซึ่งมาจากคำว่า Racism ก็แล้วแต่จะเรียกกัน
การเลิกทาสของท่านประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกเหยียดผิว แบ่งแยกผิว หมดจากสังคมอเมริกันได้เลย ทั้งที่รัฐธรรมนูญของสหรัฐบัญญัติไว้ให้คนอเมริกันทุกคน มีความเท่าเทียมกัน ทั้งในด้านสิทธิเสรีภาพและหน้าที่
แต่ในทางปฏิบัตินั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่ คนไทยที่ไปอยู่ในสหรัฐย่อมจะตระหนักดี แม้จะได้สัญชาติอเมริกันแล้ว
“ลัทธิคนขาวสุดโต่ง” หรือ white supremacism ในสหรัฐอเมริกามีความเป็นมาอย่างไร ลองมาดูกัน
พวกเขาเป็นใคร ?
พวกนี้นับเป็นกลุ่ม “อนุวัฒนธรรม” คือกลุ่มที่มีความคิดอ่านแปลกแยกไม่ยอมเป็นเนื้อเดียวกันกับคนทั่วไปหรือคน ส่วนใหญ่ในสังคม เป็นพวกที่มีความเกลียดชังฝังใจเป็นสำคัญโดยเฉพาะเกลียดชังด้านสีผิวและ เกลียดชังรัฐบาล
พวกนี้ถือว่าอาวุธคือทางแก้ปัญหาที่ค้างคา ใจพวกเขาอยู่ ดังนั้นในเว็บไซต์ของพวกนี้จึงหนักไปที่การโฆษณาขายอาวุธ ว่าจะหาซื้อปืนหรืออาวุธอื่นใดได้ไหนและราคาเท่าไร
อย่างกลุ่ม “นีโอ นาซี” หนึ่งในกลุ่มขวาดจัดในสหรัฐ สมาชิกกลุ่มนี้มักจะสักรูป “สวัสดิกะ นาซี” เป็นสัญลักษณ์
พวกเขามีความเชื่อถือในอะไร
ชนกลุ่มนี้ มาจากชนเผ่า “คอเคเซียน” หรือไม่ก็ “อารยัน” ซึ่งพวกเขาถือว่า มีสายพันธุ์ที่เยี่ยมยอด เหนือกว่าสายพันธุ์อื่นใด ในโลก เป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากการคัดสรรของธรรมชาติมาแล้วอย่างดี พวกนี้มีความเกลียดชังคนดำโดยเฉพาะเพราะเคยเป็นทาสมาก่อนในสังคมอเมริกัน นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มกลียดชังพวก “ฮิสปานิก” คือกลุ่มชนที่พูดภาษาสเปนที่อพยพเข้าไปอยู่ในสหรัฐด้วย
พวกนี้มีความเห็นอย่างไร ต่อการสังหารหมู่ที่โบสถ์เมือง “ชาร์ลสตัน”
ปรากฏว่าเครือข่ายพวกขวาจัด พากันผุดข่าวนี้ออกมาราวกับดอกเห็ด โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กของพวกเขาชื่อ “สตอร์มฟรอนต์” มีการกดไลก์ถึง ๑๔๐,๐๐๐ ครั้งและแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ส่วนใหญ่ใช้ภาษาขวาจัดและมีสาระเสียดสีการตายที่เกิดขึ้น มีหลายรายที่บ่งชี้เลยว่ามือปืนคือวีรบุรุษ
w
มีอยู่บ้างเหมือนกันที่วิจารณ์ว่าการกระทำเช่นนี้ เป็นทำลายชื่อเสียง
ถามว่า ยังมีพวกนี้อีกกี่กลุ่มในสังคมอเมริกัน
คำตอบคือไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือเท่าไร แต่ศูนย์กฎหมายว่าด้วยความยากจนของภาคใต้(เอสพีแอลซี)ซึ่งติดตามกลุ่มสุด โต่งทั่วสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม “ผิวขาวสุดโต่ง” ระบุเมื่อปี ๒๕๕๗ ว่ามีอยู่ทั้งสิ้น ๗๘๔ กลุ่ม เฉพาะในรัฐเซาธ์แคโรไลนาที่เกิดเหตุคราวนี้มี ๑๙ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่ม “อัศวินขาวผู้จงรักภักดี” กลุ่ม “คลู คลักซ์ แคน” ที่เลื่องชื่อมากในอดีตและกลุ่ม “ลีก ออฟ เธอะ เซาธ์” หรือ “สันนิบาตแห่งภาคใต้”
หลังเหตุการณ์ ๙/-๑๑ หรือการถล่ม “เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์” เป็นต้นมากลุ่มขวาสุดโต่ง ออกปฏิบัติการโจมตี ๓๓๗ ครั้งต่อปีเมื่อเทียบกับกลุ่มมุสลิมอเมริกันที่โจมตีเก้าครั้งต่อปี โดยเฉลี่ย
สำหรับนายดีแลน รูฟนั้นเฟซบุ๊กของเขาปรากฏภาพที่เขาสวมเสื้อ ปักธงชาติแอฟริกาใต้และโรดีเซีย(“ซิมบับเว”ในปัจจุบัน) ในยุคที่ยังมีการกีดกันผิวอยู่
ทั้งสองชาตินี้ คือสุดยอดของชาติในอดีตที่คนขาวที่นั่น ปฏิบัติต่อคนดำเยี่ยงสัตว์ ก็ไม่ปาน
ในหนังสือภาษาอังกฤษใช้ในการอ่านประกอบของ ชั้นเตรียมอุดมของไทยเราสมัยหนึ่ง ชื่อ “กานดีจิ” เคยบรรยายสภาพกีดกันผิวไว้อย่างเจ็บปวดไว้ที่ป้ายเขตห้ามเข้าในแอฟริกาใต้ ว่า “ห้ามเข้าสำหรับคนสีผิวและสุนัข”
ซึ่งน่าสนใจว่า นายดีแลน รูฟ ได้รับแรงบรรดาลใจมาอย่างไร ต่อการเกลียดชังคนดำ ซึ่งก็จะต้องติดตามข่าวเกี่ยวกับตัวเขาซึ่งถูกจับได้ หลังจากทำงานสำเร็จ
เรื่องกีดกันผิวหรืออคติต่อผิวสีนี้ ผู้เขียนเองเคยโดนมาแล้ว เมื่อราว ๔๕ ปีก่อน ในเมือง “ดีทรอยต์” ของสหรัฐ
กลุ่มวัยรุ่นผิวดำเห็นผู้เขียนเดินอยู่คน เดียวบนถนน ก็วิ่งไล่ทำร้ายอย่างไร้เหตุผล ผู้เขียนต้องโกยแน่บหนีเข้าโรงแรมแล้วโทรแจ้งตำรวจ ไม่กล้าออกไปไหนอีก วันรุ่งขึ้นรีบเดินทางออกจากเมืองนี้ แต่เช้าตรู่
ครั้งนั้น คนดำกระทำกับคนผิวเหลือง ที่พวกเขามักจะเสียดสีให้ได้ยินว่าเป็น yellow peril ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงกลายเป็น “ตัวอันตราย” ไปได้
ทำให้ได้ข้อสรุปว่า การเหยียดผิวไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะระหว่างผิวขาวกับผิวดำเท่านั้น
กรณีสังหารหมู่คนดำคราวนี้ นับว่าร้ายแรงกว่าเมื่อเทียบกับกรณีตำรวจอเมริกันผิวขาว ฆ่าหรือทำร้ายคนดำ ที่มีข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ จนเกิดประท้วงกันไปทั่ว
เพราะผิวขาวคนเดียวสังหารคนดำได้ถึงเก้าคน ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาไม่แน่ว่า จะมีคนดำลุกขึ้นมาประท้วงหรือไม่และอย่างไร
ทำให้เกิดคำถามว่า จะมีหนทางไหนบ้างที่จะควบคุมการซื้อขายอาวุธปืนได้อย่างเด็ดขาด ในสหรัฐอเมริกา เพราะเมื่อเสนอให้ควบคุมคราวใด ก็จะมีเสียงต่อต้านอย่างมหาศาลและไม่มีรัฐบาลสหรัฐชุดไหน จัดการได้
จึงคาดว่าปัญหาเหยียดหยามผิวสี ยังคงคุกคามความมั่นคงของสังคมอเมริกันไม่เลิก ตราบเท่าที่ยังคงมีประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่

Cre:TIME
edit : suriya mardeegun

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา...เป็นต้นแบบ..."การปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม"(Peaceful Revolution)

Jenny Low Li Li and 3 others shared สมาน ศรีงาม's photo.

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา...ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ...เป็นยอดนักกฎหมาย...ได้ทำการ.."โอนอำนาจ..มาสู่..รัฐบาลเฉพาะกาล"...แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญ..VS..ลัทธิประชาธิปไตย...และนโยบายเศรษฐกิจแบบซ้ายจัดตามสมุดปกเหลืองของนายปรีดี พนมยงค์..VS..นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมของพระปกเกล้า ร.๗ "๑ รัฐบาล ๒ นโยบาย" ...ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งทั้งทางแนวทางการเมือง..และ..นโยบายทางเศรษฐกิจ..ดังกล่าวในรัฐบาลจนไม่อาจจะเดินต่อไป...อันจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและประเทศชาติ...
...พระยามโนปกรณ์นิติธาดา...สุดยอดนักกฎหมาย(นิติธาดา)..และผู้นิยมลัทธิประชาธิปไตย และนิยมสันติวิธี และเศรษฐกิจเสรีนิยม...ไม่ใช่วิธีรัฐประหารอันเป็นวิธีรุนแรงเข้าแก้ปัญหา...แต่ใช้.. "กฎหมายสูงสุดเป็นทางดำเนินการ"...คือ..."ความปลอดภัยของประชาชน(ความมั่นคงแห่งชาติ)เป็นกฎหมายสูงสุด" ขอพระราชทานพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ฯ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๖ เช่น...
- ให้งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่ขัดต่อพระราชกฤษฎีการนี้
- ปิดประชุมสภาผู้แทนฯ 
- ให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง 
- ให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ 
- ให้มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 
- ฯ 
ซึ่งเป็นต้นแบบ..."การปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม"(Peaceful Revolution)...เปลี่ยนผ่านอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยมาเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน..หรือ..เปลี่ยนระบอบเผด็จการรัฐสภา..มาเป็น..ระบอบประชาธิปไตย...นั่นคือ..."โอนอำนาจจากรัฐสภา..มาสู่..สภาปฏิวัติแห่งชาติ(สภาประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติในปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๗)..เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒...ที่ได้ต่อสู้มีชัยชนะในเวทีศาลยุติธรรม
ตาม.."ทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย"(Democratic Government) ตามแบบอย่างของ ร.๕ ร.๖ ร.๗ (องคมนตรีสภา ร.๕, ดุสิตธานีสภา ร.๖, สภากรรมการองคมนตรี ร.๗) ซึ่งเป็นการปฏิวัติสันติที่ดีที่สุดของโลก
หมายเหตุ...พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ(Head of State) ย่อมมีความเป็น "องค์รัฎฐาธิปัตย์"(The Sovereign) ทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนเป็นกฎหมายสูงสุดเข้ารักษาความมั่นคงแห่งชาติ ตามหลักนิติธรรม(Rule of Law) ที่ว่า.. "ความมั่นคงแห่งชาติเป็นกฎหมายสูงสุด"..และ "กฎหมายใดขัดต่อหลักนิติธรรมย่อมเป็นโมฆะแม้แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายหลัก(Principle Law)"...ทรงใช้อำนาจตามกฎหมายสูงสุด..ตราพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจจากคนส่วนน้อย(รัฐสภา)...มาสู่..ประชาชน(สภาประชาชนปฏิวัติสันติฯ) เพราะอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย(ระบอบเผด็จการ)คือเหตุของความไม่มั่นคงแห่งรัฐ..อำนาจอธิปไตยของปวงชน(ระบอบประชาธิปไตย)..คือ..เหตุแห่งความมั่นคงแห่งชาติ
วันหนึ่งในอนาคต...จะบังเกิดการ.."โอนอำนาจจากคนส่วนน้อย(รัฐสภา)..มาสู่..ปวงชน(สภาประชาชนปฏิวัติสันติฯ)...เพราะประชาชนได้ก่อตั้ง.."สภาประชาชน..ในรูปของ..สภาปฏิวัติแห่งชาติ..สภาประชาธิปไตยแห่งชาติ..สภาประชาชนปฏิวัติแห่งชาติ"..ตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย..เกิดขึ้นแล้ว ดำรงอยู่จริงแล้ว(Existence, Being) ตามธรรมชาติ(De facto) ตามกฎธรรมชาติ.."จาก..ไม่มี..มาสู่..มี, จาก..เล็ก..มาสู่..ใหญ๋..จาก..อ่อนแอ..มาสู่..เข้มแข็ง..มาสู่..ชัยชนะ"...!!!
เพราะ คสช. ไม่อาจจะสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้...แต่สามารถทำให้สถานการณ์จากอนาธิปไตยสุดขีดที่กำลังพัฒนาไปสู่สถานการณ์สงครามยุติลง...ทำให้มีความสงบระดับหนึ่ง และสภาวะอนาธิปไตยหมดไป และวางรากฐานเพื่อ..การปฏิรูปในปฏิวัติ..และนำไปสู่การปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic Revolution) ในท้ายที่สุด...เพราะปัจจุบันการเมือง การปฏิวัติ การสร้างประชาธิปไตย...ได้พัฒนาจากระยะที่ ๑ สู่ ระยะที่ ๒ สู่ ระยะที่ ๓ คือ..."จาก..สถาบันพระมหากษัตริย์..มาสู่..สถาบันกองทัพ..มาสู่..สถาบันประชาชน(สภาประชาชนปฏิวัติสันติฯ พรรคประชาชนปฏิวัติสันติฯ)...!!!
คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ 
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ 
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗
(ขอขอบคุณท่าน Atipoj Srisukhon ทั้งเนื้อหาและภาพ)
  • suriya mardeegun

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

อุกาบาตที่ใหญ่ 7 ก้อน

    • ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณ ส.ผาน้ำย้อย ครับ
    อุกกาบาตเปรียบเหมือนคนพเนจรที่ลอยอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล ในอดีตมีอุกกาบาตจำนวนมากทั้งแบบเต็มก้อน และแบบห่าฝน ที่เคยผ่านเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก กลายเป็นลูกไฟในสายตาของผู้พบเห็น หลายชีวิตต้องสังเวยจากการตกกระทบของมัน เศษอุกกาบาตที่เหลือจากการตกกระแทก กลายเป็นสะเก็ดดาว และอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ที่ใหญ่และหนักที่สุดมีเพียง 7 ก้อน ดังที่จะนำเสนอต่อไปนี้
    'วิลลาเมต' น้ำหนักโดยประมาณ 15.5 ตัน
    ด้วยขนาด 7.8 ตารางเมตร และน้ำหนักถึง 15.5 ตัน ส่งให้ วิลลาเมต เป็นสะเก็ดดาวที่ใหญ่ที่สุดที่พบในสหรัฐฯ องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแร่เหล็กถึง 91 เปอร์เซ็นต์ และนิกเกิลอีก 7.62 เปอร์เซ็นต์ ตกในรัฐโอเรกอน แต่ร่องรอยการกระแทกไม่หลงเหลือแล้ว
    หากไม่นับรวมชนอเมริกันพื้นเมืองในอดีตแล้ว วิลลาเมต ถูกค้นพบโดยเอลลิส ฮิวจ์ ในปี 1902 เขาใช้เวลากว่า 3 เดือนในการขนย้ายสะเก็ดดาวก้อนนี้ไปไกล 3 ส่วน 4 ไมล์ จากจุดตก ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัท โอเรกอน ไอออน แอนด์ สตีล และพยายามอ้างความเป็นเจ้าของหินดังกล่าว แต่สุดท้ายก็ถูกจับ และสะเก็ดดาวถูกขายไปในราคา 26,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7.6 แสนบาท) และภายหลังถูกนำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน
    Like   Comment   
    'เอ็มโบซี' น้ำหนักโดยประมาณ 16 ตัน
    สะเก็ดดาว เอ็มโบซี ถูกค้นพบอย่างเป็นทางการในปี 1930 ในประเทศแทนซาเนีย น้ำหนักประมาณ 16 ตัน และเช่นเดียวกับอุกกาบาตจำนวนมากที่เคยพบ คือแทบไม่หลงเหลือร่องรอยการตกกระทบพื้นผิวโลกเลย ซึ่งเป็นไปได้ว่า มันกลิ้งหลังจากตกสู่พื้นโลก หรือตั้งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานหลายพันปีแล้ว
    เมื่อเอ็มโบซีถูกพบครั้งแรกในปี 1930 ครึ่งหนึ่งของมันถูกฝังอยู่ใต้ดิน ปัจจุบันมันถูกขุดขึ้นมาและมีการก่อสร้างฐานวางไว้ด้านล่าง ขณะที่หลุมที่เกิดจากการขุดมันขึ้นมา กล่าวกันว่าถูกคงสภาพไว้ตามเดิม
    Like   Comment   

    News Feed

    'อักปาลิลิค' น้ำหนักโดยประมาณ 20 ตัน
    หนึ่งในชิ้นส่วนของอุกกาบาต 'เคป ยอร์ก' ถูกค้นพบโดย วาน เอฟ. บุชวาลด์ ที่คาบสมุทรอักปาลิลิก ในทวีปกรีนแลนด์ รู้จักกันในชื่อ 'เดอะ แมน' ตกสู่พื้นโลกเมื่อราว 10,000 ปีก่อน และเป็นหนึ่งในสะเก็ดดาวเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา ในเมืองโคเปนเฮเกน
    ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เดอะ แมน ถูกใช้เป็นแหล่งแร่โลหะ เพื่อสร้างเครื่องใช้และอาวุธ ก่อนที่ข่าวการคงอยู่ของมันจะไปถึงหูของนักวิทยาศาสตร์ในปี 1818 อย่างไรก็ตาม คณะเดินทาง 5 ชุด ที่ถูกส่งไปออกตามหาหินก้อนนี้ในช่วงปี 1818-1883 ประสบความล้มเหลวทั้งหมด
    Like   Comment   
    'บาคุบิริโต' น้ำหนักโดยประมาณ 22 ตัน
    วัตถุจากนอกโลกความยาว 4 เมตรนี้ เป็นสะเก็ดดาวเต็มก้อนที่สมบูรณ์ที่สุดที่เคยค้นพบในเม็กซิโกอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มันถูกค้นพบเมื่อปี 1892 โดย กิลเบิร์ต เอลลิส ไบเลย์ นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งถูกส่งมาจากสำนักวารสารในเมืองชิคาโก ต่อมาทีมสำรวจได้ขุดค้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากชนพื้นเมือง และตั้งชื่อตามชุมชนที่มันถูกค้นพบ ปัจจุบัน สะเก็ดดาว บาคุบิริโต ถูกแสดงอยู่ในเมืองคัลญาคานของเม็กซิโก
    Like   Comment   
    'อาห์นิกิโต' น้ำหนักโดยประมาณ 31 ตัน
    เป็นเศษชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของอุกกาบาต 'เคป ยอร์ก' รู้จักกันในชื่อ เดอะ เต้นท์ ด้วยน้ำหนักกว่า 31 ตันของมัน ทำให้มันเป็นสะเก็ดดาวก้อนใหญ่ที่สุดที่เคยถูกเคลื่อนย้ายโดยกำลังของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์พยายามตามหามันมาตั้งแต่ปี 1818 จนกระทั่ง โรเบิร์ต อี เพียรี นักสำรวจมหาสมุทรอาร์กติก ชาวอเมริกัน สามารถระบุที่ตั้งที่ชัดเจนของมันได้ในปี 1894 โดยได้รับการช่วยเหลือจากชนพื้นเมืองนิรนาม
    ทีมของเพียรีใช้ความพยายามถึง 3 ปี กว่าจะสามารถขนก้อนโลหะหนักอึ้งขนาด 12.1 ตารางเมตรนี้ลงเรือได้ ซึ่งเขานำมันไปขายให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ได้ราคาสูงถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะนั้น หรือประมาณ 800,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน (ราว 23 ล้านบาท) และถูกจัดแสดงมาจนถึงทุกวันนี้
    Like   Comment   

    News Feed

    'เอล คาโก' น้ำหนักโดยประมาณ 37 ตัน
    ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดจากกลุ่มสะเก็ดดาว 'คัมโป เดล เชโล' ซึ่งตกกระแทกกับพื้นโลกสร้างหลุมยุบขนาด 60 ตารางกิโลเมตร ในประเทศอาร์เจนตินา เอล คาโก เป็นวัตถุจากนอกโลกที่หนักที่สุดเป็นลำดับที่ 2 เท่าที่เคยพบบนพื้นโลก อย่างไรก็ดี หากรวมชิ้นส่วนของกลุ่มสะเก็ดดาว คัมโป เดล เชโล เข้าด้วยกัน มันจะมีน้ำหนักถึง 100 ตันทีเดียว
    เอล คาโก ถูกค้นพบในปี 1969 ในหลุมลึก 5 เมตร ด้วยการใช้เครื่องตรวจจับโลหะ และจากการตรวจสอบจุดตกพบว่ามีอายุประมาณ 4,000-5,000 ปี เมื่อปี 1990 เกิดคดีใหญ่โต หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์เจนตินา สามารถยับยั้งแผนขโมยสะเก็ดดาวเอล คาโก ของนักล่าอุกกาบาต โรเบิร์ต ฮัก ได้สำเร็จ โดยที่หินดังกล่าวถูกเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศไปแล้ว
    Like   Comment   
    'โฮบา' น้ำหนักโดยประมาณ 60 ตัน
    เจ้าของตำแหน่งสะเก็ดดาวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบบนโลกใบนี้ ตกเป็นของสะเก็ดดาว โฮบา ด้วยน้ำหนักที่มากกว่าลำดับสองเกือบเท่าตัว มีขนาด 6.5 ตารางเมตร ตั้งอยู่ที่เมืองกรูตฟอนไตน์ แคว้นโอตโจซอนด์จูปา ประเทศนามิเบีย คาดกันว่ามันถูกชะลอโดยชั้นบรรยากาศโลกก่อนที่จะตกสู่พื้น ด้วยความเร็วที่ทำให้มันไม่บุบสลายและจมลงเนื้อดินเกือบมิด นอกจากนี้มันยังมีรูปทรงราบแปลกตา ซึ่งมีคำอธิบายว่า มันอาจตกกระดอนไปกับพื้น ในลักษณะการโยนหินกระดอนบนผิวน้ำ
    จากการตรวจสอบพบว่า สะเก็ดดาว โฮบา ตกสู่พื้นโลกประมาณ 80,000 ปีก่อน มันมีส่วนประกอบของแร่เหล็ก 84 เปอร์เซ็นต์ นิกเกิลอีก 16 เปอร์เซ็นต์ และเนื่องจากมวลมหาศาลของมัน ทำให้มันไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปจากจุดที่มันตั้งอยู่เลยตั้งแต่มีการค้นพบเมื่อปี 1920 โดยชาวนาคนหนึ่ง ปัจจุบันทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปชมหินอุกกาบาตก้อนนี้
    Like   Comment