วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

ประวัติ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ประวัติ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ผมคิดว่า หลายๆ ท่านพอได้เห็นภาพแล้วคงร้อง อ๋อ... และมีอีกหลายท่าน เคยร่วมกิจกรรมด้วยซ้ำไป เป็นภาพขององค์กรสาธารณกุศล คืิอ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ครับ
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นมูลนิธิที่มาจาก คณะเก็บศพไต้ฮงกง ก่อตั้งในปี พ.ศ.๒๔๕๒ โดยพ่อค้าชาวจีนในกรุงเทพฯ ๑๒ คน มีจุดประสงค์เพื่อเก็บศพไร้ญาติทุกภาษาและนำไปฝังที่ป่าช้าทุ่งวัดดอน ถนนเจริญกรุง ที่ชาวจีนได้เรี่ยไรเงินซื้อไว้
ระยะแรกของคณะเก็บศพไต้ฮงกง เป็นไปอย่างอัตคัต เงินที่ได้รับบริจาคไม่พอกับค่าใช้จ่าย และเมื่อในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองในปี พ.ศ.๒๔๕๕ คณะผู้ก่อตั้งขอพระบรมราชูปถัมภ์จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็ทรงพระกรุณาพระราชทานเงินช่วยเหลือให้ปีละ ๒.๐๐๐ บาท แต่ถึงกระนั้นการดำเนินงานก็ยังทำได้ในวงจำกัด
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๐ นักธุรกิจจีนได้ร่วมกับบรรดาสมาคมและหนังสือพิมพ์จีน ระดมความคิดปฏิรูปคณะเก็บศพไต้ฮงกงขึ้นใหม่ โดยจดทะเบียน (ทุน ๒,๐๐๐ บาท) จัดตั้งเป็นมูลนิธิในนาม "ฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง" เป็นมูลนิธิลำดับที่ ๑๑ ของประเทศสยาม
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ดำเนินงานสาธารณะสงเคราะห์มาเป็นลำดับ ทั้งกิจกรรมหลักแรกเริ่ม คือการเก็บศพไร้ญาติ ไปจนถึงบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอัคคีภัย ภัยแล้ง ภัยหนาว หรืออุทกภัย รวมไปจนถึงความยากจน
ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ชาวจีนได้หลั่งไหลหนีภัยมายังประเทศไทยจำนวนมาก คน ๑ ใน ๔ ของผู้อพยพเป็นหญิงที่ติดตามสามีมา ส่วนใหญ่ยากไร้และอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และด้วยความที่ไม่คุ้นกับภาษาและวัฒนธรรมสยาม ทำให้เกิดปัญหายามตั้งครรภ์และตอนคลอดบุตร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้มีส่วนช่วยโดยได้เปิดสถานผดุงครรภ์หัวเฉียว (ฮั่วเคี้ยวกิ้วหูลิ่วซั่วอี่) ในปี พ.ศ.๒๔๘๑ ขนาด ๘ เตียง ที่หลังศาลป่อเต็กตึ๊ง (ถนนพลับพลาไชย)
การให้บริการทำคลอดได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๓ จึงขยายสถานผดุงครรภ์ไปเป็นโรงพยาบาลหัวเฉียว (ฮั่วเคี้ยวกิ้วหูอุยอี่) ขนาด ๒๕ เตียง (ใช้ห้องเช่าแถวพลับพลาไชย) ให้บริการทำคลอดเกือบ ๓,๐๐๐ คน และได้ผลักดันจัดตั้ง โรงเรียนผดุงครรภ์หัวเฉียว จนสำเร็จในปี พ.ศ.๒๔๘๕ ในช่วงที่สงครามทวีความรุนแรงมากขึ้น ซ้ำยังเกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 เป็นเวลาเดือนเศษ มูลนิธิทำภารกิจหนักในการจัดหาข้าวสารไปแจกจ่ายประชาชนที่เดือดร้อน
ในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๗ - ๒๔๘๘ ภัยสงครามทางอากาศรุนแรงถึงขีดสุด ทำให้ในกรุงเทพฯ ถูกระเบิดทำลาย ระบบสาธารณูปโภคถูกทำลายเช่นกัน มูลนิธิเป็นธุระเสาะหาน้ำสะอาดมาบรรเทาความขาดแคลน และยังจัดตั้งหน่วยบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยทางอากาศ และเก็บศพเหยื่อสงครามและผู้ตามไร้ญาติกว่าหมื่นศพ (ตลอดทั้งสงคราม)
เมื่อสงครามเริ่มซาลง (พ.ศ.๒๔๘๙ - ๒๔๙๐) มีชาวจีนจำนวนมากถึง ๑๗๐,๐๐๐ คน อพยพมายังประเทศไทยโดยเรือกลไฟ นำโรคระบาดมาคือริดสีดวงตา ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงเพราะทำให้ตาบอดได้ ทางการไทยสั่งกักผู้โดยสารที่มาถึงกรุงเทพฯ ไว้เกือบ ๑ เดือน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเข้ามาบรรเทาความเดือนร้อนแก่ชาวจีนอพยพ โดยนำข้าวต้ม น้ำสะอาดและเวชภัณฑ์ มาช่วยเหลือต่อเนื่อง ๔๐๐ วัน และยังช่วยเหลือสงเคราะห์ชาวจีนโพ้นทะเล โดยช่วยเหลือด้านค่าธรรมเนียมและต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว โดยทำมายาวนาน ๒๕25 ปี รวมถึงยื่นขอใบอนุญาตทำงานแก่ชาวจีนถึงราว ๘๐,๐๐๐ คน
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ดำเนินงานสาธารณะสงเคราะห์มาเป็นลำดับ ทั้งกิจกรรมหลักแรกเริ่ม คือการเก็บศพไร้ญาติ ไปจนถึงบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอัคคีภัย ภัยแล้ง ภัยหนาว หรือ อุทกภัย รวมไปจนถึงความยากจน
ในปัจจุบันภารกิจของหน่วยกู้ภัยป่อเต็กตึ๊งมิได้ทำเพียงการเก็บศพอย่างเดียว แต่ดูแลเรื่องศพจนจบสิ้นกระบวนการ โดยจะทำพิมพ์นิ้วมือ ทำประวัติและถ่ายรูปผู้ตาย จากนั้นส่งศพไปเก็บที่นิติเวชหรือโรงพยาบาลศูนย์ เพื่อให้ญาติมารับ หากไม่มีผู้มารับศพ มูลนิธิจะรับศพไปฝังชั่วคราว โดยที่สุสานของป่อเต็กตึ๊ง หากฝังครบ ๓ ปี ไม่มีผู้มาขอรับศพ มูลนิธิจะทำพิธีฌาปนกิจให้ (ภายหลังจากทางราชการได้ออกใบมรณบัตรให้)
งานสังคมสงเคราะห์ที่สำคัญและถือเป็นประเพณีบุญของมูลนิธิมายาวนาน คือ งานทิ้งกระจาด ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในเทศกาลสารทจีน มีผู้ร่วมรับทานกว่า ๗๐,๐๐๐ คนต่อปี ส่วนในด้านการรักษาพยาบาล นอกเหนือจากบริการหลักที่โรงพยาบาลหัวเฉียว (ขนาด ๗๕๐ เตียง) แล้ว ยังมีบริการหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ซึ่งเป็นหน่วยแพทย์อาสาสมัครจากโรงพยาบาลหัวเฉียว ออกไปให้บริการแก่ผู้ยากไร้ในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ทั้งในยามปกติและยามประสบสาธารณภัย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
หลังจากที่มูลนิธิดำเนินกิจกรรมสาธารณสงเคราะห์มานานกว่า ๔ ทศวรรษ คณะกรรมการบริหารมูลนิธิ มีมติขยายวัตถุประสงค์ให้ครอบคลุมถึงด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาคนด้วย จึงเกิดแนวคิดที่มาของสถาบันอุดมศึกษานามพระราชทาน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

(ภาพ:Sathian Dabod)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น