ฆ่าหมู่สังเวย “ลัทธิคนขาวสุดโต่ง”
เกษม อัชฌาสัย
พาดหัวข่าวใหญ่หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ใน
สหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ กรณีที่นายดีแลน รูฟ เด็กหนุ่มผิวขาววัย
๒๑ ปีใช้ปืนพกหรือที่โน่นเรียกว่า handgun ยิงคนดำตายเก้าคนรวด
ในขณะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอยู่ที่โบสถ์ชาวคริสต์โปรเตสต์แตนต์ นิกาย “แอฟริกัน เมธอดิสต์ อะพิสคะเปิล” ที่เมืองชาร์ลสตันอันเป็นเมืองเอกของรัฐเซาธ์ แคโรไลนา โดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า ว่าจะเกิดเรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกแก่คนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นชาวอเมริกันด้วยกันเองและชาวโลก
เบื้องแรกไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นเหตุจูงใจ ให้นายรูฟ ประพฤติอย่างนั้น คนอ่านข่าว(หรือชมข่าว)แล้ว ก็สงสัยว่าเขาคงจะเกิดบ้าคลั่งอะไรขึ้นมา แบบเดียวกับกรณีกราดยิงฆ่าหมู่ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆตามโรงเรียนและตามวิทยาลัยในรัฐต่างๆ ที่สาเหตุมักเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่โกรธแค้นเพื่อนฝูง พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์
แต่รายงานต่อมาบ่งชี้ว่าการลงมือสังหาร ครั้งนี้เกิดจากความเกลียดชังคนผิวดำที่ฝังลึกลงไปในสายเลือดคนขาวกลุ่ม หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าแม้เป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ที่แฝงตัวอยู่ในสังคมอเมริกัน และ “ดีแลน รูฟ” ก็เป็นหนึ่งที่ฝังหัวในลัทธินี้ หลังจากพบภาพเขาสวมใส่เสื้อซึ่งปรากฏรูปลักษณ์ที่บ่งชี้และมีสักขีพยานให้ ปากคำยืนยันว่าก่อนที่เขาจะไล่ยิงเหยื่อทั้งหมดนั้น เขาพูดว่า “ต้องทำอย่างนี้ เพราะพวกมึงข่มขืนผู้หญิงของพวกกู พวกมึงจะเข้ายึดครองชาติทั้งหมดเอาไว้ ฉะนั้นพวกมึงจะต้องไป…”
เป็นความรู้สึกเหยียดผิว ว่า “ผิวขาวต้องยอดเยี่ยมเหนือกว่าผิวอื่น” นับแต่มีการใช้ทาสผิวดำในไร่ฝ้าย เมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน ซึ่งกวาดต้อนมาจากแอฟริกา
ความรู้สึกที่ “ผิวขาวต้องยอดเยี่ยมที่สุด” นั้นเรียกกันว่า White Supremacy อันเป็นลัทธินิยมซึ่งมีมานานในโลกซึ่ง “ลัทธินาซี” ก็ใช่หนึ่งในลัทธินี้ เนื่องจาก “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ถือว่าชาวเยอรมันเท่านั้นที่ประเสริฐเลิศสุดยอดเป็นชนเผ่าอารยะที่เรียกว่า “อารยัน” ส่วนชาวยิวนั้นไม่ใช่ก็เลยอ้างเหตุสังหารหมู่ชาวยิวไปหลายล้านคน
พฤติการณ์ที่ว่านี้เรียกว่า “ลัทธิแบ่งแยกผิว” หรือ “ลัทธิกีดกันผิว” ซึ่งมาจากคำว่า Racism ก็แล้วแต่จะเรียกกัน
การเลิกทาสของท่านประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกเหยียดผิว แบ่งแยกผิว หมดจากสังคมอเมริกันได้เลย ทั้งที่รัฐธรรมนูญของสหรัฐบัญญัติไว้ให้คนอเมริกันทุกคน มีความเท่าเทียมกัน ทั้งในด้านสิทธิเสรีภาพและหน้าที่
แต่ในทางปฏิบัตินั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่ คนไทยที่ไปอยู่ในสหรัฐย่อมจะตระหนักดี แม้จะได้สัญชาติอเมริกันแล้ว
“ลัทธิคนขาวสุดโต่ง” หรือ white supremacism ในสหรัฐอเมริกามีความเป็นมาอย่างไร ลองมาดูกัน
พวกเขาเป็นใคร ?
พวกนี้นับเป็นกลุ่ม “อนุวัฒนธรรม” คือกลุ่มที่มีความคิดอ่านแปลกแยกไม่ยอมเป็นเนื้อเดียวกันกับคนทั่วไปหรือคน ส่วนใหญ่ในสังคม เป็นพวกที่มีความเกลียดชังฝังใจเป็นสำคัญโดยเฉพาะเกลียดชังด้านสีผิวและ เกลียดชังรัฐบาล
พวกนี้ถือว่าอาวุธคือทางแก้ปัญหาที่ค้างคา ใจพวกเขาอยู่ ดังนั้นในเว็บไซต์ของพวกนี้จึงหนักไปที่การโฆษณาขายอาวุธ ว่าจะหาซื้อปืนหรืออาวุธอื่นใดได้ไหนและราคาเท่าไร
อย่างกลุ่ม “นีโอ นาซี” หนึ่งในกลุ่มขวาดจัดในสหรัฐ สมาชิกกลุ่มนี้มักจะสักรูป “สวัสดิกะ นาซี” เป็นสัญลักษณ์
พวกเขามีความเชื่อถือในอะไร
ชนกลุ่มนี้ มาจากชนเผ่า “คอเคเซียน” หรือไม่ก็ “อารยัน” ซึ่งพวกเขาถือว่า มีสายพันธุ์ที่เยี่ยมยอด เหนือกว่าสายพันธุ์อื่นใด ในโลก เป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากการคัดสรรของธรรมชาติมาแล้วอย่างดี พวกนี้มีความเกลียดชังคนดำโดยเฉพาะเพราะเคยเป็นทาสมาก่อนในสังคมอเมริกัน นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มกลียดชังพวก “ฮิสปานิก” คือกลุ่มชนที่พูดภาษาสเปนที่อพยพเข้าไปอยู่ในสหรัฐด้วย
พวกนี้มีความเห็นอย่างไร ต่อการสังหารหมู่ที่โบสถ์เมือง “ชาร์ลสตัน”
ปรากฏว่าเครือข่ายพวกขวาจัด พากันผุดข่าวนี้ออกมาราวกับดอกเห็ด โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กของพวกเขาชื่อ “สตอร์มฟรอนต์” มีการกดไลก์ถึง ๑๔๐,๐๐๐ ครั้งและแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ส่วนใหญ่ใช้ภาษาขวาจัดและมีสาระเสียดสีการตายที่เกิดขึ้น มีหลายรายที่บ่งชี้เลยว่ามือปืนคือวีรบุรุษ
มีอยู่บ้างเหมือนกันที่วิจารณ์ว่าการกระทำเช่นนี้ เป็นทำลายชื่อเสียง
ถามว่า ยังมีพวกนี้อีกกี่กลุ่มในสังคมอเมริกัน
คำตอบคือไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือเท่าไร แต่ศูนย์กฎหมายว่าด้วยความยากจนของภาคใต้(เอสพีแอลซี)ซึ่งติดตามกลุ่มสุด โต่งทั่วสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม “ผิวขาวสุดโต่ง” ระบุเมื่อปี ๒๕๕๗ ว่ามีอยู่ทั้งสิ้น ๗๘๔ กลุ่ม เฉพาะในรัฐเซาธ์แคโรไลนาที่เกิดเหตุคราวนี้มี ๑๙ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่ม “อัศวินขาวผู้จงรักภักดี” กลุ่ม “คลู คลักซ์ แคน” ที่เลื่องชื่อมากในอดีตและกลุ่ม “ลีก ออฟ เธอะ เซาธ์” หรือ “สันนิบาตแห่งภาคใต้”
หลังเหตุการณ์ ๙/-๑๑ หรือการถล่ม “เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์” เป็นต้นมากลุ่มขวาสุดโต่ง ออกปฏิบัติการโจมตี ๓๓๗ ครั้งต่อปีเมื่อเทียบกับกลุ่มมุสลิมอเมริกันที่โจมตีเก้าครั้งต่อปี โดยเฉลี่ย
สำหรับนายดีแลน รูฟนั้นเฟซบุ๊กของเขาปรากฏภาพที่เขาสวมเสื้อ ปักธงชาติแอฟริกาใต้และโรดีเซีย(“ซิมบับเว”ในปัจจุบัน) ในยุคที่ยังมีการกีดกันผิวอยู่
ทั้งสองชาตินี้ คือสุดยอดของชาติในอดีตที่คนขาวที่นั่น ปฏิบัติต่อคนดำเยี่ยงสัตว์ ก็ไม่ปาน
ในหนังสือภาษาอังกฤษใช้ในการอ่านประกอบของ ชั้นเตรียมอุดมของไทยเราสมัยหนึ่ง ชื่อ “กานดีจิ” เคยบรรยายสภาพกีดกันผิวไว้อย่างเจ็บปวดไว้ที่ป้ายเขตห้ามเข้าในแอฟริกาใต้ ว่า “ห้ามเข้าสำหรับคนสีผิวและสุนัข”
ซึ่งน่าสนใจว่า นายดีแลน รูฟ ได้รับแรงบรรดาลใจมาอย่างไร ต่อการเกลียดชังคนดำ ซึ่งก็จะต้องติดตามข่าวเกี่ยวกับตัวเขาซึ่งถูกจับได้ หลังจากทำงานสำเร็จ
เรื่องกีดกันผิวหรืออคติต่อผิวสีนี้ ผู้เขียนเองเคยโดนมาแล้ว เมื่อราว ๔๕ ปีก่อน ในเมือง “ดีทรอยต์” ของสหรัฐ
กลุ่มวัยรุ่นผิวดำเห็นผู้เขียนเดินอยู่คน เดียวบนถนน ก็วิ่งไล่ทำร้ายอย่างไร้เหตุผล ผู้เขียนต้องโกยแน่บหนีเข้าโรงแรมแล้วโทรแจ้งตำรวจ ไม่กล้าออกไปไหนอีก วันรุ่งขึ้นรีบเดินทางออกจากเมืองนี้ แต่เช้าตรู่
ครั้งนั้น คนดำกระทำกับคนผิวเหลือง ที่พวกเขามักจะเสียดสีให้ได้ยินว่าเป็น yellow peril ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงกลายเป็น “ตัวอันตราย” ไปได้
ทำให้ได้ข้อสรุปว่า การเหยียดผิวไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะระหว่างผิวขาวกับผิวดำเท่านั้น
กรณีสังหารหมู่คนดำคราวนี้ นับว่าร้ายแรงกว่าเมื่อเทียบกับกรณีตำรวจอเมริกันผิวขาว ฆ่าหรือทำร้ายคนดำ ที่มีข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ จนเกิดประท้วงกันไปทั่ว
เพราะผิวขาวคนเดียวสังหารคนดำได้ถึงเก้าคน ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาไม่แน่ว่า จะมีคนดำลุกขึ้นมาประท้วงหรือไม่และอย่างไร
ทำให้เกิดคำถามว่า จะมีหนทางไหนบ้างที่จะควบคุมการซื้อขายอาวุธปืนได้อย่างเด็ดขาด ในสหรัฐอเมริกา เพราะเมื่อเสนอให้ควบคุมคราวใด ก็จะมีเสียงต่อต้านอย่างมหาศาลและไม่มีรัฐบาลสหรัฐชุดไหน จัดการได้
จึงคาดว่าปัญหาเหยียดหยามผิวสี ยังคงคุกคามความมั่นคงของสังคมอเมริกันไม่เลิก ตราบเท่าที่ยังคงมีประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่
Cre:TIME
edit : suriya mardeegun
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น