Mao Cult ลัทธิคลั่งเหมา
"จาก..ปฏิวัติรุนแรง..มาสู่..ปฏิวัติสันติพัฒนาการสูงสุดของโลก"...!!!
ปรารถเหตุถึงบทความที่สำคัญยิ่งของท่านคุณครู Thongkum Virut ซึ่งนำเสนอในเฟ๊ซบุ๊ค ขบวนฯ เห็นว่ามีความประโยชย์อย่างยิ่งต่อประเทศไทยและประชาชาติ และมนุษย์ชาติทั้งโลก ดังนี้คือ...
...."♦10 ปี แห่งความคลั่ง ตอนที่ 9
Mao Cult ลัทธิคลั่งเหมา
หรือลัทธิบูชาบุคคล-เหมาเจ๋อตง
The Cult of Mao's Personality
หรือลัทธิบูชาบุคคล-เหมาเจ๋อตง
The Cult of Mao's Personality
ถูกสร้างขึ้นและเริ่มคลั่งกันไปทั่วตั้งแต่
กรกฎา 1966 พร้อมๆ ไปกับการเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม เหมาถูกวาดภาพจากคนธรรมดาคนหนึ่ง กลายเป็น "พระเจ้า" เป็น "พระอาทิตย์" เป็น "บรมครู" เป็น "นายท้ายที่ยิ่งใหญ่" เหมาค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากคนธรรมดา กลายเป็นประหนึ่งเทพเจ้า
ไม่ผิดกับที่มักซ์ เวอเบอร์เคยกล่าวไว้ว่า "ลัทธิบูชาบุคคลนั้น จะมาพร้อมกับเรื่องของ บุญญาบารมี"
คำพูดของเหมากลายเป็นเสมือนโองการจากสวรรค์ หลินเปียวถึงกับกล่าวว่า "เหมาเป็นอัจฉริยบุคคล ที่พันปีจะมีสักคน" ถึงขั้นเสนอจะให้ระบุลงในรัฐธรรมนูญว่า เหมาเป็นอัจฉริยะ 天才
เรดการ์ดถูกปลูกฝังให้จงรักภักดีและยอมพลีชีพเพื่อเหมา "ใครผู้ใดกล้าละเมิดประธานเหมาจักต้องได้รับการต่อต้านจากทั้งแผ่นดิน"
ในปี 1967 มีการผลิตเหรียญรูปประธานเหมา
แจกจ่ายให้ทหารทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ใน ปักกิ่งรีวิว ปี 1967 รายงานว่านับแต่กรกฎา 1966 จนถึง พฤษภาคม 1967 มีการจัดพิมพ์รูปประธานเหมาแจกจ่ายประชาชนไปรวมทั้งสิ้น
840 ล้านก๊อปปี้ !!!
รูปประธานเหมาในภาพวาด และสิ่งของมักเป็นรูปเหมาลอยอยู่เหนือท้องฟ้าพร้อมรัศมีเจิดจรัส บางครั้งมีคำว่า เหมาจู่สีว่านสุ่ย ประธานเหมาจงเจริญ
แบบเดียวกับที่พูดกับกษัตริย์
เหมากลายเป็น เทพเจ้าอันแตะต้องมิได้ ไปอย่างสมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกัน ก็ถูกใช้ชูธง
เป็นข้ออ้างให้ พวกแก๊งสี่คน ทำลายล้างศัตรูทางการเมือง พวกเรดการ์ด ผู้คนทั่วไป ต่างก็อ้างความภักดีต่อเหมา เพื่อกล่าวหาผู้อื่นว่าไม่จงรัก
ก่อให้เกิดการเข่นฆ่า จับกุมคุมขัง ระส่ำระสายไปทั่ว จวบจน เหมาเจ๋อตง ตายลงในวันที่ 9 กันยายน 1976 นั่นเอง ที่ลัทธิคลั่งเหมาค่อยๆ เสื่อมพลังไป
กรกฎา 1966 พร้อมๆ ไปกับการเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม เหมาถูกวาดภาพจากคนธรรมดาคนหนึ่ง กลายเป็น "พระเจ้า" เป็น "พระอาทิตย์" เป็น "บรมครู" เป็น "นายท้ายที่ยิ่งใหญ่" เหมาค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากคนธรรมดา กลายเป็นประหนึ่งเทพเจ้า
ไม่ผิดกับที่มักซ์ เวอเบอร์เคยกล่าวไว้ว่า "ลัทธิบูชาบุคคลนั้น จะมาพร้อมกับเรื่องของ บุญญาบารมี"
คำพูดของเหมากลายเป็นเสมือนโองการจากสวรรค์ หลินเปียวถึงกับกล่าวว่า "เหมาเป็นอัจฉริยบุคคล ที่พันปีจะมีสักคน" ถึงขั้นเสนอจะให้ระบุลงในรัฐธรรมนูญว่า เหมาเป็นอัจฉริยะ 天才
เรดการ์ดถูกปลูกฝังให้จงรักภักดีและยอมพลีชีพเพื่อเหมา "ใครผู้ใดกล้าละเมิดประธานเหมาจักต้องได้รับการต่อต้านจากทั้งแผ่นดิน"
ในปี 1967 มีการผลิตเหรียญรูปประธานเหมา
แจกจ่ายให้ทหารทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ใน ปักกิ่งรีวิว ปี 1967 รายงานว่านับแต่กรกฎา 1966 จนถึง พฤษภาคม 1967 มีการจัดพิมพ์รูปประธานเหมาแจกจ่ายประชาชนไปรวมทั้งสิ้น
840 ล้านก๊อปปี้ !!!
รูปประธานเหมาในภาพวาด และสิ่งของมักเป็นรูปเหมาลอยอยู่เหนือท้องฟ้าพร้อมรัศมีเจิดจรัส บางครั้งมีคำว่า เหมาจู่สีว่านสุ่ย ประธานเหมาจงเจริญ
แบบเดียวกับที่พูดกับกษัตริย์
เหมากลายเป็น เทพเจ้าอันแตะต้องมิได้ ไปอย่างสมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกัน ก็ถูกใช้ชูธง
เป็นข้ออ้างให้ พวกแก๊งสี่คน ทำลายล้างศัตรูทางการเมือง พวกเรดการ์ด ผู้คนทั่วไป ต่างก็อ้างความภักดีต่อเหมา เพื่อกล่าวหาผู้อื่นว่าไม่จงรัก
ก่อให้เกิดการเข่นฆ่า จับกุมคุมขัง ระส่ำระสายไปทั่ว จวบจน เหมาเจ๋อตง ตายลงในวันที่ 9 กันยายน 1976 นั่นเอง ที่ลัทธิคลั่งเหมาค่อยๆ เสื่อมพลังไป
thongkrm_virut@yahoo.com"
เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดในความถูกต้องจึงขอชี้แจงดังต่อไปนี้..
..."Individual Cult" หรือลัทธิบูชาตัวบุคคลเป็นอันตรายอย่างร้ายแรง..ทำให้ไม่ยึดถือหลักการเป็้นใหญ่..นำไปสู่เผด็จการที่รุนแรงยิ่ง...จะต้องยึดถือหลักการเป็นใหญ่ ไม่ถือบุคคลเป็นใหญ่ ส่วนด้านบุคคลนั้นจะต้องให้มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ ดังเช่น ลัทธิประชาธิปไตย และพุทธศาสนาที่ถือพระธรรมเป็นใหญ่ หรือธรรมาธิปไตย การถือพระรัตนไตร(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์)ก็กเป็นการถือหลักการเป็นใหญ คือ พระพุทธก็เป็นตัวแทนของพระธรรม(ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต) และพระสงค์ก็เป็นผู้รักษาธรรมและนำเอาธรรมาเผยแพร่ ในฐานะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักการ(พระธรรม) นั่นเอง และหมายถึง.."สถาบัน"(Institution) นั่นเอง
ลัทธิบูชาตัวบุคคล(Individual Cult)..ทำลายการปฏิวัติ เช่น ในช่วง ๑๐ ปีแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้ถอนหลังเป็นสิบๆ ปี และผู้คนล้มตายเกือบ ๑๐๐ ล้านคน (โดยแท้จริงแล้วการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นไม่มี เหมาเองก็ยอมรับ) การยึดถือบุคคลเป็นใหญ่คือการไม่ปฏิวัติ การปฏิวัติคือการยึดถือหลักการเป็นใหญ่ ไม่ถือบุคคลเป็นใหญ่ นั่นเอง เหมาเองทำผิดอย่างร้ายแรงในการฆ่าคนทั้งโลกตายยิ่งกว่าสงครามโลกทั้ง ๒ ครั้งรวมกันยังไม่มากเท่ากับการฆ่าของเหมาคนเดียว ฆ๋าในประเทศโดยการปฏิวัติวัฒนธรรม และการฆ่านอกประเทศโดยส่งออกลัทธิเหมา(Maoism) ที่ใช้คำขวัญอันเป็นแนวทางการปฏิวัติว่า...
..."ปฏิวัติรุนแรง ดัดแปลงโลกด้วยสงคราม อำนาจรัฐจากกระบอกปืน"...!!!
...โดยมีการบิดเบือนลัทธิมาร์กซ์ซึ่งอ้างว่าเป็นการพัฒนาลัทธมาร์กซ์ โดยเฉพาการบิดเบือนทาง.."ทฤษฎีทางปรัชญา"...
ว่าด้วย.."เอกภาพ..กับ..ความขัดแย้ง" ดังต่อไปนี้...
..."ปฏิวัติรุนแรง ดัดแปลงโลกด้วยสงคราม อำนาจรัฐจากกระบอกปืน"...!!!
...โดยมีการบิดเบือนลัทธิมาร์กซ์ซึ่งอ้างว่าเป็นการพัฒนาลัทธมาร์กซ์ โดยเฉพาการบิดเบือนทาง.."ทฤษฎีทางปรัชญา"...
ว่าด้วย.."เอกภาพ..กับ..ความขัดแย้ง" ดังต่อไปนี้...
มาร์กซ์...ได้ตั้งทฤีษฎทางปรัชญาไว้ว่า...
..."ความขัดแย้ง"..คือ..สัจธรรมสัมพัทธ์(Relative Truth) แปรเป็นการเมือง..คือ..สงคราม(War)ชั่วคราว
..."เอกภาพ"..คือ..สัจธรรมสัมบูรณ์(Absolute Truth) แปรเป็นการเมือง..คือ..สันติภาพ(Peace)ยาวนาน
..."ความขัดแย้ง"..คือ..สัจธรรมสัมพัทธ์(Relative Truth) แปรเป็นการเมือง..คือ..สงคราม(War)ชั่วคราว
..."เอกภาพ"..คือ..สัจธรรมสัมบูรณ์(Absolute Truth) แปรเป็นการเมือง..คือ..สันติภาพ(Peace)ยาวนาน
เหมา...ได้บิดเบือนทฤษฎีทางปรัชญาไปเป็นว่า...
..."ความขัดแย้ง"..คือ..สัจธรรมสัมบูรณ์(Absolute Truth)..แปรเป็นการเมือง..คือ..สงคราม(War)ตลอดไป
..."เอกภาพ"..คือ..สัจธรรมสัมพัทธ์(Relative Truth)..แปรเป็นการเมือง..คือ..สันติภาพ(Peace)ชั่วคราว
จึงตั้งลัทธิเหมาให้ใช้ความรุนแรง(Violence)ในการทำการปฏิวัติอย่างเป็นหลักการ หรือให้ฆ่ากันอย่างเป็นหลักการ หรืออย่างเป็นปรัชญาเลยทีเดียว หรือถือปรัชญาฆ่ากันเลยทีเดียว สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับสัจธรรม(Truth)ที่สะท้อนภาพมาจากความจริงแท้(Reality)ที่ว่า.. "สันติภาพเป็นฝ่ายครอบงำ สันติภาพมียาวนาน สันติภาพ หรือความไม่ขัดแย้งเป็นสัจธรรมสมบูรณ์ที่แท้จริง นี่คือคุณธรรมที่แท้จริง"...สวนความขัดแย้งเป็นเรื่องชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
..."ความขัดแย้ง"..คือ..สัจธรรมสัมบูรณ์(Absolute Truth)..แปรเป็นการเมือง..คือ..สงคราม(War)ตลอดไป
..."เอกภาพ"..คือ..สัจธรรมสัมพัทธ์(Relative Truth)..แปรเป็นการเมือง..คือ..สันติภาพ(Peace)ชั่วคราว
จึงตั้งลัทธิเหมาให้ใช้ความรุนแรง(Violence)ในการทำการปฏิวัติอย่างเป็นหลักการ หรือให้ฆ่ากันอย่างเป็นหลักการ หรืออย่างเป็นปรัชญาเลยทีเดียว หรือถือปรัชญาฆ่ากันเลยทีเดียว สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับสัจธรรม(Truth)ที่สะท้อนภาพมาจากความจริงแท้(Reality)ที่ว่า.. "สันติภาพเป็นฝ่ายครอบงำ สันติภาพมียาวนาน สันติภาพ หรือความไม่ขัดแย้งเป็นสัจธรรมสมบูรณ์ที่แท้จริง นี่คือคุณธรรมที่แท้จริง"...สวนความขัดแย้งเป็นเรื่องชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
โดยแท้จริงแล้ว...การตั้งปรัชญาของมาร์กซ์ก็มีปัญหา เพราะยังแก้ปัญหาทฤษฎีทางปรัชญาไม่ตกระหว่างจิตกับวัตถุ เมื่อเอาไปสร้างขึ้นเป็นลัทธิมาร์กซ์ หรือลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงทำให้เกิดปัญหาอย่างร้ายแรงดังกล่าว และในที่สุดก็ประสบความล่มสลายไปในที่สุิ เช่น การล่มสลายของประเทศคอมมิวนิสต์ทั่วโลก
...มาร์กซ์ไม่มองไม่เห็นว่า.."ความไม่ขัดแย้ง"(Non-contradiction)ว่ามีอยู่จริง มองเห็นแต่เพียงว่า.."ความขัดแย้ง(Contradiction)มีอยู่จริงอย่างเดียว"ความไม่ขัดแย้งไม่มี จึงทำให้ทฤษฏีเอกภาพของสองด้านที่่ตรงข้ามกัน(The Unity of the opposite)อันเป็นกฎวิภาษวิธี(Dialectical Law)เกิดความผิดพลาดคือ...
..."เหมาจึงเอาเอกภาพ(Unity)เป็นด้านตรงข้ามต่อสู้ขัดแย้งกับความขัดแย้ง" คือ.."เอกภาพ..VS..ความขัดแย้ง" จึงเป็นเงื่อนไขให้เหมาเอกไปบิดเบือนลัทธิมาร์กซ์ได้อย่างง่ายดาย จนเกิดความเสียหายล้มตายกันมากมายทั้งในประเทศและทั่วโลกในรูปของ..."Chinning Path" แนวทางเหมา อันเป็นแนวทางฆ่า นั่นเอง
...โดยแท้จริงแล้ว..ถ้าถือทฤษฎีความขัดแย้ง(The theory of contradiction) หรือเอกภาพของด้านตรงข้าม(The unity of the opposite) ก็ต้องยอมรับว่า.."มีความไม่ขัดแย้ง"..ด้วย ถ้าไม่มีความไม่ขัดแย้งแล้วความขัดแย้งจะไปขัดแย้งกับอะไร หรือจะไปตรงข้ามหรือต่อสู้กับอะไร...??? จะไปตรงข้ามกับ.."เอกภาพ" ได้อย่างไร...??? เพราะเอกภาพไม่ใช่ต้านตรงข้าม หรือคู่ต่อสู้ของความขัดแย้ง หรือ "Unity..ไม่ใช่ด้านตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้กับ..Contradiction)แต่อย่างใดทั้งสิ้น ความไม่ขัดแย้ง(Non-contradiction)ต่างหากที่เป็นด้านตรงข้ามหรือคู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้กับความขัดแย้ง(Contradiction) นั่นคือ.. "Contradiction..ขัดแย้งตรงข้ามต่อสู้กับ(VS)..Non-contradiction" ต่างหาก ส่วน.."เอกภาพ"(Unity)นั้น..เป็นตัวเอกภาพระหว่างความขัดแย้งกับความไม่ขัดแย้ง หรือเป็นทำให้เป็นสิ่งหนึ่งที่ประกอบด้วย ๒ ด้าน ถ้าด้านใดเป็นฝ่ายครอบงำอีกด้านหนึ่ง ก็จะเป็นเอกภาพที่มีด้านครอบงำนั้นเป็นสำคัญ เช่น...
- ถ้าด้านความขัดแย้งเป็นฝ่ายครอบงำหรือเป็นฝ่ายข้างมาก ความไม่ขัดแย้งเป็นฝ่ายถูกครอบงำหรือเป็นฝ่ายข้างน้อย..ก็จะเป็น.."เอกภาพของความขัดแย้งเป็นฝ่ายครอบงำและความไม่ขัดแย้งเป็นฝ่ายถูกครอบงำ"(Unity of contradiction dominated non-contradiction) ถ้าแปรเป็นการเมืองก็คือ.. "สงคราม"(War) เพราะความขัดแย้งชนะความไม่ขัดแย้ง" นั่นเอง
- ถ้าความจัดแย้งเป็นฝ่า่ยถูกครอบงำโดยฝ่ายความไม่ขัดแย้ง..ก็จะเป็น.. "เอกภาพของความขัดแย้งที่ถูกครอบโดยความไม่ขัดแย้ง"..ถ้าแปรเป็นการเมืองก็คือ.."สันติภาพ"(Peace) นั่นเอง
...มาร์กซ์ไม่มองไม่เห็นว่า.."ความไม่ขัดแย้ง"(Non-contradiction)ว่ามีอยู่จริง มองเห็นแต่เพียงว่า.."ความขัดแย้ง(Contradiction)มีอยู่จริงอย่างเดียว"ความไม่ขัดแย้งไม่มี จึงทำให้ทฤษฏีเอกภาพของสองด้านที่่ตรงข้ามกัน(The Unity of the opposite)อันเป็นกฎวิภาษวิธี(Dialectical Law)เกิดความผิดพลาดคือ...
..."เหมาจึงเอาเอกภาพ(Unity)เป็นด้านตรงข้ามต่อสู้ขัดแย้งกับความขัดแย้ง" คือ.."เอกภาพ..VS..ความขัดแย้ง" จึงเป็นเงื่อนไขให้เหมาเอกไปบิดเบือนลัทธิมาร์กซ์ได้อย่างง่ายดาย จนเกิดความเสียหายล้มตายกันมากมายทั้งในประเทศและทั่วโลกในรูปของ..."Chinning Path" แนวทางเหมา อันเป็นแนวทางฆ่า นั่นเอง
...โดยแท้จริงแล้ว..ถ้าถือทฤษฎีความขัดแย้ง(The theory of contradiction) หรือเอกภาพของด้านตรงข้าม(The unity of the opposite) ก็ต้องยอมรับว่า.."มีความไม่ขัดแย้ง"..ด้วย ถ้าไม่มีความไม่ขัดแย้งแล้วความขัดแย้งจะไปขัดแย้งกับอะไร หรือจะไปตรงข้ามหรือต่อสู้กับอะไร...??? จะไปตรงข้ามกับ.."เอกภาพ" ได้อย่างไร...??? เพราะเอกภาพไม่ใช่ต้านตรงข้าม หรือคู่ต่อสู้ของความขัดแย้ง หรือ "Unity..ไม่ใช่ด้านตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้กับ..Contradiction)แต่อย่างใดทั้งสิ้น ความไม่ขัดแย้ง(Non-contradiction)ต่างหากที่เป็นด้านตรงข้ามหรือคู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้กับความขัดแย้ง(Contradiction) นั่นคือ.. "Contradiction..ขัดแย้งตรงข้ามต่อสู้กับ(VS)..Non-contradiction" ต่างหาก ส่วน.."เอกภาพ"(Unity)นั้น..เป็นตัวเอกภาพระหว่างความขัดแย้งกับความไม่ขัดแย้ง หรือเป็นทำให้เป็นสิ่งหนึ่งที่ประกอบด้วย ๒ ด้าน ถ้าด้านใดเป็นฝ่ายครอบงำอีกด้านหนึ่ง ก็จะเป็นเอกภาพที่มีด้านครอบงำนั้นเป็นสำคัญ เช่น...
- ถ้าด้านความขัดแย้งเป็นฝ่ายครอบงำหรือเป็นฝ่ายข้างมาก ความไม่ขัดแย้งเป็นฝ่ายถูกครอบงำหรือเป็นฝ่ายข้างน้อย..ก็จะเป็น.."เอกภาพของความขัดแย้งเป็นฝ่ายครอบงำและความไม่ขัดแย้งเป็นฝ่ายถูกครอบงำ"(Unity of contradiction dominated non-contradiction) ถ้าแปรเป็นการเมืองก็คือ.. "สงคราม"(War) เพราะความขัดแย้งชนะความไม่ขัดแย้ง" นั่นเอง
- ถ้าความจัดแย้งเป็นฝ่า่ยถูกครอบงำโดยฝ่ายความไม่ขัดแย้ง..ก็จะเป็น.. "เอกภาพของความขัดแย้งที่ถูกครอบโดยความไม่ขัดแย้ง"..ถ้าแปรเป็นการเมืองก็คือ.."สันติภาพ"(Peace) นั่นเอง
ความขัดแย้งเป็นสัจธรรมสัมพัทธ์(Relative truth)..คือ..สงคราม อันเป็นปัญหาชั่วคราว ระยะสั้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับสันติภาพ
ความไม่ขัดแย้งเป็นสัจธรรมสัมบูรณ์(Absolute truth)..คือ..สันติภาพ อันเป็นปัญหายาวนานยั่งยืนตลอดไป
ความไม่ขัดแย้งเป็นสัจธรรมสัมบูรณ์(Absolute truth)..คือ..สันติภาพ อันเป็นปัญหายาวนานยั่งยืนตลอดไป
เหมือนดั่ง..มนุษย์(Human) มีสองด้านคือ.."ด้านขัดแย้ง..VS..ด้านความไม่ขัดแย้ง" ต่อสู้กัน โดยมีความเป็นคนๆเดียวเป็นเอกภาพ(Unity) แปรเป็นอารมณ์ก็คือ...
- ด้านขัดแย้ง..คือ..โกรธ(โมโห)
- ด้านความไม่ขัดแย้ง..คือ..สงบไม่โกรธ
ช่วงเวลาโกรธหรือโมโหนั้นจะมีน้อยกว่าช่วงเวลาที่ไม่โกรธหรือสงบ ไม่มีใครโกรธทั้งวัน ทั้งสัปดาห์ ทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งชีวิต แล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ มีแต่โกรธนิดหน่อย ในขณะที่มีความไม่โกรธมากกว่า ทั้งที่ยามไม่หลับ..และยามหลับที่ไม่มีความโกรธเลยที่ยาวนานกว่า ดังนั้น คนโกรธมากเท่าไหร่อายุสั้นมากเท่านั้น แต่ถ้าไม่โกรธหรือสงบมากเท่าไหร่อายุยืนยาวเท่านั้น เช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เป็นต้น
- ด้านขัดแย้ง..คือ..โกรธ(โมโห)
- ด้านความไม่ขัดแย้ง..คือ..สงบไม่โกรธ
ช่วงเวลาโกรธหรือโมโหนั้นจะมีน้อยกว่าช่วงเวลาที่ไม่โกรธหรือสงบ ไม่มีใครโกรธทั้งวัน ทั้งสัปดาห์ ทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งชีวิต แล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ มีแต่โกรธนิดหน่อย ในขณะที่มีความไม่โกรธมากกว่า ทั้งที่ยามไม่หลับ..และยามหลับที่ไม่มีความโกรธเลยที่ยาวนานกว่า ดังนั้น คนโกรธมากเท่าไหร่อายุสั้นมากเท่านั้น แต่ถ้าไม่โกรธหรือสงบมากเท่าไหร่อายุยืนยาวเท่านั้น เช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เป็นต้น
โลก(World)..ก็เช่นเดียวกัน..ไม่มีสงครามตลอดปีตลาดเวลาตลอดชาติใช่หรือไม่...??? มีช่วงเวลาของสงครามน้อยกว่าช่วงของสันติภาพใช่หรือไม่...???
ธรรมชาติ(Nature)..ก็เช่นเดียวกัน..จะมีน้ำท้วม แผ่นดินไหว พายุใหญ่ ไฟไหม้ ฟ้าฝ่า ฯลฯ...ในเวลาสั้นๆ เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ธรรมชาติมีความสงบ
มนุษย์เราก็ซึมซับ หรือจิตสะท้อนภาพของธรรมชาติ..มาเป็นแนวทาง(Line)ของการต่อสู้ หรือการแก้ปัญหา เช่น...
- ถ้าจิตสะท้อนภาพความรุนแรง(ขัดแย้ง)ก็จะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา หรือใช้การต่อสู้แนวทางรุนแรง(Violent Line)
- ถ้าจิตสะท้อนภาพความไม่รุนแรง(สันติ)ก็จะใช้สันติวิธีเข้าแก้ปัญหา หรือใช้การต่อสู้สันติวิธีเป็นแนวทาง(Non-violent line)
...ซึ่งก็ยอมรับกันโดยดุษฎีว่า.."แนวทางสันติดีที่สุด" แนวทางรุนแรงไม่ดีแก้ปัญหาไม่ได้ ดังเช่น...
...แนวทางสันติอหิงสาพุทธของ..ศาสนาพุทธ แก้ปัญหาได้ถึงขั้นเอาชนะความขัดแย้งรุนแรง อันเป็นความทุกข์ หลุดพ้นสู่สภาวะนิพพาน(ดับความขัดแย้งสิ้นเชิง) หรือสงบอย่า่งยั่งยืนตลอดไป มีความสุขที่แท้จริง
...แนวทางรุนแรงทั้งหลายก็พ่ายแพ้ไปหมดสิ้น ไม่มีใครเรียกร้อง.."สงคราม สงคราม สงคราม และสงคราม"....มีแต่เรียกร้องต้องการ.."สันติภาพ สันติภาพ สันติภาพ และสันติภาพ" แม้แต่เลนินเจ้าทฤษฎีแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เหนือกว่าเหมาร้อยเท่า..ก็ยังเรียกร้องหาสันติภาพถึงขนาด..เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วในรัสเซียเมื่อ ปี ค.ศ. ๑๙๑๗ ก็ยื่นคำขาดสันติภาพ(Ultimatum of Peace)ต่อประเทศทุนนิยมทั่วโลกอันเป็นยุทธศาสตร์เลยทีเดียวไม่ใช่เป็นยุทธวิธี และห้ามประเทศคอมมิวนิสต์ทำสงครามกับโลกทุนนิยมอันเป็น.."หลักสากลนิยมชนกรรมาชีพ" เลยทีเดียว
- ถ้าจิตสะท้อนภาพความรุนแรง(ขัดแย้ง)ก็จะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา หรือใช้การต่อสู้แนวทางรุนแรง(Violent Line)
- ถ้าจิตสะท้อนภาพความไม่รุนแรง(สันติ)ก็จะใช้สันติวิธีเข้าแก้ปัญหา หรือใช้การต่อสู้สันติวิธีเป็นแนวทาง(Non-violent line)
...ซึ่งก็ยอมรับกันโดยดุษฎีว่า.."แนวทางสันติดีที่สุด" แนวทางรุนแรงไม่ดีแก้ปัญหาไม่ได้ ดังเช่น...
...แนวทางสันติอหิงสาพุทธของ..ศาสนาพุทธ แก้ปัญหาได้ถึงขั้นเอาชนะความขัดแย้งรุนแรง อันเป็นความทุกข์ หลุดพ้นสู่สภาวะนิพพาน(ดับความขัดแย้งสิ้นเชิง) หรือสงบอย่า่งยั่งยืนตลอดไป มีความสุขที่แท้จริง
...แนวทางรุนแรงทั้งหลายก็พ่ายแพ้ไปหมดสิ้น ไม่มีใครเรียกร้อง.."สงคราม สงคราม สงคราม และสงคราม"....มีแต่เรียกร้องต้องการ.."สันติภาพ สันติภาพ สันติภาพ และสันติภาพ" แม้แต่เลนินเจ้าทฤษฎีแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เหนือกว่าเหมาร้อยเท่า..ก็ยังเรียกร้องหาสันติภาพถึงขนาด..เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วในรัสเซียเมื่อ ปี ค.ศ. ๑๙๑๗ ก็ยื่นคำขาดสันติภาพ(Ultimatum of Peace)ต่อประเทศทุนนิยมทั่วโลกอันเป็นยุทธศาสตร์เลยทีเดียวไม่ใช่เป็นยุทธวิธี และห้ามประเทศคอมมิวนิสต์ทำสงครามกับโลกทุนนิยมอันเป็น.."หลักสากลนิยมชนกรรมาชีพ" เลยทีเดียว
ธรรมะก็มี ๒ ด้าน คือ...
- สัขตธรรม..คือ..อัตตากิเลส ตัณหา อุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ฯลฯ ซึ่งก็คือ.."ความขัดแย้ง"..หรือ.."ทุกข์"
- อสังขตธรรม..คือ..นิพพาน อรหันต์ สุญญตา อนัตตา ซึ่งก็คือ.. "ความไม่ขัดแย้ง"..หรือ.."พ้นทุกข์"
ฝ่ายอสังขตธรรมเป็นฝ่ายครอบงำฝ่ายสังขตธรรม หรือ "สุญญตาเป็นผู้ถือดุลสูงสุด ในทุกสรรพสิ่งและปรากฏการณ์"...!!!
- สัขตธรรม..คือ..อัตตากิเลส ตัณหา อุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ฯลฯ ซึ่งก็คือ.."ความขัดแย้ง"..หรือ.."ทุกข์"
- อสังขตธรรม..คือ..นิพพาน อรหันต์ สุญญตา อนัตตา ซึ่งก็คือ.. "ความไม่ขัดแย้ง"..หรือ.."พ้นทุกข์"
ฝ่ายอสังขตธรรมเป็นฝ่ายครอบงำฝ่ายสังขตธรรม หรือ "สุญญตาเป็นผู้ถือดุลสูงสุด ในทุกสรรพสิ่งและปรากฏการณ์"...!!!
ระบบสุริยะ(Solar System)..ก็เช่นเดียวกัน ดาวแต่ละดวงมีกำลังไม่เท่ากันต่อสู้ขัดแย้งกัน...แต่อยู่ภายใต้สุญญตาหรืออวกาศที่เป็นความว่างอันเป็น.."ความไม่ขัดแย้ง" หรือมีความไม่ขัดแย้งเป็นฝ่ายครอบงำ(Dominated) ที่เป็นผู้ถือดุลสูงสุดในสากลจักรวาล จึงมีดุลยภาพ(Equilibrium)ดำรงความเป็นระบบ(System)อยู่ได้มานานแสนนาน กล่าวคือ.. "ความขัดแย้งอยู่ภายใต้ความไม่ขัดแย้ง"..นั่นเอง (Contradiction in Non-contradiction)
การปฏิวัติ(Revolution)...ก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันนี้การปฏิวัติรุนแรง(Violent Revolution)ก็พ่ายแพ้ไปแล้ว หมดไปแล้ว และแก้ปัญหามนุษยชาติไม่ได้แล้ว..เหลือแต่การปฏิวัติสันติ(Peaceful Revolution)เท่านั้นที่เป็นฝ่ายมีชัยชนะเป็นฝ่ายครอบงำโลก ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวและประเทศแรกที่ได้.."เอาปฏิวัติสันติไปต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรงตลอดมา" ตั้งแต่สมัยล่าเมืองขึ้น สมัยคอมมิวนิสต์ ฯลฯ...เช่น ยุทธศาสตร์พระนารายณ์ นโยบายของ ร.๕ และนโยบาย ๖๖/๒๓ ปัจจุบัน คือ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ที่ดำเนินการโดยพรรคการนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ สถาบันปฏิวัติสันติพทธอหิงสาธรรมประเสริฐทรัพย์สุนทร นั่นเอง
การปฏิวัติสันติของประเทศไทย..คือ..การปฏิวัติโลกทั้งใบในยุคโลกาภิวัฒน์(Globalization) ซึ่งเป็นมนุษยปฏิวัติ(Human Revolution)อันเป็นพัฒนาการสูงสุดของการปฏิวัติ และเป็นการเปลี่ยนผ่านจากยุคประวัติศาสตร์หนึ่งไปสู่อีกยุคประวัติศาสตร์หนึ่ง นั่นคือ เปลี่ยนผ่านจากยุคประวัติศาสตร์ที่ ๓ ไปสู่ยุคประวัติศาสตร์ที่ ๔ "จาก..ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่...ไปสู่...ยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่"(From Modern History to Posted Modern History) เพราะนักประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเป็น ๓ ยุค คือ ยุคประวัติศาสตร์โบราณ ยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ จำทำให้การค้นพบสูงสุดของ ๓ โลกมาบรรจบเป็นเอกภาพกันอย่างสมบูรณ์ คือ..โลกธรรมชาติ(Natural World) โลกสังคม(Social World) และโลกความคิดจิตใจ(Spiritual World) สุญญตา(ความว่าง)..ประชาธิปไตย(สมบูรณ์)..อนัตตา(ไม่เป็นตัวเป็นตน) ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันแต่คนละมิติเท่านั้น
"ประเทศไทยนำโลก"...!!!
"คนไทยนำมนุษย์ชาติ"...!!!
"คนไทยนำมนุษย์ชาติ"...!!!
คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
พรรคการนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ
สถาบันปฏิวัติสันติพุทธอหิงสาธรรมประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ ๑๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
โทร. ๐๘๙-๘๘๖-๐๘๖๘
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
พรรคการนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ
สถาบันปฏิวัติสันติพุทธอหิงสาธรรมประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ ๑๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
โทร. ๐๘๙-๘๘๖-๐๘๖๘
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น