วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ชื่อนั้นสำคัญไฉน...

     
    "ชื่อนั้นสำคัญไฉน...???"
    อนุสาวรีย์ย่าเหล...คือ...อนุสาวรีย์หมา...ถูกต้อง
    อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..คือ..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ..วิปริตอาเพศ

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.๖ ทรงสร้างอนุสาวรีย์เป็นส่วนพระองค์ให้แก่.. "ย่าเหล" พร้อมพระราชนิพนธ์กินใจยิ่ง จากรึกไว้ว่า...

    "...อนุสาวรีย์นี้เตือนจิต
    ให้กูคิดรำพึงถึงสหาย
    โออาลัยใจจู่อยู่มิวาย
    กูเจ็บคล้ายศรศักดิ์ปักอุรา
    ไม่มีใครมองเห็นหัวอกกู
    เพราะเขาดูมึงเห็นว่าเป็นหมา..."

    ลักษณะของอนุสาวรีย์...จะตรงกันกับ..ชื่อของอนุสารีย์เสมอๆ...
    ...มีอนุสาวรีย์แห่งเดียวในโลกที่.."ลักษณะ..กับ..ชื่อ"..ไม่ตรงกัน...คือ.."อนุสารีย์ประชาธิปไตย"..ในประเทศไทย ซึ่งเป็นอาเพศประเทศไทย ทำให้เกิดวิปริตต่อประเทศไทย จนวิบัติหายนะพินาศล่มจม ล้มตายกันตลอดมาจนบัดนี้...เข้าทำนอง.."ชื่อนั้นสำคัญไฉน"
    แม้แต่คนหรือบ้าน ฯลฯ...ตั้งชื่อผิด..ก็นำไปสู่วิบัติหายนะในทีสุด ไม่เจริญรุ่งเรื่อง เป็นอัปมงคล หรือ กาละกิณี อนุสาวรีย์ก็เช่นเดียวกัน เพราะทำให้เกิด.."ความเห็นผิด..มิจฉาทิฎฐิ"...ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า..."เป็นมรรคองค์นำองค์แรกที่สำคัญที่สุดของมนุษย์หรือประเทศชาติบ้านเมือง"...ถ้ามรรคองค์แรกถูกต้องเป็น.."ความเห็นถูก...สัมมาทิฎฐิ"...จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ หรือแก้ปัญหาได้บรรลุความสำเร็จ...แต่ถ้ามรรคองค์นำองค์แรกผิดเป็น.. "ความเห็นผิด..มิจฉาทิฎฐิ"..จะนำไปสู่ความผิดพลาดล้มเหลว ไปสู่ความทุกข์ ความพ่ายแพ้...ดังนั้น..."ชื่อนั้นสำคัญไฉน"...??? ก็จะว่า.."ชื่อของอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ...ที่ตั้งผิดบิดเบือนจากลักษณะของอนุสาวรีย์...เป็น...อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"...มีผลให้ประเทศชาติและประชาชนทั้งมวล...ต้องประสบความวิบัติหายนะล่มจม ล้มตาย ไร้ความเป็นคน ตลอดมาจนถึงบัดนี้อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้แม้แต่น้อย.....
    ...แต่ถ้า..เราเปลี่ยน.."ชื่ออนุสาวรีย์ให้ชื่อตรงกับลักษณะรัฐธรรมนูญ...เป็น...อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ"...ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจาก...ความเห็นผิด(มิจฉาทิฎฐิ)..มาเป็น..ความเห็นถูก(สัมมาทิฎฐิ)...ทำให้เกิดความคิดถูก(สัมมาสังกัปปะ)..และ..พูดถูก..และทำถูก....คือ..ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา...สร้างระบอบประชาธิปไตย...นำไปสู่การแก้ไขปัญหาทั้งสิ้นของชาติและประชาชนคนทั้งประเทศได้สำเร็จในท้ายทีสุ่ด...จะหลุดพ้นจากความอดอยากยากจน..มาสู่..ความั่งคั่งอุดมสมบูรณ์พอเพียงผาสุกและ...ความเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์มั่นคงของประเทศชาติอย่างยั่งยืนตลอดไป....นี่คือ.."ชื่อนั้นสำคัญไฉน"...???
    อันเป็นไปตามพุทธพจน์ที่ว่า.."สัมมาทิฎฐิ สมาทานา สัพพังทุกขัง อุปปัจจะคุง - การมีสัมมาทิฎฐิ(ความเห็นถูก)..จะล่วงพ้นทุกข์ทั้งทั้งสิ้น" นั่นเอง

    โดยเฉพาะ.."ชื่อของอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ"..ที่ตั้งอยู่ที่สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ ที่สร้างขึ้นเมื่อโดยวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และทำพิธีเปิดป้ายเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๓..โดย..จอมพล ป.พิบูสงคราม ปีกหนึ่งของคณะราษฎร ซึ่งต้องการหลอกลวงว่า.."รัฐธรรมนูญ..คือ..ประชาธิปไตย"..อนุสาวรีย์ดังกล่าว..ประกอบด้วยความหมายเหล่านี้คือ...

    "- ปีก ๔ ด้านสูง ๒๔ เมตร...หมายถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน
    - ปืนใหญ่ ๗๕ กระบอกโดยรอบ...หมายถึง พ.ศ. ๒๔๗๕
    - ตุ๊กตาดุนที่ฐานปืก...หมายถึงประวัติการดำเนินการของคณะราษฏร
    - พานรัฐธรรมนูญ ตั้งบนป้อมกลางสูง ๓ เมตร...หมายถึงเดือนที่ ๓ คือเดือนมิถุนายน ตามศักราชเก่าซึ่งนับเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ ๑
    - พระขรรค์ ๖ อัน ประกอบบนประตูรอบป้อมกลาง...หมายถึงหลัก ๖ ประการในการเปลี่ยนแปลงของคณะราษฎร"

    ...รวมความแล้ว ทุกความหมายรวมลงในจินตภาพของคำๆเดียว คือ "รัฐธรรมนูญ" ซึ่งใส่พานตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง ผู้คนสัญจรผ่านไปมาก็รู้ทันทีว่าอนุสาวรีย์นั้น เป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ เพราะทุกคนรู้จักรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดี เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ ชาวบ้านได้ยินคำว่ารัฐธรรมนูญ ไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญคืออะไร บางคนบอกว่า.. "รัฐธรรมนูญ..คือ..ลูกพระยาพหลฯ"...แต่หลังจากประกอบพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญอย่างมโหฬาร เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ และ ส.ส. เชิญรัฐธรรมนูญจำลองไปประดิษฐานในต่างจังหวัดทั่วประเทศ ประชาชนจึงได้เห็นภาพรัฐธรรมนูญคือรัฐธรรมนูญสมุดข่อยตั้งอยู่บนพาน และมีรูปภาพให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ภาพรัฐธรรมนูญติดตาประชาชนทั้งประเทศก็ว่าได้ พอได้เห็นก็รู้ทันทีว่ารัฐธรรมนูญโดยไม่ต้องอธิบาย

    การสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่สิ่งที่เป็นรูปธรรมนั้น ย่อมสร้างรูปจำลองของสิ่งนั้นๆ และเอาชื่อขงสิ่งนั้นๆ มาตั้งเป็นชื่อของอนุสาวรีย์ เช่น สร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ก็สร้างพระบรมรูปจำลองของพระเจ้าตากสิน และเรียกว่า.."อนุสาวรรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" และเช่นเดียวกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ร.๖ ได้ทรงสร้างอนุสาวรีย์ให้สุนัข(หมา)ที่ชื่อ.."ย่าเหล"...นั่นเอง

    ดังนั้น การเปลี่ยนระบอบเผด็จการรัฐสภา..มาเป็น..ระบอบประชาธิปไตย...เกิดจาก...การเปลี่ยนความเห็นผิดมาเป็นความเห็นถูก..."ระบอบเผด็จการรัฐสภา..ไม่ใช่..ระบอบประชาธิปไตย"...เกิดจาก...การเปลี่ยนความเห็นผิดมาเป็นความเห็นถูก..."ลัทธิรัฐธรรมนูญ..ไม่ใช่..ลัทธิประชาธิปไตย"...เกิดจาก..การเปลี่ยนชื่อ.."อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มาเป็น..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ"...!!!
    ...อันเป็นการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง...จาก..ความเห็นถูก..สู่..ความคิดถูก..สู่..พูดถูก..สู่..ทำถูก..นั่นเอง

    ดังที่นายมนัส เดชเสน่ห์ ผู้อำนวยการโรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติ...ยื่นหนังสือต่อ ฯพณฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ให้เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาเป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติและประชาชน ด้วยการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แท้จริง ตามที่นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้เสนอต่อรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ให้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนชื่อ.."อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..เป็น..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ"..อันเป็นมาตรการสร้างประชาธิปไตยที่ง่ายที่สุด..แต่..เข้าใจอยากที่สุด..ที่เป็นเส้นผมบังภูเขา ตามหนังสือ.."นายประเสริฐชี้แจงฉบับที่ ๖" ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕

    คณะวิชการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
    องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
    ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
    วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗

    หมายเหตุ...นายมนัส เดชเสน่ห์ และขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ...จะได้ติดต่อ..หนังสือกินเนสบุ๊ค เวิร์ลด์เร็คคอร์ต...มาทำการบันทึกการร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒๐ ว่าเป็น.."ประเทศที่ร่ำรวยรัฐธรรมนูญที่สุดในโลก...แต่อยากจนประชาชนที่สุดในโลก"..ต่อไป
    เพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดการแก้ไขความเห็นผิดให้เกิดความเห็นถูกต่อไป

    (ขอบคุณท่านกมลาศน์..ที่ได้ตั้งปัญหาว่า.. "นี่คือ..อนุสาวรีย์อะไร...???)
     
     
  • สมาน ศรีงาม's photo. 
     
    ขอให้เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาเป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ จึงจะแก้ปัญหาชาติได้สำเร็จ
    โรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติ
    ด่วนทีสุด
    เลขที่ ๒๔๗ หมู่ ๒ ต.คลองปราบ อ.บ้านนาสาน
    จ. สุราษฎร์ธานี ๘๔๑๒๐
    โทร. ๐๘๗-๘๙๑๘๙๖๖
    ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

    เรื่อง ขอให้เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาเป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ จึงจะแก้ปัญหาชาติได้สำเร็จ
    กราบเรียน ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี
    ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองฯ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ สร้างความปรองดองแห่งชาติ และสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ อันเป็นการแก้ปัญหาชาติและปัญหาประชาชนคนทั้งประเทศให้บรรลุความสำเร็จเสร็จ สิ้นสมบูรณ์ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ นั้น
    ความประสงค์อันดีงามยิ่งดังกล่าวข้างต้น ของ ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในฐานะรัฎฐาธิปัตย์ที่กุมอำนาจอธิปไตยเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น และนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายบริหาร จะบรรลุความสำเร็จได้จะต้องเปลี่ยนชื่อ...”อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มา สู่..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ” อันเป็นการแก้.. “ปัญหาเส้นผมบังภูเขา” หรือ “ปัญหาความเห็นบังปัญหาระบอบ” หรือ “ปัญหาทฤษฎีผิดบังปัญหาประชาธิปไตย”
    คณะราษฎรได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้า ร.๗ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เมื่อ ๘๒ ปีที่ผ่านมา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาความเห็น หรือปัญหาทฤษฎี..บังปัญหาระบอบ หรือบังปัญหาประชาธิปไตย ทำให้เรามองไม่เห็นปัญหาระบอบ หรือมองไม่เห็นปัญหาประชาธิปไตย เข้าใจผิดว่าเรา.. “แก้ปัญหาระบอบ..หรือ..ปัญหาประชาธิปไตย” ตกไปแล้ว เราจึงไม่แก้ปัญหาระบอบ หรือไม่แก้ปัญหาประชาธิปไตย ด้วยการปฏิวัติประชาธิปไตย หรือสร้างประชาธิปไตย คือ.. “ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา...สร้างระบอบประชาธิปไตย” ที่มีลักษณะเป็น.. “การปฏิวัติ”(Revolution)” กลับข้างขั้นตอนสร้างประชาธิปไตยไปสู่ขั้น.. “พัฒนาระบอบประชาธิปไตย” ที่มีลักษณะเป็น.. “การปฏิรูป”(Reform)
    มี ๒ สิ่งที่รวมเป็นอันเดียวกันแล้ววิบัติประเทศชาติและวินาศประชาชน..คือ...
    - รัฐธรรมนูญ
    - ประชาธิปไตย
    ทั้งรัฐธรรมนูญ..และ..ประชาธิปไตย...เป็นคนละสิ่งกันอย่างสิ้นเชิง.
    - ประชาธิปไตย..คือ..หลักการปกครอง หรือระบอบ
    - รัฐธรรมนูญ..คือ..ภาพสะท้อนของระบอบ หรือเครื่องรักษาระบอบ
    ดังนั้น จึงมีความสัมพันธ์กันดังนี้...
    - ประชาธิปไตยคือเหตุ(Cause)...รัฐธรรมนูญคือผล(Effect)
    - ประชาธิปไตยคือเนื้อแท้ตัวจริง(Essence) รัฐธรรมนูญคือภาพสะท้อน(Reflection)
    - ประชาธิปไตยมาก่อน...รัฐธรรมนูญมาทีหลัง
    ฉะนั้น...เมื่อประชาธิปไตยถูกสร้างขึ้นแล้วด้วยนโยบายเป็นเครื่องมือ...และ ประชาธิปไตยมีหรือดำรงอยู่จริงแล้ว(Existence-Being) รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายหลัก(Principle Law)ก็มีหน้าที่สะท้อนภาพหรือรักษาระบอบประชาธิปไตยที่มีและดำรงอยู่จริง นั้นไว้ต่อไป...ด้วยเหตุนี้เมื่อระบอบเป็นอะไร..รัฐธรรมนูญก็จะเป็นตามระบอบ ไป...เช่น...
    - ระบอบเผด็จการ..รัฐธรรมนูญก็จะสะท้อนระบอบเป็น.."รัฐธรรมนูญเผด็จการ"
    - ระบอบคอมมิวนิสต์..รัฐธรรมนูญก็จะสะท้อนระบอบเป็น.."รัฐธรรมนูญคอมมิวนิสต์"
    - ระบอบประชาธิปไตย..รัฐธรรมนูญก็จะสะท้อนระบอบเป็น.."รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย"
    ถ้าต้องการสร้าง.."ตัวรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ"...ก็จะต้องสร้าง ระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นเนื้อแท้ตัวจริงขึ้นให้สำเร็จเสียก่อน...เมื่อมี ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นจริง(Established) ดำรงอยู่จริงหรือมีอยู่จริง(Existence or Being)....แล้วรัฐธรรมนูญก็จะร่างสะท้อนภาพหรือร่างตามระบอบประชาธิปไตยที่ สร้างขึ้นจริง มีอยู่จริงดำรงอยู่จริง..(รัฐธรรมนูญขึ้นต่อระบอบประชาธิปไตย.. หรือ..ประชาธิปไตยกำหนดรัฐธรรมนูญเหมือนกับเนื้อหากำหนดรูปแบบ จิตใจกำหนดร่างกาย)...หรือ.."คนจะต้องเกิดขึ้นจริงหรือตายจริงก่อน..กฎหมาย จึงจะรับรองตามจริงนั้น"...เช่นคนจะต้องเกิดขึ้นจริงโดยการปฏิสนธิในครรค์ มารดาก่อน ๙ เดือนและคลอดออกมาอยู่รอด...กฎหมายจึงสะท้อนภาพความเป็นคนที่เกิดขึ้นจริงมี อยู่จริง ดำรงอยู่จริงไว้ต่อไป
    แต่คณะราษฎรและผู้ปกครองไทย...เอารัฐธรรมนูญมาเป็นเนื้อแท้ตัวจริง...เอา ประชาธิปไตยมาเป็นภาพสะท้อน...คือ...สร้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย..เพื่อให้ ระบอบสะท้อนภาพประชาธิปไตยจากรัฐธรรมนูญ...ให้ระบอบเป็นประชาธิปไตยตามรัฐ ธรรมนูญ...นี่คือ..ความผิดพลาดอย่างมหันต์...ที่เรายังคงกลับหัวกลับหาง(Up side down) คณะราษฎร หรือผู้ปกครองไทย และนักวิชาการเสาค้ำเผด็จการรวมทั้งนักเคลื่อนไหวไร้เดียงสาผู้น่ารัก ในระบอบเผด็จการ ๒รูป...ยึดถือและปฏิบัติผิดพลาดเช่นนี้มาโดยตลอดกว่า ๘๒ปีนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕เป็นต้นมาจนถึงบัดนี้...จึงสร้างวิบัติหายนะวินาศล่มจมให้แก่ประเทศชาติ และประชาชนคนทั้งประเทศ..โดยไม่รู้ตัว
    แต่ถ้าพูดกันแบบทั่วๆไปโดยถือ.."รัฐธรรมนูญเป็นเอกเทศ"...ไม่ไปเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ตามหลักวิชาหรือตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติแล้ว...เขาก็สามารถจะสร้าง.."รัฐ ธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยสักปานใดก็ได้"...โดยเขียนใส่รัฐธรรมนูญให้มีหลัก การปกครอง(Principle of Government) และมีรูปการปกครอง(Form of Government) ของการปกครองแบบประชาธิปไตย(Democratic Government) มีสถาบันประชาธิปไตย(Democratic Institution) และองค์การอิสระที่มีอยู่ทั่วโลก.."เอาประชาธิปไตยทั้งโลกมาใส่ไว้ในรัฐ ธรรมนูญ".....ก็จะดูว่าเป็น.."ประชาธิปไตยแต่ในรัฐธรรมนูญ...แต่...ไม่มี ประชาธิปไตยในการปกครอง...เกิดความขัดแย้งกัน.."ระหว่าง..รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย..กับ..การปกครองเผด็จการ"...ในที่สุดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเพียง กระดาษก็ถูกฉีกทิ้ง...เพราะสู้เผด็จการในแผ่นดิน(ในการปกครองในระบอบของ ประเทศ)ไม่ได้...เพราะแผ่นกระดาษ..หรือจะสู้แผ่นดินไหว "ประชาธิปไตยในความฝัน..VS..เผด็จการในความเป็นจริง" (ภาพสะท้อน(ประชาธิปไตย)..หรือจะสู้ตัวจริง(เผด็จการได้)จึงเกิด ปรากฏการณ์.."ร่ำรวยรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก...แต่ยากจนประชาธิปไตยที่สุด ในโลก" ไทยแลนด์แดนรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ไทยแลนด์แดนประชาธิปไตยโดยแท้จริงแล้ว..คือ.."ไทยแลนด์แดนเผด็จการ รัฐสภา" นั่นเอง
    คณะราษฎร...ได้ทำให้.."รัฐธรรมนูญ..กับ..ประชาธิปไตย"..มาเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งผิดกฎเกณฑ์ธรรมชาติ..และจึงไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ทำหน้าที่อะไรอะไรมาก่อน อะไรมาทีหลัง หรืออะไรขึ้นต่ออะไรมีความสัมพันธ์ภายใน(Interrelationship)กันอย่าง ไร...ทางแก้มีทางเดียวคือ.."จะต้องทำสวนทางกับสิ่งที่คณะราษฎรทำ...คือ... แยกรัฐธรรมนูญ..ออกจาก..ประชาธิปไตย"เมื่อคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญแล้ว...ก็ได้ทำให้.."รัฐธรรมนูญ..กับ.. ประชาธิปไตย..เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..คือ..สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ.. แต่กลับตั้งชื่อบิดเบือนว่า..อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"..ตั้งแต่
    บัดนั้นมา.."คนก็เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย"...จึงสร้าง ประชาธิปไตยแต่ในรัฐธรรมนูญ...ไม่สร้างประชาธิปไตยในการปกครองของประเทศ จริงๆ ....ดังนั้นจะต้องแก้ไขด้วยการ.."เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ให้ถูกต้องตามลักษณะ ของมัน..คือ..เปลี่ยนเป็นอนุสารีย์รัฐธรรมนูญ"...ก็จะทำให้ผู้คนแยก ออกระหว่าง.."รัฐธรรมนูญ..กับ..ประชาธิปไตย"..ก็จะสร้างประชาธิปไตยในการ ปกครองของประเทศได้สำเร็จ...และจะสร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่ สะท้อนจากระบอบได้สำเร็จตามหลักวิชา..ไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ..หรือ..ร่างรัฐ ธรรมนูญกันไม่รู้จบอีกต่อไป..เอาแค่ ๒๐ ฉบับก็มากเกินเพียงพอแล้ว
    มรรควิธี(Methodology)ของการร่างรัฐธรรมนูญของลัทธิรัฐธรรมนูญ ที่คณะราษฎรได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้น เป็นมรรควิธีการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ถูกต้องกับกฎเกณฑ์หรือหลักวิชาการของ ลัทธิประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง การทำให้เห็นผิดว่า.. “ลัทธิรัฐธรรมนูญ..คือ..ลัทธิประชาธิปไตย” และ “การใช้รัฐธรรมนูญ...สร้างประชาธิปไตย”...ทำให้เกิดความวิบัติหายนะล่มจมแก่ ประเทศชาติ และเกิดความวินาศอดอยากยากจนแก่ประชาชนคนทั้งประเทศ
    จะต้องเเยก.."รัฐธรรมนูญ...ออกจาก...ประชาธิปไตย"...โดยให้รู้ถูกว่า...
    "รัฐธรรมนูญ..ไม่ใช่เครื่องมือสร้างประชาธิปไตย"
    "นโยบาย.. คือเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย"
    "รัฐธรรมนูญ.. คือเครื่องมือรักษาประชาธิปไตย"
    จะต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่าง.."รัฐธรรมนูญ..กับ..ประชาธิปไตย"..ดังนี้คือ...
    "ประชาธิปไตย...มาก่อน...รัฐธรรมนูญ...มาทีหลัง"
    "ระบอบประชาธิปไตย..คือ..เนื้อเเท้ตัวจริง...รัฐธรรมนูญ..คือ..ภาพสะท้อนระบอบ"
    "ประชาธิปไตย..คือ..เหตุ...รัฐธรรมนูญ..คือ..ผล"
    "นโยบาย..สร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น...รัฐธรรมนูญ..รักษาสิ่งที่มีอยู่ไว้ต่อไบป"
    (นโยบาย..ทำสิ่งในอนาคตให้เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน)
    (รัฐธรรมนูญ..รักษาสิ่งที่มีอยู่ปัจจุบันไว้ให้ดำรงอยู่ต่อไปในอนาคต)
    เมื่อใช้เครื่องมือผิดคือใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย ก็จะประสบความล้มเหลว ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้ ก็หมายถึง.. “ยกเลิกระบอบเผด็จการไม่ได้” เพราะมาตรการแรกของการสร้างประชาธิปไตยก็คือ “การยกเลิกระบอบเผด็จการ” เหมือนกับการทำนาจะต้องกำจัดวัชพืชก่อนแล้วจึงปลูกข้าวลงไปในนาได้ หรือก่อนจะสร้างตึกหลังใหม่จะต้องทำลายตึกหลังเก่าลงก่อน เมื่อยกเลิกระบอบเผด็จการไม่ได้ ระบอบเผด็จการก็ยังดำรงอยู่ในการปกครองประเทศต่อไปอย่างเป็นไปเอง
    ดังนั้น การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างประชาธิปไตย ก็คือการรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ต่อไป นั่นเอง
    ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นนี้... เราจะต้องแก้ปัญหาความเห็น... “จาก..ความเห็นผิด..มาสู่..ความเห็นถูก” คือ “เห็นว่าระบอบปัจจุบันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย..แต่เป็น..ระบอบเผด็จการ รัฐสภา” หรือ “ลัทธิรัฐธรรมนูญ..ไม่ใช่..ลัทธิประชาธิปไตย” ...โดยผิดตรงไหนก็แก้ไขที่ตรงนั้น...”เมื่อปีกหนึ่งของคณะราษฎรโดยรัฐบาลจอม พล ป.พิบูลสงคราม…ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ..แต่ตั้งชื่อว่า..”อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย” จนทำให้เกิดความเห็นผิดดังกล่าว....ก็ต้องเปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์ให้ถูกต้อง ตามลักษณะที่แท้จริงของอนุสาวรีย์ คือ.. “เปลี่ยนจาก..อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มาสู่..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ” อันเป็นการแยก..”รัฐธรรมนูญ..กับ..ประชาธิปไตย”..ออกจากกันโดยเด็ดขาด ก็จะทำให้เรารู้ว่าอะไรคือ รัฐธรรมนูญ อะไรคือประชาธิปไตย ? และความหน้าที่อย่างไร ? และรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองสิ่งอย่างถูกต้อง...ก็จะทำให้..”สามารถสร้าง ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง...และ...สร้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย”...ได้ สำเร็จอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ถูกต้องกฎเกณฑ์ของการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย และการสร้างรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตย แห่งยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่(Modern History)
    ดังนั้น จึงขอให้ ฯพณฯเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ได้โปรดกรุณาแก้ปัญหาความเห็นผิด..มาเป็น..ความเห็นถูก โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์...”จาก..อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มาเป็น..อนุสาวรีย์ รัฐธรรมนูญ” เพื่อจะได้มองเห็นปัญหาระบอบ หรือปัญหาประชาธิปไตย แล้วก็จะสามารถแก้ปัญหาประชาธิปไตย หรือแก้ปัญหาระบอบ ด้วยการสร้างประชาธิปไตย ตามแนวทาง ร๕ ร.๖ ร.๗ และนโยบาย ๖๖/๒๓ โดยการใช้.. “นโยบายเป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย”...และ... “ใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือรักษาประชาธิปไตย” ไว้ให้มั่นคงยั่งยืนต่อไป
    กระผมและคณะกรรมการโรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติ จะได้ยื่นหนังสือถึง.. “กินเนสบุ๊ค เวิร์ลด์ เร็คคอร์ด” ให้เดินทางมาบันทึกว่า..”ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก”...และรัฐ ธรรมนูญฉบับที่ ๒๐ จะเป็นฉบับสุดท้ายที่เป็น..”รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” ที่ร่างอย่างถูกต้องตามหลักวิชา สามารถดำรงอยู่คู่กับประชาธิปไตยได้ตลอดไป เช่น เดียวกับประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย จะไม่ถูกฉีกทิ้งอีกต่อไป และ คสช.โดย ฯพณฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้แก้ปัญหา ๒ ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยตกไป คือ..”ปัญหาประชาธิปไตย..และ..ปัญหารัฐธรรมนูญ”...ซึ่งไม่มีคณะใด หรือใครที่จะมีความสามารถ และมีบารมีมากพอที่จะแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยทั้ง ๒ ปัญหานี้ได้เลย...ล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้ต่อปัญหาประชาธิปไตย..และ..ปัญหารัฐ ธรรมนูญ”...ทั้งสิ้น ดังนัน ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา...จึงเป็น..”ผู้ชนะยิ่งใหญ่ตลอดไป”(Conqueror) และเป็นมหารัฐบุรุษของไทยที่แท้จริง
    จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และดำเนินการออกคำประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนชื่อ.. “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย..มาเป็น..อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ”...เพื่อแก้ปัญหา ประชาธิปไตย และปัญหารัฐธรรมนูญให้ตกโดยเร็วที่สุดต่อไป เพื่อเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติ และแก้ปัญหาประชาชนทุกคนให้สำเร็จเสร็จสิ้น สมบูรณ์ บริบูรณ์ ต่อไป
    ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
    (นายมนัส เดชเสน่ห์)
    ผู้อำนวยการโรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติ
    ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ

  • ตบแต่ง โดย   สุริยา มาดีกุล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น